ລາວໂຮມລາວ ເພື່ອປະຊາທິປະໄຕ

ອ່ານຂໍ້ຄວາມຂ້າງເທີງນິ້ເຮັດໃຫ້ຜູ້ຂ້າຫວນຄຶນຫລຽວໄປເບີ່ງເຫດການຫລັງ1975

ທີ່ ປາກຊ່ອງ ດິນແດນ ຂອງພວກຂ້າຕະໂອ່ຍທັງຫລາຍ

ພວກແນວລາວເຂົ້າມາໄຫ່ມ ໄປໂຄສນາຊວນເຊື່ອ ຕາມບ້ານນອກຂອກຄຳເມ

ຫລາຍເດືອນຜ່ານໄປ ເຫັນວ່າຂ້າເຂົ້າໄຈການເມືອງດິເດັ່ນແລ້ວກະມອບຫລຽນຍ້ອງຍໍໃຫ້


ໄອ້ຂ້າ ແນວວ່າຄົນຊື່ນໍ ກະເວົ້າຕາມກົງໂຫລດ

ຫລຽນເຈົ້າຂ້ອຍບໍ່ຍາກໄດ້

ຂ້ອຍຍາກໄດ້ ຫໍ່ເກືອ

ດຣ ແມ້ວຍັງ ສະຫາຍບ້ານສະຄືນ ຂ້ອຍວ່າພວກເຈົ້າໄດ້ຣັບການສືກສາສູງ ກ່ວາຂ້າເມືອງປາກຊ່ອງແທ້ໆເດີ

ແຕ່ຄວາມສຫວາດພວກເຈົ້າບໍ່ທັນກົ້ນຂິ້ຂ້າເມືອງນີ້ແທ້ໆ

ตอนฝ่าย เวียงจันทน์เป็นรัฐบาล พวกโจรเหี้ย ปอสามปอสี่ก็ด่าไส่ร้ายป้ายว่าว่าเขาส้อโกลงหลี้นพักชูพวกแม่จ้างนางเล้งเต็ม วจ และ ที่ แน่ๆ ไม่ทำอะไร หลี้นแต่ไพ้ เดียวนี้โคตรแม่มันลุกสหูมนหมารับใช้มัน ที่ ปารีส บักไชชนะทานาดาบุด ก็ด่าเ้หืมอนเดีม)

พอชาวบ้าน วางอำนาจให้เขาครอง ปท นี้ก่วา30ปี

มีอะไร ที่เห็นสมควนจะยกย้อง

ไม่มีเลีย เห็นทางเดียว ยกลงคอนพระเพ็ง
เพราะ
สังคมลาว ยามนี้ เปิ่อยเยิอย เปิ้อนเปีแบบไม่มีในยุึคใดจรีงๆ ลุกสาวพรรคห้นาดีๆ กายเป็นกระหรี่ เต็ม วจ อยังไม่พอ
เสิอก ส่งนอก ทั่ว ปทท
ึคาชีโน มี กี้แห่งแล้ว
Special economic Zone10พัน กลม มนทน ขายให้นักลงทุนต่างชาตี 99 ปีทำไม ที่ ปท ต้องสูณเสย
เ อ ก ร า ช ทางด้าน ภาษา ภาษี การเงีน ความหั้มนคงของ ปท ศาล และ แรงงาน แล้วพวกมริงเมื่อ60ปีก่อนแล่นออกป่าจับปืนทำไม
ไม้ลาว ทำไมป่อยให้โึครแกวมันเข้ามาลักตัด จน แกวกายเป็น เจ้าโลกกับการส่งไม้ออกสู่ต่างแดน
แรงงานทำไมต้องข้ามไปให้โจรสยามขูดฮีดข่มเห็งทารุณ
และที่แน่แน่ทำไมชาวบ้านยากจนต้องจ่ายค่าโตะเพื่อส่งลูกเขาเข้าโรงเรียนละ ทำไม่เจ็บเป็นต้องให้พวกเขาขายวัวขายควาย มาจ่ายค่าโรงหมอละ

คำตอบทุกคำตอบมู้งไปที่ พวกโจร500 กำลังนั่งดูดโลหีต ชาวบ้านอยู่เวลานี้นะ

หมายความว่า
พวกสุ เป็น
คนขี้อิจฉา คนบ้าอำนาจ คนเห็นแก่ตัว คนไม่มีจิตสำนึก คนที่ไม่ใช่มนุษย์ แม้แต่สัตว์เดรฉานทุกชนิดยังเทีียบไม่ได้เลย
ขอร้องอย่ากวนใจปชชเลย อย่าหาเรื่องเลย ไหนว่าตัวเองเป็นผู้ดีเก่ลงกล้าไม่ใช่หรือ ทำไมผู้ดีเขาทำกับบ้านเมืองเหมือนเด็กเล่นขายของอย่างนี้หรือ ทำตัวสูงแต่จิตใจต่ำนี่แถมสกปรกด้วย คุณอยากให้คนนับถือ แต่คุณเคยนับถือคนอื่นหรือเปล่า
เชาด่าฝ่าย วจ ได้แล้ว
พากันหอบครอบหอบครัวกับถ้ำชำเหนิอ บ่อนพวกสุมาได้แล้ว

เรียน ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจไม่รับร่างรัฐธรรมนูญของคนลาวภาค ตวอฉหน
คน ส่วนใหญ่ที่เข้ามาแสดงความคิดเห็น ล้วนไม่มองว่าคนลาวภาคนี้เป็นศัตรูกับประเทศชาติ ที่ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ และมีการกล่าวดูถูกเหยียดหยาม พร้อมแสดงความคิดเห็นให้มีการตัดภาคนี้ออกจากปทท
เราคนเชื้อสายลาวที่ไม่ รับร่างรัฐธรรมนูญ มีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง หากจะตัดเราออกจากปทท เพื่อให้ไทยมีความเจริญตามความเห็นของคนส่วนใหญ่ในนี้
เรายินดีที่จะดูแล ตัวเอง ด้วยการพัฒนาตัวเอง จัดเก็บภาษีของเราเอง วางแผนพัฒนาเศรษฐกิจของเราเอง เลือกส.ส.ที่มาจากคนภาค ตวอฉหนของเราเอง
อย่าให้ลูกหลานภาคอื่นมาสวมสิทธิการเป็นคนลาวภาคนี้ แล้วเอาเงินมาหว่านซื้อเสียง เพื่อมาเป็นส.ส.ภาค ตวอฉหน ก็แล้วกัน
ให้พวกท่านจับลูกหลานคนภาคอื่น ขังไว้ให้ดี อย่าปล่อยมาเพ่นพ่านในภาคตวอฉหน
ภาค ตวอฉหน เป็นดินแดนอารยธรรมเก่าแก่ มีวัฒนธรรม มีภาษา มีดนตรี มีขนบธรรมเนียมของ
คนเชิ้อสายลาว เป็นภาคที่มีพื้นที่ใหญ่ที่สุดในปททมีประชากรก่วะ30ล้านคน มีส.ส.ได้มากที่สุดของปท 135 คน
การ ที่ท่านเห็นว่า การไม่รับร่างรัฐธรรมนูญของคนลาวภาคนี้เป็นศัตรูของปททเป็นศัตรูกับทหาร เรายินดีหลีกทางออกไปอยู่ในถิ่นฐานของเราเองนะ
เรียน ทุกท่านที่ไม่ชอบการตัดสินใจของคนล า ว ภาค ตวอฉหน
ดิฉันเป็นคน ล า ว โดยรากเหง้า รู้สึกชอบใจในทุกความเห็นของผู้ที่เสนอแนะให้กระทำการลงโทษต่อคนลาวภาค ตวอฉหน ซึ่งล้วนแต่เป็นสิ่งที่เราต้องการให้เกิดขึ้น เช่น ความคิดเห็นที่มองว่าคนลาว โง่ อยากให้ตัดภาคนี้ ออกจากประเทศไทย เป็นต้น ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่ดี ภาค ตวอฉหน เรามีจำนวนส.ส.มากที่สุดในประเทศ มีพื้นที่มากที่สุดในประเทศ มีประชากรมากที่สุดในประเทศ มีโอกาสทางการค้ามากที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศ โดยเป็นประตูสู่อินโดจีน
หากให้เราจัดเก็บภาษีของเราเอง แล้วนำเงินภาษีนั้นมาพัฒนาท้องถิ่นของเราเอง ไม่ต้องส่งเข้าสู่ส่วนกลาง เราสามารถที่จัดการบริหารดูแลตัวเองได้ ภายใต้นโยบายเศรษฐกิจพอเพียง
หากท่านแยกเราออกจากประเทศไทย เราจะไม่ให้คนนอกพื้นที่เข้ามาเป็นสวมสิทธิคนลาวเพื่อสมัคร ส.ส. ซึ่งปัจจุบันส.ส.ส่วนใหญ่ล้วนมีถิ่นกำเนิดที่ไม่ได้มาจากลูกหลานคนลาวภาคนี้ อาศัยว่ามีเงิน เข้ามาเป็นส.ส. เพื่อใช้เป็นช่องทางในการค้ากำไรกับประเทศชาติ ไม่สนใจพัฒนาแผ่นดินภาค ตวอฉหน ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 1600 ปี มีวัฒนธรรม มีภาษา มีดนตรี ฮีด12ครรอง14 มี identitiy ของตนเอง(แตกต่างกับชาวสยามปานฟ้ากับดีนนะ)มีสิ่งปลูกสร้างที่เป็นของเราเอง เช่น ประสาทหินพิมาย พนมรุ้ง ซึ่งล้วนมาจากสมองของบรรพบุรุษของเรา
นอกจากนี้ เรายังมีที่ดินทำมาหากินของเราเอง แม้เราจะไปทำงานในพื้นที่ใดของประเทศ หากเราตกงาน ก็ยังมีที่ดินในการทำมาหากิน มีบ้านให้อยู่อาศัย
หากการตัดสินใจไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ พวกท่านที่มองว่าคน ล า ว โง่ ยอมขายสิทธิ แล้วต้องการตัดพวกเราออกจากประเทศไทย เราขอน้อมรับด้วยความยินดี

ขอแสดงความนับถืออย่างสูง

ชาวลาวจากภาค ตวอฉหน

http://www.lannaworld.com/cgi/lannaboard/reply_topic.php?id=41009

http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=thai-glory&date=19-04-2007&group=1&gblog=8

http://www.youtube.com/watch?v=e3H90VZ30bs

http://www.youtube.com/watch?v=Fkik7wIf5tM

http://www.youtube.com/watch?v=Gdfx4xsgL6M&feature=related

....แล้วคิดว่าไงทำคนอื่นได้แต่พวกตัวเองห้ามแตะไม่งั้นกูจะฆ่าล้างโลก เฮ้ยนี้มันเห็นแก่ตัวนี่หว่า
รู้จักไมคำว่าถูกผิดอะ? ใครอยากเป็นขี้ข้า ลาว คมน ลูกแหล้งตีนมือแกวหัวขอด....!!!
ไอ้พวก ลาว คมน ที่จริงถ้ายังอยากทำดีซักครั้งในชีวิต ช่วยกันบอกพวกๆเถอะว่า:สปปลาวไม่
มีแต่การ"ลากตั้ง" ไห้อิสระ มีการการเลือกตั้งแบบเสรีประชาธิปไตยซักครั้งในชีวิต
ช่วยกันบอกพวกๆเถอะว่า :
พวกมัน เห็นแก่ตัว !!
พวกมัน เบียดเบียน ปชช ลาว !!
พวกมัน เผด็จการ !!
พวกมัน บ้าอำนาจ !!
พวกมัน โกงกินชาติบ้านเมือง !!
พวกมัน ฆ่าล้างโลก !!
พวกมัน โกงประชาชน !!

พวกมัน ขายชาตีขายแผ่นดีน!!สร้างspecial economic zone ทำให้ สปปล สูณเสยเอกราชทุกรูบแบบให้เจ็กและแกว ทังๆ60ปีก่อน โคตรโจรมันพากันแล่นออกป่าเพื่อเรียกร้องสี่งนี้จรีงๆ
พวกมัน ยอมรับใช้เจ้าพ่ออานีคมท้องถี่นแกว ถีงอดีด นย บัวสรไม่พอไจ ลุกขื้นตบโตะไส่ ย่างออกจากกรองประชูมที่กำแพงนคร วจ จนในที่สุดแกวอู้มลูกชายมัน คิอ สะหายแกวทองสีงปอ3ขื้นมาแทน ท่าน บัวสรที่ถูกลากออกจากทุกตำแห่นงสำคันของ ปท

สปปลาว "ไม่ต้องการระบอบการปกครองเสรีประชาธิปไตย''เพราะโจรห้นาชีเมนมันกลัวอนาคดการเมืองมัน

คมนลาว ไม่ แค่ยีงเป่าครับ!!แต่ฆ่าล้างโลกครับ !!

คมนลาว ไม่โง่ครับ.!!
แต (1975 )ขอทาน แดกห่าครับ !!คมนลาว ลาว ดี เหลือเกินครับ ยอมเป็นทาษแกวที่เป็นปท ทุกยากที่สุดในโลก!!

ชาวลาวโชกร้ายจรีงๆนอ

ທ່ານ ດຣ ຄຳເຜິຍຢ່າລືມນະ ໃນກອງປະຊູມສະພາເຕັຍ ຄັ້ງຕໍ່ໄປ ລາກຄໍ

ລູກຊາຍບັກໄກສອນ(ສັນຕິພາບ)ຂື້ນມາອະທີບາຍເລື້ອງການເກັບພາສີເຂົ້າພຣະຄັງພັກ

ແລະ ອີ່ວຽງທອງ860ລ້ານດອນ ລູກສາວບັກຫ້ນາແຫ້ລສົບເວີແກວເມືອງໂຂງພະໄຫ່ຍ ຣມຕການຄັງ

ວ່າ ເງີນທີ່ລາວນອກຝາກໃຫ້ເກຶອບ40 000 000 000 ລ້ານ ດລ 36 ປິ ຜ່ານມາ ພັກ ເອົາໄປເຮັດຫຍັງ??

ເຂດເສຖກິດພິເສດ 10ພັນ ກລມ ມົນທົນ ມອບໃຫ້ນາຍທືນເຈັກມີການຜ່ານຄວາມເຫັນຊອບຈາກສະພາບໍ??

ດິນດອນຕ່ອນຫຍ້າໃຫ້ແກວສັປທານເຖີງ4ແສນເຮກຕາຣເດ??

ແລະທີ່ສຳຄັນທີ່ສຸດ ສັນຍາພິເສດລາວແກວປິ77 ຈະຊື້ນສຸດລົງໃນປິ 2012
ແຕ່ລະຝ່າຍມີສິດ ກ່ອນ1 ປິ ທົບທວນໃນສະພາ ຖົກຖຽງເອົາຍັດຕິ ຈາກ ສສ ຍົກເລິກສັນຍາເປັນຂິ້ຂ້າແກວນິ້ໄດ້ແລ້ວ

ສາທຸ ຂໍໃຫ້ທ່ານມິຄວາມກ້າຫານທ້າທາຍສະຫາຍໄຊສົມພອນແທ້ໆເດິ

ສາທຸອິກຄັ້ງນື່ງ

ສາທຸສາທຸ ເປັນເທື່ອສຸດທ້າຍ

ເສັ້ຍຫລານຍ່າຈາກ ວຽງຈັນ ເອົາເງີນມາແຕ່ໄສໃຫ້ບໍລີສັດ ເຍິຣະມັນ 20 ລ້ານ ເອິໂຣເພື່ອເປັນຄ່າຈຳນຳຍົນ
ບາດໄປຈ່ອງຮ້ານອາຫານ ບອກວ່າຊີມາກິນ 25 ຄົນ
ແທ້ໆແລ້ວ ສັ່ງແຕ່ໄສ້ອົ່ວກາຣິເຍີຣະມັນ 4(ສີ່)ຕ່ອນ ກັບກາປູຊິໂນ 10ຈອກມາແດກ ບໍ່ຍອມຮອດນັ່ງກິນ
ໄປວັບ ບໍ່ເຫັນຮອດສົ້ນ( ຢ້ານຈ່າຍຫລາຍ ບໍ ລູກຊາຍເຈົ້າພໍ່ມະຫາເສດຖິໂລກ 35 ພັນລ້ານ ??)
ຖິ້ມເງິນໃຫ້ເຈົ້າຂອງຮ້ານແຕ່ 200(ສອງຣ້ອຍ) ອຣ

ໄປປັບບໍ່ເຫັນຮອດສົ້ນ

ນິ້ລະສັນດານຊັ່ວໆຂອງຣາຊວົງອັບປຣີ

ຈະມາສ້າງຄວາມຍີ່ງໄຫ່ຍ ນອກ ຣາຊອານາຈັກສຍາມເຈົ້າໄດ້ຢ່າງໃດ ??
ເພາະບ້ານນິ້ເມືອງນິ້ ເຂົາມິກົດຫມາຍ ທີ່ ໄປເຖິງທຸກໆຄົນ ທີ່ ຕ້ອງບໍ່ຢູ່ເຫນຶອ ກົດ ຫມາຍ
ຈະເປັນ ສາມັນຊົນ ກະຄື ເທວະດາເຈົ້າ

ຕ້ອງຢູ່ໄຕ້ກົດຫມາຍ
ຕ້ອງຢູ່ໄຕ້ກົດຫມາຍ
ຕ້ອງຢູ່ໄຕ້ກົດຫມາຍ


พระบารมีล้นพ้นระงับข้อพิพาท

วันจันทร์ ที่ 01 สิงหาคม 2554 เวลา 12:28 น


สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ พระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ เพื่อใช้ในการระงับข้อพิพาทระหว่างรัฐบาลไทย-บ.วอลเตอร์ บาว เยอรมนี กรณียึดเครื่องบินส่วนพระองค์

วันนี้ (1 ส.ค.) สำนักงานราชเลขานุการในพระองค์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เผยแพร่แถลงการณ์เรื่อง การอายัดเครื่องบินพระที่นั่งส่วนพระองค์ของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร กรณีพิพาทระหว่างรัฐบาลไทยกับบริษัทวอลเตอร์ บาว (Walter Bau AG) ความว่า ตามที่ศาลสูงสุดแห่งรัฐเบอร์ลิน สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 11 ก.ค.54 ให้ดำเนินการอายัดเครื่องบินพระที่นั่งของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ซึ่งเป็นเครื่องบินส่วนพระองค์ไว้เป็นของกลางในคดีพิพาทระหว่างบริษัทวอ ลเตอร์ บาว กับรัฐบาลไทยและศาลแขวงแลนส์ฮูต มีคำสั่งเมื่อวันที่ 20 ก.ค.54 ให้วางเงินประกัน 20 ล้านยูโร เพื่อถอนอายัดเครื่องบินพระที่นั่งดังกล่าวนั้น

ตลอดระยะเวลาตั้งแต่มีคำพิพากษาของศาลสูงสุดแห่งรัฐเบอร์ลิน และคำสั่งของศาลแขวงแลนส์ฮูต สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี จนถึงปัจจุบัน สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร มิได้ทรงตอบโต้แต่ประการใดต่อคำพิพากษาและคำตัดสินดังกล่าว รวมทั้งต่อกระแสข่าวทั้งจากในและต่างประเทศ ทรงเคารพต่อคำพิพากษาของศาลและทรงเชื่อมั่นในความยุติธรรมของกระบวนการ ยุติธรรม ด้วยทรงมีความสัมพันธ์ที่ดีกับรัฐบาลและประชาชนของสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ในระหว่างที่ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจและทรงพำนักอยู่ในสหพันธ์สาธารณรัฐ เยอรมนี ทรงได้รับการต้อนรับ รวมทั้งการอำนวยความสะดวกในด้านต่างๆเป็นอย่างดี

แม้ว่าสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร จะมิได้มีส่วนได้ส่วนเสีย หรือเกี่ยวข้องกับข้อพิพาทระหว่างรัฐบาลไทยกับบริษัทวอลเตอร์ บาว และมิได้ทรงเป็นผู้สร้างเรื่องหรือเหตุการณ์ข้อพิพาทขึ้นมาแต่ผลจากข้อพิพาท ดังกล่าวได้นำมาซึ่งความเดือดร้อนพระราชหฤทัย กระทบต่อพระราชกรณียกิจ และเสี่ยงต่อการเสื่อมเสียพระเกียรติยศเป็นอย่างยิ่ง

ในการนี้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร มีพระราชกระแสและพระราชปณิธานที่จะตอบแทนพระคุณแผ่นดินไทยและทรงใช้หนี้บุญ คุณให้กับประเทศชาติ ในพระราชฐานะที่ทรงเป็นประชาชนชาวไทยพระองค์หนึ่ง และทรงเป็นองค์สยามมกุฎราชกุมารของประเทศไทย อีกทั้งมิให้เกิดผลกระทบต่อความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศไทยและสหพันธ์ สาธารณรัฐเยอรมนี และเพื่อให้ข้อพิพาทดังกล่าวจบลงด้วยดี และรวดเร็ว จึงจะพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เพื่อนำไปใช้ในการระงับข้อพิพาทดัง กล่าว ทั้งนี้ไม่ทรงปรารถนาที่จะให้มีพระนามาภิไธยไปเกี่ยวข้องกับข้อพิพาทและมิ ให้เป็นที่เสื่อมเสียต่อพระเกียรติยศ

--@--รัฐบาลเร่งยุติคดีไทย-เยอรมนี

ครม.น้อม รับพระราชบัณฑูร สมเด็จพระบรมฯสั่งเร่งยุติคดีโดยเร็วที่สุด พร้อมหามาตรการพิทักษ์ทรัพย์สินรัฐบาลไทยในต่างแดน “มาร์ค”เข้าเฝ้าฯถวายรายงานเย็นนี้

วันนี้ (1 ส.ค.) เวลา 11.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ อัยการสูงสุดพร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เข้าพบ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เพื่อรายงานสถานการและมาตรการในการดำเนินการกรณี เครื่องบินโบอิ้ง 737 ที่ถูกยึดในประเทศเยอรมนี ทั้งนี้นายจุลสิงห์ ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ใดๆ

ต่อมาเวลา 12.30 น. นายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการครม. แถลงภายหลังการประชุมครม.ว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้เชิญ อัยการสูงสุดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกรณีเครื่องบินโบอิ้ง 737 ที่ถูกยึดที่ประเทศเยอรมนี มาหารือโดยเป็นวาระจรพิเศษ ซึ่งทางอัยการสูงสุดได้นำเสนอ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการในช่วงเวลาที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการว่าจ้างทนายความในคดีต่างๆ ค่าธรรมเนียมศาล ซึ่งครม.ได้รับทราบและเห็นชอบอนุมัติเงินจำนวนดังกล่าว ส่วนกรณีโบอิ้ง 737 นั้น ครม.ได้รับทราบ แถลงการณ์ ของส่วนราชการในพระองค์แล้ว และจะยึดเป็นแนวทางในการดำเนินการเร่งรัด ระงับข้อพิพาทระหว่างรัฐบาลไทยและบริษัท วอลเตอร์ บาว เพราะกรณีที่มีการยึดเครื่องบินส่วนพระองค์ทำให้เกิดการระคายเคืองเบื้องพระ ยุคลบาท ครม.จึงมีมติเห็นชอบแนวทางที่จะให้ยุติคดีนี้โดยเร็วและไม่ให้ระคายเคือง เบื้องยุคลบาท โดยเฉพาะในคดีใหญ่ โดยทางอัยการสูงสุดได้รับทราบมติดังกล่าวแล้ว รวมทั้งให้ไปดำเนินการหามาตรการพิทักษ์ทรัพย์สมบัติของคนไทยในต่างประเทศ เพราะหากคดียังไม่สิ้นสุดฝ่ายอายัดทรัพย์ก็คงไปตามอายัดทรัพย์ ของรัฐบาลในสถานที่ต่างๆจนทำให้เกิดเหตุผิดพลาดเหมือนที่ผ่านมา

นายอำพน กล่าวต่อว่า ครม.น้อมรับพระราชบัณฑูรตามแถลงการณ์และจะเร่งดำเนินการโดยเร็ว ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีจะนำความกราบบังคมทูลสถานการณ์ล่าสุดให้ทรงทราบก่อน หลังจากนั้นนายกรัฐมนตรีจะเป็นผู้แถลงรายละเอียดด้วยตัวเองอย่างไรก็ตาม การวางหลักประกันในคดีใหญ่ที่เป็นลักษณะการวางค้ำประกันก็เป็นแนวทางหนึ่ง ที่อัยการสูงสุดเสนอมา ซึ่งทางอัยการสูงสุดได้เสนอมาหลายแนวทาง และแนวทางหนึ่งคือการใช้ จดหมายค้ำประกัน และครม.ยึดหลักตามพระราชบัณฑูรว่า จะต้อเร่งรัดคดีใหญ่ให้เสร็จโดยเร็ว.

Voice of Lao Polical Prisoners


036. 08 . 2011.


Subject: Urges it to ensure unhindered and independent access by UNHCR and humanitarian agencies to all returnees in resettlement sites at Phalak and Nongsan in Vientiane Province and Phonkham in Borikhamsay Province.



AMNESTY INTERNATIONAL
PUBLIC STATEMENT


AI Index: ASA 26/003/2010
29 September 2010


Lao People’s Democratic Republic: Amnesty International urges immediate
and unconditional release of long-held peaceful demonstrators, to guarantee
freedom of speech, and to fully respect the rights of asylum-seekers


Human Rights Council adopts Universal Periodic Review outcome on Lao People’s
Democratic Republic


Amnesty International welcomes the engagement of the Lao People’s Democratic Republic
with the Universal Periodic Review as part of its stated efforts to promote and protect human
rights.


It deeply regrets, however, that the Lao People’s Democratic Republic rejected the
recommendation to release peaceful demonstrators.


1 - At least five men were arrested on 26 October 1999 for attempting to hold a peaceful demonstration in Vientiane and calling for peaceful economic, political and social change. Three are reported to remain in detention despite having completed their 10-year prison sentences. Thongpaseuth Keuakoun, a father of seven children, Seng-Aloun Phengphanh and Bouavanh Chanhmanivong should have been released at the latest in October 2009.


Amnesty International strongly urges the Lao authorities to demonstrate its commitment to protecting human rights in practice and to release the three men immediately and unconditionally.


Amnesty International welcomes the government’s support of those recommendations, announced in the Addendum to the report of the review, that call for full implementation of provisions in the International Covenant on Civil and Political Rights (ICCPR) related to freedom of speech, including through review of domestic legislation.


2 - The organization is disappointed, however, that recommendations to revoke laws that suppress the right to freedom of expression and assembly were rejected.


3 - The reasons provided for rejection appear to reflect the government’s wish to retain the strong limitations on the right to freedom of expression currently in place, which are contrary to the ICCPR provisions it claims to support.


Amnesty International urges the government to reconsider its position on these recommendations.
Several states made recommendations with regard to the thousands of Lao Hmong, including
refugees and asylum-seekers forcibly returned from Thailand to Laos in December 2009.


4 - Amnesty International regrets the government’s only partial support for these recommendations
and urges it to ensure unhindered and independent access by UNHCR and humanitarian agencies
to all returnees in resettlement sites at Phalak and Nongsan in Vientiane Province and Phonkham in Borikhamsay Province.


While the authorities have organized several visits to these sites for diplomats and journalists, full and free access was not provided and opportunities for returnees to speak freely to the visitors without repercussions were extremely limited. This hampered a proper assessment of conditions and treatment of returnees.


The Lao government has a responsibility to respect the right of all persons to seek asylum, as
provided in the International Covenant on Civil and Political Rights, and Amnesty International
1
A/HRC/15/5, paragraph 99.3.
2
A/HRC/15/5, paragraphs 98.41, 98.43 and 98.44, and A/HRC/15/5, Add.1, paragraph 1.
3
A/HRC/15/5, paragraphs 98.42 and 98.45, and A/HRC/15/5, Add.1, section III, paragraphs 25 and 26.
4
A/HRC/15/5, paragraphs 98.27, 98.28, 98.29, 98.30, 98.31 and 98.32.

เราสู้เพื่อ การปกครองระบอบประชาธิปไตย ซึ่งก็คือ … 1) อำนาจอธิปไตยต้องเป็นของประชาชน และประชาชนเป็นผู้ใช้ ไม่ใช่กษัตริย์communistเป็นผู้ใช้ … 2) ประชาชนจะต้องมีเสรีภาพบริบูรณ์ … 3) ประชาชนทุกคนต้องมีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน … 4) กฎหมายจะต้องขึ้นอยู่กับหลักกฎหมาย … 5) รัฐบาลจะต้องมาจากการเลือกตั้งเท่านั้น และมีอำนาจเหนือกองทัพ

ຂ້ານ້ອຍດີໃຈເມື່ອໄດ້ຮູ້ວ່າລັດທະບານໄດ້ມີແຜນການທີ່ຈະສ້າງຜ່າຍກັ້ນນ້ຳບ້ານຂ້ານ້ອຍ ໂຄງການໄດ້ເລີ່ມລົງມື້ຢ່າງໄວວ່າ....ແຕ່ປະກົດວ່າພາກສ່ວນທີ່ກ້ຽວຄ່ອງມາຕັດເອົາຕົ້ນ

ໄມ້ອອກໄປມົດແລ້ວ ໂຄງການດັ່ງກ້າວ ເລີ່ມບໍ່ມີຄວາມຄືບຫນ້າເລີຍ...ຂ້ານ້ອຍເລີຍຍາກ

ຖາມອາຍາທ່ານຜູ້ມີຄວາມຮູ້ສູງວ່າ..ເພາະເງື່ອນໄຂໄດ ຈິ່ງບໍ່ມີຄວາມຄືບຫນ້າ.

1/.ເງີນທີ່ລັດທະບານຍີ່ປຸ່ນຊ່ວຍເຫລື່ອໃນໂຄງການນີ້ມັນຫາຍໄປໃສມົດ ຫລື ເອົາມູນໄຊ່ໃນໂຄງ

ການອື້ນ...

2/ ໂຄງການນີ້ລັດຖະບານຮູ້ວ່າມັນທຳລາຍສັບພະຍາກ່ອນທຳມະຊາດຢ່າງກວ້າງແຕ່ເປັນຫຍັງ

ລັດຖະບານເຖີງທຳ...

3/ ເມື່ອດຳເນີນງານແລ້ວ ເປັນຫຍັງໂຄງການນີ້ຈິງບໍ່ດຳເນີນຕໍ່ໄປ..

4/ ຕົ້ນໄມ່ທີ່ຕັດໄປລັດຖະບານຄືບໍ່ຫາ...ຕົ້ນໄມ່ທີ່ຖືກຕັດໄປ..

5/ ໂຄງການຢຸດນີ້ງ ແຕ່ທຳມະຊາດຖືກທຳລາຍຢ່າງກວ້າງໄກ ແລະ ເຮັດໃຫ້ບໍ່ມີຄວາມດຸນຂອງ...

ຂ້ານ້ອຍພໍຈະຮູ້ວ່າ ລັດຖະບານຍາກທຳໃຫ້ປະຊາຊົນມີຄວາມສຸກ ແຕ່ເປັນຫຍັງໂຄງການ

ນີ້ ຈິ່ງຢຸດນີ້ງ ແຕ່ຖ້າດູແລ້ວບ້ານຂະນ້ອຍ ມີສັບພະຍາກອນທຳມະຊາດອຸດົມສົມບູນ ເຫມື່ອນ

ກັບວ່າ ໂຄງການນີ້ ຕັດເອົາໄມ່ເພື່ອຜົນປະໂຫຍດສ່ວນຕົວຫລາຍກວ່າ ** ໂຄງການເຄື່ອນກັ້ນນ້ຳ ບ້ານ ຫນອງລຳຈັນ ເມືອງຈຳພອນ ແຂວງສະຫວັນນາເຂດ **

ຂອບໃຈສຳລັບເຈົ້າຂອງເວ໊ບໄຊນີ້ ທີ່ໃຫ້ຂ້ານ້ອຍໄດ້ປະກອບຄວາມເຫັນ

Out of control, Drugs, alcohol, sex in public, in LaoPDR no law enforcement.
ການບໍຣິການ ນັກທ່ອງທຽ່ວຕ່າງປະເທດສ້າງບັນຫາຫນັກໃຈແກ່ຜູ້ໃຫ້ບໍຣິການເປັນຕົ້ນ Drugs,
ການບໍ່ນັບຖືກົດໝາຍ, ການເປື້ອນເປີ້, ການທໍາອະນາຈານ ຊຶ່ງເປັນການທໍາລາຍປະເພນີ.
http://www.youtube.com/watch?v=1do2EJleOEY&feature=player_
embeddedLaos tubing craze 'destroying town'

ຢ່າສວຍໂອກາດ ແຊກຊ້ອນແນວຄິດຕ້ານປະເທດເພື່ອນບ້ານມາ ດ່າຢູ່ໃນທີ່ນີ້...ຂໍໃຫ້ທ່ານເວົ້ແຕ່ບັນຫາລາວໂດຍສະເພາະ

Press Releases:
LAO PDR's COURT SYSTEM is ZERO of the world.
Khamphoui Sisavatdy,
RLGE' Prime Minister


July 31, 2011


LAO PDR's COURT SYSTEM is ZERO of the world.


__________________________________________________________

The world today belongs to the new awaken and conscious people who can be able to stand responsible for their lives, their interests and also for their nations. So the world today is our home of mankinds over 1500 millions of world populations. Since Lao PDR took power and controled our country over 36 years. Even if Lao countrys is rich land filled with alot of national resources, gold, jewelry, loggs, now they build many dams around the country invested with 2-3 hundreds or thousand millions dollars by many foreign countries, and also Lao PDR now is living in stability no war,no terrorist groups.


But until today, Lao PDR is the 25 poorest country of the world, in various corners of prostitutes, eveyrwhere filled with the beggars who have waiting for foreigners to give something to their naked hands. Many Lao citizens bowed their heads in Thaliand for jobs, many of them are selling their labours in low prices, and many Lao girls and kids have been wandering selling the sexs for money in Thailand.


Lao PDR fundamental ideas as well as the brians of their leaders are very poor which you can join conclusions in their Constitution August 14th 1991 as follow;


(1) Preamble of some paragraphs in their Contstitution wriiten with very respect to Vietnam... it said that... over the past 60 years, under the correct leadership of the former Indochinese Communist Party,....... thus opening the new era and era of genuine Independence for the country and freedom for the people....
( Maybe Lao PDR, only the one country of the world who write the Highest Law of their country,
Crawling and bowing their heads to respect to other nations spirits...other Nation's honorary
qualifications... those of the low brains leaders are Lao PDR.)


(2) its Constitution, the 3rd Article written that... The Rights of the Multi-ethnic people to be the Master of the country are exercised and ensured through the functioning of the political system with the Lao People's Revolutionary Party as its leading neucleus.


And its Constitution 5th Article said... the national Assemby and all other state Organizations are established and function in accordance with the principle of Democratic Centralism .PAXATHIPATAY ROUAMSOON..
( or Democracy of small groups of people who exercised their power by the guns.)

The two of Articles in Lao PDR' s Constitutions are very out of date, it is the corrupted Constitution, applying to the corrupted groups of people and the robbers, the bad groups until nowaday, but all the people inside Laos until today never raised any questions to the Floor, Beause, I think they are all stupid or maybe they are all the people of low ideology or they are servants of Keo Hanoi.


______________________________________________________________________


Mr Bounthanh Pousavanh
Freedom Lao Movement
Canberra - Australia
August 3, 2011

It is right, say it again right again


ລາວສວັນ ລູກຫລານພໍ່ກະດວດ




On Mon, May 16, 2011 at 10:36 AM, Jonh Anouvong
wrote:

Why should we worry about the election in Laos....look at Myanma,
even they have guests from UN to observe , still the result was comming
out the same group of dictators to form the government..

I think we should also stop relying on RLGE nor PGNU any more....
These organazations are only fake... they even might be working for
LPDR since long long time ago....or these poeple will never go any
where , they work for themself not for Lao poeple.........

Keep working and developing our Human right organization is enough...
collecting evidences that they have violated, evidences of corruptions,
evidences of overlaoded of foreigners in Laos , evidences of violating
the natures and environment, collecting evidence that noncooperating
to support the world green .......all of these will help Lao poeple who
are unnable to voice up for their life...because these evidences are inclued
in the purpose of Human Right of the world poeple.....appeal for the
remains of those dead Sammanakones that they killed, bring those for
their relatives and............

Submit to the UN, to the ASEAN organization and all international
community organizations........and see what will be in return.........

สวัสดีแฟนๆ ลาวโฮมลาว ที่นับถือ

หวังว่าท่านและครอบครัวคงสุขสบายดี การเมืองลาวจะประสพชัยชนะได้นั้นอยู่กับคน
ลาวที่ตื่นตัวรู้ว่าไครคือมิตร์แท้-และศัตรู ต้องมีความอดทน-เสียสละจรึ่งจะได้มา ทุกอย่า
ไม่ได้เปล่า...ทุกสิ่งในชีวิตการ
เมืองจะต้องเป็นไปตามวิถีทางของมัน ผลแห่งการเมืองก็คือผลแห่งการกระทำของนักกา
เมืองเอง นักการเมืองที่ดีจริงๆ
จึ่งไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้เป็นรัฐบุรุษ,และนักการเมืองชั่วๆอย่าคิดว่าประชาชนเขาจะไม่รู้
ทำไมนักการเมืองจึ่งไม่เรี่มปูทาง
ไปสู่ความเป็นรัฐบุรุษ ด้วยการทำความดี,หรือว่าความเห็นแก่ตัวบังดวงตาของท่านไว้ไม่
ไห้เห็นความจริงในเรื่องนี้...
ขอไห้ทุกๆท่านจงพร้อมกันลุกขื้นมาปลดปล่อยเสรีภาพ-ประชาธิปไตยไห้แก่ชาติของตนเองเถีด
36 ปี่านไปแล้วชาติของ
ท่านกำลังตกอยู่ในความลำบาก-ทุกข์จน-ขาดสิทธิเสรีภาพทุกอย่าง รอแต่ัวันล่มสลายและศูนย์
หายไปเช่นเดียวกับอดิตร์
ที่ผ่านมาเช่น16แขวงภาคตระวันตกที่คนลาวทุกๆคนเรียกว่า"ลาวภาค ตวอฉหน สยาม ปท
"เป็นพลเมืองชั้น
สองของสยามประเทศไทยทุกวัน ทังๆ เป็นคนส่วนไห่ยของ บ้านนี้เมืองนี้ เช่นเดียวกับภาษาลาว
ทำไม ภาษาของคนส่วนไห่ยถีงถูก ภาษาเจ้าพ่อ กดขี่ ข่มเห็ง ไม่เป็นที่ยอมรับของสังคม
นี้ต่อไปลาวฝั่งตระวันออกก็จะเป็นพลเมืองชั้นสองของเวียตนามในประเทศของตนเอง...
นักการเมืองแกวหัวขอด มาใช้ ภาษาเวียด ไข สภาเต้ยลาวแดง

นั้มแม่นจุดเลีม ของการ บอกชาวโลกว่า สปปล กาย เป็นแขวงหนื่งของแกวไปเสียแล้วอย่างเปีดเผีย
แปว่า อา๊ณานีคมยุคไห่ม ได้เกีดขื้นแล้ว ใน ดันแดน อดีตลาวล้านช้าง

โชกร้ายไห่ม ชาวลาวทังโลก ที่ มีผู้นำชั่วๆ โง่ๆ อ่อนเีพีย ในการครองเมือง อ่อนเเต้ม ใน
การตัดสีนไจเป็นเจ้าพ่อตนเองยอมจำนน ในยามสงบเป็นขี้ข้าม้าไช้ฝให้ ปท ทุกยากที่สุดในโลก

กูบ็ยออมแล้วเดร บักจูม บก ไอ้เหี้ย ทองสีง บักลูกแกว ไชสมพร สันตีภาพ สันยาขี้ลัก พมวีหี

Bravo pour votre travail infatigable pour la mère patrie et le peuple lao lao. S'il vous plaît allez-y.
Voici mes suggestions:
1 / la mise en place d'un programme de manifestation pacifique réclamant l'indépendance, la démocratie, l'intégrité territoriale du Laos et multipolitical etc ..parties pour le Laos;
2 / approbation de ce programme par votre équipe;
3 / la formation d'un comité représentant de votre groupe d'utiliser son influence auprès du Secrétaire d'Etat américain et les Nations unies du Conseil de sécurité;
4 / poser les aider à parler à Lao communiste de Vientiane et au gouvernementthaïlandais dans le cas où nous ferons la démonstration dans le pont Norng Khai pour éviter arrestation;
cette manifestation sera organisée sous les Etats-Unis et la supervision de l'ONU soiten Norng Khai mariée ou en ce que la saison des festivals Luang


laohomlao's members


I think Mr Blacksaphire has good point and it has potential to become a reality
My suggestion is we should study the strategies of the Red Shirt group to unite and motivate people to join in demonstration
In this forum we have 17 to 20 people as ring Leaders I think we more than enough to set an organization.
After that we can set the procedures
1. Set up an advertising camp propaganda to motivate and encourage Laonork to standup in every state every country
2. If it is possible that someone has connections or relatives in Thailand to get intouch with the Red Shirt group to gain and cooperate
3. Lao nai stays tune and expand networking under ground wait for the signal from Lao nork when the time comes.
4. In this event it may be sacrificed our brave men

Perfect idea to bring the Grass root campaigns to this forum and we
have to get the cooperation from Lao Leaders Abroad to join as a team.
The Multi - ethnic is necessary for our priority of the the leadership.
It is possible if they intend to unify to do together. The circumstances
are a big problem for all of us such as the employment, the transpor
or travelling, pocket money, family and visiting Laos.


Many people can talk only but it is hard for them to join the practical task.
We are worry about our young generation who are not interested to follow
the step of Lao ancestor to fight for democracy in Laos. If our generation
fails so the young people will be accepted Laos as is.


Some aged person just complains or refers the mistake to each other.
They try to close door and talk about Lao people only and not step up to the international level. If we look Tibet after Dalai Lama and the new educated
leader is very young.


Perfect idée de mettre les campagnes racine d'herbe à ce forum et nous devonsobtenir la coopération des dirigeants laotiens à l'étranger à rejoindre une équipe. Lemulti - ethniques est nécessaire à notre priorité de la direction de l'.
Il est possible s'ils ont l'intention d'unifier à faire ensemble. Les circonstances
sont un gros problème pour nous tous, comme l'emploi, le transport ou en
voyage, argent de poche, la famille et de visiter le Laos.

Beaucoup de gens peuvent parler seulement, mais il est difficile pour eux de rejoindrela tâche pratique. Nous nous préoccuper de notre jeune génération
qui ne sont pasintéressés à suivre l'étape de l'ancêtre Lao de se battre pour la démocratie au Laos.Si notre génération ne sorte que les jeunes seront
acceptés au Laos est aussi.

Certaines personne âgée se plaint tout ou renvoie l'erreur à l'autre. Ils essaient defermer la porte et de parler de peuple lao et non pas au niveau
international. Si nous regardons le Tibet après le Dalaï Lama et le nouveau chef instruits est très jeune.


Internet communication is great and yet not enough - we need grass
root campaigns on local basis through out the country any where there're
Lao people (I mean all ethnic groups). We need any and all so-called leadership groups to meet regularly and get trained for a uniformed update in all
aspects including but not limited to strategy, ethics, etc. - we tend to talk
too much about helping Laos and the Lao People in Laos, and yet we neglect completely and totally about those who struggle all around us... Our younger generations are losing their own cultural identity, their cultural heritage...
and those don't mean any thing to you guys? -we are playing the loser
card, aren't we [with the loser attitude and mentality]?


English to French translation

De communication sur Internet est grand et pourtant ne suffit pas -
nous avons besoin de campagnes de racine d'herbe sur le plan local à
travers le pays où il ya toute êtespeuple lao (je veux dire tous les groupes
ethniques). Nous avons besoin de tout et detous les groupes soi-disant
leadership se rencontrer régulièrement et se former pourune mise à jour
en uniforme dans tous les aspects, y compris mais non limité à la stratégie,
l'éthique, etc - nous avons tendance à trop parler aider le Laos et laRépublique démocratique populaire lao au Laos , et pourtant nous négligeons
complètement et totalement de ceux qui luttent partout autour de nous ...
Nos jeunes générations perdent leur propre identité culturelle, leur patrimoine culturel ... et ceux quine veut pas dire quelque chose à vous les gars?
-nous sommes en jouant la carteperdante, n'est-ce pas [à l'attitude e
la mentalité perdant]?

เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ นักทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจำนวนมากเห็นว่า ภาวะการครองความ
เป็นใหญ่ของสหรัฐฯ กำลังลดต่ำลง เพราะว่าโลกเริ่มแตกเป็นหลายขั้ว เมื่อมีจีน รัสเซีย และญี่ปุ่น
ที่แสดงออกทางการเมืองอย่างเป็นอิสระต่อกัน และในหลายกรณีขัดแย้งโดยตรงกับสหรัฐฯ

ในบทความนี้จะทดลองกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยใช้ลาวเป็นกรณีศึกษา
โดยการประยุกต์ใช้ทฤษฎีการครองความเป็นใหญ่ใส่ลงในบริบทของสังคมการเมืองภายในประเทศ
เพื่ออธิบายว่าชนชั้นที่ครอบงำสังคมไทยกำหนดทิศทางความสัมพันธ์กับต่างประเทศอย่างไร พวกเขา
ใช้พลังทางเศรษฐกิจใส่ลงไปในนโยบายต่างประเทศที่มีต่อประเทศเพื่อนบ้านอย่างไร ในขณะที่ลาว
ซึ่งเป็นประเทศเล็กกว่า และตกอยู่ในฐานะของฝ่ายตั้งรับ พยายามหาทางต้านทานอย่างไร



ชนชั้นที่ครองความเป็นใหญ่และนโยบายเพื่อครอบงำ

หลังสงครามเย็นสภาพแวดล้อมทางการเมืองระหว่างประเทศเปลี่ยนแปลงไปพร้อมๆ กับการเปลี่ยนแปลง
ทางการเมืองภายในของไทยและสภาพแวดล้อมของประเทศเพื่อนบ้านในอินโดจีน กล่าวคือในห้วงกลาง
ทศวรรษ 1980 นั้น สหภาพโซเวียตได้หันไปใช้นโยบายเปิดกว้างทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจก่อนที่
จะล่มสลายไปในที่สุดโดยผลของมันคือ ผลักดันให้ประเทศเพื่อนบ้านของไทยที่เคยอยู่ในค่ายสังคมนิยมสหภาพโซเวียตเปลี่ยนแปลงไปด้วย ทั้งเวียดนาม ลาว และกัมพูชา โดยในลาวนั้นเริ่มหันมาใช้แนวทางที่เรียกกันว่า จินตนาการใหม่ [ตามคำของลาว] (New EconomicMechanism-NEM) มีการเปิดกว้างทางเศรษฐกิจ
เปลี่ยนจากแนวทางการวางแผนส่วนกลางมาใช้เศรษฐกิจแบบตลาดแทน และเปิดต้อนรับการลงทุนจาก
ต่างประเทศ

สภาพการณ์ทางการเมืองภายในประเทศไทยก็เปลี่ยนแปลงไปมากด้วย นับแต่เหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ.
2516 กลุ่มราชการที่เคยครองความเป็นใหญ่ในรัฐสูญเสียฐานะลงไป และได้ตีกลับมาในช่วงหลังเหตุการณ์
6 ตุลาคม คือในอีก 3 ปีต่อมา โดยอาศัยภัยคุกคามจากคอมมิวนิสต์ในประเทศเพื่อนบ้านเป็นตัวหนุนส่ง
โดย รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์ ใน สังคมเศรษฐกิจไทยในทศวรรษ 2550 [4] ได้เสนอว่าราชการได้สูญเสีย
การครอบงำ

รัฐและการกำหนดนโยบายไประหว่างสมัยรัฐบาล พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ก่อนที่จะยึดคืนมาได้อีกในช่วง
หลังการยึดอำนาจของคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ในปี 2534 และนำนายอานันท์
ปันยารชุน อดีตนักการทูตผู้มีประสบการณ์ในทางธุรกิจมาเป็นเวลายาวนาน เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่ง
เมื่อทำการเปรียบเทียบจำนวนรัฐมนตรีในรัฐบาลชาติชายและรัฐบาลอานันท์ทั้งก่อนและหลังเหตุการณ์พฤษภาคม 2535 และรัฐบาลพลเอก สุจินดา คราประยูร พบว่าคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลอานันท์มีนักธุรกิจเพียง 16
เปอร์เซ็นต์ของทั้งหมด ในขณะที่รัฐบาลชาติชายและแม้แต่รัฐบาลสุจินดา ซึ่งแม้จะเคยเป็นทหาร แต่
ได้อาศัยฐานของพรรคการเมืองสนับสนุน มีนักธุรกิจมากกว่าครึ่งของจำนวนคณะรัฐมนตรีทั้งหมด แต่อย่าง
ไรก็ตามงานของรังสรรค์ในปี 2536 [5] ได้ชี้ให้เห็นว่าแม้ว่าคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลอานันท์จะมีพวกเทค
โนแครตมาก แต่บุคลิกของรัฐบาลแตกต่างจากรัฐบาลของรัฐราชการสมัยเก่ามากเพราะพวกเทคโนแครต
ในรัฐบาลอานันท์มีสายสัมพันธ์ที่ดีกับกลุ่มธุรกิจ อีกทั้งรัฐบาลหลังจากอานันท์คือ รัฐบาลชวน หลีกภัย,
บรรหาร ศิลปอาชา และชวลิต ยงใจยุทธ มีบุคลิกเหมือนรัฐบาลชาติชาย คือเป็นพันธมิตรของกลุ่มธุรกิจที่
ใช้การเลือกตั้งเป็นบันไดการเมืองไปสู่การควบคุมอำนาจรัฐและกำหนดทิศทางของประเทศ

วิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 ทำให้เศรษฐกิจหดตัวอย่างมาก พร้อมๆ กับทำลายกลุ่มธุรกิจโดยเฉพาะใน
กลุ่มการเงินการธนาคารและอสังหาริมทรัพย์ ทำให้พันธมิตรทางการเมืองของกลุ่มบรรหาร ชวน และชวลิต
หดหายไปมาก และเปิดโอกาสให้นักธุรกิจหมื่นล้านในกลุ่มโทรคมนาคมแทรกตัวโดดเด่นขึ้นมา เพราะเป็น
กลุ่มที่เสียหายจากวิกฤตน้อยที่สุดหรือแทบจะไม่เสียหายเลย โดยเกษียร เตชะพีระ แห่งคณะรัฐศาสตร์
ธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ทักษิณสามารถรวมเอาเทคโนโลยี โนว์ฮาว และความโนว์ฮู (know how &
know who) คือการมีสายสัมพันธ์มากของเขา เป็นบันไดแห่งความเติบโต [6] ในขณะที่ อุกฤษฎ์
ปัทมานันท์ และดันแคน
แมกคาร์โก [7] เห็นว่าทักษิณประสบความสำเร็จในการรวบรวมกลุ่มเศรษฐกิจการเมืองเข้ามาอยู่ในเครือ
ข่ายของตนได้ จนเรียกว่าเป็นมาสเตอร์ของพวงต่างๆ และอัมมาร สยามวาลา จากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนา
ประเทศไทย เห็นว่าทักษิณไม่ใช่นักการเมืองของพันธมิตรเจ้าพ่อท้องถิ่นอีกต่อไปแล้วแต่เขาสร้างแฟรน
ไชส์ทางการเมืองได้ประสบความสำเร็จ [8] สามารถควบรวมคนอื่นๆ ให้เข้ามาอยู่ในเครือข่ายพรรค
ไทยรักไทย (ในเวลานั้น) ได้สำเร็จและค่อนข้างราบรื่น

แต่ไม่ว่าจะมองทักษิณในรายละเอียดต่างกันแค่ไหนอย่างไร แต่ส่วนใหญ่แล้วมองเห็นจุดร่วมกันประการ
หนึ่งคือ เขามีเศรษฐกิจและธุรกิจเป็นธงนำในการบริหารและกำหนดทิศทางของประเทศ รัฐบาลพลเอก
สุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่มาจากการยึดอำนาจโค่นล้มทักษิณมีความแตกต่างกันในแง่บุคลิกลักษณะ
แต่ถ้าใส่ลงในบริบทความสัมพันธ์ไทย-ลาวแล้ว จะเห็นได้ว่าดำเนินนโยบายเหมือนกันหรืออาจ
จะกล่าวได้ว่าเป็นนโยบายเดียวกัน (ดังจะกล่าวต่อไป)

ในบริบทของความสัมพันธ์ระหว่างไทยและลาวกลุ่มธุรกิจ (ในคณะรัฐมนตรี) ได้เข้ามากำหนดทิศทาง
ของนโยบาย นับแต่หลังสงครามเย็นเป็นต้นมา หรือถ้าจะกล่าวให้ชัดกว่านั้น นับแต่สมัยรัฐบาลชาติชาย
เป็นต้นมา และรัฐบาลหลังนับแต่นั้นก็นำเรื่องเศรษฐกิจเข้ามาอยู่ในนโยบายต่างประเทศและ ได้สร้างกล
ไกเพื่อเอื้ออำนวยการดำเนินนโยบายและการดำเนินธุรกิจภายใต้นโยบาย นั้นด้วย ดังเช่นที่คำผุยแก้ว
บัวละพา อดีตรอง-นายกรัฐมนตรีของลาวได้กล่าวเอาไว้ในสมัยนั้นว่า ธุรกิจเป็นศูนย์กลางความสัมพันธ์ระหว่าง
ไทยและลาว [9] ประเทศไทยดำเนินนโยบายเพื่อดูดซับเอาทรัพยากรของลาวเพื่อประโยชน์ในการพัฒนา
ศรษฐกิจของไทย

ในยุคแรกๆ เมื่อรัฐบาลชาติชายเปิดประตูสู่ประเทศเพื่อนบ้านนั้น การดำเนินความสัมพันธ์ไม่สู้เป็นระบบมาก
นักส่วนใหญ่แล้วจะมุ่งหาทรัพยากรธรรมชาติที่เป็นสินค้าขั้นปฐมเช่น ไม้ท่อน ไม้ซุง และแร่ธาตุเพื่อ
ป้อนอุตสาหกรรมแปรรูปในประเทศไทย บางครั้งเมื่อเกิดปัญหาขัดแย้งในทางธุรกิจกัน ก็ไม่มีกลไก
จัดการแก้ไขปัญหา ต่อมาในสมัยรัฐบาลอานันท์จึงได้มีการลงนามในสัญญาจัดตั้งคณะกรรมการร่วมในเดือนพฤษภาคม 2534 ซึ่งในสมัยนี้เองมีการลงนามในสัญญาต่างๆ จำนวนมากรวมทั้งคณะกรรมการชายแดนเพื่อจัดระเบียบให้กับความสัมพันธ์และเป็นกลไกเอื้ออำนวยให้ความสัมพันธ์ของสองประเทศราบรื่น

ประเทศไทยได้ปรับทิศทางความสัมพันธ์กับลาวอีกครั้งหนึ่งในสมัยรัฐบาลชวน โดยนำบริบทของ
ภูมิภาคนิยม (regionalism) ซึ่งกำลังกลายเป็นแฟชั่นของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ได้รับ
ความนิยมอย่างมากในช่วงท้ายทศวรรษ 1980 และต้นทศวรรษ 1990 เข้ามาเป็นแกน นั่นคือการ
รวมกลุ่มเศรษฐกิจของภูมิภาคต่างๆ เช่น Asia-Pacific Economic Cooperation (APEC),
North America Free Trade Agreement (NAFTA) และกลุ่มอาเซียนก็มีเขตเศรษฐกิจแบบ
เสรีเป็นของตนเองแล้ว

รัฐบาลชวนได้ริเริ่มโครงการสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ ซึ่งมีไทย ลาว พม่า และจีน (ตอนใต้) เป็นสมาชิกขึ้น
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น เส้นทางคมนาคมเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับการค้า
การท่องเที่ยว และการลงทุนในพื้นที่บริเวณภาคเหนือของไทย ลาว พม่า และภาคใต้ของจีนด้านมณฑล
ยูนนาน บริษัทเอกชนหลายบริษัทเริ่มดำเนินโครงการลงทุนสร้างถนนหนทางในพื้นที่ดังกล่าว แต่หลาย
โครงการเช่นการพัฒนาถนนเชื่อมจีน-ลาว-ไทย ไม่สามารถดำเนินการให้สำเร็จลุล่วงได้ในเวลานั้น หาก
แต่ล่วงเลยมากระทั่งปี 2551 จึงสามารถพัฒนาได้สำเร็จและเปิดใช้งานได้

การสร้างถนนหนทางนั้นแม้จะล่าช้าแต่ก็ทำให้ไทยมีเส้นทางขนส่งที่สะดวกขึ้นเพื่อการค้าขายเชื่อมโยงกับจีน
แต่สิ่งที่ประเทศไทยต้องการจากลาวมากกว่านั้นคือแหล่งพลังงานรัฐบาลชวนได้ลงนามในบันทึกความ
เข้าใจในปี 2536 เพื่อซื้อกระแสไฟฟ้า 1,500 เมกะวัตต์จากลาว (รัฐบาลต่อมาๆ เช่นรัฐบาลบรรหาร
ได้เพิ่มเป็น 3,000
เมกะ วัตต์ในการลงนามในบันทึกความเข้าใจในปี 2539) และพร้อมกันนั้น บรรดาบริษัทก่อสร้างและรัฐ
วิสาหกิจทางด้านพลังงานไฟฟ้าของไทยก็เข้าไปเป็น หุ้นส่วนในการก่อสร้างเขื่อนเพื่อผลิตไฟฟ้าในลาว
และรัฐบาลไทยทุกรัฐบาลไม่ว่าจะมีที่มาจากกลุ่มการเมืองแบบใดก็ล้วนแล้วแต่ พยายามผลักดันโครง
การการสร้างเขื่อนในลาวให้สำเร็จเพื่อผลประโยชน์ทางด้าน พลังงานทั้งสิ้น

ตัวอย่างโครงการที่มีการดำเนินการผ่านมาหลายรัฐบาลคือ โครงการเขื่อนน้ำเทิน 2 โครงการนี้เริ่มมี
การศึกษากันตั้งแต่ทศวรรษ 1970 หลังจากพบศักยภาพด้านพลังงานในลำน้ำเทินซึ่งเป็นสาขาของ 42
แม่น้ำโขง ในปี 2537 รัฐบาลลาวร่วมกับธนาคารโลกและโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติได้ศึกษา
ความเป็นไปได้โดยละเอียดอีกครั้ง และหลังจากนั้นได้มีการก่อตั้งกลุ่มบริษัทเพื่อพัฒนาเขื่อนน้ำเทิน
เริ่มทำการออกแบบโครงการ และในปี 2547 ได้มีการก่อตั้งบริษัทไฟฟ้าน้ำเทิน 2 (NTPC) ซึ่งมีบริ
ษัทจากไทยคือ บริษัทเอ็กโกถือหุ้น 25% และอิตาเลี่ยนไทยดีเวลลอปเมนต์ถือหุ้น 15% โดยเขื่อนนี้
มีกำลังการผลิต 1,070 เมกะวัตต์ และกว่า 90% ของกำลังการผลิตไฟฟ้านั้นจะส่งขายให้ไทย

การครอบงำและการต่อต้าน

แม้เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความพยายามครอบงำทางเศรษฐกิจจากไทย แต่ลาวกลับไม่ได้ใช้ความสามารถทางเศรษฐกิจเป็นเครื่องมือในการต่อต้าน หากแต่ใช้มิติทางวัฒนธรรมเป็นสำคัญ โดยอาศัยความอ่อนไหวทางด้านวัฒนธรรมที่ใกล้เคียงกันมาเป็นเครื่องมือในทางการทูต เพื่อลดผ่อนความพยายามของไทยที่จะมีอิทธิพลเหนือลาวเพื่อตักตวงเอาผลประโยชน์ทางโภคทรัพย์

เขียน ธีระวิทย์ และคณะได้หยิบการกระทบกระทั่งกันทางวัฒนธรรมมาเป็นกรณีศึกษาเพื่ออธิบายความสัมพันธ์ไทย-ลาวในสายตาคนลาว [12] โดยได้ศึกษากรณีข้อกล่าวหาว่านักร้อง นิโคล เทริโอ ดูถูกแม่หญิงลาว จากการศึกษาดังกล่าวนั้นพบว่าไม่อาจจะพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนว่านักร้องของไทยไม่ได้กล่าววาจาใดเป็นการดูถูกคนลาว แต่เรื่องนี้สหพันธ์แม่หญิงลาวก็หยิบขึ้นมาเป็นประเด็นและเรียกร้องให้มีการขอโทษ ซึ่งในที่สุดชวน หลีกภัย ขณะเดินทางเยือนลาวได้กล่าวขออภัยอย่างไม่เป็นทางการต่อรัฐบาลลาวในกรณีดังกล่าว เพื่อยุติข้อบาดหมางที่ไม่จำเป็น ในการวิจัยนั้น เขียนและคณะได้สรุปว่า เป็นความเข้าใจโดยทั่วไปของคนลาวว่า คนไทยเป็นชาติที่ชอบดูถูกคนลาวมากกว่าชาติใดๆ ในโลกนี้

เหียม พมมะจัน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศลาว ซึ่งเคยเป็นทูตในประเทศไทยถึง 8 ปีได้สรุปเอาไว้ในวิทยานิพนธ์ปริญญาโททางด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของเขา [13] ว่าคนไทยชอบแสดงตัวว่าเหนือกว่า และพยายามดูถูกคนลาวซึ่งมีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่เก่าแก่กว่าไทย

ไทยและลาวมีความคล้ายคลึงกันหลายด้านโดยเฉพาะทางด้านภาษาและวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีแต่ลาวก็มีความหวั่นเกรงมากว่าวัฒนธรรมไทย ซึ่งลาวเชื่อว่าเปลี่ยนแปลงไปมากเพราะผลจากความใกล้ชิดตะวันตก จะข้ามแม่น้ำโขงโดยผ่านสื่อมวลชนโดยเฉพาะโทรทัศน์ ไปสร้างความเสียหายให้กับวัฒนธรรมของลาว ในปี 2547 กระทรวงข่าวสารและวัฒนธรรมของลาวสั่งห้ามเปิดโทรทัศน์ของไทยในที่สาธารณะ เช่น สนามบิน ร้านอาหาร โรงแรม และสถานีขนส่ง

วันทอง โพนจันเฮืองอธิบดีกรมสื่อสารมวลชน กระทรวงข่าวสารและวัฒนธรรมของลาวในเวลานั้นบอกว่า รัฐบาลลาวออกคำสั่งดังกล่าวเพราะไม่ต้องการเห็นอิทธิพลสื่อมวลชนไทยในลาวมากจนเกินไป เพราะว่าโทรทัศน์ไทยปรากฏในที่สาธารณะในลาวราวกับว่าเป็นแผ่นดินไทย [14] การสั่งห้ามสื่อมวลชนไทยเผยแพร่ในลาวนั้นมีปรากฏอยู่บ่อยๆ ไม่ว่าสื่อนั้นจะเป็นข่าวสารหรือการบันเทิง หากลาวพิจารณาเห็นว่ามีสารที่แสดงออกถึงการดูถูกดูแคลนลาว จะมีการสั่งห้ามทันที เช่นกรณีของภาพยนตร์แนวขบขันเรื่อง หมากเตะ ซึ่งล้อเลียนนักฟุตบอลทีมชาติของลาว ที่ต้องอาศัยผู้ฝึกหัดคนไทย และต้องไปย้อมสีผม ขนรักแร้ เพื่อให้เหมือนฝรั่งและไปฝึกอยู่ในตู้คอนเทนเนอร์เย็น เพื่อเตรียมตัวไปชิงแชมป์ฟุตบอลโลก ภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวต้องเลื่อนการฉายออกไปเพื่อปรับปรุงใหม่เพราะลาวเห็นว่ามีเนื้อหาเป็นการดูถูกเหยียดหยามลาว [15] สถานทูตลาวในกรุงเทพฯ บอกว่า มีความจำเป็นต้องยกเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นประเด็นเพราะอาจจะเกิดความไม่พอใจในหมู่คนลาว และอาจลุกลามกลายเป็นความขัดแย้งระหว่างสองประเทศเหมือนกรณีการเผาสถานทูตไทยในกรุงพนมเปญเมื่อเดือนมกราคม 2546

ความพยายามต่อต้านการครอบงำทางวัฒนธรรมอาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ง่ายในการ นำมาอธิบายปรากฏการณ์ที่ลาวหยิบประเด็นปัญหาในลักษณะนี้ขึ้นมาอยู่บ่อยๆ แต่เหตุผลสำคัญประการหนึ่ง จากกรณีภาพยนตร์ หมากเตะ คือการที่นักลงทุนไทยสามารถทำเงินจากวัฒนธรรมลาวได้ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ลาวยังไม่ต้องการเห็นวัฒนธรรมของตนถูกนำมาใช้เชิงพาณิชย์มากจนเกินไป กรณีละครเรื่อง เพลงรัก สองฝั่งโขง ทางช่อง 7 เป็นกรณีน่าสนใจที่จะอธิบายเรื่องนี้ได้ด้วยเช่นกัน เพราะเรื่องนี้เริ่มต้นด้วยความพยายามจะเชื่อมธุรกิจละครโทรทัศน์ด้วยการนำ อเลกซานดราธิดาวรรณ บุญช่วยนางเอกยอดนิยมลูกครึ่งลาว-บัลแกเรีย มาเล่นคู่กับพระเอกเวียร์-ศุกลวัฒน์ คณารศ ของไทย ความจริงเรื่องนี้ควรจะเป็นตัวอย่างของความร่วมมืออันดีของวงการบันเทิงและงานวัฒนธรรมเชิงพาณิยช์ของสองประเทศ แต่ทว่าเรื่องกลับไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อกระทรวงข่าวสารและวัฒนธรรมของลาวไม่ชอบใจบทบางตอน เป็นต้นว่า นางเอกคือจำปานั้นเป็นลูกนอกสมรสและพบรักกับหนุ่มไทยเร็วเกินไปเกรงว่าจะทำให้ภาพพจน์ของหญิงลาวเสียหายได้ ทางเวียงจันทน์เป็นห่วงว่าเรื่องนี้จะกระทบกระเทือนต่อวัฒนธรรมประเพณีอันดีของลาว [16] สุดท้ายผู้ผลิตและผู้กำกับคือ ธงชัย ประสงค์สันติ ยอมแก้ไขบทและพลอยเปลี่ยนชื่อเรื่องจาก เพลงรักสองฝั่งโขง เป็น เพลงรักริมฝั่งโขง ใช้พระธาตุพนมเป็นสัญลักษณ์ แทนที่จะเป็นพระธาตุหลวงในนครหลวงเวียงจันทน์

เบื้องหลังความขัดแย้งในคราวนี้ไม่ใช่ปัญหาทางด้านวัฒนธรรมจริงๆ แต่เป็นเรื่องความไม่ลงตัวทางด้านธุรกิจและความไม่พร้อมของฝ่ายลาวที่จะทำให้งานทางด้านวัฒนธรรมกลายเป็นธุรกิจ เพราะอเลกซานดราเป็นดาราที่กำลังมีชื่อเสียงโด่งดังในลาว ด้วยความสามารถทั้งทางด้านดนตรีและการแสดงทำให้เธอกลายเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงอยู่ในปัจจุบัน คู่แข่งทางธุรกิจในลาวไม่ต้องการเห็นเธอเข้ามาประสบความสำเร็จในประเทศไทยซึ่งธุรกิจบันเทิงเป็นธุรกิจที่มีมูลค่ามหาศาล

เมื่อไม่อาจต้านทานได้โดยตรง ลาวจึงนิยมใช้ความอ่อนไหวทางวัฒนธรรมเพื่อปกป้องการครอบงำจากไทยด้วยการ อธิบายว่าไม่ต้องการให้อุตสาหกรรมบันเทิงรุกเข้าไปลาวเร็วจนเกินไปนัก เพราะเป็นที่ประจักษ์ชัดว่า อิทธิพลและคุณค่าแบบไทยสามารถเดินทางผ่านงานศิลปบันเทิงและสื่อสารมวลชนไป อยู่ในสังคมลาวได้โดยไม่ยากนัก

สรุป

ความเปลี่ยนแปลงที่ค้นพบในความสัมพันธ์ไทย-ลาวยุคหลังสงครามเย็น คือกลุ่มธุรกิจได้เข้าไปครอบงำกระบวนการในการผลิตนโยบายของการเมืองระหว่าง ประเทศได้โดยเบ็ดเสร็จ และการรัฐประหารในไทยสองครั้งหลังสงครามเย็น คือในปี 2534 และ 2549 กลับไม่ได้ทำให้โครงสร้างทางอำนาจการเมืองของกลุ่มธุรกิจเปลี่ยนแปลงไปอย่าง มีนัยสำคัญเลยเพราะพวกเขายังสามารถครองความเป็นใหญ่อยู่ในโครงสร้างการเมือง และกระบวนการตัดสินใจของรัฐบาลได้ ดังนั้นเราจึงพบว่าโครงการด้านการพัฒนาต่างๆ จึงกลายเป็นศูนย์กลางของความสัมพันธ์ระหว่างไทยและลาวความขัดแย้งเรื่องดิน แดนและปัญหาความมั่นคงที่ถึงขนาดเคยเป็นชนวนให้เกิดสงครามระหว่างสองชาติ ในช่วงปลายทศวรรษ 1980 เช่นกรณีสามหมู่บ้านและบ้านร่มเกล้าในเขตจังหวัดพิษณุโลกต่อกับแขวงไซยะบุรี กลับกลายเป็นปัญหาแค่เรื่องทางเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งอาศัยระดับเจ้าหน้าที่ดำเนินการร่วมกันปักปันเขตแดนได้ แม้ว่าจะดำเนินไปด้วยความล่าช้าแต่ก็จะไม่กลายเป็นปัญหาอะไรใหญ่โตในความ สัมพันธ์ระหว่างสองประเทศอีก

ดังนั้น ลำพังรัฐเพียงอย่างเดียว จึงไม่ได้นั่งอยู่ในใจกลางของความสัมพันธ์ระหว่างไทยและลาวอีกต่อไป หากแต่รัฐทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยความสะดวกให้ผู้ที่เป็นผู้ครอบงำรัฐ คือภาคธุรกิจได้ดำเนินการสร้างความสัมพันธ์กับลาวทั้งในแง่การค้าและการลงทุนได้อย่างราบรื่น

กลุ่มพลังอื่นๆ (หากแม้นไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นตัวแทนชนชั้น) ไม่สู้จะมีบทบาทอะไรมากมายนักในความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ ตัวอย่างที่เคยยกเอาไว้ข้างต้นคือ กรณีของกลุ่มนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่ประสบความล้มเหลวในการคัดค้านการก่อสร้างเขื่อนน้ำเทิน2 ในลาว แน่นอนทีเดียว พวกเขามีโอกาสจะได้พูดในที่สาธารณะถึงเรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ปัญหาคือไม่มีผู้เกี่ยวข้องคนใดหยิบความคิดความเห็นขององค์กรพัฒนาเอกชนและนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมมาเป็นข้อพิจารณาที่สำคัญเลย

ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและลาวที่ขับดันด้วยพลังทางเศรษฐกิจเช่นนี้ไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่เท่าเทียม อาจจะกล่าวได้ว่า เป็นความสัมพันธ์ที่ไทยแสดงการครอบงำหรือแสดงการครองความเป็นใหญ่ ซึ่งลาวไม่อยู่ในฐานะที่จะขัดขืนหรือต่อต้านอะไรได้มากมายนัก ส่วนใหญ่แล้วมักจะโอนอ่อนผ่อนตามกันไป โดยลาวได้นำมิติทางวัฒนธรรมมาแสดงการต่อต้านไทย ในบางกรณีดูเหมือนเทคนิคนี้จะได้ผล เพราะอาจจะทำให้ไทยหยุดฟังบ้าง แต่ไม่ได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้างของความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศแต่อย่างใด

อ้างอิง

[1] ปรับปรุงจากรายงานการวิจัยของผู้เขียน เรื่อง “Laos: A Reserve for Thai Growth” เสนอในการสัมมนาเรื่อง”Thai stakeholders’ perception toward countries in the Greater Mekong Sub-region” จัดโดยสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 8 พฤศจิกายน 2007 ณ GM Hall, SASA International House จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

[2] Michael P. Sullivan, Theories of International Relations: Transition vs. Persistence (New York: Palgrave Macmillian, 2002), p. 172.

[3] Antonio Gramsci, Selection from Prison Notebooks, 11th Edition (New York: International Publisher, 1992).

[4] รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์, สังคมเศรษฐกิจไทยในทศวรรษ 2550: ยุทธศาสตร์การพัฒนาในกระแสโลกานุวัตร (กรุงเทพฯ: คบไฟ, 2538)

[5] รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์, อนิจลักษณะของการเมืองไทย: เศรษฐศาสตร์วิเคราะห์ว่าด้วยการเมือง (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ผู้จัดการ, 2536)

[6] Kasian Tejapira, “Toppling Thaksin,” New Left Review (May-June, 2006), pp. 5-37.

[7] Duncan McCargo and Ukrist Pathmanand, The Thaksinization of Thailand (Copenhegen: NIAS Press, 2005), p. 20.

[8] การอภิปรายในหัวข้อสัมมนาเรื่อง “พลวัตทุนไทยและแนวทางการปฏิรูปเศรษฐกิจการเมืองของไทย,” ฟ้าเดียวกัน, 4: 3 (กรกฎาคม-กันยายน, 2549), หน้า 86-87

[9] สุทธิดา มะลิแก้ว, “วิถีทางของลาวหลังไกสอน,” ใน Indochina Review (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ผู้จัดการ, 2537), หน้า 76

[10] รายงานของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เสนอต่อนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาเรื่องพลังงาน, มกราคม 2544 รายงานฉบับนี้เสนอให้รัฐบาลของทักษิณ ชินวัตร แสวงหาแหล่งพลังงานจากประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งการสร้างเขื่อนสาละวินในพม่า

[11] นิยม ไวยรัชพานิช พูดในการสัมมนาเรื่องคอนแทร็กฟาร์มมิ่งในกรอบ ACMECS ที่โรงแรมเจริญศรีแกรนด์ รอยัล จังหวัดอุดรธานี วันที่ 18 พฤษภาคม 2550

[12] เขียน ธีระวิทย์ และคณะ, ความสัมพันธ์ไทย-ลาว ในสายตาของคนลาว (กรุงเทพฯ : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) และ สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2544)

[13] Hiem Phommachanh, “Thai Policy and Attitudes towards Laos since 1975,” (Master of International Studies thesis: Department of Government and Public Administration, University of Sydney, 1991.) ອະດິດອະທີບໍດີປາກປ່າສັກ ລາວເກົ່າ ຈົບການສຶກສາມາຈາກ ການາດາ ຮັບໃຊ້ລະບອບ ວຈ ເນື່ອງຈາກມີໂຄດພໍ່ເປັນແກວຮັບໃຊ້ລາວແດງ ທີ່ ເຂດພູສີ ຊຳທອງລ່ອງແຈ້ງກ່ອນການປະຕີວັດ75 ຈື່ງເປັນຄົນດຽວທີ່ກ້າວຂື້ນສູ້ຕຳແຫ່ນງສູງສຸດ ຂອງ ປທ ຄຶ ກຳກະຊວງໄປສນີໂທຣະຄົມມະນາຄົມ ໃນຍຸກຣັຖບານຂອງ ແກວທອງສີງ
ນຍ ປໍ6 ຈາກຖ້ຳຊຳເຫນຶອ
ຄົນຕໍ່ໄປໃຫ້ລະວັງໄວ້ ບຸນເກິດສ້າງສົມສັກ ຈົບIRDA ຮູ້ນປິ 1973 ແລະ IIAP ຈາກ Paris1976 ໄອ້ເຫີ້ຍນີ້ກະໂຄດພໍ່ເຂົາເປັນຍວນຣັບໃຊ້ ຄມນ ແນວລາວ ທີ່ ປາກ ຊ່ອງ ເຄີຍເປັນ ທູດໄຫ່ຍ ປະຈຳ ບັງກອກ ໃນ ຕົ້ນທົສວັດ ທີ່ 80 ສຕວ ທີ່ ແລ້ວ ຈາກ ນັ້ນພັກ ລາກມາເປັນ ຣມຕຊ່ວຍກະຊວງຕ່າງ ປທ ເຊັ່ນດຽວກັບສະຫາຍຫ້ຽມ
ບຸນເກິດ ເນື່ອງຈາກຄົນໃນຮູ້ນເກົ່າ ປາກ ຝັຣ່ງອັງກິດໄດ້ ຈະໄປຮ່ວມປະຊູມນານາຊາດຢູ່ສເມີ ປິ 1991 ສມັຍ ຂເມນສາມຝ່າຍເຊັນສັນຍາກັນ ທີ່ ປາຣີສ ເຂົາ ກະໄດ້ ເຂົ້າຣ່ວມເປັນສັກຂີພີຍານໃນນາມຣັຖບານໂຈນ

[14] สัมภาษณ์ วันทอง โพนจันเฮือง อธิบดีกรมสื่อสารมวลชน กระทรวงข่าวสารและวัฒนธรรมลาว,
27 พฤษภาคม 2547

[15] สัมภาษณ์ สุวันนา พูยะวง อัครทูตที่ปรึกษา สถานทูตลาวประจำประเทศไทย, 14 พฤษภาคม 2549

[16] The Nation, February 14, 2007.
โพสต์ในกลุ่ม คอลัมนิสต์ออนไลน์

สปปล คงจะมีประเทศเดียวในโลกที่ ชาวบ้านอยากให้กษัตริย์ คมน ลาวแดง ข้าปอ3ตายไวๆเท้าที่จะไวได้
สปปล คงจะมีประเทศเดียวในโลกที่ ชาวบ้านอยากให้กษัตริย์ คมน ลาวแดง ข้าปอ3ตายไวๆเท้าที่จะไวได้
สปปล คงจะมีประเทศเดียวในโลกที่ ชาวบ้านอยากให้กษัตริย์ คมน ลาวแดง ข้าปอ3ตายไวๆเท้าที่จะไวได้
สปปล คงจะมีประเทศเดียวในโลกที่ ชาวบ้านอยากให้กษัตริย์ คมน ลาวแดง ข้าปอ3ตายไวๆเท้าที่จะไวได้
สปปล คงจะมีประเทศเดียวในโลกที่ ชาวบ้านอยากให้กษัตริย์ คมน ลาวแดง ข้าปอ3ตายไวๆเท้าที่จะไวได้
สปปล คงจะมีประเทศเดียวในโลกที่ ชาวบ้านอยากให้กษัตริย์ คมน ลาวแดง ข้าปอ3ตายไวๆเท้าที่จะไวได้
สปปล คงจะมีประเทศเดียวในโลกที่ ชาวบ้านอยากให้กษัตริย์ คมน ลาวแดง ข้าปอ3ตายไวๆเท้าที่จะไวได้
สปปล คงจะมีประเทศเดียวในโลกที่ ชาวบ้านอยากให้กษัตริย์ คมน ลาวแดง ข้าปอ3ตายไวๆเท้าที่จะไวได้
สปปล คงจะมีประเทศเดียวในโลกที่ ชาวบ้านอยากให้กษัตริย์ คมน ลาวแดง ข้าปอ3ตายไวๆเท้าที่จะไวได้
สปปล คงจะมีประเทศเดียวในโลกที่ ชาวบ้านอยากให้กษัตริย์ คมน ลาวแดง ข้าปอ3ตายไวๆเท้าที่จะไวได้
สปปล คงจะมีประเทศเดียวในโลกที่ ชาวบ้านอยากให้กษัตริย์ คมน ลาวแดง ข้าปอ3ตายไวๆเท้าที่จะไวได้
สปปล คงจะมีประเทศเดียวในโลกที่ ชาวบ้านอยากให้กษัตริย์ คมน ลาวแดง ข้าปอ3ตายไวๆเท้าที่จะไวได้
สปปล คงจะมีประเทศเดียวในโลกที่ ชาวบ้านอยากให้กษัตริย์ คมน ลาวแดง ข้าปอ3ตายไวๆเท้าที่จะไวได้
สปปล คงจะมีประเทศเดียวในโลกที่ ชาวบ้านอยากให้กษัตริย์ คมน ลาวแดง ข้าปอ3ตายไวๆเท้าที่จะไวได้
สปปล คงจะมีประเทศเดียวในโลกที่ ชาวบ้านอยากให้กษัตริย์ คมน ลาวแดง ข้าปอ3ตายไวๆเท้าที่จะไวได้
สปปล คงจะมีประเทศเดียวในโลกที่ ชาวบ้านอยากให้กษัตริย์ คมน ลาวแดง ข้าปอ3ตายไวๆเท้าที่จะไวได้
สปปล คงจะมีประเทศเดียวในโลกที่ ชาวบ้านอยากให้กษัตริย์ คมน ลาวแดง ข้าปอ3ตายไวๆเท้าที่จะไวได้
สปปล คงจะมีประเทศเดียวในโลกที่ ชาวบ้านอยากให้กษัตริย์ คมน ลาวแดง ข้าปอ3ตายไวๆเท้าที่จะไวได้
สปปล คงจะมีประเทศเดียวในโลกที่ ชาวบ้านอยากให้กษัตริย์ คมน ลาวแดง ข้าปอ3ตายไวๆเท้าที่จะไวได้
สปปล คงจะมีประเทศเดียวในโลกที่ ชาวบ้านอยากให้กษัตริย์ คมน ลาวแดง ข้าปอ3ตายไวๆเท้าที่จะไวได้
สปปล คงจะมีประเทศเดียวในโลกที่ ชาวบ้านอยากให้กษัตริย์ คมน ลาวแดง ข้าปอ3ตายไวๆเท้าที่จะไวได้
สปปล คงจะมีประเทศเดียวในโลกที่ ชาวบ้านอยากให้กษัตริย์ คมน ลาวแดง ข้าปอ3ตายไวๆเท้าที่จะไวได้
สปปล คงจะมีประเทศเดียวในโลกที่ ชาวบ้านอยากให้กษัตริย์ คมน ลาวแดง ข้าปอ3ตายไวๆเท้าที่จะไวได้
สปปล คงจะมีประเทศเดียวในโลกที่ ชาวบ้านอยากให้กษัตริย์ คมน ลาวแดง ข้าปอ3ตายไวๆเท้าที่จะไวได้
สปปล คงจะมีประเทศเดียวในโลกที่ ชาวบ้านอยากให้กษัตริย์ คมน ลาวแดง ข้าปอ3ตายไวๆเท้าที่จะไวได้
สปปล คงจะมีประเทศเดียวในโลกที่ ชาวบ้านอยากให้กษัตริย์ คมน ลาวแดง ข้าปอ3ตายไวๆเท้าที่จะไวได้
สปปล คงจะมีประเทศเดียวในโลกที่ ชาวบ้านอยากให้กษัตริย์ คมน ลาวแดง ข้าปอ3ตายไวๆเท้าที่จะไวได้
สปปล คงจะมีประเทศเดียวในโลกที่ ชาวบ้านอยากให้กษัตริย์ คมน ลาวแดง ข้าปอ3ตายไวๆเท้าที่จะไวได้
สปปล คงจะมีประเทศเดียวในโลกที่ ชาวบ้านอยากให้กษัตริย์ คมน ลาวแดง ข้าปอ3ตายไวๆเท้าที่จะไวได้
สปปล คงจะมีประเทศเดียวในโลกที่ ชาวบ้านอยากให้กษัตริย์ คมน ลาวแดง ข้าปอ3ตายไวๆเท้าที่จะไวได้

สถาบันกษัตริย์ Rajawomg communist Lao Deang คือบ่อเกิดแห่งความโง่เขลาเบาปัญญา สถาบันกษัตริย์ Hiahiaคือ ตัวยับยั้ง ความเจริญทางความคิดของมนุษย์ สถาบันกษัตริย์ Chao neo lao คือ ความโง่งมงายไร้เหตุผล สถาบันกษัตริย์  communist  kha from Attapeu Xamnua Siphandone  Saravane  Savannakhet  Oubol( Bounngang VORACHIT) คือ ลัทธิทางชนชั้น ที่ขี่คอ คนโง่ ให้โง่ ต่อไปจนวันตาย

 

 

 อันตรายต่อขบวนการserichonlaoอาจจะเกิดขึ้นได้ถ้าเราไม่ใส่ใจในการขยายมวลชน พวกเราต้องช่วยกันขยายมวลชนให้กว้างขวางออกไป นโยบายอะไรที่ช่วยขยายมวลชน เราต้องทำ ความหมายก็คือว่านโยบายนั้นๆให้ผลดีทางการเมือง การเมืองเป็นสิ่งที่สำคัญมากในสถานะการปัจจุบันนี้

 

Voice of Lao Political Prisoners







Subject: Official moratorium on the death penalty – an opportunity for Laos


AMNESTY INTERNATIONAL
Public Statement




AI Index number: ASA 26/001/2008

3082008



Official moratorium on the death penalty – an opportunity for Laos



Amnesty International and the International Federation for Human Rights (FIDH) urge the Lao government to introduce an official moratorium on executions.




As of 2007, both Amnesty International and FIDH were pleased to publicly categorize the Lao People’s Democratic Republic (Laos) as

abolitionist in practice. In a recent letter to the Minister of Foreign Affairs the organizations welcomed the absence of executions in Laos

since 1989, but pressed the government to go a step further by formalising the current de facto moratorium.




Amnesty International and FIDH also called on the Lao government to take a lead in supporting this trend across Southeast Asia, by

promoting a moratorium as a step towards abolition, which in turn is part and parcel of promoting human rights and reforming criminal

justice policy.




In December 2007 the Lao government abstained in the vote on UN General Assembly (UNGA) resolution 62/149 “Moratorium on the use

of the death penalty” which was adopted by an overwhelming majority of states. Unfortunately, a month later it went on to support a

statement circulated as a Note verbale on 11 January 2008 to the General Assembly, in which 58 countries, including Laos, disassociate

themselves with the resolution.




Momentum towards abolition is gathering across the world. As of June 2008, 92 countries had abolished the death penalty for all crimes;

11 other countries have abolished the death penalty for ordinary crimes and retain the death penalty only for exceptional crimes such as

crimes under military law or crimes committed in wartime. In Asia and the Pacific, 27 of 41 countries are now abolitionist in law or practice.

The adoption of the UNGA resolution was an important milestone underlining this trend,as only 24 countries carried out executions in

2007. FIDH and Amnesty International call on the Lao government to support this momentum and consider practical steps towards

abolishing the death penalty.

FIDH and Amnesty International oppose the death penalty in all cases and without exception, believing it to be a violation of the right to l

ife and the ultimate cruel, inhuman and degrading punishment. The death penalty legitimizes an irreversible act of violence by the state.

There is no clear evidence that the death penalty deters crime any more effectively than other forms of punishment, it denies the

possibility of reconciliation or rehabilitation and has been inflicted on the innocent. FIDH and Amnesty International support a global


moratorium on executions as a step towards the abolition of the death penalty.





END/

Public Document

ຂ້າຈູມມາລີ
ຂອມຊຳເຫນືອ ທອງສີງ
ຂເມນຫ້ນາແຫລ້ຄຳໄຕ
ແກວຫັວຂອດ ໄຊສົມພອນ ສັນຍາລັກ ສັນຕິພາບ

ເຫັນບໍຄວາມເກັ່ງກ້າຂອງລາວຕ່າງແດນ(ນັກຫລີ້ນແທນນີສຍີງຈາກ ອັງກິດ ອານາ ແກ້ວທະວົງ ນັກຫລີ້ນແບດມີນຕັນໂອລິມປິກ ທິມ ອມຣກາ ບອບ ມາໄລທອງ ນັດເຕະບານມືອາຊີບ ທີ່ອົສຕຣາເລີຍ ກາສ ພອນສັກ ແລະ ດາຣາສາວຄົນສວຍ ນາທະທີນາກາ ທັມມະປຣີດານົນ ທີ່ ປທທ ) ທີ່ ຍົກຄວາມເປັນລາວຂື້ນສູ່ເວທີໂລກ
ຊື້ງມັນຕ່າງກັບພວກສຸ ແກ່ ອານາຈັກໂຈນສຸ ເຂົ້າສູ່ ສະໂມສອນແຫ່ງຄວາມເປັນອານາຖາ club des pauvres club of the poorsຂໍທານແດກຫ່າແບບບໍ່ມີວັນຊີ້ນສຸດ ອູ້ມແກວຂື້ນມາຄອງຄອງລາວແບບເປັນແຂວງນື່ງຂອງເຂົາ
60ປິກ່ອນພາກັນແລ່ນອອກປ່າໂຮງຮ່ຳໂຮງຮຽນກະບໍ່ຍອມຮຽນ ຈັບປຶນໄລ່ຝັຣ່ງອອກ ປທ
ເອກກະຣາຊເຂົາມອບໃຫ້ແລ້ວ ເສືອກໄປອູ້ມເອົານາຍທືນຫ້ນາໂລຫິດເຈັກແກວ ມາສັມປະທານເຂດເສຖກິດພິເສດ ຕັ້ງ10ພັນ ກລມ ມົນທົນ ແລະ ສັປະທານປູກຢາງພາຣາ4ແສນເຮັກຕາຣ ອັນຊີ້ບອກວ່າ ເອກກະຣາຊທາງດ້ານພາສາ ຕະກູນເງີນກີບ ພາສີອາກອນ ຄວາມຫັ້ມນຄົງ ຕຸລາການ ແລະ ແຮງງານ ເສັຍໄປຢ່າງໂຈ່ງແຈ້ງທີ່ສຸດເລີຍ

http://www.youtube.com/watch?v=J9eykqSXEqU&NR=1
Anne keothavong

http://www.youtube.com/watch?v=CUkf45-ux2g&feature=related
Bob malaythong

http://www.youtube.com/watch?v=vgkn15i_lQk&feature=related
kaz Phonesak

http://star.postjung.com/star-img.php?id=1376&page=1
Natharika Thamapredanun

http://star.postjung.com/1376
น้ำผึ้ง ณัฐริกา ธรรมปรีดานันท์

http://hot-woman00.blogspot.com/2008/07/natharika-thamapredanun.html?showComment=1312220440803#c3196035575841198762

http://asiapacific.anu.edu.au/newmandala/2011/08/03/crown-princes-family-update/

http://www.youtube.com/watch?v=siO2u9aRzns

ในวันเกิดขอให้พวกมึงจงฉิบหาย

ไอ้ คำตาย860ล้านดอน
ไอ้ จูมมาลี
ไอ้ บุนยังไอ้ ดวงไจ
ไอ้ คำอ้วนบุผา
ไอ้ ทองบัน
ไอ้ ทองสีง
ไอ้เหี้ย ไชสมพร สันยาลัก สันตีภาพ

ขอให้ชีวิตพวกมึงมีแต่ความวอดวาย
กรรมอันใดมึงสร้างไว้ต้องได้มา
ไอ้ขี้ข้าหมารับใช้แกว พยแผ่นดิน
ให้ชีวิตมึงสูญสิ้นตายตกลงนรกอเวจี
ตระกูล พรรค คมน ลาวแดง ทําร้ายคนลาวเสรี และ บ็เสรี ทั้งรู้ตัว ไม่รู้ตัว ทําลายประเทศลาวมาช้านาน ก่วา30ปี

โอกาศที่คนลาว จะได้รับประชาธิปไตย คงไม่มี ถ้ายังหายใจเข้าออกเป็น จูมมาลีทองสีงไชสมพร แบบนี้ ..พวกนี้ และพรรค ผดก แนวลาว ทําลาย ล า ว เ ส รี นี ย ม มานานทั้งทางตรงทางอ้อม เพื่อ ครอบครัว พรรคผีหุงผีห่าตนเอง และพวกพ้อง คนพรรค ที่ ออกจากถ้ำ ชำเหนือ ปี 75..ประชาชนคือเครื่องมือ อาวุธเท่านั้น..ประชาธิปไตยของพวกนี้ ยังเป็นของปลอมอยู่ดี
พวก ปอ 3 ปอ 4พวกข้าครองเมือง มันกล้า หลอก บัก ดร แม้ว ยังดาว ปรีนยาเอก จาก ปารีส บักหมา ไชชนะทานาดาบุด จบ จาก มหาลัยชั้นยอดของ ปทท
ลาวลีงทังหลาย
พวกควายลาวนอก ยากไปเป็นลูกเขยแกวแนวลาวทังหลาย
การยกยอ ผู้นำ ปธปท ข้า ปอ 3 จาก อัตปิอ นายก ปอ 4 ทองสีงขอมหัวขาวจากชำเหนืิอ แบบ เลอเลิศ ..ไม่ใช่สิ่งที่ดี คนยิ่งหมั่นใส้ ..พวกนี้รวยมาจาก ระบบเจ้าขุนมูลนายพรรค ส้อโกง เช็นขายแผ่นดีนพ่อ แผ่นดีนแม่ให้เจ็ก ที่ บ่อแตน และ บ้านต้นเผี้ง แขวงบ่อแก้ว ต่างหาก ไชสมพร พลตรีสันยาลัก และ สันตีภาพ พมวีหี คือลูกคนรวยพรรค ลูกบักไกสร หัวห้นาโจร และ อี่ทองหวีน อี่ 10เปีเช็น ที่ไปเรียนนอกมา เพื่อนั่งตําแหน่ง รอง ปธสภา นายพลป่าก้วย ดงป่าลาน และ อทีบอดีภาษี เท่านั้น ไม่ใช่เทวดา ..ถ้าจะยกย่อง น่าจะเป็นตระกูล สีพันดร ขอโทษ 860ล้านดอน ที่กอบโกย ในนามกษัตริย์ คมน แห่ง ราชอาณาจักร ลาวแดง จนรํ้่ารวยมหาศาล ย้อนเช็นมอบบ็แตนให้เจ็กตั้งคาชีโน

เจ้า คมน ข้าแนวลาวจากถ้ำชำเหนิอ ผู้หน้าสงสารมีครบทุกอย่าง ชาวบ้านไม่มีแดกห่ากิน ไม่ได้เรียน ไม่มีเงีนชี้โตะเจ็บไปโรงหมอไม่ได้ไม่มีตาง หมาสี้แม่มันสร้าง14เขื่อน แต่ ปชช ทัง ปท 60 เปีเช็นอยังแหงนคอเบี่งหลักไฟฟ้า ขายไฟฟ้ามาแล้ว36ปี รายได้หายหมดเลย งปมารไม่เต็ม เป็นหนี้ นายครูนายหมอเป็นปีๆและพวกนี้ ไม่มีปัญญามาฟ้องร้องได้
แค่บอก ว่า ก่อน 1975 ยามสงครามจรีงๆ รัฐบาลฝ่าย วจ มีตางจ่ายให้ข้าราชการ ก่อนวันที่30 ทุกๆเดือน กลองหลอนมันเอาอากาจี้ไป สบหาวแล้ว
แบบนี้ ตามบ้านนอกห่างไก จาก หอ คำ ที่ เวียงจันทน์ ชาวบ้านได้แต่ส่งลูกสาวอายุ12 สีบสามปี ไปขายมูนแม่กีนที่ ปทท ถีง ไม่มีหยีงชายลาวทำนาเลีย พวกนี้สองสามปีกับบ้านไม่แต่หอบเงีนบาทกับบ้าน นะ โรกแอดส็ กะตีดตามมาด้วย
ครอบครัวไหม ไม่มีหยีงสาว กะส่งลูกชายไปขายแรงงานให้นายทุนสยามมันสุดขูดฮีดข่มเห็ง ท้อนตางได้มื่นบาท กับ ปท ตำรวจพรรค ปล้นจี้เอาหมดตามชายแดน เพราะมันอ้างว่า ออกเข้า ปท ไม่มีหนังสือเดีนทาง

บาปกรรมของพ่อแม้กุจรีงๆ

กูได้งีนน้ำตาตก ไม่คีดว่า พวกหมาครองเมือง มันมีความรู้สิกอย่างไรนี้


ตราบใดที่ ยังพากันไปกราบหมาโจรข้า บูชา พวก คมน ลาวแดงแดงเช่นนี้ คนลาวก็ไม่มีประชาธิปไตยอยังไม่พอ อยังทุกจนขอทาน ลำบากแบบไม่มีวีนชี้นสุด เดร พี่น้อง

สาทุ ชี้นสุดลงได้แล้ว ยุคข้าปอ1 ครองเมืองนี้ คายห่าตายหุงกันได้แล้ว
สาทุ ชี้นสุดลงได้แล้ว ยุคข้าปอ1 ครองเมืองนี้ คายห่าตายหุงกันได้แล้ว
สาทุ ชี้นสุดลงได้แล้ว ยุคข้าปอ1 ครองเมืองนี้ คายห่าตายหุงกันได้แล้ว
สาทุ ชี้นสุดลงได้แล้ว ยุคข้าปอ1 ครองเมืองนี้ คายห่าตายหุงกันได้แล้ว

ພວກໂງ່ພາກັນນັ່ງບູຊາ ສັຕຣູທຳລາຍຊາຕໂຕເອງ





Laos pledges to help Vietnam seek fallen soldiers’ remains
(VOV) - The Lao people will never forget the volunteer Vietnamese soldiers and experts, who laid down their lives for the prosperity of Laos, a Lao army general has said recently.
Lao Deputy Minister of Defence Chansamone Chanuyalath also affirmed his country is determined to provide the best assistance for searching for and repatriating the remains of these Vietnamese volunteers.





In the dry seasons of 2010 and 2011, the Lao government helped its Vietnamese counterpart to seek 482 sets of remains of killed Vietnamese soldiers, of which 49 sets have been fully identified.
Lao people and localities have provided more than 1,500 pieces of information to the Lao government’s special commission on this work. Based on this, Laos has planned to help Vietnamese groups to repatriate another 500 sets of remains in the dry seasons of 2011 and 2012.




Over the past 17 years, the Lao government’s special commission has helped search groups from Vietnam’s Thua Thien Hue province to take home over 600 sets of remains and Nghe An province nearly 6,000 sets of remains.

คำตาย+คำอ้วนการเมือง เรืองอำนาจ วางบาตรใหญ่
*ปากจัญไร ใจบาป อาบความชั่ว
*วันนี้กรรม ของมึง มาถึงตัว
*หนีมุดหัว ลงรู ตู่จะตาม


*โทษมหันต์ มันอุ้ม พร่าชีวิต
*จะตามติด ตามสอย คอยทวงถาม
*ปัญชีเลือด มึงก่อ รอเปิดความ
*ให้คนทราม รู้รส กฏแห่งกรรม


*ยามมึงมี อำนาจ วางมาตรใหญ่
*มึงเหลือใคร ป้องปก ยามตกตํ่า
*พวกเห็บเหา สอพลอ หัวร่อคำ
*หนีหายลับ กลับลำ โบกอำลา


*มึงมุดอยู่ รูไหน หนีไม่พ้น
*รับของขวัญ ทัณฑ์บน มึงคนฆ่-า
*เทพรอวัน ร้องรํ่า บีบนํ้านํ้าตา
*จะรู้ว่า นรกนี้ มันมีจริง...(เป็นสุขๆ ในรูนะบักคำตายและไอ้เหี้ยคำอ้วน บุผา ที่ ปี 1975 พวก มริง ฆ่าลาวเสรีก่วา2แสนคน เอาอากาไล่ยีงเข้าออกนอก ปท ก่วา4แสน เพื่อ ปล้นบ้านเฮือนเขาตามแบบสันดารโจรมริงจรีงๆแล้วส่งผวเขาไปตายทังเป็น ที่ สบห่าว เชโปน อัตปิ เป็นแสน เพื่อ จะ....... หมาสี้แม่มริง กรูขอด่าให้สาสมไจกรูแด่ 36 ปี
ผ่านไป กรูอยังแค้นอยู่นะ )

ນາຍຍົກຍີງເດ ແມ່ນລາວມາຈາກໄສ

ມາຈາກລ້ານນາເມຶອງຊຽງໂຫ່ມບໍ??



04/08/11

ສ.ບ.ດ ພີ່ນ້ອງເພື່ອນຮ່ວມຊາຕ

ປັຈຈຸບັນນີ້ ຊາວລາວທຸກຄົນຍ່ອມຮັບຊາບກັນວ່າ ປະເທດລາວຂອງພວກເຮົາ ຖືກຍຶດຄອງຈາກ ວຽຕນາມຄອມມູນິສໄປແລ້ວ. ໃນລັກສນະທີ່ເອີ້ນວ່າຖືກຍຶດຄອງ ເພາະວ່າ ຄອມມູນິສໄດ້ໃຊ້ເຫ່ລກົລໃນການກໍ່ ສ້າງ ແລະ ອູ້ມຊູຄົນລາວທີ່ໂງ່ຈ້າ ຈໍານວນນ້ອຍກຸ້ມໜຶ່ງ ເຂົ້າຍຶດອໍານາດການປົກຄອງ ໃນລາວ ໃນນາມເປັນຫຸຸ່ນການເມືອງ ຂອງພວກວຽຕນາມໂດຍກົງ ແລະພັກລັດລາວ ແດງປັຈຈຸບັນນີ້ເປັນພຽງຫຸ່ນຂອງວຽຕນາມ ປະຕິບັດຕາມແຜນຜະເດັຈການກັມະຊີພ ເພື່ອກືນກີນຊາຕລາວໄປເທື່ອລະນ້ອຍ. ວຽຕນາມໄດ້ໃຊ້ມາຣຍາກົລ ໃຫ້ຄົນລາວເກີດມີຄວາມຂັດແຍ່ງກັນ ເພື່ອຈະເປັນການ ງ່າຍຕໍ່ການທີ່ຈະເຂົຄອບຄອງລາວ ໃນເງື່ອນໄຂທີ່ວຽຕນາມໄດ້ສ້າງຂື້ນ ຫວັງບຽດຍຶດ ເອົາລາວມີດັ່ງນີ້:

໑. ຂັ້ນເບື່ອງຕົ້ນ ເຂົາເຣີ່ມດັບສູນບັນດານັກຫົວຊາຕນິຍົມ ຄື ທ່ານບົວສອນ ທີ່ມີຫົວ ຄຶດເປັນເອກຣາຊ, ແລະປັນຍາຊົນຜູ້ທີ່ມີຫົວກ້າວໜ້າ ໃຫ້ໝົດໄປຈາກທາງເດີນຂອງ ພວກເຂົາ ດ້ວຍວິທີການຕ່າງໆ.

໒. ສ້າງເງື່ອນໄຂຈໍາແນກ ແລະໃຫ້ມີການແກ້ແຄ້ນເກີດຂື້ນໃນທົ່ວປະເທດ ເພື່ອໃຫ້ ຄົນລາວຕົກຢູ່ໃນສະພາບຂັດແຍ່ງກັນ ເຖິງຂັ້ນຣະດັບສູງຈົນກາຍເປັນການຂັດແຍ່ງ ແບບຖາວອຣຕລອດໄປ.

໓. ປຸກປັ່ນສ້າງເຣື່ອງໃຫ້ບັນດາຄົນລາວມີຄວາມຣະແວງສົງໃສກັນເອງ ເພື່ອບີບບັງ ຄັບໃຫ້ລາວໄດ້ແຕກກະຈັດກະຈາຍກັນ.

໔. ສືບຕໍ່ນໍາລ້າງຜານ ບັນດາຊາວລາວທີ່ຢູ່ຕ່າງປະເທດ ບໍ່ໃຫ້ມີໂອກາດຈັບກຸ່ມກັນ ໄດ້ ໂດຍໃຊ້ຄົນລາວຜູ່ຫົວອ່ອນ ຮູ້ເທົ້າບໍ່ເຖິງການ ຫລືນັກການເມືອງທີ່ສວນໂອກາດ ໃຫ້ສ້າງຄວາມແຕກແຍກພາຍໃນຊຸມຊົນລາວ ຫວັງໃຫ້ຄົນລາວເບື່ອໜ່າຍກັນເອງ ເພື່ອຂາດຄວາມຮັບຜິດຊອບຊາຕາກັມ ຂອງຊາຕບ້ານເມືອງໃນອະນາຄົຕ.

໕. ດຽວນີ້ ທໍາຣາຍ ແລະບຽຕຍຶດເອົາຊັພໃນດິນສິນໃນນາໍ້ ທີ່ເປັນຊັພຍາກອຣຂອງ ຊາຕ ຂົນໜີອອກໄປ ເພື່ອເປັນວັຕຖຸພລັງສ້າງເສຖກິຈ ໃຫ້ກຸ່ມພວກເຂົາ, ແຕ່ລາວ ຕ້ອງທຸກຍາກໃນອະນາຄົຕ ຈໍາເປັນຕ້ອງອາໄສເຂົາຕໍ່ໄປ.

໖. ສ້າງຄວາມຫຍຸ້ງຍາກ ແລະຈໍາແນກບັນດາຊົນຊາຕ ຣະຫວ່າງລາວເທິງລາວລຸ່ມ ໃຫ້ເຂົ້າໃຈຜິດກັນ ເປັນຜົລດີໃຫ້ວຽຕນາມເຂົ້າກໍາ ແຕ່ລະກຸ່ມໄດ້ງ່າຍຂື້ນ ຫລັງຈາກ ເຂົາເຫັນຄວາມອ່ອນແອແລ້ວ.

໗. ບີບບັງຄັບ ແລະສ້າງຕັ້ງລັທທິວຽຕນາມຂື້ນຕາມຊຸມຊົນຊາວລາວພາຍໃນປະເທດ ເພື່ອຮັບເອົາການເປັນທາດຮັບໃຊ້ ໃນຖານະເມືອງຂື້ນແບບໃໝ່ ຢ່າງທີເຈົ້າບໍ່ຮູ້ສຶກໂຕ ຫລັງຈາກນັ້ນກໍແຊກຊືມ ເຜີຍແຜ່ປຸກລະດົມທິສທາງ * ລາວວຽຕອ້າຍນ້ອງ * ຕໍ່ຈາກນັ້ນ ໂຮງຮຽນພາສາວຽຕ ກໍຈະເກີດຂື້ນປານດອເຫັດຍາມຝົນໃນທົ່ວປະເທດ ລາວ, ຄວາມສັມພັນທາງເພສເຣີ່ມເບ່ງບານ ລູກສອງສັນຊາຕ " ເຄິ່ງລາວເຄິງແກວ ຈະຂຍາຍຕົວ ໂຄງການຍຶດຄອງຖາວອຣ ຫລຽວເຫັນຊອງທາງໃກ້ເຂົ້າມາໃນບໍ່ຊ້າ ນີ້ລະພີ່ນ້ອງລາວ. ແຜນການທັງໝົດນີ້ ໄດ້ອໍານວຍຄວາມສດວກ ໃຫ້ແກ່ວຽຕນາມຢ່າງເພິ່ງພໍໃໍຈ ຍ້ອນຄົນລາວເຮົາເອງ ຍັງເປັນຄົນຫລົງໄຫລໃນຍົສຖາບັນດາສັກ ແລະບໍ່ຮູ້ແຈ້ງເຖິງ ເຫ່ລກົລນີ້ແລ້ວ. ເວລານັ້ນ ຄົນລາວທັງມວລກໍຈະກາຍເປັນຄົນສິ້ນຊາຕໄປ.....

ຮັກແພງ

ປາງສົງຄາມໂລກຄັ້ງທີ່2 ຮິດເລີ ໄດ້ຂ້າຊາວຍີວ ໃນ ເອິຣົບ
ກ່ວາ 6ລ້ານຄົນທ ໃນ ຄົນຕາຍທັງຫົມດເກືອບ60ລ້ານ
ປິ 1948 ມີການຕັ້ງ ເມືອງເພື່ອເພື່ອຕ້ອນຮັບຊາວຍີວຈາກທັ່ວໂລກ ຂື້ນ ເປັນ ປທ ອິສຣະແອນ
ອາຣັບ ບໍ່ພໍໄຈ ເຮັດເສີກປັບ ກະຖືກ ປທ ອາຣາບບຸກລຸກປຶບ
ແຕ່ບໍ່ສາມາດທັບມ້າງກຳລັງຍີວລົງໄດ້
ເຊັ່ນດຽວກັບສົ່ງຄາມ ໃນເວລາຕໍ່ມາ ຈະເປັນ 1967 1973 ຈຳນວນພົນພຽງ4ຫາ5ລ້ານຄົນ ເຮັດຈັ່ງໃດ ຈື່ງຕ້ານຄົນເປັນຮ້ອຍໆລ້ານໄດ້

ໃຫ້ອ່ານ ບົດຄວາມຂ້າງຫູ່ລມນີ້ ທີ່ ບອກວ່າ ຍີວກັບເຈັກ ກະອັນດຽວກັນອ້ອຍຕ້ອຍ ຊື້ງເລື້ອງນີ້ ຣາຊການທີ່ 6 ໄດ້ ຂຽນບົດຄວາມເລື້ອງນື່ງໃນ ປິ 1917 ກ່ຽວກັບຄວາມຄ້າຍຄຽງກັນລະຫ່ວາງ ເຈັກກັບຍີວ

ເລື້ອງ .....The jews in Orient ຫລຶ ຍີວແຫ່ງພູຣະພາ ........



เมื่อมุสลิมมองมุสลิม

วันที่ 03 สิงหาคม พ.ศ. 2554 เวลา 14:43:44 น.

Share87


โลกหมุนเร็ว
เพ็ญศรี เผ่าเหลืองทอง


คุณ ว่าไหม บนโลกใบนี้น่ะมีคนที่ตำหนิตัวเองอยู่น้อยเต็มที มันเป็นธรรมชาติของคนที่มักชอบติคนอื่นเสียมากกว่า ทีนี้พอมีคนลุกขึ้นมาติตัวเองซะที ก็เลยกลายเป็นเรื่องน่าฟังไป

คน ที่ลุกขึ้นมาติตัวเองอย่างแข็งขันคนนี้เป็นคนปากีสถาน มีดีกรีเป็นดอกเตอร์และมีตำแหน่งการงานเป็นผู้อำนวยการของศูนย์วิจัยด้าน ความมั่นคงของปากีสถาน ถือเป็นหน่วยงาน Think Tank ของประเทศนี้ซึ่งตั้งขึ้นเมื่อปี 2550 และยังเป็นคอลัมนิสต์ชื่อดังอีกด้วย เขาชื่อ ดร.ฟารุก ซาลีม

เขาเริ่มด้วยการตั้งคำถามว่า ทำไม "ยิว" จึงเป็นชนชาติที่มีอิทธิพลนัก

ใน เมื่อทั้งโลกใบนี้น่ะมี "ยิว" ทั้งหมดแค่ 14 ล้านคน 7 ล้านอยู่ในอเมริกา 4 ล้านอยู่ในเอเชีย อีก 2 ล้านอยู่ในยุโรป ส่วนที่เหลืออีก 100,000 คนอยู่ในแอฟริกา

โลกนี้มีคนยิว 1 คน ต่อคนมุสลิม 100 คน แต่เหตุไฉนคนยิวจึงมีอิทธิพลต่อโลกกว่าคนมุสลิมมากมายนัก

แม้ แต่พระเยซูก็เป็นคนยิว คนยิวอีกคนที่เป็นอัจฉริยะผู้ยิ่งใหญ่ของโลกคือ อัลเบิร์ต ไอนส์ไตน์ ส่วนที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กันคือ ซิกมันด์ ฟรอยด์ บิดาแห่งนักนักจิตวิทยาผู้ค้นคิดเรื่อง ตัวกู ของกู ส่วนด้านนักคิดเพื่อสังคมนั้นเล่า ก็เช่น คาร์ล มาร์กซ์, พอล แซมมวลสัน และ มิลตัน ฟรีดแมน เป็นต้น

ทางด้านวงการแพทย์ผู้มีคุณูปการอันใหญ่หลวงสำหรับมนุษยโลกก็มีบุคคลเหล่านี้คือ

เบน จามิน รูบิน เป็นผู้ค้นคิดเข็มฉีดยา โจนาส ซอล์ก คิดวัคซีนโปลิโอเป็นคนแรก เกอทรูด เอลเลียน คิดค้นยารักษาลูคีเมีย บารุค บลูมเบิร์ก พัฒนาวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี พอล เออร์ลิก ค้นคิดวิธีรักษาโรคซิฟิลิส เบอร์นาร์ด คัตซ์ ได้รับรางวัลโนเบลจากผลงานการเปลี่ยนกล้ามเนื้อหัวใจ และบุคคลสำคัญทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์ทั้งหลายอีกมากมายก็ล้วนเป็นคนยิว

ใน ช่วง 105 ปีที่ผ่านมา จากคนยิว 14 ล้านคน มีถึง 15 โหล หรือ 180 คนที่ได้รับรางวัลโนเบล ในขณะที่มุสลิมในโลกมี 1.4 พันล้านคน แต่มีเพียง 3 คนเท่านั้นที่ได้รับรางวัลโนเบล

ทำไมล่ะ คนยิวจึงทรงอิทธิพลนัก


ไม่ เฉพาะการแพทย์เท่านั้น ทางด้านวิทยาศาสตร์ คนยิวชื่อ สแตนลี่ เมเซอร์ ค้นพบชิพคอมพิวเตอร์เป็นคนแรก ลีโอ ซิลลาร์ด พัฒนากระบวนการปฏิกิริยานิวเคลียร์เป็นคนแรก ปีเตอร์ ชุลต์ ค้นพบไฟเบอร์ออฟติก ชาร์ลส์ แอดเลอร์ ค้นพบไฟจราจร ยังไม่เท่านั้นคนแรกที่ค้นพบสแตนเลสสตีล คือ เบนโน สเตราส์ อิซาดอร์ คิสเซ ค้นพบภาพยนตร์ที่มีเสียง ชาร์ลส์ กินสเบิร์ก พบเครื่องอัดวิดีโอเทป

แล้ว ในโลกการเงินล่ะ พ่อมดธุรกิจเจ้าของแบรนด์ดังทั้งหลายล้วนเป็นคนยิว ไม่ว่าจะเป็น ราล์ฟ ลอเรน เจ้าของแบรนด์โปโล เฮาวาร์ด ชูลตส์ เจ้าของสตาร์บัคก็เป็นยิว เซอร์เก บริน เจ้าของกูเกิลอีกล่ะ ต้องเป็นยิวอยู่แล้ว ไมเคิล เดลล์ เจ้าของเดล ก็ยิวอีกหละ เจ้าของออราเคิลก็เป็นยิว

ส่วนสาวเศรษฐินีในโลกแฟชั่น ดอนน่า คาราน ก็เป็นคนยิว เจ้าของแบรนด์อาหาร อย่าง บาสกิ้น รอบบิ้นส์ และ ดังกิ้น โดนัทส์ก็ไม่ใช่ชาติไหน แต่คือยิว

รายชื่อยังมีอีกยาวเหยียด พวกรัฐบุรุษทั้งหลายอย่าง เฮนรี่ คิสซิงเจอร์ อลัน กรีนสแปน โจเซฟ ลิเบอร์แมน และ มาเดอลีน อัลไบรต์ ก็ล้วนแต่เป็นยิว

ในโลกของสื่อ คนดังๆ อย่าง บาร์บารา วอลเตอร์ส แห่งเอบีซีนิวส์ ยูยีน แมเยอร์ และแคทารีน แกรม แห่งวอชิงตันโพสต์ รวมทั้งบรรณาธิการของ เดอะ นิวยอร์ก ไทมส์ ก็เป็นคนยิว

แล้วคุณคิดว่าพ่อมดการเงินและนักบริจาคการกุศล อย่าง จอร์จ โซรอส ใช่ยิวไหม ดูหน้าแล้วจะเป็นอื่นไปไม่ได้แน่ เขาบริจาคแล้วถึง 4 พันล้านดอลลาร์ให้กับการทดลองทางวิทยาศาสตร์และมหาวิทยาลัยต่างๆ ในโลก

และ หากมองไปที่วงการกีฬาและบันเทิง ชื่อของคนแถวหน้าที่เรารู้จักก็ไม่พ้นยิว มาร์ก สปิตซ์ ที่เคยทำสถิติเหรียญทอง 7 เหรียญ และ บอริส เบกเกอร์ นั่นไง หรือบนจอเงิน คนที่คุณชื่นชมบูชา อย่าง แฮริสัน ฟอร์ด ชาร์ลส์ บรอนสัน แซนดรา บูลล็อก วูดดี้ แอลเลน และ พอล นิวแมน ดัสติน ฮอฟฟ์แมน ไมเคิล ดักลาส เบน คิงส์ลีย์ โกลดี้ ฮอว์น และ แครี่ แกรนต์ คือยิว

ยังไม่นับตัวละครไชล็อกที่ร่ำรวยในเวนิส วานิช นะเนี่ย

สตีเว่น สปีลเบิร์ก นั้นยิ่งใหญ่มากในฐานะผู้สร้างภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด เมล บรู๊ก และ โอลิเวอร์ สโตน ก็เช่นกัน

ทำไมโลกนี้จึงมีแต่คนเก่งที่เป็นยิว


คําตอบก็คือการศึกษานั่นเอง

แล้ว หันมาดูคนมุสลิม ซึ่งมีอยู่ประมาณ 1,476,233,470 คนในโลกนี้ โดยที่ประมาณพันล้านคนอยู่ในเอเชีย 400 ล้านอยู่ในแอฟริกา และ 44 ล้านคนอยู่ในยุโรป และ 6 ล้านคนอยู่ในอเมริกา เป็นอันว่าในประชากรโลกห้าคนจะเป็นมุสลิมเสียหนึ่ง และมีคนฮินดูหนึ่งคนต่อทุกๆ มุสลิม 2 คน ชาวพุทธหนึ่งคนจะประกบด้วยมุสลิม 2 คน

แล้วทำไมคนมุสลิมจึงไร้พลัง เมื่อมองลึกลงไปจะพบว่าโลกมุสลิมมีองค์กรที่เรียกว่า Organisation of Islamic Conference (OIC) ซึ่งมีสมาชิก 57 ประเทศ ทั้งหมดนี้ มีมหาวิทยาลัยรองรับแค่ 500 แห่ง เอาจำนวนประชากรมุสลิมหารดู จะพบว่ามีหนึ่งมหาวิทยาลัยต่อประชากรมุสลิม 3 ล้านคน

ต้องเหนื่อยอีกนานกว่าคนมุสลิมจะมีความรู้ทั่วถึง

ในขณะที่สหรัฐมีมหาวิทยาลัย 5,758 แห่ง และอินเดียมี 8,407 แห่ง

เมื่อ ปี 2547 มหาวิทยาลัยเฉียวตงที่เซี่ยงไฮ้ได้ทำการจัดอันดับมหาวิทยาลัยทั่วโลกชั้นนำ 500 แห่ง ไม่มีมหาวิทยาวิทยาลัยในประเทศมุสลิมติดอันดับเลย

ตัวเลข ของ UNDP ระบุว่าอัตราการอ่านออกเขียนได้ในโลกคริสเตียนอยู่ที่ร้อยละ 90 และมี 15 ประเทศที่ประชากรเป็นคริสเตียน อ่านออกเขียนได้ร้อยละร้อย

ในขณะที่ประเทศมุสลิมนั้นตรงกันข้าม อัตราอ่านออกเขียนได้มีแค่ร้อยละ 40

ประเทศมุสลิมมีนักวิทยาศาสตร์ 230 คนต่อประชากรหนึ่งล้านคน ในขณะที่สหรัฐมี 4,000 และญี่ปุ่นมี 5,000

แล้วการวิจัยล่ะ โลกมุสลิมลงทุนเพียงร้อยละ 0.2 ของจีดีพีในการวิจัยพัฒนา ส่วนโลกคริสเตียนลงทุนร้อยละ 5 ของจีดีพี

ดังนั้น ก็พูดได้ว่าโลกมุสลิมนั้นขาดความสามารถในการสร้างองค์ความรู้


ไม่ ต้องดูอื่นไกล ดูที่จำนวนหนังสือพิมพ์รายวันต่อประชากร 1,000 คนกับจำนวนหนังสือที่พิมพ์ออกมาก็รู้ ว่ามีการกระจายความรู้สู่ประชากรทั่วถึงเพียงไร

ในปากีสถาน มีหนังสือพิมพ์ 23 หัว ต่อประชากร 1,000 คน ส่วนในสิงคโปร์ต่อประชากร 360 คน

ในอังกฤษต่อประชากร 1 ล้านคน จะมีหนังสือ 2,000 เล่ม ส่วนในอียิปต์มีหนังสือแค่ 20 เล่ม

นั่นแปลว่าอัตราการกระจายความรู้ของคนมุสลิมนั้นต่ำอย่างมาก

ที นี้ มาถึงการผลิตและส่งออกสินค้าเทคโนโลยี ซึ่งเป็นตัวชี้วัดการนำองค์ความรู้มาใช้ ปากีสถานนั้นส่งออกสินค้าเทคโนโลยีแค่ร้อยละ 1 ของสินค้าส่งออก ซาอุดีอาระเบียยิ่งแล้วใหญ่ ส่งออกแค่ ร้อยละ 0.3 ส่วนเพื่อนมุสลิมอื่นๆ อย่างคูเวต โมร็อกโก และแอลจีเรียก็พอกัน ส่งออกสินค้าเทคโนโลยีได้เพียงร้อยละ 0.3 เมื่อเทียบกับสิงคโปร์ที่ส่งออกได้ร้อยละ 58

นี่แสดงว่าอะไร แสดงว่าโลกมุสลิมนำองค์ความรู้มาใช้ไม่เป็น

ทั้งไม่สามารถสร้างความรู้ กระจายความรู้ และนำความรู้มาใช้ ทำให้โลกมุสลิมไร้พลัง

ดร.ฟา รุก ซาลีม สรุปว่าคนมุสลิมน่าจะตั้งหน้าตั้งตาศึกษาหาความรู้ สร้างองค์ความรู้ และหัดนำความรู้มาใช้ แทนที่จะเอาแต่ตะโกนเรียกพระอัลเลาะห์อยู่ทั้งวันทั้งคืน

หรืออีกนัยหนึ่งคือใช้เวลากับเรื่องศาสนาน้อยลงบ้างก็ได้ และเพิ่มเวลาให้กับการศึกษานั่นเอง

ข้อสรุปอันนี้น่าจะเป็นแนวทางให้โลกมุสลิมพัฒนาขึ้นมาได้ แทนที่ประเทศยากจนทรัพยากรจะปล่อยให้ชีวิตเป็นไปตามลิขิตเบื้องบน

ส่วน ประเทศมุสลิมที่ร่ำรวยด้วยทรัพยากรจะมัวแต่สรรค์สร้างความฟุ่มเฟือยต่างๆ นานา เพราะทรัพยากรนั้นอีกไม่นานก็จะหมดไป ในขณะที่ความรู้มีแต่จะทำให้เพิ่มพูน

Nouvelle composition du gouvernement laotien

Président de la République, M. Choummaly SAYASONE
Vice-président de la République, M. Bounnhang VORACHITH
Premier ministre, M. Thongsing THAMMAVONG
Vice-Premier ministre, M. Asang LAOLY
Vice-Premier ministre, Ministre des Affaires étrangères, M. Thongloun SISOULITH
Vice-Premier ministre, Ministre de la Défense Lt-Général Douangchay PHICHITH
Vice-Premier ministre permanant, M. Somsavat LENSAVAD

Trois conseils équivalents

1 Le cabinet gouvernemental
2 La Banque de la Républque démocratique Populaire du Laos
3 Le Comité d'Inspection de l’Etat et chef de l'Agence anti-corruption

Les 18 ministères

1 Ministre de l’Education et des Sports
2 Ministre de la Sécurité publique,
3 Ministre du Travail et des Affaires sociales,
4 Ministre de la Justice,
5 Ministre de l’Energie et des Mines,
6 Ministre de l’Agriculture et des Forêts,
7 Ministre du Plan et de l’Investissement,
8 Ministre des Finances,
9 Ministre de l’Information, de la Culture et du Tourisme
10 Ministre de la Santé,
11 Ministre des Affaires Intérieures
12 Ministre de l’Industrie et du Commerce,
13 Ministre des Travaux publiques et des Transports,
14 Ministre des Sciences et de la Technologie,
15 Ministre des Ressources naturelles et de l’Environnement,
16 Ministre des Postes, des Télécommunications et de la Communication,
17 Ministre de la Défense Lt-Général
18 Ministre des Affaires étrangères,

Le gouvernement

Président du Comité d'Inspection de l’Etat et chef de l'Agence anti-corruption, M. Bounthong CHITMANY

Ministres

1 Ministre de l’Education et des Sports Dr Phankham VIPHAVANH
2 Ministre de la Sécurité publique, M. Thongbanh SENG-APHONE
3 Ministre du Travail et des Affaires sociales, Mme Onechanh THAMMAVONG
4 Ministre de la Justice, M. Chaleun YIAPAOHEU
5 Ministre de l’Energie et des Mines, M. Soulivong DARAVONG
6 Ministre de l’Agriculture et des Forêts, M. Vilayvanh PHOMKHE
7 Ministre du Plan et de l’Investissement, M. Somdy DUANGDY,
8 Ministre des Finances, M. Phouphet KHAMPHOUVONG
9 Ministre de l’Information, de la Culture et du Tourisme M. Bosèngkham VONGDARA,
10Ministre de la Santé, Dr Eksavang VONGVICHITH
11 Ministre des Affaires Intérieures M. Khampanh PHILAVONG,
12 Ministre de l’Industrie et du Commerce, Dr. Nam VIGNAKET
13Ministre des Travaux publiques et des Transports, M. Sommad PHOLSENA
14 Ministre des Sciences et de la Technologie, M. Boviengkham VONGDARA,
15 Ministre des Ressources naturelles et de l’Environnement, M. Noulinh SINBANDITH
16 Ministre des Postes, des Télécommunications et de la Communication, M. Hième PHOMMACHANH
17 Ministre de la Défense Lt-Général Douangchay PHICHITH
18Ministre des Affaires étrangères, M. Thongloun SISOULITH

Ministres auprès du cabinet gouvernemental

1 Ministre auprès du cabinet gouvernemental le Dr Bountième PHITSAMAY,
2 Ministre auprès du cabinet gouvernemental, Mme Bounphéng OUNPHOSAY
3 Ministre auprès du cabinet gouvernemental, M. Bounheuang DUANGPHACHANH,
4 Ministre auprès du cabinet gouvernemental, M. Sinlavong KHOUTPHAYTHOUN E .
5 Ministre auprès du cabinet gouvernemental, le Dr Duangsavat SOUPHANOUVONG,
6 Ministre auprès du cabinet gouvernemental, Mme Khemphèng PHOLSENA
-Gouverneur de la Banque de la RDP du Laos, M. Somphao PHAYSITH
- Président de la Cour Populaire Suprême M. Khamphanh SITHIDAMPHA,
- Procureur Général, M. Khamsan Souvong.

ຂໍຕອບ
ລົດໄຟສາຍດ່ວນ ເປແກງ ຫາ ສີງກະໂປ ແມ່ນໂຄງການລວງໂລກ ຂອງຈິນເທົ້ານັ້ນ ເພື່ອຂູ່ອຳນາດແກວຫັວຂອດໃນປທ ເຮົາ ໃຫ້ມັນມຸດມອດລົງໄດ້
ແຕ່ບໍ່ເປັນຈັງບູນ ບົວສອນ ນຍ ຄົນທີ່ 5 ທູບໂຕະໄສ່ຣມຕແກວສອງຄົນ ກະຖືກໂຈມອອກຈາກຫ້ນາທີ່ແລ້ວ ອູ້ມແກວທອງສີງຂື້ນມາແທນ.........
ເສັ້ນທາງດັ່ງກ່າວ
ບໍ່ສາມາດສ້າງຂຶ້ນໄດ້ເດັດຂາດໃນ 10ຊາວປິ ຂ້າງຫ້ນານິ້
1 ເປັນໂຄງການ ລະວ່າງຊາດ 5 ປທ ແຕ່ເຈັບທີ່ສຸດແມ່ນ ປທທ ທີ່ຈະຕ້ອງສ້າງທາງ ເກີອບ ສອງພັນ ກິໂລ
ໄທຍຈະເອົາເງີນມາແຕ່ໄສສ້າງໃດ້ ຄ່າສ້າງສູງກ່ວາລົດໄຟທັມມະດາເຖີໝ2ເທົ້າ ທາງລົດໄຟໄທ ດຽວນີ້ ສ້າງແຕ່ຍຸກພະເຈົ້າສາມຫຳ ຣ 5ພູ້ນ ບໍ່ທັນມາຕຖານໂລກເທື່ອ ຍ້ອນງົບບໍ່ມີ
2 ທາງລົດໄຟສາຍດ່ວນ ຫລາຍພັນກິໂລ ແຕ່ ເປແກງ ຫາ ບໍ່ແຕນ(ຊາຍແດນລາວພາກເຫນືອ) ສປຈ ເອງຍັງບໍ່ຄີດຈະສ້າງ ເພາະຕົນທຶນໃນການສ້າງສູງເກິນໄປ
ລົດໄຟສາຍດ່ວນ(300ກິໂລຕໍ່ຊັ່ວໂມງຂື້ນໄ)ເປແກງ ຊຽງໄຮ1343 ກລມ ຫາກໍ່ເປິດ ໃນເດຶອນ7 ຜ່ານມານີ້ເອງ

ຫລືໃຜມີຄວາມຄິດຕ່າງເຮົາ

ສະຫາຍໄຊຊນະທານາດາບຸດ ຖືກ ຝາດລົງເວທີ ບໍ່ຍອມມາໂປໂລກະບານ ທີ່ ພັນໂທກ ກະຍ້ອນເລື້ອງນີ້ລະ

ສົ່ງຂ່າວຫາຄວາຍໂຈນດ້ວຍ ໄປລີ້ຢູ່ໄສລະ

ພັກ ທີ່ ວຈ ຫົມດຄວາມເຊື່ອຫັ້ມນຂອງສະຫາຍແລ້ວ

ຫາລະໄປຊອກ ທີ່ ຝັງ ໃນ ສູ່ ສານPère la Chaîseເມືອງປາຣິສ ໄດ້ແລ້ວ

ຕາຍເມື່ອໃດ ບອກແດ່ ຫລານ ເຊຈຳພອນຊິໄປກິນເຂົ້າປຽກໄກ່





ສະບາຍດີທຸກທ່ານ

ຂພຈ ໄດ້ເຄີຍສອບຖາມກ່ຽວກັບການມາລົງທຶນຫລືການຊ່ວຍເຫລືອຂອງຈີນເມື່ອ 2
ປີກ່ອນມາກັບທາງ ລາວລຶ້ງ ແຕ່ບໍ່່ຄ່ອຍໄດ້ຮັບຄຳຕອບ ຫລາຍປານໃດ
ອາດເປັນຍ້ອນວ່າຫລາຍທ່ານຍັງບໍ່ຢາກສົນໃຈການເຂົ້າມາຂອງຈີນ
ເພາະເຫັນວ່າພວກເຂົາໄດ້ນຳເອາເສດຖະກິດອັນດີມາສູ່ ຕະຫລາດບ້ານເຮົາ

ແຕ່ມື້ນີ້ ຂພຈ ດີໃຈທີ່ເຫັນການປະກອບຄວາມເຫັນກ່ຽວກັບ ການສ້າງທາງລົດໄຟ
ຫລາຍທ່ານເປັນຫ່ວງນຳເລື່ອງການສູນເສຍອະທຶປະໄຕ ທາງເສດຖະກຶດ
ແລະຄວາມເປັນເຈົ້າຂອງດຶນດອນຕ່ອນຫຍ້າ ປະເທດເຮົາ ຂພຈ ເຫັນດີທີ່ສຸດ
ໂດຍສະເພາະແມ່ນຄຳເຫັນຂອງທ່ານອະນຸສອນ ທີ່ແຈກອອກເປັນ 9 ຄຳຖາມຍ່ອຍ ແລະ ຂພຈ
ກໍເຫັນນຳທ່ານອະນຸສອນ ແນ່ນອນວ່າ ຈີນໄດ້ມອງເຫັນຜົນປະໂຫຍດຂອງຕົນເອງກ່ອນ
ຜູ້ອື່ນລວມຮອດປະເທດລາວ ອັນນີ້ນັກຮຽນມັດທະຍົມບ້ານເຮົາກໍສາມາດຮັບຮູ້ໄດ້ ແຕ່
ເປັນຫຍັງຜູ້ໃຫຍ່ບ້ານເຮົາບໍ່ຢາກຮັບຮູ້ ແລະ
ບໍ່ຢາກເຮັດຫຍັງເລີຍບໍເພື່ອປົກປ້ອງຫລືຍາດແຍ່ງຜົນປະໂຫຍດທີ່ປະຊາຊົນລາວຄວນໄດ້ຮັບ
ເຊັ່ນ: ການວ່າຈ້າງແຮງງານ
ຄວນເປັນແຮງງານທ້ອງຖຶ່ນເພາະມັນຈະເປັນຄືການຝຶກອົບຮົມວິຊາຊີບແລະທັກສະໄປໃນຕົວ
ເຊິ່ງຈະສາມາດຊ່ວຍແບ່ງເບົາພາລະຄ່າໃຊ້ຈ່າຍ
ໃນການສຶກສາອາຊີວະສຶກສາໃຫ້ກັບທາງລັດແລະພໍ່ແມ່ປະຊາຊົນ
ການວ່າຈ້າງແຮງງານທ້ອງຖິ່ນກໍຄືການສົ່ງເສີມເສດຖະກຶດທ້ອງຖິ່ນ
ເຮັດໃຫ້ມີການຫມູນວຽນລາຍຮັບແລະລາຍຈ່າຍພາຍໃນຂົ່ງເຂດນັ້ນເອງ

ການອ້າງເອົາເອງວ່າແຮງງານລາວເຮັດວຽກຊັກຊ້າແລະບໍ່ມີທັກສະຫລືຄວາມສາມາດພຽງພໍແມ່ນເປັນສາກບັງຫນ້າ
ແລະເປັນຂໍ້ອ້າງລ້າໆ ເພາະການສ້າງທາງລົດໄຟ
ກໍຄ້າຍກັບການສ້າງຖະຫນົນຫົນທາງທີ່ຕ້ອງໃຊ້ແຮງງານຂົນດິນຫິນແຮ່
ທາງລົດໄຟອາດຕ້ອງມີຜູ້ຊ່ຽວຊານ ແລະວິສະວະກອນດ້ານນີ້ໂດຍສະເພາະ
ແຕ່ທາງລາວເຮົາກໍມີວິສະວະກອນທາງໄຟຟ້າແລະດ້ານອື່ນທີ່ສາມາດເຮັດວຽກໄດ້ເຊັ່ນກັນ
ສະນັ້ນ ການຂໍນຳເຂົ້າແຮງງານຈີນແມ່ນມີຈຸດປະສົງອື່ນ
ເດັກນ້ອຍປໍຫ້າກໍສາມາດມອງເຫັນເກມແບບນີ້ອອກ
ທາງຜູ້ໃຫຍ່ເຮົາເດ່ເບິ່ງອອກວ່າແນວໃດ?

ສ່ວນບັນຫາທີ່ດິນ, ຊັບພະຍາກອນທຳມະຊາດ, ບໍ່ແຮ່,
ການຍົກຍ້າຍປະຊາຊົນທີ່ໄດ້ຮັບຜົນກະທົບ ແລະອື່ນໆທາງທຸລະກິດ
ທີ່ທຸກທ່ານໄດ້ຍົກມາ ຂພຈ ເຫັນດີ
ແລະຢາກສະເຫນີໃຫ້ທຸກທ່ານຊ່ວຍກັນປະກອບສ່ວນວ່າຈະສາມາດຄິດຫາທາງອອກເພື່ອນຳສະເຫນີໃຫ້ທາງລັດຖະບານໄດ້ພິຈະລະນາ
ໄດ້ແນວໃດ?

ໃນສ່ວນຕົວ ຂພຈ
ຄິດວ່າຖ້າຫາກລັດຖະບານລາວເຮົາຢາກໃຫ້ຈີນເຂົ້າມາຊ່ວຍລົງທຶນແລະພັດທະນາລະບົບໂຄງລ່າງເຊັ່ນທາງລົດໄຟ
ທາງລັດຖະບານ ຄວນສຶກສາຄັກແນ່ວ່າປະຊາຊົນຈະໄດ້ຮັບຜົນປະໂຫຍດໃນໄລຍະຍາວແນວໃດ
ບໍ່ແມ່ນແຕ່ໄລຍະສັ້ນ 10-20 ປຶ ເພາະ ຂພຈ ຄິດວ່າ
ອາຍຸຂອງລົດໄຟຄົງຍາວນານກວ່ານັ້ນ ທີ່ຜ່ານມາ ຂພຈ
ຄິດວ່າທາງເຮົາບໍ່ເຄິຍໄດ້ເຮັດການສຶກສາດ້ວຍຕົນເອງເລີຍ
ມີແຕ່ຊ່ຽວຊານຕ່າງປະເທດ (ຈີນ) ມາຂຽນບົດລາຍງານໃຫ້
ການສຶກສາຄວາມເປັນໄປໄດ້ຂອງໂຄງການຕ້ອງເຮັດດ້ວຍຄວາມລະອຽດແລະຄຳນຶງເຖຶງປະຊາຊົນທ້ອງຖຶ່ນ
ເປັນຫລັກ ພວກເຮົາມີບົດຮຽນຈາກກໍລະນີເຂື່ອນນຳ້ເທິນ2 ແລ້ວ
ວຽກສຶກສາໂຄງການລົດໄຟຕ້ອງສາມາດເຮັດໄດ້ເຊັ່ນກັນ ຫາກລັດຖະບານມີວຽກງານຫລາຍ
ແລະເຮັດບໍ່ທັນກໍໃຫ້ອົງການຈັດຕັ້ງບໍ່ຫວັງຜົນຊ່ວຍກໍໄດ້ ຂພຈ
ເຊື່ອວ່າພວກເຂົາຍິນດີແລະຈະດີໃຈທີ່ສຸດຫາກລັດຖະບານມາຂໍໃຫ້ພວກເຂົາເຮັດ
ບົດຄົ້ນຄວ້າຜົນປະໂຫຍດຫລືອື່ນໆ

ແຕ່ຫາກວ່າໂຄງການໄດ້ເລີ່ມຕົ້ນໄປແລ້ວຫລືກຳລັງດຳເນີນການ
ທາງລັດຖະບານຫລືພາກສ່ວນກ່ຽວຂ້ອງກໍຍັງສາມາດເຮັດການສຶກສາຜົນກະທົບ
ເພື່ອຫາທາງອອກທີ່ດີກວ່າໃນການຫລຸດຜ່ອນຜົນເສຍຫລືຫາງສຽງອັນບໍ່ພໍໃຈຂອງປະຊາຊົນ
ເມື່ອລັດຖະບານເອົາໃຈໃສ່ແລະຄິດເຫັນ ປະຊາຊົນເປັນຫລັກ
ຜົນປະໂຫຍດກໍຈະເປັນຂອງປະເທດຊາດທັນທີ ແລະ
ນີ້ກໍຈະເຮັດໃຫ້ປະເທດອື່ນເຂົ້າມາຢາດແຍ່ງບໍ່ໄດ້ ແຕ່ສິ່ງທີ່ເປັນຫ່ວງຄື
ການຄິດເຫັນແຕ່ຜົນປະໂຫຍດສ່ວນຕົວຂອງບາງບຸກຄົນໃນລັດຖະບານເຮົາເທົ່ານັ້ນ

ນີ້ເປັນພຽງສ່ວນເລັກນ້ອຍທີ່ ຂພຈ ຢາກປະກອບສ່ວນ ເບິ່ງແລ້ວອາດອອກນອກຫົວຂໍ້
ແຕ່ ຂພຈ ກໍຫວັງຢ່າງຍິ່ງວ່າຈະມີການເລິ່ມຕົ້ນນຳສະເຫນີ
ຄວາມຄິດເຫັນຫລືທາງອອກໃຫ້ລັດຖະບານ
ເພາະວ່າພວກເຂົາກໍຕ້ອງການສຽງຈາກປະຊາຊົນຢ່າງພວກເຮົາແນ່ນອນ

ຂໍຂອບໃຈ

ອາລິຍາ




ສະບາຍດີທຸກທ່ານ

ຂພຈ ໄດ້ເຄີຍສອບຖາມກ່ຽວກັບການມາລົງທຶນຫລືການຊ່ວຍເຫລືອຂອງຈີນເມື່ອ 2
ປີກ່ອນມາກັບທາງ ລາວລຶ້ງ ແຕ່ບໍ່່ຄ່ອຍໄດ້ຮັບຄຳຕອບ ຫລາຍປານໃດ
ອາດເປັນຍ້ອນວ່າຫລາຍທ່ານຍັງບໍ່ຢາກສົນໃຈການເຂົ້າມາຂອງຈີນ
ເພາະເຫັນວ່າພວກເຂົາໄດ້ນຳເອາເສດຖະກິດອັນດີມາສູ່ ຕະຫລາດບ້ານເຮົາ

ແຕ່ມື້ນີ້ ຂພຈ ດີໃຈທີ່ເຫັນການປະກອບຄວາມເຫັນກ່ຽວກັບ ການສ້າງທາງລົດໄຟ
ຫລາຍທ່ານເປັນຫ່ວງນຳເລື່ອງການສູນເສຍອະທຶປະໄຕ ທາງເສດຖະກຶດ
ແລະຄວາມເປັນເຈົ້າຂອງດຶນດອນຕ່ອນຫຍ້າ ປະເທດເຮົາ ຂພຈ ເຫັນດີທີ່ສຸດ
ໂດຍສະເພາະແມ່ນຄຳເຫັນຂອງທ່ານອະນຸສອນ ທີ່ແຈກອອກເປັນ 9 ຄຳຖາມຍ່ອຍ ແລະ ຂພຈ
ກໍເຫັນນຳທ່ານອະນຸສອນ ແນ່ນອນວ່າ ຈີນໄດ້ມອງເຫັນຜົນປະໂຫຍດຂອງຕົນເອງກ່ອນ
ຜູ້ອື່ນລວມຮອດປະເທດລາວ ອັນນີ້ນັກຮຽນມັດທະຍົມບ້ານເຮົາກໍສາມາດຮັບຮູ້ໄດ້ ແຕ່
ເປັນຫຍັງຜູ້ໃຫຍ່ບ້ານເຮົາບໍ່ຢາກຮັບຮູ້ ແລະ
ບໍ່ຢາກເຮັດຫຍັງເລີຍບໍເພື່ອປົກປ້ອງຫລືຍາດແຍ່ງຜົນປະໂຫຍດທີ່ປະຊາຊົນລາວຄວນໄດ້ຮັບ
ເຊັ່ນ: ການວ່າຈ້າງແຮງງານ
ຄວນເປັນແຮງງານທ້ອງຖຶ່ນເພາະມັນຈະເປັນຄືການຝຶກອົບຮົມວິຊາຊີບແລະທັກສະໄປໃນຕົວ
ເຊິ່ງຈະສາມາດຊ່ວຍແບ່ງເບົາພາລະຄ່າໃຊ້ຈ່າຍ
ໃນການສຶກສາອາຊີວະສຶກສາໃຫ້ກັບທາງລັດແລະພໍ່ແມ່ປະຊາຊົນ
ການວ່າຈ້າງແຮງງານທ້ອງຖິ່ນກໍຄືການສົ່ງເສີມເສດຖະກຶດທ້ອງຖິ່ນ
ເຮັດໃຫ້ມີການຫມູນວຽນລາຍຮັບແລະລາຍຈ່າຍພາຍໃນຂົ່ງເຂດນັ້ນເອງ

ການອ້າງເອົາເອງວ່າແຮງງານລາວເຮັດວຽກຊັກຊ້າແລະບໍ່ມີທັກສະຫລືຄວາມສາມາດພຽງພໍແມ່ນເປັນສາກບັງຫນ້າ
ແລະເປັນຂໍ້ອ້າງລ້າໆ ເພາະການສ້າງທາງລົດໄຟ
ກໍຄ້າຍກັບການສ້າງຖະຫນົນຫົນທາງທີ່ຕ້ອງໃຊ້ແຮງງານຂົນດິນຫິນແຮ່
ທາງລົດໄຟອາດຕ້ອງມີຜູ້ຊ່ຽວຊານ ແລະວິສະວະກອນດ້ານນີ້ໂດຍສະເພາະ
ແຕ່ທາງລາວເຮົາກໍມີວິສະວະກອນທາງໄຟຟ້າແລະດ້ານອື່ນທີ່ສາມາດເຮັດວຽກໄດ້ເຊັ່ນກັນ
ສະນັ້ນ ການຂໍນຳເຂົ້າແຮງງານຈີນແມ່ນມີຈຸດປະສົງອື່ນ
ເດັກນ້ອຍປໍຫ້າກໍສາມາດມອງເຫັນເກມແບບນີ້ອອກ
ທາງຜູ້ໃຫຍ່ເຮົາເດ່ເບິ່ງອອກວ່າແນວໃດ?

ສ່ວນບັນຫາທີ່ດິນ, ຊັບພະຍາກອນທຳມະຊາດ, ບໍ່ແຮ່,
ການຍົກຍ້າຍປະຊາຊົນທີ່ໄດ້ຮັບຜົນກະທົບ ແລະອື່ນໆທາງທຸລະກິດ
ທີ່ທຸກທ່ານໄດ້ຍົກມາ ຂພຈ ເຫັນດີ
ແລະຢາກສະເຫນີໃຫ້ທຸກທ່ານຊ່ວຍກັນປະກອບສ່ວນວ່າຈະສາມາດຄິດຫາທາງອອກເພື່ອນຳສະເຫນີໃຫ້ທາງລັດຖະບານໄດ້ພິຈະລະນາ
ໄດ້ແນວໃດ?

ໃນສ່ວນຕົວ ຂພຈ
ຄິດວ່າຖ້າຫາກລັດຖະບານລາວເຮົາຢາກໃຫ້ຈີນເຂົ້າມາຊ່ວຍລົງທຶນແລະພັດທະນາລະບົບໂຄງລ່າງເຊັ່ນທາງລົດໄຟ
ທາງລັດຖະບານ ຄວນສຶກສາຄັກແນ່ວ່າປະຊາຊົນຈະໄດ້ຮັບຜົນປະໂຫຍດໃນໄລຍະຍາວແນວໃດ
ບໍ່ແມ່ນແຕ່ໄລຍະສັ້ນ 10-20 ປຶ ເພາະ ຂພຈ ຄິດວ່າ
ອາຍຸຂອງລົດໄຟຄົງຍາວນານກວ່ານັ້ນ ທີ່ຜ່ານມາ ຂພຈ
ຄິດວ່າທາງເຮົາບໍ່ເຄິຍໄດ້ເຮັດການສຶກສາດ້ວຍຕົນເອງເລີຍ
ມີແຕ່ຊ່ຽວຊານຕ່າງປະເທດ (ຈີນ) ມາຂຽນບົດລາຍງານໃຫ້
ການສຶກສາຄວາມເປັນໄປໄດ້ຂອງໂຄງການຕ້ອງເຮັດດ້ວຍຄວາມລະອຽດແລະຄຳນຶງເຖຶງປະຊາຊົນທ້ອງຖຶ່ນ
ເປັນຫລັກ ພວກເຮົາມີບົດຮຽນຈາກກໍລະນີເຂື່ອນນຳ້ເທິນ2 ແລ້ວ
ວຽກສຶກສາໂຄງການລົດໄຟຕ້ອງສາມາດເຮັດໄດ້ເຊັ່ນກັນ ຫາກລັດຖະບານມີວຽກງານຫລາຍ
ແລະເຮັດບໍ່ທັນກໍໃຫ້ອົງການຈັດຕັ້ງບໍ່ຫວັງຜົນຊ່ວຍກໍໄດ້ ຂພຈ
ເຊື່ອວ່າພວກເຂົາຍິນດີແລະຈະດີໃຈທີ່ສຸດຫາກລັດຖະບານມາຂໍໃຫ້ພວກເຂົາເຮັດ
ບົດຄົ້ນຄວ້າຜົນປະໂຫຍດຫລືອື່ນໆ

ແຕ່ຫາກວ່າໂຄງການໄດ້ເລີ່ມຕົ້ນໄປແລ້ວຫລືກຳລັງດຳເນີນການ
ທາງລັດຖະບານຫລືພາກສ່ວນກ່ຽວຂ້ອງກໍຍັງສາມາດເຮັດການສຶກສາຜົນກະທົບ
ເພື່ອຫາທາງອອກທີ່ດີກວ່າໃນການຫລຸດຜ່ອນຜົນເສຍຫລືຫາງສຽງອັນບໍ່ພໍໃຈຂອງປະຊາຊົນ
ເມື່ອລັດຖະບານເອົາໃຈໃສ່ແລະຄິດເຫັນ ປະຊາຊົນເປັນຫລັກ
ຜົນປະໂຫຍດກໍຈະເປັນຂອງປະເທດຊາດທັນທີ ແລະ
ນີ້ກໍຈະເຮັດໃຫ້ປະເທດອື່ນເຂົ້າມາຢາດແຍ່ງບໍ່ໄດ້ ແຕ່ສິ່ງທີ່ເປັນຫ່ວງຄື
ການຄິດເຫັນແຕ່ຜົນປະໂຫຍດສ່ວນຕົວຂອງບາງບຸກຄົນໃນລັດຖະບານເຮົາເທົ່ານັ້ນ

ນີ້ເປັນພຽງສ່ວນເລັກນ້ອຍທີ່ ຂພຈ ຢາກປະກອບສ່ວນ ເບິ່ງແລ້ວອາດອອກນອກຫົວຂໍ້
ແຕ່ ຂພຈ ກໍຫວັງຢ່າງຍິ່ງວ່າຈະມີການເລິ່ມຕົ້ນນຳສະເຫນີ
ຄວາມຄິດເຫັນຫລືທາງອອກໃຫ້ລັດຖະບານ
ເພາະວ່າພວກເຂົາກໍຕ້ອງການສຽງຈາກປະຊາຊົນຢ່າງພວກເຮົາແນ່ນອນ

ຂໍຂອບໃຈ

ອາລິຍາ




On Aug 2, 3:47 pm, "Vixay Phoummathep" wrote:

> From: laolandinfo@googlegroups.com [mailto:laolandinfo@googlegroups.com] On Behalf Of viseth
> Sent: Tuesday, 02 August, 2011 1:35 PM
> To: laolandinfo@googlegroups.com
> Subject: RE: [LaoLandInfo] ຈິງບໍ່? ທາງລົດໄຟຄວາມໄວສູງ ລາວ - ຈີນ ຂໍ ດິນລາວ 5 KM x 2 ຂ້າງຕະຫຼອດເສັ້ນທາງ
>
> ສະບາຍດີທຸກໆທ່ານ
>
> ທຸກຖ້ອຍ ທຸກຄຳທີ່ທຸກທ່ານເປັນຫ່ວງເປັນໃຍຕໍ່ຜືນແຜນດິນ, ຊັບພະຍາກອນທຳມະຊາດ ທີ່ບັນພະບຸລຸດພວກເຮົາໄດ້ປົກປັກຮັກສາມາໃຫ້ເຊືອຊາດລາວເຮົາໄດ້ນຳໃຊ້ ໂດຍຂື້ນຊື່ວ່າປະເທດລາວ ນັ້ນ ເປັນສິ່ງທີ່ພວກເຮົາຄົນລາວ ຄວນຈະຫວງແຫນຮັກສາໄວ ສືບຕໍ່ໄປ
>
> ຂ້າພະເຈົ້າດີໃຈທີ່ເຫັນທຸກໆທ່ານຮັກປະເທດຊາດ, ການທີ່ຈີນຂໍດິນສອງຟາກຂ້າງທາງລົດໄຟ ທີ່ມີຄວາມຍາວ 421,243 ກິໂລເມັດ, ມີການສ້າງສະຖານີ 21 ແຫ່ງ, ສ້າງຂົວ 165 ແຫ່ງ, ສ້າງອຸມົງ 69 ແຫ່ງ ມີຄວາມໄວ 200 ກິໂລແມັດຕໍ່ຊົວໂມງ ເປັນໂຄງການທີ່ໃຊ້ງົບປະມານສູງທີ່ສຸດ ນີ້ເປັນສິ່ງທີ່ຫລາຍໆຄົນເອີນກັນວ່າ ເປັນຍຸກແຫ່ງສົງຄາມເສດຖະກິດ ເປັນຍຸກແຫ່ງການປ່ຽນແປງຂອງເຜົ່າພັນ, ແນ່ນອນອານາຄົດ ຄົນລາວແທ້ື້ໆ ຈະສູນພັນ ຖ້າຍັງໃຫ້ປະເທດອື່ນເຂົ້າມາ ລົງທືນແບບບໍ່ໄດ້ມີການປະເມີນຜົນກະທົບກ່ອນ ແລະ ຜູ້ລົງທືນໄປແລ້ວກໍ່ບໍ່ມີການປະເມີນຄືນ ວ່າ ໂຄງການ, ຫລືບໍລິສັດມີຜົນປະໂຫຍດແນວໃດຕໍ່ປະເທດຊາດຕໍ່ປະຊາຊົນລາວ
>
> ດັ່ງທີ່ທຸກໆທ່ານເຫັນໄດ້ວ່າ ປະຈຸບັນມີຫລາຍໆປະເທດມາລົງທືນ ຈີນກໍ່ເປັນປະເທດໜຶ່ງທີ່ຈະເຂົ້າມາປະເທດເຮົາໃຫ້ຫລາຍທີສຸດ ເພື່ອຈະພັກດັນປະເທດອື່ນອອກໄປ ຈະເປັນຜູ້ກຳອຳນາດຄົນດຽວ ເຫັນໄດ້ ຄົນຈີນເຂົ້າມາຫລາຍ ໃນຊ່ວງປີ 2000 ມານີ້ ຢູໃສ, ມູມໃດຂອງປະເທດກໍເຫັນຈີນ ບົ່ງບອກວ່າຄົນລາວເຮົາເລີ້ມໜ້ອຍລົງ ແລະ ໜີເຂົ້າປ່າຕິກໆ ຍ້ອນຈີນເຂົ້າມາກວາດຊື້ເອົາດິນ, ເຮືອນ ຢູ່ແຄມທາງໄປໝົດ.. ທຸກໆທ່ານ ຈະເຫັນແຄມທາງ ຕົວເມືອງໃຫ່ຍ ຈະເຫັນຈີນມາຢູ່ຫລາຍ ເພາະ ລັດຖະບາຍຈີນມີນະໂຍບາຍໃຫ້ຄົນຈີນທີ່ໄປລົງທືນຢູ່ປະເທດອື່ນສາມາດຢືມເງີນບໍ່ມີດອກເບ້ຍ ແລະ ຄ່ອຍໃຊ້ແບບຍາວນານ
>
> ການທີ່ຈີນຂໍດິນທັງສອງຟາກຝັງທາງລົດໄຟ ເປັນສິ່ງທີ່ ປະເທດລາວຈະເສຍຫາຍທີ່ສຸດ ດັ່ງນັ້ນຂ້າພະເຈົ້າຫວັງວ່າ ພັກລັດເຮົາ ກ່ອນຈະຕັດສິນໃຈ ຄວນຈະມີທາງເລືອກອື່ນໆມາສົມທຽບ ແລະ ນຳເອົາຄຳເຫັນຫລາຍໆຟາຍ ມາພິຈາລະນາ ໂດຍການຄຳນຶງເຖິງຜົນປະໂຫຍດຂອງປະຊາຊົນ, ປະເທດຊາດ ເປັນຫລັກ
>
> ( ຜິດພາດປະການໃດຂໍອະໄພ )
>
> ວິເສດ
>
> From: laolandinfo@googlegroups.com [mailto:laolandinfo@googlegroups.com] On Behalf Of Mr. Amphone Souvannavong
> Sent: Tuesday, August 02, 2011 10:20 AM
> To: laolandinfo@googlegroups.com
> Subject: Re: [LaoLandInfo] ຈິງບໍ່? ທາງລົດໄຟຄວາມໄວສູງ ລາວ - ຈີນ ຂໍ ດິນລາວ 5 KM x 2 ຂ້າງຕະຫຼອດເສັ້ນທາງ
>
> ສະບາຍດີ
> ຂ້າພະເຈົ້າໄດ້ອ່ານຄຳຄິດຄຳເຫັນ ຂອງຫຼາຍໆທ່ານ ແລ້ວ ຮູ້ສຶກວ່າດີໃຈຫຼາຍທີ່ແຕ່ລະທ່ານ ມີຄວາມເປັນຫ່ວງເປັນໄຍນຳປະຊາຊົນລາວຜູ້ຕາດຳໆ, ການທີ່ຈີນຂໍສອງຟາກ ຂ້າງທາງລົດໄຟຄວາມ ໄວສູງກ້ຳລະ 5 Km ມັນກໍ່ບໍ່ຕ່າງຫຍັງກັບກໍລະນີ ກາຊິໂນ ບໍ່ເຕ່ນເດີ ຖ້າວ່າພັກລັດເຮົາບໍ່ມີການພິຈາ ລະນາຢ່າງຮອບຄອບ ແລະກໍ່ບໍ່ຕ່າງຫຍັງກັບການທີ່ລັດຖະບານ ເຮົາໃຫ້ຈີນເຂົ້າມາສຳປະທານດິນ ປູກຢາງພາຣາ ຢູ່ໃນບັນດາແຂວງພາກເໜືອຂອງລາວ ໃນກໍລະນີນີ້ຂ້າພະເຈົ້າເຫັນວ່າ ປະຊາຊົນລາວຢູ່ໃນແຕ່ລະທ້ອງຖິ່ນໃນເຂດສຳປະທານ ຄືບໍ່ໄດ້ຮັບ ຜົນປະໂຫຍດຫຍັງ ມີແຕ່ໄດ້ໄປເຮັດເລື່ອນລອຍຢູ່ໄກບ້ານກວ່າເກົ່າ ເພາະວ່າບ່ອນເຮັດກິນແຕ່ລະປີທີ່ຢູ່ໄກ້ບ້ານ ແມ່ນຖືກສຳປະທານໄປແລ້ວ, ຊ້ຳບໍ່ໜຳສັດລ້ຽງ ຂອງຊາວບ້ານໄປກັດກິນເບ້ຍ ຢາງ (ປະລະ) ພັດໄດ້ເສຍເງິນໃຫ້ຈີນອີກຕ່າງຫາກ, ຖ້າຈະໄປອອກ ແຮງງານຢູ່ສວນຢາງ ຈີນກໍ່ອ້າງວ່າເປັນແຮງງານທີ່ບໍ່ມີຝີມື ບໍ່ຈ້າງ ຄັນຈ້າງກໍ່ຈ້າງຖືກ ແລະມັນກໍ່ ເປັນຂໍ້ອ້າງທີ່ຈີນຈະນຳເອົາແຮງງານຈາກບ້ານເຂົາເຂົ້າມາ. ໃນຄວາມເຫັນສ່ວນຕົວຂອງ ຂ້າພະເຈົ້າແລ້ວ ຢາກຝາກໃຫ້ບັນດາທ່ານຜູ້ທີ່ມີອຳນາດໃນການຕັດສິນໃຈ ຈະເຮັດຫຍັງລົງໄປ ກໍ່ໃຫ້ຄິດເຫັນຜົນປະໂຫຍດຂອງຊາດ ແລະຂອງປະຊາຊົນເປັນຫຼັກແດ່ ບໍ່ແມ່ນຈະຄິດເຖິງແຕ່ ວ່າປາກຖົງເສື້ອ ບໍ່ເຄີຍປິ່ນລົງລຸ່ມ....
> ຂໍອະໄພຫຼາຍໆ ທີ່ເວົ້າກົງໄປກົງມາ
> ດ້ວຍຄວາມນັບຖື
> ອຳພອນ
>
> _____
>

> From: Vixay Phoummathep

> To: laolandinfo@googlegroups.com; laolink@googlegroups.com
> Sent: Tuesday, August 2, 2011 9:44 AM
> Subject: [LaoLandInfo] ຈິງບໍ່? ທາງລົດໄຟຄວາມໄວສູງ ລາວ - ຈີນ ຂໍ ດິນລາວ 5 KM x 2 ຂ້າງຕະຫຼອດເສັ້ນທາງ
>
> From: laolandinfo@googlegroups.com [mailto:laolandinfo@googlegroups.com] On Behalf Of Anousone Rabounthunh
> Sent: Monday, 01 August, 2011 4:46 PM
> To: laolandinfo@googlegroups.com
> Subject: Re: [LaoLandInfo] ຈິງບໍ່? ທາງລົດໄຟຄວາມໄວສູງ ລາວ - ຈີນ ຂໍ ດິນລາວ 5 KM x 2 ຂ້າງຕະຫຼອດເສັ້ນທາງ
>
> ສະ​ບາຍ​ດີ​ສະ​ມາ​ຊິກ​ທຸກ​ທ່ານ
>
> ຄິດ​ດີ​ໆ​ຄິດຄັກ​ໆ​ແລ້ວ​ຈຶ່ງ​ສ້າງ​, ເພາະ​ສ້າງ​ແລ້ວ​, ມັນ​ບໍ່​ແມ່ນ​ຂອງ​ຕົນ​, ຕົນ​ບໍ່​ໄດ້​ໃຊ້​, ແຕ່​ຕົນ​ຕ້ອງ​ໄດ້​ເສຍ​ຫຼາຍ​ຢ່າງ​ເພື່ອ​ມັນ​, ຢາກ​ໃຫ້​ຫຼາຍ​ທ່ານ​ຄິດ​ເບິ່ງ​ວ່າ​:
>

> 1. ເສັ້ນ​ທາງ​ລົດ​ໄຟ​ນີ້​, ແມ່ນ​ສ້າງ​ເພື່ອ​ໃຜ​: ຂ​ພ​ຈ​ຄິດ​ວ່າ​ ເພື່ອ​ຈີນ​, ເພາະ​ວ່າ​ສິນ​ຄ້າ​ນັ້ນ​ແມ່ນ​ຂອງ​ຈິນ​, ລົດ​ໄຟ​ກໍ່​ແມ່ນ​ຂອງ​ຈີນ​, ...
>
> read more »


--
* ບໍລິການໃຫ້ຄຳປຶກສາດ້ານກະສິກຳ ແລະ ປ່າໄມ້ຟີຣ. ໂທມາທີ່: (021) 732162 (call center)
* ລາວລິ້ງແມ່ນການບໍລິການຫນື່ງຂອງ CLICK: www.clicklaos.org
* ມີຄຳຖາມກ່ຽວກັບລາວລິ້ງເຊີນອ່ານທີ່: http://bit.ly/xxWHc

ສະບາຍດີ
> ຂ້າພະເຈົ້າໄດ້ອ່ານຄຳຄິດຄຳເຫັນ ຂອງຫຼາຍໆທ່ານ ແລ້ວ ຮູ້ສຶກວ່າດີໃຈຫຼາຍທີ່ແຕ່ລະທ່ານ ມີຄວາມເປັນຫ່ວງເປັນໄຍນຳປະຊາຊົນລາວຜູ້ຕາດຳໆ, ການທີ່ຈີນຂໍສອງຟາກ ຂ້າງທາງລົດໄຟຄວາມ ໄວສູງກ້ຳລະ 5 Km ມັນກໍ່ບໍ່ຕ່າງຫຍັງກັບກໍລະນີ ກາຊິໂນ ບໍ່ເຕ່ນເດີ ຖ້າວ່າພັກລັດເຮົາບໍ່ມີການພິຈາ ລະນາຢ່າງຮອບຄອບ ແລະກໍ່ບໍ່ຕ່າງຫຍັງກັບການທີ່ລັດຖະບານ ເຮົາໃຫ້ຈີນເຂົ້າມາສຳປະທານດິນ ປູກຢາງພາຣາ ຢູ່ໃນບັນດາແຂວງພາກເໜືອຂອງລາວ ໃນກໍລະນີນີ້ຂ້າພະເຈົ້າເຫັນວ່າ ປະຊາຊົນລາວຢູ່ໃນແຕ່ລະທ້ອງຖິ່ນໃນເຂດສຳປະທານ ຄືບໍ່ໄດ້ຮັບ ຜົນປະໂຫຍດຫຍັງ ມີແຕ່ໄດ້ໄປເຮັດເລື່ອນລອຍຢູ່ໄກບ້ານກວ່າເກົ່າ ເພາະວ່າບ່ອນເຮັດກິນແຕ່ລະປີທີ່ຢູ່ໄກ້ບ້ານ ແມ່ນຖືກສຳປະທານໄປແລ້ວ, ຊ້ຳບໍ່ໜຳສັດລ້ຽງ ຂອງຊາວບ້ານໄປກັດກິນເບ້ຍ ຢາງ (ປະລະ) ພັດໄດ້ເສຍເງິນໃຫ້ຈີນອີກຕ່າງຫາກ, ຖ້າຈະໄປອອກ ແຮງງານຢູ່ສວນຢາງ ຈີນກໍ່ອ້າງວ່າເປັນແຮງງານທີ່ບໍ່ມີຝີມື ບໍ່ຈ້າງ ຄັນຈ້າງກໍ່ຈ້າງຖືກ ແລະມັນກໍ່ ເປັນຂໍ້ອ້າງທີ່ຈີນຈະນຳເອົາແຮງງານຈາກບ້ານເຂົາເຂົ້າມາ. ໃນຄວາມເຫັນສ່ວນຕົວຂອງ ຂ້າພະເຈົ້າແລ້ວ ຢາກຝາກໃຫ້ບັນດາທ່ານຜູ້ທີ່ມີອຳນາດໃນການຕັດສິນໃຈ ຈະເຮັດຫຍັງລົງໄປ ກໍ່ໃຫ້ຄິດເຫັນຜົນປະໂຫຍດຂອງຊາດ ແລະຂອງປະຊາຊົນເປັນຫຼັກແດ່ ບໍ່ແມ່ນຈະຄິດເຖິງແຕ່ ວ່າປາກຖົງເສື້ອ ບໍ່ເຄີຍປິ່ນລົງລຸ່ມ....
> ຂໍອະໄພຫຼາຍໆ ທີ່ເວົ້າກົງໄປກົງມາ
> ດ້ວຍຄວາມນັບຖື
> ອຳພອນ

http://www.youtube.com/watch?v=VkqASGVNLk4

http://www.youtube.com/watch?v=cOQCLMlWbAM&feature=player_embedded

http://www.youtube.com/watch?v=e3H90VZ30bs
http://www.youtube.com/watch?v=IOsCYVSatYA
http://www.youtube.com/watch?v=odbKqEN7DgE
http://www.youtube.com/watch?v=s0zllFbFAsE
http://www.lannaworld.com/cgi/lannaboard/reply_topic.php?id=41009

http://board.dserver.org/L/LannaBoard/00000432.html

http://kingneversmiles.googlepages.com/
http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=thai-glory&date=19-04-2007&group=1&gblog=8

http://www.youtube.com/watch?v=lSuS2YT_TF4&feature=related

สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล

http://www.youtube.com/watch?v=3lg6Uqd0zvY&feature=related

ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ

*ฉลอง"ทองสีง ปอ5 " นั่งนายกรัฐมนตรี เพื่อพรรค ปตว ปชช แกว เลี้ยงโต๊ะแกว 40 โต๊ะ ...เพื่อนเราไปตั้งแต่วันที่4แล้วข่าวบอกว่ามากก่า36โต๊ะ นา

ທະຫານແກວ ເຂົ້າມາຕັດໄມ້ ລາວ ແຕ່ສັຕວັດທີ່ແລ້ວ

ຫາກໍ່ມາແກ້ຂ່າວໃນ ຍຸກນີ້ເອງ

ແປວ່າ ສປປລ ຍັງເຫລຶອ ໄມ້ ພຽງແຕ່ 30ເປິເຊັນ ທັງ ປທ ໄປແລ້ວ

ແກວຣັ່ງລາວທຸກ ຍ້ອນມາຂະໂມຍໄມ້ລາວຕາມສັນດານຂອງມັນສົ່ງປ້ອນໂຮງງານຜລິດໄມ້ສົ່ງນອກ

ຈົນກາຍເປັນນື່ງໃນໂລກ ທີ່ ຖືກ ນານນາຊາດຮັບຮູ້ວ່າ ສປແກວລ້ຳລວຍກັບການສົ່ງໄມ້ອອກນອກ ປທ


ເປັນຫຍັງ ຜູ້ນຳລີງ ຜູ້ນຳຄວາຍລາວບໍ່ໃຊ້ຄວາມສາມາດເອົາ ສັພຍາກອນຕົນເອງອອກມາສ້າງຄວາມຮັ່ງມີ ຄື ແກວລະ

ບັກ ໄຊສົມພອນ ທອງສີງ ພາກັນຜູກຄໍຕາຍໄດ້ແລ້ວ

Listen to this Audio clip about Mekong river and drug trafficking

http://www.bangkokpost.com/media/multimedia/mp3/mekongriverdrugs.mp3

ເປັນຫຍັງບໍ່ຕື່ມລູກຊາຍສາມຄົນຂອ=ສະຫາຍໄກ້ສອນເຂົ້າຕື່ມນຳແດ່

ໄຊສົມພອນ ນາຍພົນຕຣີ ສັນຍາລັກ ແລະ ອະທີບໍດິກົມພາສິ ສັນຕິພາບ

ຢາກເອົາລູກບັກແກວຫ້ນາແຫ້ລົບເວິ ຈາກເມືອງໂຂງເຂົ້າຕື່ມກະໄດ້ເດິ

ອີ່ວຽງທອໝ860ລ້ານດອນ ຈາກ ກະຊວງ ການຄັງ ຣມຕ ຊ່ວຍ

ແລະ

ບັກສອນໄຊ ເຈົ້າແຂງປາກເຊ

ແຕ່ ປີ 1962 ຮອດ 1975 ຣັຖບານຂອງສະດັດເຈົ້າສຸວັນນະພູມມາເປັນ ນຍ

ສະເດັດນອກຈາກບໍ່ສາມາດຕົບຕາຊາວບ້ານ ລາກ ຣາຊໂອຣົດຂອງພະອົງ ເຂົ້າສູ່ຕຳແຫ່ນງ ຣມຕ ແລ້ວກະຍັງບໍ່ເຫັນ ຕະກູນ ຊະນະນິກອນ ນະຈຳປາສັກເຂົາເຮັດເຫືມອນ
ຍຸກໂຈນຄອງເມືອງທີ່ເຂົາສ້າງຂື້ນແບບທ້າທາຍໂລກ ບໍ່ມີຄວາມຢ້ານກັວວ່າ ຊາວບ້ານຊິສາບແຊ່ງປ້ອຍດ່າເຂົາໄດ້ເລີຍ

ໄຊສົມພອນ ໄຕ່ເຂົ້າສູ່ອຳນາດ ຣອງ ປະທານສະພາ
ພົນຕຣິ ສັນຍາລັກ ອາຍຸ ບໍ່ຮອດ 35 ປິ ຜ່ານສະນາມລົບປ່າກ້ວຍຫລື ດົງປ່າລານບໍ ເຖີງແກວ ໂຄດມືງແກ່ ເຂົ້າສູ່ຕຳແຫ່ນງສູງສຸດ ທາງດ້ານ ທະຫານແບບນີ້
ແລະ ລູກອິກຄົນ ຂອງບັກໄກສອນ ຄື ສັນຕິພາບໄດ້ເປັນນາຍພາສີ ຮອດ ອະທີບໍດີໄດ້ຢ່າງໃດ??

ໃນວົງການຣັຖບານແກວທອງສີງ ອູ້ມ ລູກຊາຍເຈົ້າແດງຂື້ນຮອດ ເປັນ ຣມຕ ປະຈຳ ສຳນັກງານນາຍຍົກ
ສາວຄຳແພງ ແລະ ທ້າວ ສົມມາດ ໂພນເສນາ ລູກຊາຍ ບັກເຈັກຈາກ ປາກເຊ ກິນິມພົນເສນາ ເປັນ ເຖີງຂັ້ນ ຣມຕ ຄົນນື່ງປະຈຳ ນຍ ແລະ ອີກຄົນ ກຳກະຊວງ ໂຍທາແລະຂົນສົ່ງ
ລູກລ້ຽງສະຫາຍພູມີ ຄື ທ້າວ ເອກສຫວ່າງ ວົງວີຈິດ ພັກໂຈມກັນຂື້ນ ຮັບຜິດຊອບກະຊວງສາທາຣະນະສຸກ
ແລະ ດຣ ນາມ ວີຍະເກດ ລູກຊາຍ ທ້າວ ສຫມານ ວີຍະເກດ ກະຄູມກະຊວງ ການຄ້າແລະ ອຸສຫະກັມ ໄປເລີຍ


ນິ້ແມ່ນ ຣມຕ ນະ
ຍັງມີ ຣມຕ ຊ່ວຍອິກ ຢ່າງຫລວງຫລາຍ ຊື້ງເຮົາ ຍົກເອົາມາຈີ້ຫ້ນາໄດ້ກະມີແຕ່ ລູກສາວບັກຄຳໄຕ ທີ່ ຢູ່ ກະຊວງການຄັ້ງເທົ້ານັ້ນ

ກ່ອນປິ 75 ສະເດັດສຸວັນນາ ມີ ຣາຊໂອຣົດ ຣາຊທີດາ 4 ພະອົງ ເຈົ້າຍີງບໍ່ເວົ້າເລີຍເພາະຫ່າງເຫິນຈາກວົງການປົກຄອງໄປ
ສ່ວນຣາຊໂອຣົດ ສອງພະອົງ ຄື ເຈົ້າບັນຍາ ຈົບການສຶກສາ ຊັ້ນສູງເລື້ອງກົດຫມາຍການຄ້າ ຈາກຝັ້ຣງເສດ
ຕຳແຫ່ນງສູງສຸກດະຮອດແຕ່ ອະທີບໍ່ດິກົມນ້ຳປະປາ ແລະ ສາຍການບິນລາວ
ກິນແຕ່ເງີນເດືອນ 35 000 ກິບ(ກ່ອນ75) ແປດໆ ຍັງມາສອນສະຖາບັນກົດຫມາຍແລະການປົກຄອງ ເພື່ອມີລາຍໄດ້ຕື່ມ
ສ່ວນອິກຄົນ ເຈົ້າມັງຄະລະ ຈົບໂຮງຮຽນຊັ້ນສູງດ້ານທະຫານ ດັງທີ່ສຸດ ມີ ຊື່ສຽງທັ່ວໂລກ ຈາກຝັ່ຣງເສດ
ຕອນໂຈນ ມາ ວຽງຈັນ ກະໄດ້ ແຕ່ ພັນໂທ ເທົ້ານັ້ນ ເມື່ອນັ້ນອາຍຸພະອົງກະຜ່ານ40ໄປແລ້ວ

ຫັນມາເວົ້າຣາຊວົງຫລວງພະບາງ
ພະອົງມິຣາຊທີດາ ຣາຊບຸດ 5 ພະອົງ
ເຈົ້າຟ້າຊາຍ ອົງມົງກຸດຣາຊກູມມານ ວົງສຫ່າງ ບໍ່ເວົ້າເຖີງ ຫລັງຈາກຈົບ ກົດຫມາຍຈາກ ປາຣີສ ກະຢູ່ໃນ ວັງ ຫລວງພະບາງ
ເຈົ້າຟ້າຍີງສອງພະອົງ ບໍ່ມີຫ້ນາທີ່ ທາງເມືອງເລິຍ
ພະອົງນືງແຕ່ງງານກັບອະທີບໍ່ດີ ກົມການບິນ ແລະ ຜູ້ນື່ງກັບ ອະທີບໍດີກົມPharmacie ຢູ່ຄູມສິເມືອງ ທັງສອງ
ກະເຫມຶອນພະຣາຊໂອຣົດຂອງສະເດັດ ນາຍຍົກ ສຸວັນນາ ຊື່ສັດ ບໍ່ສໍ້ບໍ່ໂກງ ຮັບແຕ່ເງີນເດືອນ ອທບດ 35 000 ທຸກເດືອນໆ ເງີນເດືອນບໍ່ພໍກີນ ຊີລັກຊິປົ້ນ ຄື ໂຈນ ລາວແດງ ກະເຮັດ ບໍ່ໄດ້ ເພາະ ເປັນລູກເຂີຍພະເຈົ້າແຜ່ນດິນ
ທີ່ ເອົາເງີນapanage ມາຊ່ວຍຄ້ຳຈູນ ຫາເຮືອນຫລັງນື່ງເປັນຂອງຕົວເອງກະບໍ່ມີ
ນີ້ ໃຫ້ ບັກໄຊສົມພອນ ໄປສືບເບີ່ງເດີ ປີ 1975 ໂຄດຫມາສີ້ແມ່ມືງ ເຄີຍເຫັນວ່າ ຣາຊວົງລາວມີສີ່ງນິ້ບໍ
ເຮຶອນຫລວງ ໃນນາມ ອທບດ ກົມສາງຢາ ທີ່ ສີເມືອງນະ ມັນນ້ອຍມັນໄຫ່ຍສ່ຳໃດ ໃຫ້ ປຊຊ ລາວ ທີ່ ວຈ ດຽວນີ້ ໄປສືບເບີ່ງໄດ້ເລີຍ
ຖ້າປຽບທຽບກັບໂຈນ36ປີ ແລ້ວຕ່າງກັນປານຟ້າກັບດິນ ທຽບບໍ່ໄດ້ເລິຍ

ພຣະຣາຊໂອຣົດ ສອງພະອົງສຸດທ້າຍ ເຈົ້າຟ້າຊາຍ ໂສຣິຍະວົງ ດຽວນີ້ສະເດັດນຳພັກທີ່ ປາຣີສ
ປິ 1975 ມິ ວີນລາຫລັງນຶ່ງນ້ອຍ ໆ ທາງຫລັກສາມ ໄປທ່າເດື່ອ ໂຈນເຂົ້າມາປີ75 ຍັງບໍ່ທັນຢູ່ຊ້ຳ ພະອົງ ປົບໂຈນກ່ອນ

ແລ້ວຄົນແກວ ສາມັນຊົນທັມມະດານິ້ລະ ເຮັດ ວຽກ ຢູ່ ໂຮງຫມໍ ມະໂຫສົດ ມາ ຫລອກ ແນວລາວວ່າແມ່ນເຮືອນເຂົາ
ແກວມັນຫ້ນາດ້ານ ແລະ ມີຄວາມກ້າຫານກ່ວາຄົນລາວນະ
ແນວລາວກະເຊື່ອ ກະມອບໃຫ້ເປັນກັມມະສິດ ຮອດດຽວນີ້
ຕ່າງແຕ່ວ່າ ແກວຄອບຄັວນີ້ ມີລູກຊາຍຄົນນື່ງ ມາສຶກສາ ຂັ້ນປຣິນຍາເອກ ດ້ານແພດສາດ ທີ່ ເຍີຣະມັນ ຄມນ ກ່ອນ ປີ1989 ແລະ ໄດ້ພົບເຈົ້າຍີງລາວ ພະອົງນື່ງ(ຊົກເຊື່ອງທີ່ມາທີ່ໄປສຸດຂີດເຖີງອະດິດຈື່ງໄດ້ຖືກຄັດເລືອກສົ່ງມາຮຽນນອກ ປທ ເດິ)ເລີຍໄດ້ແຕ່ງງານກັນໃນເວລາຕໍ່ມາ
ແປວ່າ
ແກວຄອບຄັວນີ້ກະໂອ່ງອົກໂອ່ງໄຈໄປອີກຫົນນື່ງ ຄິດວ່າ ທາງການລາວອາດຈະບໍ່ມີສິດມາຍຶດບ້ານຂອງເຈົ້າຟ້າຊາຍໂສຣີວົງສວ່າງນີ້ໄດ້ຈາກເຂົາແລ້ວ

ສ່ວນພະຣາຊໂອຣົດພະອົງສຸດທ້າຍ ທີ່ ຊື້ນສວັນນະຄົດກັບພຣະອົງຣາຊບິດາ ທີ່ສົບຫ່າວ ກະຮຽນດ້ານກະສີກັມມາຝັຣ່ງແຕ່ ບໍ່ທັນຮັບໃຊ້ໃນຣາຊການ ເລິຍຖືກໂຈນລາວແດງຈາກຊຳເຫນືອ ຈັບໄປສັມປະທຸກຕາຍທັງເປັນກ່ອນ ໃນ ປີ 1987

ນີ້ແມ່ນຄວາມບໍລີສຸດໄຈ ໃນຄວາມຢູ່ໃນສີນກິນໃນທັມຂອງ ຣາຊວົງລາວ ນັກປົກຄອງສມັຍກ່ອນປິ 1975
ນີ້ແລະ ຈື່ງຊີ້ ບອກ ວ່າ ຍາມນັ້ນ ຍຸກກ່ອນ ປາງສົງຄາມແທ້ໆ ຫາຄົນນື່ງຊີລອຍນ້ຳຂອງແມ່ນບໍ່ມີເລິຍ
ຊື່ງຕ່າງກັບຍຸກນີ້ ຍາມສະງົບ ໂຈນລາວແດງ ມັນສົ່ງແຮງງານລາວອອກນອກ ປທ ຍັງ ບໍ່ພໍ ລູກສາວມັນແທ້ ອາຍຸພຽງ12 ປິ 18 ປິ ຍັງ ໄຮ້ຄວາມຮັບຜິດຊອບສົ່ງໄປຂາຍຕັວຈຕມຊ່ອງຕ່າງ ທັ່ວ ປທ ໄທ
ແມ່ນແຕ່ທີ່ສົງຂາ ທາງພາກໄຕ້ ຍີງລາວອາຍຸຍັງບໍ່ທັນຜົ້ນກະສຽນກະຖືກເປັນເຍື່ອ ຍອມຂາຍໂຕ ເພື່ອແລກ ກັບ ເງີນບາດ
ເປັນ ຜູ້ສເນີ ຊີ້ນຫນັງອ່ອນໆໃຫ້ ລູກຄ້າຊາວມາແລມູສລີມຈົນໄດ້

ບັກໄຊສົມພອນ ກູຄິດວ່າມືງຄົງມາອ່ານຄວາມຈີງນີ້
ແລ້ວຍອມ ຢ່າເປັນຂີ້ຂ້າມ້າເປັນໂຄດແກວມືງ ທີ່ ທຸກຍາກປາກຫມອງ ປົດປ່ອຍອອກຈາກ ປທນີ້ ແລ້ວອ່ວຍຫ້ນາມາຮ່ວມມື ກັບ ປທ ເສດຖີທັງຫລາຍ
ເມື່ອນັ້ນ ມືງກະຊີບໍ່ໄດ້ລູກສາວມືງ ຍາມວັນເສົາວັນທີດ ອອກມາຫາເງີນ ທີ່ ຫນອງຄາຍ ອຸດອນ ແລະ ບ່ອນ ອື່ນ ...ໃນ ໄທຍ

ບາບກັມຂອງພີ່ນ້ອງຊາວລາວກູແທ້ນໍ

ຝັ່ງຊ້າຍ ຍີງລາວອາຍຸ 12ປິ ຖືກກຳລັງພົນກັມມະກອນເຂົ້າ ປທ ຜິດກົດຫມາຍ 210ຄົນ ຂົມຂື່ນສຳເຣົາໃນໄຈກາງເມືອງເອກ ສປປລ ເລີຍ ຈົນຊິ້ນຊີວີດ ຫາຈັບຕົວການມາລົງໂທດຕາມຂະບວນການຍຸຕຕີທັມກະບໍ່ສາມາດມີຂື້ນໄດ້ເລີຍ ນີ້ບໍ ທີ່ ອ້າງ ວ່າ ສປປລ ເປັນ ປທ ທີ່ ມີເອກກະຣາຊເຕັມຕັວ(ບັກສະຫາຍໄຊສົມພອນໃຫ້ມືງໄປອ່ານ ສົນທີສັນຍາພີເສດ ລາວແກວ ປິ 1977 ມາດຕຣາ 1ແດ່ເດີ) ຫລຶ ບ້ານນີ້ເມືອງນີ້ ເປັນແຂວງນື່ງຂອງເຈົ້າພໍ່ແກວ ອານານີຄົມອາຊີຫ້ນາໄຫມ່ ໄປເສັຍແລ້ວ ??

ຝັ່ງຂວາ ຍີງລາວ ຖືກຂັງລືມ ເປັນເວລາສອງສາມປິ ທັງໆ ລາວຈຳພວກນີ້ ເຂົາລຸກຂື້ນ ທ້າທາຍ ອຳນາຣັຖສຍາມເພື່ອຮຽກຮ້ອງຄວາມເປັນຄົນມາສູ່ຊາວລາວ42 ລ້ານຄົນເທົ້ານັ້ນເອງ



สำนักกฎหมายราษฎรประสงค์เปิดรายชื่อ "11 ผู้หญิงลาวไจกล้าเสื้อแดง" ที่กำลังถูกคุมขังในเรือนจำ

วันที่ 05 สิงหาคม พ.ศ. 2554 เวลา 10:00:00 น.



เว็บไซต์สำนักกฎหมายราษฎรประสงค์ ได้เปิดเผยรายชื่อผู้หญิลาว ไจหล้าเสื้อแดง 11 คน ซึ่งถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ มาเป็นระยะเวลา 1-3 ปี ดังต่อไปนี้


1. นางสาวพยอม หนูสูงเนิน ถูกจับเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2553 คดีอยู่ระหว่างอุทธรณ์ ปัจจุบันต้องทานยาจิตเวช ถูกควบคุมตัวที่ทัณฑสถานหญิงกลาง
2. นางเจียม ทองมาก ถูกจับเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 คดีอยู่ระหว่างพิจารณา ถูกควบคุมตัวที่ทัณฑสถานหญิงกลาง
3. นางนฤมล วรุณรุ่งโรจน์ ถูกจับเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2553 นัดฟังคำพิพากษาคดียิงเฮลิคอปเตอร์พร้อมมีอาวุธสงครามในวันที่ 10 สิงหาคม 2554 ถูกควบคุมตัวที่ทัณฑสถานหญิงกลาง
4. นางสาวดารณี ชาญเชิงศิลปกุล ถูกจับเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2551 คดีอยู่ระหว่างพิจารณา ถูกควบคุมตัวที่ทัณฑสถานหญิงกลาง
5. นางอรอนงค์ บรรพชาติ คดีเผาศาลากลาง ถูกจับเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2553 นัดฟังคำพิพากษาวันที่ 4 กันยายน 2554 ถูกควบคุมตัวที่เรือนจำจังหวัดอุบลราชธานี
6. นางสุมาลี ศรีจินดา คดีเผาศาลากลาง ถูกจับเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2553 นัดฟังคำพิพากษาวันที่ 4 กันยายน 2554 ถูกควบคุมตัวที่เรือนจำจังหวัดอุบลราชธานี
7. นางสาวปัทมา มูลมิล คดีเผาศาลากลาง ถูกจับเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2553 นัดฟังคำพิพากษาวันที่ 4 กันยายน 2554 ถูกควบคุมตัวที่เรือนจำจังหวัดอุบลราชธานี
8. นางปฐมาวดี วินิจจามร หรือ สุภารัตน์ หัตถีจร คดีเผาศาลากลาง ถูกจับเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2553 คดีอยู่ระหว่างพิจารณา ถูกควบคุมตัวที่เรือนจำจังหวัดอุดรธานี
9. นางแสงเดือน สุภาพล ถูกจับเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 คดีเผาศาลากลาง คดีอยู่ระหว่างพิจารณา ถูกควบคุมตัวที่เรือนจำจังหวัดอุดรธานี
10. นางรัศมี ทองสีดำ ถูกจับเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 คดีเผาศาลากลาง คดีอยู่ระหว่างพิจารณา ถูกควบคุมตัวที่เรือนจำจังหวัดอุดรธานี
11. นางปาริชาติ จวงจันทร์ ถูกจับเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 คดีเผาศาลากลาง คดีอยู่ระหว่างพิจารณา ถูกควบคุมตัวที่เรือนจำจังหวัดอุดรธานี


นอกจากนั้น เว็บไซต์ของสำนักกฎหมายราษฎรประสงค์ยังได้พิมพ์ข้อความปิดท้ายข้อมูลรายชื่อผู้ต้องขังดังกล่าวว่า


ขณะที่เราได้เดินเที่ยวห้าง : เขาอยู่ในคุก
ขณะที่เราได้หย่อนบัตรลงคะแนนเลือกตั้ง : เขาอยู่ในคุก
ขณะที่เรากำลังจะได้นายกฯหญิงคนแรก : เขาคือผู้หญิงคนแรกๆ ที่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตย เขาอยู่ในคุก
เขาคือผู้หญิงที่ถูกลืม…. เราจะช่วยเขาได้อย่างไร?

1. Dams, Casinos and Concessions: Chinese Megaprojects in Laos and
Cambodia
Chris Lyttleton and Nyíri Pál
Development is the only hard truth.
- Deng Xiaoping




1.1 Dams
In August 2008, we visited Cambodia’s most talked-about megaproject. The Kamchay
hydropower station, scheduled for completion in 2010 with a capacity of 180 megawatt,
is being built by Sinohydro, China’s largest, state-owned hydropower engineering
company, under a BOT (build – operate – transfer) agreement as part of a $600 million
aid package announced by China in 2006, the same amount as pledged by OECD donor
countries in the same year.


1.2 Casinos

Unlike Kamchay, the Dork Niw Kham (Golden Niw Flower) tourist development project
in the Lao part of the Golden Triangle has attracted no attention, either from Laos´ state
controlled media or international organisations. The project, began by Myanmar Macao
Lundun Co. on 867 hectares (2,170 acres) of leased land in 2007, will entail an
investment of close to US $90 million. In January 2009, it is a hive of construction
hastening to meet the scheduled opening of the casino/hotel complex in April. Land has
been carefully graded down to the heaving banks of the Mekong, and one easily imagines
the sloping lawns and gentle promenades designed to compete with the hotel strip on the
Thai side of the river and a nearby Burmese casino, carving a slice from the huge tourist
market of the Golden Triangle resort area. The zone will have its own border point and
rules of entry so tourists might come with no visa or legal status to enter Laos itself. An
international airport, golf and entertainment facilities are planned, and agro-industrial
investment, linked to training facilities for Lao workers, has been promised.

To accommodate all that, negotiations are underway for additional 200 riverside hectares
to be included in the 50-year renewable lease. If consummated, this project will subsume
five villages and an atoll in the Mekong currently popular with tourists on the Thai side
who want to set foot in Laos. In the future, visitors can indeed set foot in Laos: except as
5the locals succinctly note, this is no longer Laos, it is China. In a soon-to-be relocated
Tai-Lue village, locals make no bones of their dissatisfaction with the Lao decision to
utilize Chinese money as the path to local area development: they shout abuse at Chinese
laborers (who cannot understand what they say, but cannot mistake the tone) who come
to buy everyday supplies (even as vendors seem happy to sell to them). Other villages
will not be moved. They will be the ethnic drawcards: already pilot beauty contests of
local ethnic women are being organized as the first concrete acknowledgement that this
development is the undeniable and non-negotiable future they face


While discussions over further land annexation take place at the central government level,
local provincial and district level authorities have little say or jurisdiction over what goes
on within this sequestered zone. Although the original agreement, like at Kamchay, was
to employ 90% Lao labor, the reality is quite different. The local authorities have little
idea how many foreign workers there are, or where they come from (estimates range
from 200 to 500 on-site at any given time). They have been denied access to this
information by Chinese site managers; none of the workers are registered with the Lao
labor office. As for Lao workers, those that were hired soon found they could not sustain
the 12-hour shifts the Chinese overseers insisted upon. Storekeepers in neighbouring
villages who furnish the migrants with food and supplies know precisely where the
current laborers come from: Burma and China.
Although local authorities might not control what goes on within the site, they do enforce
what happens on its periphery. Residents of the village to be relocated have had no
success protesting to the central government in Vientiane


“The most internationally modernized city”
It is not hard to see how the locals (if not the central government) might view the rapid
rise of the 1600-hectare (4000-acre) Golden Boten City “special zone” (Chinese tequ),
opened in 2007 by the Chinese investment company Fu-Khing, as a salutary lesson in
engagement with Chinese leaseholds. The developer’s brochure for investors asserts that
Golden Boten City [as] a golden place hiding in the luxuriant jungles, just like
Peter Pan’s city of never falling down, just like mysterious treasure island…,
tempts the deepest desire in each tourist’s mind. As a golden port, her
convenience, tolerance, prosperity and elegance will conquer every person who
arrives at here. Traffic convenience will endow her with advantaged tourism, and
Laos’s attractive natural landscape together with advantage of Boten will draw in
numbers of international tourists. At the same time, the foreign living habits and
their anxiety for Lao culture will bring infinite business chance


The casino is not mentioned. The Lao tourism
office still plays to this dream: An advertisement on the back cover of the inaugural
(1/2008) issue of the Luang Namtha Provincial Tourism Magazine describes Golden
Boten City Co.’s, as the “most internationally modernized city in [L]ao.” Next to the new
China-Thailand highway and on the site of the former village of Boten, whose inhabitants
had been resettled farther away, its central feature is a hotel-casino complex, with a
cluster of shops, small eating houses, staff dormitories, and apartments surrounding it. A
conference center, a golf course, and villas are planned, and the developer’s brochure
implores potential investors to
believe that thousands of people will gather here in a beautiful morning or an
autumn evening.


While it is true that there is little in Laos that runs 24 hours a day as does the casino, the
current state of Golden Boten belies the vision of a cosmopolitan tropical paradise
expressed in this passage and the accompanying images. The prominent presence of sex
shops and prostitutes, combined with the warren of dirty alleys lined with ramshackle
shops selling underwear and tobacco, and the dominance among tourists of middle-age
7men in cheap suits reminds one of a tourist destination in late-1990s in southern Chin


As two men from the
northern Chinese city of Tangshan who run a stall selling oilcakes tell us, the proprietor
of Golden Boten moved here from Burma, a few hundred miles west, where he ran a
gambling hall in one of the Chinese-owned casinos along the border, after business
declined following the Chinese government’s restrictions on its citizens travelling to
these casinos. Like there, the clientele here is far from being international. Apart from an
increasing (but still small) number of Thai and even fewer Lao tourists stopping by on
their way to China, virtually everything and everyone in the place is Chinese, from some
3,000 employees and small business owners to the currency (only yuan are accepted),
from electric sockets (electricity is also supplied from China) to beer. That this is a duty
free zone does not explain why nearly all shops are Chinese. Surprisingly, considering
the popularity of ethnic exoticism and eroticism in Chinese tourism (see e.g. Nyíri 2006a),
no ethnic souvenirs or foods are available and no ethnic dance performances are held,
although Luang Namtha Province is known for its diversity.


It appears that the environment simply feels too foreign for small Lao entrepreneurs,
unfamiliar with Chinese business practices, to move in, and that both proprietors and
visitors see the place as a kind of liminal Chinese space where forbidden pleasures are
openly available (neither gambling nor prostitution are legal in mainland China, though
both are widely practiced) rather than a foreign destination. When we ask a local Lao
driver whether Golden Boten was China or Laos, he says in fluent Chinese: “Sure it’s
China! China rented it.” The fact that the zone has been leased by its Chinese proprietors
for thirty years, with the option of renewing the lease twice, is reinforced by the guards
who march around in military formations in uniforms resembling those of Chinese police,
emblazoned with “Special Zone Security.” Lao casino staff tell us that in the past, bodies
of Chinese murder victims as well as Chinese citizens accused of the crime have been
whisked quietly back over the border. In concession to Lao demands, Lao police also
maintain an inconspicuous presence, but they seem to have little authority in cases
involving Chinese staff or tourists.
Figure 3 about here
Local employees are a diminishing presence. Golden Boten opened amidst claims of
preferential hiring of local Lao to make up the 900 required staff. Dealers’ wages are high
by Lao and even Chinese standards, 1,200 yuan (roughly US$200) by the end of 2008 for
a six-day work week, plus room, board and an additional 310 yuan if one chooses to work
seven days. Yet the number of Lao employees has dropped from nearly 300 to a little
over 100. New Lao dealers are hired only if they can speak Chinese. Lao workers occupy
only one floor of one dormitory: the bottom one, and they have indicated a range of
difficulties: an unfamiliar work environment, abuse from Chinese overseers, perceived
discrimination in the food hall where they feel they receive smaller proportions of food
than the Chinese and so forth.
8 By early 2009, the hotel still operates at nearly full capacity (and further hotels are under
construction), but several of the casino’s gambling rooms have been closed. Golden
Boten has not reached anything like the halcyon days of the owner’s previous casino on
the China-Burma border where, until it closed in 2004, hundreds of tour buses would
arrive each day to unload many thousand avid gamblers and sex tourists.
1.3 Concession


The current leaseholds are not of the same order of imposition as the treaty ports in China,
“where the overlap between the law of power (gunboats) and the power of law
(extraterritoriality) was palpable” (Scully 1995). But there are notable similarities. Trade
10 rights are clearly privileged, legal jurisdiction vague and de facto security is maintained
by Chinese forces, while the external perimeter is sometimes protected by the local army
(whose senior officers, in both Laos and Cambodia, are accused of having business
interests in various Chinese concessions)


It is tempting to consider the current condition of Golden Boten City as replicating this
description, albeit played out with different stakeholders. Despite the detailed publicity
promotion of free-trade enclaves that aim to benefit the region, the very prominent
presence of gambling and commodified sex implies a different evolution of market
expansion, with markedly different outcomes for locals caught in the backwash of this
form of “development” than at Kamchay


A master plan for the economic development of
Northern Laos, prepared by Chinese specialists on behalf of the Yunnan Province Reform
and Development Commission and presented to the Lao government at the end of 2008,
envisages setting up new free trade zones along the country’s borders and developing
12 tourism concessions, operated and controlled by contractors (Northern Laos 2008). The
two casinos described above provide foundational examples for this strategy.




that can help expand
locals’ “capacity to aspire” (Appadurai 2004) in unexpected ways. The opening of the
bilingual, private Lao-Chinese Friendship Primary School in Luang Namtha, catering
principally to Lao children, is no doubt linked to the rise of Chinese investment in the
area, but its teachers, from China, see themselves as providing a public service to local
families by offering an education that is, here as in Cambodia, widely seen as a way out
of poverty (even if it is as a dealer at Boten).
8
Some children, the teachers say, are too
poor to pay the 200-300 yuan (US$ 35-50) yearly fee and study free of charge






1.3 Concessions
The dam and the casinos are very different kinds of places. The former is classified as a
development project, benefits from state-to-state aid, is being built by a large state
corporation and has unclear prospects of profitability. The latter are private entertainment
complexes clearly driven by profit. The former draws Khmer day laborers, the latter
Chinese day trippers. But, apart, of course, from the fact that funds for all have come
from China, they share two commonalities. First, the architects of all three projects justify
them using the same narrative of helping a friendly neighboring country modernize.
Second, both projects involve the removal of large chunks of land from the national
9territory and, to a degree, from under the sovereignty of the nation-state. Within the
confines of both the Kamchay dam site and the casino leaseholds, the laws, the coercive
apparatus and the basic symbols of Laos and Cambodia (flags, uniforms, language,
currency) have only limited reach. To some degree, the operators and dwellers of these
concessions enjoy extraterritoriality: a concept that seemed to have gone out of use in the
postcolonial era, but deserves to be granted a new lease on life as a particular form, both
physical and social, of “engineering the earth.”
Extraterritoriality was central to China's experience of Western colonialism. Based on
treaty stipulations, China was forced to surrender degrees of sovereign power: control of
customs and security in treaty ports, legal jurisdiction over non-nationals, foreign
concessions, privileged treatment of foreign business and missionary activity.

ASIA HAND
The limits of Chinese expansionism
By Shawn W Crispin

BOTEN, Laos - On a November evening in this northern Lao border town, a crowd gathered around a traffic accident between two Chinese drivers. As tempers flared, Chinese casino guards moved tentatively to keep the peace. But the absence of any uniformed Lao police officers underscored the authority gap in a growing number of areas in the country where Vientiane has effectively ceded sovereignty to Beijing.

Chinese investors have built and run a sprawling casino complexat Boten, one of two special economic zones dedicated to gambling where China maintains administrative autonomy. At Boten, front desk hotel staff speak only Chinese, the yuan is the required currency of settlement and Chinese prostitutes peddle






their services on business cards printed in Mandarin rather than Lao. At the other, outside the town of Huay Xai, Chinese carstravel without license plates.

The special concessions are quid pro quo for the official aid, grants and non-interest loans Beijing has given in recent years to Laos to finance badly needed and trade facilitating infrastructure.

But Chinese foreign investments now come with big strings attached, including allowances to import unskilled Chinese labor for Chinese-funded projects in countries often desperate to create jobs for their own. Nowhere is that more apparent than in Southeast Asia's less developed states, where China's generous financial aid has influenced government policies in Beijing's favor. It is significant that China has made its deepest investment inroads in states governed by similarly authoritarian regimes, namely Cambodia, Laos, Myanmar and Vietnam.

Strong and unaccountable governments have allowed for state-sponsored land grabs and forced village relocations to pave the way for many Chinese investments, especially in extractive industries and plantation agriculture. An entire village was forcibly moved to a barren relocation site to make way for the Chinese special economic zone outside of Huay Xai. That's leading some in the region to associate Chinese investment with corrupt government practices, rising perceptions that are motivating the first nationalist stirrings against Chinese expansionism.

New gateways


As Southeast Asia's smallest and least-populated state, Laos is most vulnerable to China's growing economic might and Beijing's presence and influence is expected to grow, according to Martin Stuart-Fox, a renowned Laos expert. Indeed, Laos is fast emerging as a greenfield model for the form Chinese capital expansionism may take across the region and beyond as Beijing revs up its investment drive.

In a 2008 academic paper, Stuart-Fox argued that China expects three things in return for its aid, loans and grants to Laos, namely: backing for Chinese policy from everything to Taiwan to Tibet; access for Chinese companies to exploit Lao resources; and lines of communication though Laos to Thailand - all of which Laos has loyally provided.

More recently, however, its become clear that China expects more for its generosity, including exclusive economic enclaves and long term leases for projects - including a to-be-built new Chinatown in downtown Vientiane - that some analysts believe will pave the way for bigger waves of Chinese migration into Laos. As of 2007, the Lao government estimated there were 30,000 Chinese residents living in Laos, a human statistic Stuart-Fox described as a "gross underestimate" in his research. Nonetheless it represented a tripling of the 1997 estimated figure.


In an apparent move to forestall similar criticism in Laos, China has worked hand-in-hand with the Ministry of Communication and Transport to establish a new Lao National Internet Center, which will come on-line in 2011. The center's Lao staff have undergone extensive training in China, including members of a newly created "security emergency response" team, according to a source familiar with the situation. Beijing has also supplied the technological equipment that will be used to monitor and block web sites, the source said. Currently, Laos does not censor the Internet.

Because of the lack of free media in the Southeast Asian countries where China is most heavily invested, it's difficult to ascertain whether the still faint voices of dissent are marginal or representative of a genuine nationalist groundswell of anti-China sentiment. But if China is indeed involved in the suppression of these voices, as many suspect, then Beijing too must realize the risks and flaws in its fast-growing capital expansionism.

Shawn W Crispin is Asia Times Online's Southeast Asia Editor.

(Copyright 2010 Asia Times Online (Holdings) Ltd. All rights

ສະບາຽດີທຸກໆທ່ານຮ່ວມຊາຕລາວຂອງຂ້າພເຈົ້າທັ້ງຫລາຽ ທີ່ຮັກແພງນັບຖືທັງຫລາຍ.
ຫລາຽໆທ່ານຄົນລາວທີ່ສົນໃຈກາຣເມືອງແລະການຕໍ່ສູ້ເພື່ອປ່ຽນແປງຣະບອບກາຣເມືອງຂອງ ສປປລ ຈາກຣະບອບຄອມມູນິສມ໌ເຊິ່ງ
ມີພັກກາຣເມືອງດຽວເປັນຜູ້ບໍຣິຫາຣປະເທສໄປສູ່ຣະບອບທີ່ມີຫລາຽພັກກາຣເມຶອງແລະມີປະຊາທິປະໄຕຍ໌ໃນກາຣປົກຄອງຊາຕບ້ານ-
ເມຶອງນັ້ນຂໍໄຫ້ທຸກໆທ່ານຈົງໄດ້ຕິດຕາມເບິ່ງອີກຕໍ່ໄປ...ຂພຈ ໄດ້ຮັບຟັງ ສະຫາຍ ດຣ.ຄຳເຜີຍ ປານມາໄລທອງ ເພີ່ນກ່າວໃນສະພາປະຊາ
ຊົນແຫ່ງຊາດ ສປປລ ເຊັ່ນດຽວກັບທຸກໆທ່ານລາວນອກຢູ່ໃນໂລກນີ້ ກໍ່ແສນດີອົກດີໃຈທີ່ສຸດ...ແຕ່ວ່າຢ່າຟ້າວດີໃຈໂພດເບີ່ງໄປ ຟັງໄປກ່ອນ
ການເມືອງມັນເປັນເຣື່ງເລິກ-ລັບ,ຣະອຽດອ່ອນ ແລະ"ຜົລປະໃຍຊ"ຊ່ອນໂຕຢູ່ຂ້າງຫລັງຄຳເວົ້າສະເມີ ຖ້າສະຫາຍ ດຣ.ຄຳເຜີຽ ປານມາໄລ
ທອງ ເພີ່ນກ້າເວົ້າ,ກ້າອອກຄວາມຄຶດເຫັນສ່ວນຕົວໃນ"ສະພາປະຊາຊົນ"ໄດ້ສ່ຳນັ້ນກໍ່ເທົ່າກັບວ່າ ສປປລ ກຳລັງຈະກ້າວໄປສູ່ຣະບອບທີ່ມີ
"ປະຊາທິປະໄຕຍ໌"ທີ່ຈະໄຫ້ ປຊຊ ລາວ ມີຫລາຽພັກກາຣເມຶອງເກິດຂື້ນໃນ ສປປລ ໃນອານາຄົດ...ຖ້າຫາກວ່າ ມັນເປັນໄປບໍ່ໄດ້ ແລະມີ ສສ
ຫລາຽຄົນໃນນັ້ນບໍ່ເຫັນພ້ອມ ຫຼື ບໍ່ຍົກມືສະນັບສະນຸນ ໃນຄວາມຄຶດເຫັນຂອງເພິ່ນເປັນສ່ວນຫລາຽແລ້ວ ກໍຫມາຍຄວາມວ່າ ນັ້ນເປັນພຽງ
ທິສດີ"ລັບ ຫລອກລວງ "ຊ່ອນຢູ່ເບື້ອງຫລັງໃນຣະບອບ ພັກ-ລັດ ສປປລ ຢ່າງແນ່ນອນ ມີໃຜແດ່ບໍ່ຢາກໄດ້ຄົນດີມີສິລທັມມາປົກຄອງຊາຕ!
ມີໄຜແດ່ບໍ່ຢາກໄດ້ສິດທິເສຣີປະຊາທິປະໄຕ!ແລະຢາກໄຫ້ຊາຕຂອງຕນເອງມີຄວາມຈະເຣິນຮັ່ງມີເຫມືອນຊາຕຂອງຄົນອື່ນໆ...36 ປີເຂົ້າມາ
ແລ້ວທີ່ ຂພຈ ໄດ້ຕິດຕາມສະພາບກາຣເມືອງຂອງ ຜູ້ນຳພາ ພັກ-ລັດສປປລ ພາຽໃນປະເທສແລະກາຣພົວພັນກັບຕ່າງປະເທສຕລອດທັ້ງ
ກາຣພົວພັນທຸກໆດ້ານກັບປະເທສເພື່ອນບ້ານ ເຊັ້ນ:ດ້ານກາຣເມຶອງ,ກາຣເສດຖະກິດ,ຂໍ້ຕົກລງສົນທີສັນຍາອື່ນໆກັບ ວຽຕນາມ,ຈີນ,ໄທຍ໌
ດ້ານປົກປ້ອງອຳນາຈ-ລັດທິຕາມຊາຽແດນກັບສາມປະເທສນີ້ທີ່ຄົນລາວເຈົ້າຂອງປະເທສທັ້ງຢູ່ພາຽໃນແລະຢູ່ນອກປະເທສບໍ່ໃດ້ຮູ້ໄດ້ເຫັນ
ນຳໃນການເຊັນກັນກັບປະເທສເພື່ອນບ້ານ ເພາະເພີ່ນຖືວ່າເປັນເຣື່ອງວຽກການປົກຄອງຂອງ ພັກ-ລັດ ປະຊາຊົນເປັນຜູ້ປະຕິບັຕຕາມຄຳສັ່ງ ໃຜຝ່າຝຶນບໍ່ໄດ້.ປະຊາຊົນຜູ້ໃດຝ່າຝຶນບໍ່ປະຕິບັດຕາມ ຖືວາເປັນສັຕຣູຂອງ ພັກ-ລັດ. ມີບາງທ່ານໂອດ
ອົ່ງວ່າເປັນຜູ້ຮູ້ເຫິງແລ້ວກ່ຽວກັບນະໂຍບາຍຂອງ ພັກ-ລັດ ສປປລ ນັ້ນໍກໍ່ສະແດງວ່າທ່ານຜູ້ນັ້ນເພີນໄດ້ຮ່ວມວຽກງານອັນສຳຄັນກັບຜູ້ນຳ
ກາຣເມຶອງພັກ-ລັດ ຂອງ ສປປລ ໃນຕ່າງປະເທສຈື່ງເຂົ້າໃຈດີໃນເນື້ອໃນແທ້ໆຢູ່ເບື້ອງຫນ້າເບື້ອງຫລັງຂອງ"ລັດຖະບານສາທານະລັດປະຊາທິປະໄຕປະຊາຊົນລາວ"ເພີນ
ຈຶ່ງມາໄຫ້ຂໍ້ມູນແກ່ປຊາຊົນລາວນອກໄດ້ດີເຊັ່ນນີ້ ...ຂໍໄຫ້ທຸກໆທ່ານເບິ່ງ ແລະ ຕິດຕາມຕໍ່ໄປ ຄວາມຈິງ ຫຼື ຜົລປະໂຍດຂອງ ສປປລ ຈາກ
ລາວຢູ່ນອກປະເທສ ທິສດີຂອງກາຣເມືອງທົ່ວໄປ ຄື:"ປົກຄອງຄົນໂງ່ງ່າຍກົ່ວາປົກຄອງຄົນສລາດ" ຈາກ:ລາວເສຣີພາບ.

ท่านBounkhong Arounsavat ที่นับถือ.

ขพจ เคยเข้าไปทำงานในลาวในยุค"สงครามเวียตนาม"เรี่มต้นจนถึงวันเช็ณสัญญา21/02/1973
ย่อมพอจะเข้าใจดีในเรื่องประวัติศาสตร์และภาษาเพราะทุกๆพนักงานจากต่างประเทศก่อนจะเข้า
ไปจำเป็นได้เรียนรู้ในสี่ประเทศนี้คือVietnam,Cambodge,Thailand,Laos.ขพจ เองเลึอกเข้า

ไปในลาว ก็จำเป็นต้อง
ศึกษาเรียนรู้เรื่องลาวฝั่งซ้ายและฝั่งขวา(ไทอิสาน)ด้านการเมือง-การปกครอง,ภาษา,ประวัติศาสตร์,
วัฒนธรรมเจ้าของ
ประเทศนั้นก่อน ท่านอาจจะเคยพบมาคนต่างด้าวเช่น American,French พูด-เขียนภาษาลาว,ไทย
,เขมร,เวียตนาม ได้
นั้นเพราะเป็นบทเรียนข้อสำคัญของพนักงานนั้นเอง...ขพจ เคยอ่านหนังสือ"700ปีแห่งมรสุมในพระราช
อาณาจักรลาว"
หนังสือนี้เป็นหนังสือ"สำคัญ-ลับที่สุด"ท่านคงได้อ่าน-หรือ!...เกี่ยวกับปัญหาการเมืองลาวและคนลาว
ขพจ ก็ติดตามข่าว
พอจะเข้าใจดี...ปัญหา Thailand,Cambodge ก็เนื่องมาจากการแย่งผลประโยชน์ของ Vietnamกับ
Thailand ในเขมร
เช่นในอดิตร์เก่า ในอดิตร์ไทยและเวียตนามก็ยึครองเขมรแบ่งกินกันคนละครึ่ง สำหรับลาวไทยสยาม
ยึดครองกินคนเดียว
หมด ตอนนั้นเวียตนามสนใจอยากได้"อาณาจักรจามปา"มากกว่าเลยทิ้งลาวไปไ้ห้ไทยสยาม...ถ้า
ท่านติดตามการเมืองไทยมาตลอดก็คงจะเข้าใจดีทำไมไทยจรึ่งทำสงคราม"บ้านร่มเกล้า"!!!และทำ
ไมตอนนี้ทำไมไทยจรึ่งทำสงครามกับเขมร
อยากเรียนถามท่านว่า สงครามไทย-เขมร ไครได้ผลประโยชน์!และสงครามไทย-ลาว"บ้านร่มเกล้า"
ก็ไม่แตกต่างกัน!!!

ຊີວະປະວັດ ຣ້ອຍເອກ ກອງແລ ຜູ້ເຮັດກາຣຣັຖປຣະຫາຣ ວັນທີ່ 8 ສິງຫາ 1960 ໃນນະຄອນ
Vientiane,Laos.
ກອງແລ ເກີດ 8 Mars 1934 ທີ່ເມືອງພະລານ ແຂວງ ສວັນເຂຕ ຊື່ພໍ່ ທ້າວຈັນທາ ແລະ ນາງແດງ ເຂົ້າໂຮງຣຼນປະຖົມຈົບທີ່ເມືອງພະລານໃນ 1949 ໄດ້ເຂົ້າເປັນທະຫາຣຊັ້ນ
ສອງ ສັງກັດທະຫາຣຣາບອາກາດທີ່1 ເມື່ອ 8 Janvier1952. ໄດ້ເປັນວ່າທີ່ຣ້ອຍຕຣີ1953 ໄປປະຈຳ
ການຢູ່Louang Prabang.ປີ1954 ໄປປະຈຳກາຣຢູ່ທີ່ ນ້ຳບາກ.1955-
ໄດ້ຣ້ອຍໂທ ເປັນ ຜບ ກອງຣ້ອຍ ນ້ຳບາກ.ໄດ້ ຣ້ອຍເອກ Mai 1956. ປີ1957 ກັບມາຢູ່ຄ້າຍຈິນາຍໂມ້
Vientiane.ປີ1958 ໄປຝຶກ Ranger ທີ່Philiphine. ປີ1959 ໄດ້ເປັນ
ຣອງ ຜບ ກອງພັນ ທະຫາຣາບອາກາສທີ່2 ທີ່Vientiane.ແຕ່ງງານຄົນທີ່1ກັບນ້ອງສາວເມັຽ ນພ.ອ້ວນ
ຣາທິກຸລ ຊື່ ນາງຄຳຜິວ ມີລູກຊາຽ 1ຄົນ ຕໍ່ມາຄົນທີ່2 ເປັນຄົນ
ຈີນຮໍ່ Xiangkhouang ມີລູກຊາຽ2ຄົນ ປັດຈຸບັນຢູ່Paris,France ທະຫາຣສຳຄັນທີ່ຮ່ວມເຮັດຣັຖປຣະຫາຣນຳມີ15ຄົນ(ຕອນນັນ ຣອ.ກອງແລ ອາຍຸ28ປີ)ຄື:
1.ຣອ.ຄຳລ້ອມ ທອງພັນ: ຍົດສຸດທ້າຍໄດ້ ພົນຈັຕະວາ ຢູ່ຝ່ຍເປັນກາງ ປະຈຳVientiane ຕໍ່ມາ1975 ຖູກໄປສຳມະນາທີ່ວຽງໄຊ.2.ຣທ.ເດືອນ ຊຸນນະຣາຊ:ຍົດຄັ້ງສຸດ
ທ້າຽໄດ້ ພັນເອກ ໄນປີ1975ເມື່ອແນວລາວຮັກຊາດໄດ້ໄຊຊະນະເຂົາໄດ້ເປັນຣັຖມົລຕີ ຕໍ່ມາຖູກຂ້າຕາຍທາງ
ການເມືອງໃນ ສປປລ.3.ຣທ.ພົງປຣະສາຣສັກ ອິນສີຊຽງ
ໄຫມ່.ຍົດຄັ້ງສຸດທ້າຽໄດ້ ພັນເອກ ຢູ່ກັບຝ່າຍຂວາວຽງຈັນທນ໌ ປີ1975ຖູກໄປສັມນາທີ່ວຽງໄຊ.4.ຣທ.ແຟງກ້ຽວ ສຸວັທ:ຍົດສຸດທ້າຽໄດ້ ພັນເອກ ຢູ່ກັບຝ່າຍຂວາວຽງ
ຈັນທນ໌ ຕົກເຄື່ອງບິນຕາຽຂະນະອອກເັດວຽກ.5.ຣທ.ທອງມີ:ຕາຍໃນກາຣສູ້ຣົບທີ່ທົ່ງໄຫຫີນຣະຫວ່າງຝ່າຍເປັນກາງຂອງເຈົ້າສຸວັນນາພູມາ-ກອງແລ ກັບ ເຈົ້າບຸນອູ້ມ-
ພູມີ ຫໍ່ສວັນ.6.ຣທ.ຊຽງເຣິງ: ຖຶກຕາຍໃນຂນະສູ້ຣົບກັນທີ່ ປາກກະດິ່ງ ຣະຫວ່າງ ຝາຍເປັນກາງ ກັບ ຝ່າຍຂວາ ບຸນອູ້ມ-ພູມີ.7.ຣຕ.ສິງ ຈັນທະກຸມາຣ: ຍົດຄັ້ງສຸດທ້າຍ
ໄດ້ ພັນເອກ ຕໍ່ມາເຂົ້າຢູ່ກັບຝ່າຽຂວາວຽງຈັນທນ໌ ປີ1975 ຖຶກໄປສັມນາທີ່ວຽງໄຊ.8.ຣທ ຄຳໂກ້: ຍົດສຸດ
ທ້າຍໄດ້ ພັນເອກ ຢູ່ກັບຝ່າຍຂວາວຽງຈັນທນ໌ ປີ1975 ຖຶກໄປ
ສັມນາທີ່ວຽງໄຊ.9.ຣຕ.ຂັນ ຊຸມພົນພັກດີ:ຍົດຄັ້ງໄດ້ ພັນເອກ ຢູ່ກັບຝ່າຍຂວາວຽງຈັນທນ໌ ປີ1975ຖຶກໄປ
ສັມນາທີ່ວຽງໄຊ.10.ຣຕ.ຄຳບູ່ ຍົດຄັ້ງສຸດທ້າຍໄດ້ ພັນເອກ ສັງ
ກັດຢູ່ກັບຝ່າຍຂວາວຽງຈັນທນ໌ ໃນ1975ເມື່ອຝ່າຍຂວາເສຽໄຫ້ຝ່າຍຊ້າຍ"ແນວລາວຮັກຊາດ"ໄດ້ອອກຫນີມາຢູ່ຊາຍແດນເຂດThailand ທຳການຕໍ່ຕ້ານກູ້ຊາຕ"ຂຕລ"
ໄດ້ຮັບການຊ່ອຽເຫລືອຈາກ"ພັກເປັນກາງ"ຂອງກອງແລ ທີ່Paris,France ຕໍ່ມາກາຣເມືອງຣະຫວ່າງ
ໄທຍ໌-ສປປ ລາວ ປ່ຽນໄປ ຖືກໄທຍ໌ຈັບສົ່ງໄປໄຫ້ ສປປລ ຂ້າຖີ້ມ.
11.ຣອ.ທັນ:ຍົດຄັ້ງສຸດທ້າຍໄດ້ ພັນເອກ ສັງກັດຢ່ກັບແນວລາວຮັກຊາດ ເມື່ອແນວລາວໄດ້ໄຊຊະນະໃນ1975ເຂົາໄດ້ຣັບເຂົ້າເປັນ ຜູ້ບັນຊາການຕຳຣວດ ໃນວຽງຈນ.
12.ຣທ.ກອງສີ ຂັດຕິຍະຣາຊ:ຍົດຄັ້ງສຸດທ້າຍໄດ້ ພັນໂທ ສັງກັດຢູ່ກັບ"ແນວລາວຮັກຊາຕ"ໃນ1975 ເມື່ອແນວລາວໄດ້ໄຊຊະນະເຂົາໄດ້ຣັບເຂົ້າເປັນ ຄະນະນາຽທະຫາຣ
ຜູ້ໄຫ່ຽສັງກັດກົມກາຣເມືອງປ້ອງກັນປະເທດ ສປປລ.13.ຣອ.ຫນູເມກ: ເຂົາຖືກຈັບໄດ້ໃນຂນະສູ້ຣົບກັນໃນວງຈັນທນ໌ຣະຫວ່າງຝ່າຍເປັນກາງກັບບນອູ້ມ-ພູມີ ເລີຍຖືກ
ບນອູ້ມ-ພູມີ ຂ້າຖີ້ມ ທີ່ຈິງແລ້ວເຂົາຄຶດວ່າະມາມອມຕົວແຕ່່າຽບນອູມ-ພູມີບໍ່ເຊື່ອ.14.ຣອ.ສົມເພັດ ສົດສຸວັນ:ຍົດຄັ້ງສຸດທ້າຽໄດ້ ພັນເອກ ສັງກັດຢູ່ຝ່າຍຂວາວຽງຈັນທນ໌
ໃນ1975ເມື່ອຝ່າຽຂວາເສັຍໄຊເຂົາໄດ້ຫນີອອກມາຢູ່France.15.ຣທ.ຄຳວິຈິດ:ຍົດຄັ້ງສຸຕທ້າຍໄດ້ ພັນໂທ ສັງກັດຢູ່ກັບຝ່າຍຂວາວຽງຈນທນ໌ ດໍ່ມາຖູກປົດອອກກີນເບັ້ຽ
ບຳນານ ໃນ1975 ເມື່ອແນວລາວໄດ້ໄຊຊະນະເຂົາບໍ່ໄດ້ອອກຫນີມາ ເຂົາຢູ່ວຽງຈັນທນ໌. ນາຍທະຫາຣທັ້ງ
15ຄົນນີ້ ລ້ວນແລ້ວແຕ່ເປັນຜູ້ກໍ່ກາຣຣັຖປຣະຫາຣ 9/8/1960.
ຄຳຖາມ:1.ໃຜຢູ່ເບື້ອງຫລັງໄຫ້ ຣອ.ກອງແລ ທຳຣັຖປຣະຫາຣ!2.ແມ່ນໃຜຢາກໄຫ້ເຈົ້າສຸວັນນາເປັນນາຽຍົກ!3.ເປັນຫຍັງກອງແລຖືກໄຫ້ອອກຫນີຈາກລາວ!4.ເປັນ
ຫຍັງກອງແລຈຶ່ງໄປຖືກຈັບຢູ່ໄທຍ໌!!!ແລະ ເປັນຫຍັງຄວາມເປັນກາງໃນລາວຈຶງຖຶກທຳລາຍ-ແມ່ນໃຜເປັນຜູ້
ທຳລາຍ!!! ຈາກ: ລວເສຣີພາບ

เรียนนักวิชาการขั้นสูงของลาวและนักเสรีประชาธิปไตยลาวที่อพยพหนี-ลอดตายมาจากระบอบเผด็การ
โบราณคอมฯมาอาสัยประเทศเสรี-ประชาธิปไตยชาติอื่นๆเขาอยู่ 35 ปีผ่านไปแล้วการจัดตั้งของพวกท่าน
อยังขาดความสามัคคี-ขาดการรวม
ตัวกันในการจัดตั้งเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและทุกๆการจัดตั้งของอพยพลาวที่ลอดตายจากการไล่ฃ่าของ
แนวลาว-แกวแดง
ก็ขาดความแข็งแรงอยู่ในต่างประเทศแล้วท่านจะคิดหรือว่าพวกเผด็จการแนวลาวเขาจะเจระจากับพวกท่าน
อย่าลืมว่าระ
บอบการปกครองไม่เหมือนกัน-ความนึกคิดด้านการปกครองก็ย่อมแตกต่างจากกันอยู่ดี.ข้อเรียกร้อง 7
ข้อของท่านศาส-
ดาจารย์ ดร.สมบูรณ์ ทระนิล ที่มีต่อ พัก-ลัด สปป ลาวเขาจะตกลงด้วย พวกท่านอย่าหวังเลย ถ้าพวกท่าน
ไม่เปลี่ยนทิศทางไหม่ในการต่อสู้ ยกตัวอย่างรวมลาว 1973 ผลออกมาก็โดดข้ามแม่น้ำโขงและไปตายใน
คุก-สัมนาเพราะอะไร?เพราะ
ท่านไม่มีสพการทางการเมืองดี -สัญญาลาว-แกว 1977 แนวลาวยอมไห้แกวมาปกครอง-คู้มครองอำนาจ
ไห้ ทหารแกวมี
65,000 คนรายรอบทั่วประเทศของท่าน และีอีกนักวิชา-นักสืบสอดแนม-ประชาชนแกวอีก 2 ล้านเข้ามา
อยู่ในแผ่นดินของท่านเป็น ปชช ลาวอ่างถูกต้องตามสัญญาลาว-แกวเช็นกันใน 1977.และสัญญาป้องกัน
ความสงบชายแดนระหว่าง
ไทย-ลาว 18 ครั้งไห้ช่วยกันปราบ-ทำลายพวกลาว "คนบ่ดี"ที่ลอดตายนับตังแต่ 1975 ไห้หมดสิ้นทราก
ไปไม่ไห้กลับเข้า
มาก่อกวนในลาวอีกและไทย-ลาวใด้แลกเปลี่ยนบัญชีดำ(Blacklist)รายชื่อบุคคนที่สงสัยไว้ไห้ชื่งกันและ
กันทุกๆครั้งใน
กองประชุม แนวลาวยอมรับอพยพลาวเข้าไปเยี่ยมยามประเทศได้เฉพราะบุคคนที่ขาดความเ้ข้าใจทางการ
เมือง-ขาดความรับผิดชอบใดๆทั้งส่วนตัวส่วนรวม(ขาดการศึกษามาก่อน)และคนที่ทำงานเป็นสายลับ-สาย
สืบข่าวไห้เขากลับไป
รายงานข่าวไห้ทุกๆปีในนั้นรวมทั้งพระสงข์ส่งจากไทยและลาวด้วย ระัวังการป้องกันระบอบแนวลาวเขามี 3
ระบบชั้น
1.ป้องกันในประทศที่สาม 2.ป้องก้นในประเทศที่สอง(คือประเทศที่ติดกับลาว)3.ใน สปป ลาว เองคือทุกๆ
แห่งในลาว
เ่ช่น Hostel,Bar,Restuarants อื่นๆสายลับนอกเคื่รองแบบปะปนไว้หมด และระวังข่าวล่าุสุด ไทย-ลาว
ประชุมกันไหม่
ครั้งที่ 19 เกี่ยวกับการป้องกันชายแดนอีก เมื่อ 31 Jan 2011 ผลออกมาคิดว่าคงเหมือนเดีมเรื่องปราบ"คน
บ่ดี"คือพวก
ท่านลาวอพยพลอดตายที่ต่อต้านอยากไ้ด้ประชาธิปไตยไห้แก่ ปชช ลาวนั้นเอง. จาก:ขบวรการปลดปล่อย
ชาติไทไหญ่.

เอสแอนด์พีหั่นเครดิตสหรัฐลง1ขั้น จากAAA เป็น AA+ เหตุแบกหนี้เยอะ

วันที่ 06 สิงหาคม พ.ศ. 2554 เวลา 10:29:10 น.







สหรัฐฯถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือทางการเงินเป็นครั้งแรก หลังจากบริษัทสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร
หรือเอสแอนด์พี บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำของโลก ประกาศลดเครดิตของสหรัฐจากระดับ
AAA ลงมาเหลือ AA+ เนื่องจากปัญหาการขาดดุลงบประมาณและกระบวนการดำเนินนโยบายแก้ปัญหา
ที่อ่อนแอ และนับเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่สถาบันดังกล่าวจัดอันดับให้สหรัฐฯเมื่อปี 1917



การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากสภาคองเกรสตัดสินใจปลดชนวนปัญหา การตัดค่าใช้จ่าย เพื่อลดหนี้
สินของประเทศที่สูงกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่เป็นที่พอใจต่อเอสแอนด์พี ก่อนหน้านี้ เคย
มีการส่งสัญญาณจากสถาบันจัดอันดับทางการเงินที่สำคัญทั้งสามแห่ง ซึ่งรวมถึงมูดี้′ส อินเวสเตอร์ เซอร์วิส
และฟิตซ์ ซึ่งกล่าวเตือนระหว่างที่สภาคองเกรสมีการถกเถียงประเด็นดังกล่าวอย่างหนัก ว่าหากสหรัฐฯไม่ดำ
เนินการมาตรการปรับลดค้่าใช้จ่ายที่มากพอแล้ว สหรัฐฯอาจต้องเผชิญหน้ากับการปรับลดความน่าเชื่อถือทาง
การเงินในที่สุด



นอกจากนี้ เอสแอนด์พียังได้มองอนาคตของสหรัฐฯเป็นด้านลบอีกด้วย แถลงการณ์ของเอสแอนด์พีระบุว่า
การลดอันดับความน่าเชื่อถือสะท้อนความเห็นของเอสแอนด์พีที่มีต่อประสิทธิภาพ และเสถียรภาพในการดำ
เนินนโยบายของสหรัฐ และสะท้อนสถาบันทางการเมืองมีความอ่อนแอในช่วงเวลาที่เผชิญกับความท้าทาย
ทาง เศรษฐกิจและการเงิน เปรียบเทียบกับครั้งที่เอสแอนด์พีมองแนวโน้มอนาคตของสหรัฐเป็นด้านลบเมื่อ
กลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา



เอสแอนด์พีระบุว่า สหรัฐฯมีโอกาสถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือลงมาสู่ระดับ AA ภายใน 2 ปี ถ้ารัฐบาลยัง
ไม่สามารถตัดลดค่าใช้จ่ายได้มากเท่ากับที่ให้สัญญาไว้ใน ปัจจุบัน หรือถ้าอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นและแรง
กดดันทางการเงินครั้งใหม่ทำให้ สถานการณ์การเงินของสหรัฐฯดูแย่ลง



คำถามสำคัญก็คือ หลังจากถูกปรับลดแล้ว จะเกิดผลกระทบใดต่อนักลงทุนที่มีความตื่นตระหนกเป็นทุน
เดิมอยู่แล้ว ขณะที่การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ถือเป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกใจนัก การซื้อขายหุ้นบางตัวอาจเกิด
ขึ้นอีกครั้งเมื่อตลาดหุ้นเปิดทำการในวันจันทร์ นี้ ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปรับลดลงเฉลี่ย 699 จุดใน
ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งลดลงสูงสุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 2008

http://www.internetfreedom.us/forum/viewtopic.php?f=2&t=4753

http://www.dailymotion.com/video/x68ika_balade-en-pays-lao-extraits_travel

เพราะเราเป็นคนเกิดมาเพื่อคนส่วนรวม เราจะไม่นิ่งดูดายถ้าคนส่วนใหญ่ของประเทศนี้เดือดร้อน จากน้ำมิอของพวกโจร500 และ พวกสมูนมัน ฉันก็เหมือนกันทุก ๆ คนคือญาติพี่น้องที่ต่อต้านแกวแดง ลาวแดง ต่อต้านบักจูมมาลี ไชสมพรอี่แม้วปาทู บักขาดขี้ความฮู้ ทองสีงทองสา มาจากป่าจากดง เป็นถีง นายยก ยกขาเมยบักโฮจีมีน บ็

ผมไม่อยากพูดว่าจะทำเพื่อประชาชนเพราะผมไม่ใช่และไม่ชอบนักการเมือง แต่ผมอยากจะพูดว่าเพื่อเพื่อนร่วมชาติที่ไม่ชอบหนังห้นาพวก ผดก หมาๆ จะดีกว่า

Mr. Bounkhong ທີ່ນັບຖື

All matters have been place in this forum, till now no one respond to the call

ຜຂ ມີຄວາມເຫັນດັ່ງນີ້:
ມັນບໍ່ແມ່ນເປັນຍ້ອນ ສມາຊິກ ບໍ່ເຂົ້າໃຈເນື້ອໃນອັນແຈ່ມແຈ້ງ ແນ່ນອນບໍ?
ກຽ່ວກັບແນວທາງ, ແຜນການ, ຍະໂຍບາຍຕ່າງໆ,ແລະພາຣະກິດທີສເນີໃຫ້.
ອາດຈະມີຄວາມສັບສົນແລະບໍ່ເຂົ້າໃຈ ຈຶ່ງບໍກ້າທີ່ ຈະຮັບປາກ ແລະຕອບສນອງຕາມຄວາມຮຽກຮ້ອງຂອງ
ທ່ານເວລານີ້.
ເຄືອຂ່າຍ Internet ຖ້າຈະເວົ້າແລ້ວກໍ ຍັງເປັນ ວັດຖຸຸໃໝ່ຢູ່ ສຳລັບຊາວລາວ ໂດຍສເພາະພວກອາວຸໂສ ເນື້ອໃນຂອງຄວາມເວົ້າມັນບໍ່ຈະແຈ້ງ ແລະຢ້ານເຂົ້າ
ໃຈໄປຄົນລະແນວ ອາດບໍດຶງດູດ ສ້າງຄວາມສົນໃຈ ແລະໃຫ້ຄວາມໝັ້ນໃຈຫລາຍພໍ
ທີຈະຮັບປາກ yes ຫລື no ກັບທ່ານເວລານີ້ກໍເປັນໄດ້. ແມ້ແຕ່ການຈະບອບ ອີເມນ
ກໍຍັງມີຄວາມສັບສົນພໍສົມຄວນແລ້ວ ບໍຈັກວ່າຈະສົ່ງໄປ Laonetworkroom, LaoDemocracy, Lao Opposition, etc..ແລະຄົນສ່ວນຫລາຍກໍຍັງບໍ່ເຂົ້າໃຈວ່າຕົນເອງຢູ່ກຸ່ມໃດ.

ສນັ້ນຂໍໃຫ້ທ່ານທັ້ງຫລາຍທີ່ອ່ານຄຳເຫັນນີ້ແລ້ວຈົ່ງໃຫ້ຄຳຕອບໄປຍັງສູນ
Moderator ໂດຍດ່ວນ.ທີ່ ຜຂ ກ່າວມານີ້ມີສ່ວນຖືກບໍ່?
ຂອບໃຈຫລາຍໆ

Best regards
Specom


-




Sabaidee members,


from the moderator. I would like to seek the advise from members:
If we cannot unify to speak up as a voice so moderator is happy to close
all forums and stay in silence.
We cannot work with out destination and no clue. It is very very hard to form
a big group but moderator can delete this group in 5 seconds.
If our group fail, Mr Phom Laosnet Group will fail too.


So I would like you to make the consideration to support this task and the
fighting for democracy will have a leader to talk on behalf of us, a Lao Nork
group and Lao people who have no voice in the country. Please choose 5
people to be our leaders.


A leader is chosen by many people and does not specific the knowledge,
the title, the ethics but a group accepts him to represent them.
A group is recognised by the international organisation and worldwide so
that group is the real representative of Lao people who have no voice in the
country.


That group is acted as an opponent of Lao PDR. This is an international stage.


Now there are China town in Vientiane next to the new sport stadium and the autonomy Boten and Ton Pheung - Houi Sai. ( Golden triangle - North ) .
Hanoi town in Savannakhet, Nongtha Vientiane and the autonomy of Three
southern province -Attopeu, Sekong and Saravanh. ( Triangle - South )


We use the Voice of Laotians Overseas to the international worldwide about the neo-colonizing Laos.


Best Regards,
A. Bounkhong.

สปป ลาว เป็นจังหวัดหนึ่งของเวียตนามนับตั้งแต่วันที่18/07/1977จากสญธิสัญญาสะหาย
ไกสอน พมวิหาน ใด้เช็ญสัญญา
มอบแผ่นดินลาวและ ปชช ลาวไห้เป็นของเวียตนามแท้เช่นเดียวกับภาคตระัวันออกเฉียงเหนือหรือ
"อิสาน"19จังหวัดของ-
"อาณาจักร์ลาวล้านช้าง"ที่ FRANCE-SIAMเช็นแบ่งกันใน 03/10/1893 นี้คือความจริงแท้แน่นอน
นาๆชาติเขารับรู้หมด-(ฝร้่งมอบเอกราชให้ ปชช ลาวแล้ว ในปี 1954 แต่ เจ้าโจรสยามอุ้ม พี่น้องลาว42
ลาวไว้เลยหริอนี้)
เวลานี้มีพลเมืองเวียตนามเข้ามาอยู่เป็นพลเืมือง3ล้านคนและกำลังทหารอีก70,000คนกระจายไปจาก
เหนือสุดถึงไต้และจะทยอยเข้ามาเรื่อยๆ...วันนั้นคำว่า สปป ลาว ก็จะเปลี่ยนชื่อไหม่เป็น
"สะหะพันอินโดจีน"ชึ่งมีเมืองหลวงของประเทศอยู่HA-
NOI.เช่นเดียวกับคำว่า"สยาม"เปลี่ยนเป็น"THAILAND"มีเมืองหลวงของประเทศอยู่"BANGKOK"
คงไม่นานเกีนไปหรอก สำหรับลาวโง่-ลาวขี้ขลาด-ลาวตาขาว-ลาวอวดอ่งทนงตัว ประเทศของท่าน
จะกลายเป็น
ของชาติอื่นเช่นเดียวกับคนลาวที่ภาค"อีสาน"คนลาวแท้ๆ พวกหมาเชียงเหมิ้ยงสยาม บอก ว่าคน อีสาน
เพื่อปกปีดหลอกชาวโลกว่าไม่มีคนลาวในดีนแดนสยามมัน
ถ้าพวกท่านอยังไม่รวมความสมัคคีกันต่อสู้กับศัตรูของพวกท่าน 36ปีผ่านไปแล้วพวกท่านอยังไม่ตื่นอีกหรือ!

ท่านจะรอไห้
ไครมาช่วยท่านอีก...ลาวกับลาวเท่านั้นที่จะช่วยกันก่อนอื่นหมด..ลุกขื้น...ลุกขื้น...ลุกขื้น...สู้...สู้...สู้.
.พี่น้องลาว!!!

ประเทศไทยมีสองประเทศ



โดย ใจ อึ๊งภากรณ์



ประเทศไทยมีสองประเทศคือ.....

ประเทศในฝันของอำมาตย์ และประเทศจริงของเรา





· ในประเทศของอำมาตย์ นายภูมิพลบินได้ เพราะเป็นเทวดา

· แต่ในประเทศของเรา นายภูมิพลเป็นแค่มนุษย์ที่เกือบจะเดินไม่ได้



· ในประเทศของอำมาตย์ เขาเสนอว่านายภูมิพลไม่ขี้เยี่ยวตดเหมือนเรา เพราะภูมิพลเป็นพระเจ้า

· แต่ในประเทศของเรา ขี้เหม็นๆ ของนายภูมิพล ซึ่งไม่ได้เหม็นอะไรเป็นพิเศษ ต้องถูกนำไปจัดการ
โดยคนรับใช้



· ในประเทศของอำมาตย์ เขาฝันว่าประชาชนรักในหลวง และโกหกว่าในหลวงรักประชาชน

· แต่ในประเทศของเรา เราเกลียดราชวงศ์กาฝาก และราชวงศ์กาฝากดูถูกเกลียดชังประชาชน



· ในประเทศของอำมาตย์ พวกนั้นยังพูดว่า “ใต้ฝ่าละอองทุลีพระบาท”

· แต่ในประเทศของเรา ประชาชนตะโกน “เหี้ยสั่งฆ่า”



· ในประเทศของอำมาตย์ เขาฝันว่าเราเชื่อว่านายภูมิพลเป็นคนเรียบง่ายพอเพียง

· แต่ในประเทศของเรา เรารู้ว่านายภูมิพลรวยที่สุดในประเทศไทยแล้วมาสอนคนจนให้พอเพียง



· ในประเทศของอำมาตย์ นายภูมิพลเป็นอัจฉริยะมนุษย์ที่คิดค้นทุกอย่างในจักรวาล

· แต่ในประเทศของเรา เรารู้ว่ามีคนฉลาดและเก่งกว่านายภูมิพลจำนวนมาก เพียงแต่เขาไม่โอ้อวดว่า
ตัวเองเก่ง



· ในประเทศของอำมาตย์เขาเอารูปภูมิพลกับหยดเหงื่อปลายจมูกมาโกหกเราว่าเขาทำงานหนัก (มีรูป
เดียวเพราะเหงื่อออกไม่บ่อย)

· แต่ในประเทศของเราคนทำงานหนักถูกมองว่าเป็นผักเป็นปลาฆ่าทิ้งได้



· ในประเทศของอำมาตย์ นักการเมือง และทหารชอบอ้างพระราชดำรัสเหมือนเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์จากฟ้า

· แต่ในประเทศของเรา เราเข้าใจว่านายภูมิพลพูดกำกวม ไร้สาระ และผู้ที่อ้างพระราชดำรัสเป็นคนปัญ
ญาอ่อน หรือคนเลวที่หาความชอบธรรม



· ในประเทศของอำมาตย์ เขาพูดเสมอว่า “ทหารและศาลเป็นของกษัตริย์”

· แต่ในประเทศของเรา เราควรรู้ว่ากษัตริย์เป็นเครื่องมือของทหารและอำมาตย์ และมีไว้เพื่อกดขี่ขูดรีดเรา



· ในประเทศของอำมาตย์เขาชอบพูดว่า “ความจริงสู้กับอธรรม”

· แต่ในประเทศของเรา อำมาตย์ใช้กฎหมายหมิ่นกษัตริย์เพื่อปกปิดความจริง และอำมาตย์โกหกว่าทหาร
ไม่ได้ฆ่าประชาชน



· ในประเทศของอำมาตย์ แม้แต่หมาของนายภูมิพลเหนือกว่าประชาชน

· แต่ในประเทศของเรา เราจะต่อสู้ให้ประชาชนเป็นใหญ่ในแผ่นดิน


--
Giles Ji Ungpakorn
UK mobile:+44-(0)7817034432
UK landline +44(0) 1865-422117
http://wdpress.blog.co.uk/
http://redsiam.wordpress.com/
see YOUTUBE videos by Giles53