ລາວໂຮມລາວ ເພື່ອປະຊາທິປະໄຕ

Members Login
Username 
 
Password 
    Remember Me  
Post Info TOPIC: ພວກຜູ້ນຳລາວຂາຍຊາດ ຂາຍແຜ່ນດິນ
Anonymous

Date:
RE: ພວກຜູ້ນຳລາວຂາຍຊາດ ຂາຍແຜ່ນດິນ
Permalink   
 


http://www.vientianemai.net/teen/khao/1/5254


ຄອບຄົວແກ້ວບຸນພັນ ມອບເຄືອງຊ່ວຍເຫຼືອຄົນເຈັບຜູ້ທຸກຍາກ
ວັນທີ 16 ທັນວາ 2011 - ເວລາ 15:08:04 ສົ່ງຂ່າວນີ້ໃຫ້ເພື່ອນ ພິມຂ່າວນີ້ Share 0
Divider
... ຄອບຄົວແກ້ວບຸນພັນ ມອບເຄືອງຊ່ວຍເຫຼືອຄົນເຈັບຜູ້ທຸກຍາກ

ເນື່ອງໃນໂອ­ກາດວັນ­ຊາດ ທີ 2 ທັນ­ວາ ຄົບ­ຮອບ 36 ປີ ແລະ ວັນຄ້າຍວັນເກີດຂອງປະ­ທານ ໄກ­ສອນ ພົມ­ວິ­ຫານ ຄົບ­ຮອບ 91 ປີ ແລະ ເພື່ອເປັນການແບ່ງເບົາພາ­ລະຂອງທາງໂຮງ­ໝໍ ໃນການຊ່ວຍ­ເຫຼືອຄົນເຈັບຜູ້ທຸກຍາກທີ່ມາປິ່ນ­ປົວຢູ່ໂຮງ­ໝໍ ແລະ ເພື່ອເປັນການປະ­ກອບ­ສ່ວນຊຸກ­ຍູ້ບັນ­ດາແພດໝໍ ທີ່ປະ­ຕິ­ບັດໜ້າ­ທີ່ຮັບໃຊ້ປະ­ຊາ­ຊົນຢູ່ພາຍໃນໂຮງ­ໝໍຕ່າງໆ.



ໃນວັນທີ 10-11 ທັນ­ວາ 2011 ຄອບ­ຄົວແກ້ວບຸນພັນ ນຳໂດຍທ່ານ ດຣ.ນາງ ອິນລາວັນ ແກ້ວບຸນພັນ ລັດ­ຖະ­ມົນ­ຕີຊ່ວຍວ່າ­ການກະ­ຊວງສາ­ທາ­ລະ­ນະສຸກ ທ່ານນາງ ແອ ແກ້ວບຸນພັນ ຜູ້­ອຳ­ນວຍ­ການບໍ­ລິ­ສັດໂຊກດີ ໂອ­ສົດ ພ້ອມດ້ວຍລູກຫຼານໄດ້ມີນ້ຳ­ໃຈໃສສັດ­ທາ ມອບເຄື່ອງຊ່ວຍ­ເຫຼືອໃຫ້ແກ່ຄົນເຈັບຜູ້ທຸກຍາກທີ່ມາຮັບການ ປິ່ນ­ປົວສຸ­ຂະ­ພາບ ຢູ່ໃນໂຮງ­ໝໍ 4 ແຫ່ງຄື: ໂຮງ­ໝໍເຊດຖາທິຣາດ ໂຮງໝໍໍມິດ­ຕະ­ພາບ (ໂຮງ­ໝໍ 150 ຕຽງ) ໂຮງ­ໝໍມະ­ໂຫ­ສົດ ໂຮງ­ໝໍແມ່ ແລະ ເດັກ.



ເຄື່ອງຊ່ວຍ­ເຫຼືອທີ່ທາງຄອບ­ຄົວແກ້ວບຸນພັນ ນຳມາມອບໃຫ້ໂຮງ­ໝໍຄັ້ງນີ້ ມີເຄື່ອງ­ໃຊ້ສອຍຈຳ­ນວນ 240 ຊຸດ ແຕ່ລະຊຸດປະ­ກອບມີຜ້າ­ຫົ່ມ ສະ­ບູ ຢາ­ຖູ­ແຂ້ວ ແຟບ ແລະ ເສື້ອ ມູນຄ່າ 28,8 ລ້ານກີບ ໂດຍມອບໃຫ້ໂຮງ­ໝໍລະ 60 ຊຸດ ເພື່ອມອບໃຫ້ຄົນເຈັບຜູ້ທຸກຍາກທີ່ມາຮັບການປິ່ນ­ປົວຢູ່ໂຮງ­ໝໍ 4 ແຫ່ງ ພ້ອມນີ້ທາງຄອບ­ຄົວແກ້ວບຸນພັນ ຍັງໄດ້ມອບຄອມພິວເຕີຕັ້ງໂຕະ ຈຳ­ນວນ 4 ຊຸດ ໃຫ້ແກ່ໂຮງ­ໝໍ 4 ແຫ່ງ ມູນຄ່າ 24 ລ້ານກີບ ລວມມູນຄ່າການການຊ່ວຍ­ເຫຼືອຄັ້ງນີ້ ທັງໝົດ 52,8 ລ້ານກີບ ໂດຍການອຸ­ປະ­ຖຳຂອງບໍ­ລິ­ສັດໂຊກດີໂອ­ສົດ.
.....................................
ລະບົບເຄືອຍາດ ຫລື nepotismທີ່ຊັ່ວຊ້າທີ່ສຸດ ໃນຍຸກພວກຫມາໂຈນລາວແດງຄອງເມືອງ36ປິ
ລະບົບເຄືອຍາດ ຫລື nepotismທີ່ຊັ່ວຊ້າທີ່ສຸດ ໃນຍຸກພວກຫມາໂຈນລາວແດງຄອງເມືອງ36ປິ
ລະບົບເຄືອຍາດ ຫລື nepotismທີ່ຊັ່ວຊ້າທີ່ສຸດ ໃນຍຸກພວກຫມາໂຈນລາວແດງຄອງເມືອງ36ປິ
ລະບົບເຄືອຍາດ ຫລື nepotismທີ່ຊັ່ວຊ້າທີ່ສຸດ ໃນຍຸກພວກຫມາໂຈນລາວແດງຄອງເມືອງ36ປິ
.....................................

ດຣ ເອກສຫ່າງ ວົງວີຈິດ ຣມຕ ສາທາຣະນະສຸກ
ບັກດາວອນ ວົງວິຈິດ ສສ ສາຣະວັນ ປະທານ ກັມມະການກ່ຽວກັບກົດຫມາຍ

ບັກສັນຕີພາບ ພົມວິຫານ ຈາກ ອະທີບໍດິ ພາສີ ຖືກ ພັກໂຄດແມ່ແສນຊັ່ວມັນລາກຂື້ນເປັນ ຣມຕຊ່ວຍການຄັງ ບ່ອນລູກບັກແກວຫ້ນາແຫ້ລສົບເວີ ອິ່ວຽງທອງ 860ພັນດອນຢູ່ກ່ອນແລ້ວ
ເຊັ່ນດຽວກັບນ້ອງຊາຍມັນ ບັກພົນຕຣີ ສັນຍາລັກ(ອາຍຸພຽງ36ປິ)ຟຕ່ສູ່ຕຳແຫ່ນງ ຣມຕກະຊວງປ້ອງກັນ ປທ ແລ້ວ
ບັກໄຊສົມພອນ ຮອງ ປທ ສະພາ
ບັກທອງສຫວັນພົວວີຫິ ອະດີດທູດໂຈນລາວແດງທີ່ໂມສກຸ

ບັກສະຫມານວີຍສາເກດ ຣມຕ ອຸສຫະກັມແລະການຄ້າ
ບັກດວງສຫວັດສຸພານຸວົງ ຣມຕ ປະຈຳສຳນັກງານ ນຍ

ອີ່ ເຂັມຄຳພົນເສນາ ຣມຕ " "
ອີ່ເຂັມມະນີ ຣມຕຊ່ວຍ ການຄ້າ ແລະ ອຸສຫາກັມ
ບັກສົມຫມາດ ພົນເສນາ ຣມຕ ໂຍທາແລະຂົນສົ່ງ
ດຣ ພອນເທບພົນເສນາ ສສ ເຊໂດນ
ອີ່ມະໂນຣົມພົນເສນາ ທີ່ຜືກສາທູດລາວແດງ ໃນ ສະເວເດນ

ບັກສອນໄຊ860ລ້ານດອນ ເຈົ້າແຂວງຈີກ້ໂກເມືອງປາກເຊ
ອີ່ວຽງທອງ ຣມຕຊ່ວຍການຄັງ

ອີ່ວຽງສຫວັນ ພູນສີປະເສິດ ທູດລາວແດງ ຢູ່ສີງກະໂປ
ອິ່ ມະໄລທອງ ສາກົນນີຍົມ(ຫລານບັກປະປທຈູມມາລິ) ທູດໂຈນ ທີ່ ຝີລິບປິນ ຜົວອີ່ຫ່ານິ້ບັກສຸທັມເປັນທູດຢູ່ແບນຊິກ

ບັກ ນາຍພົນຄຳອ້ວນຜຸຜາ ຣມຕ ປະຈຳສຳນັກງານ ນຍ
ບັກພົວສະຫວັດບຸບຜາ ຣມຕ ຊ່ວຍ ຕ່າງ ປທ
ບັກທ່ຽງບຸຜາ ທູດໂຈນ ທີ່ ໂມສກູ ແທນລູກໂຈນ ໄກສອນ

ຍັງມິອິກຂຽນ 36ປິຂຽນ ກະບໍ່ຫົມດ ລາວລີງທັງຫລາຍ ພວກສຸ ສະນັບສະນູນໂຈນບ້ານໂຈນເມືອງອິກຕໍ່ໄປເດີ




__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ลักษณะสำคัญของลัทธิเผด็จการ
เนื่องจากแนวความคิดตลอดจนความหมายของเผด็จการยังมีข้อโต้แย้งกันมาก แต่อย่างไรก็ตามเผด็จการไม่ว่าในลักษณะใด ๆ จะมีสิ่งที่ร่วมกันอยู่ ซึ่งพอจะสรุปได้ดังต่อไปนี้



ประการที่หนึ่ง

ลัทธิเผด็จการไม่เห็นความสำคัญของความเสมอภาคหรือไม่เชื่อว่าบุคคลมีความ เท่าเทียมกัน ไม่ว่าในด้านชาติกำเนิด การศึกษาและฐานะทางสังคม ด้วยเหตุนี้ลัทธิเผด็จการจึงแบ่งคนในสังคมออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มผู้นำ ซึ่งหมายถึงบุคคลที่มีชาติกำเนิน การศึกษา และฐานะทางสังคมสูง พวกนี้เป็นพวกที่มีความสามารถในการที่จะค้นพบความจริง ความถูกต้อง และสร้างสรรค์คุณธรรมความดีให้กับสังคมได้ ส่วนอีกกลุ่มหนึ่ง คือ ประชาชนโดยทั่วไป ซึ่งไร้ความสามารถและไม่อาจที่จะปกครองตนเองได้มักจะดำเนินการใด ๆ ไปโดยใช้อารมณ์เป็นเกณฑ์ ด้วยเหตุนี้ลัทธิเผด็จการจึงเชื่อว่าประชาชนส่วนใหญ่จึงต้องเชื่อฟังผู้นำ

ประการที่สอง ลัทธิเผด็จการเป็นลัทธิการเมืองที่ไม่ยอมรับว่าประชาชนทั่ว ๆ ไปเป็นผู้มีเหตุผล ลัทธินี้เชื่อว่าเหตุผลของประชาชนทั่ว ๆ ไป ไม่สามารถที่จะนำมาแก้ปัญหาของสังคมได้ เพราะแต่ละคนต่างก็ยึดตนเองเป็นหลัก การใช้เหตุผลเพื่อยุติปัญหาจะนำมาซึ่งความโกลาหล ขาดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของสังคม ดังนั้นลัทธินี้จึงสรุปว่าประชาชนทั่ว ๆ ไปเป็นผู้ที่ไร้เหตุผล ผู้ปกครองจึงไม่จำเป็นต้องไปให้เหตุผลใด ๆ และประชาชนโดยทั่วไปต้องมีผู้ปกครองเป็นผู้นำให้ความคุ้มครองแก่พวกเขา ซึ่งผู้นำนี้เองที่จะทำให้ประชาชนมีความก้าวหน้าปลอดภัยและยิ่งใหญ่ได้ ส่วนประชาชนนั้นมีหน้าที่อยู่อย่างเดียว คือ เชื่อฟังและปฏิบัติตามผู้นำโดยถือว่าเป็นหน้าที่ที่จะต้องกระทำ

ประการที่สาม

ลัทธิเผด็จการให้ความสำคัญกับเสรีภาพส่วนบุคคลน้อยกว่าอำนาจรัฐ ประเด็นนี้ เราอาจจะเข้าใจได้แจ่มชัดขึ้น ถ้าเราพิจารณาคำกล่าวของมุสโสลินี ผู้นำของเผด็จการฟาสซิสต์ตอนหนึ่งที่ว่า รัฐเป็นนายและเป็นจุดมุ่งหมายปลายทางของชีวิตและสังคม นั่นคือ ลัทธิเผด็จการจะยึดมั่นว่ารัฐเป็นสิ่งสูงสุดที่ประชาชนจะต้องสักการบูชา และอุทิศตนเองเพื่อความยิ่งใหญ่และความเจริญก้าวหน้าของรัฐ ประชาชนจะต้องมีภาระที่จะรับใช้รัฐ ฉะนั้นสิ่งใดที่รัฐกำหนดขึ้นทุกคนที่อยู่ในรัฐก็จะต้องปฏิบัติตามโดยไม่อาจ หลีกเหลี่ยงได้นั่นคือ รบอบเผด็จการจะเน้นที่อำนาจของรัฐมากกว่าเสรีภาพของประชาชน

ประการที่สี่

ลัทธิเผด็จการไม่อดทนต่อความคิดที่แตกต่างกัน อันจะได้มาซึ่งความเห็นพ้อง หรือการเหนี่ยวนำให้ตรงแนวความคิดที่พวกเขายึดถือ คือ เรื่องอำนาจสูงสุดของรัฐและอำนาจเด็ดขาดของผู้นำที่เป็นตัวแทนของรัฐ ดังนั้นกลุ่มต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมือง สมาคมอาชีพ สหพันธ์-กรรมกรจะต้องเป็นกลุ่มที่ให้การสนับสนุนผู้นำจึงจะตั้งอยู่ได้ พวกผู้นำลัทธิเผด็จการจะไม่ยอมให้มีฝ่ายอื่นใดเข้ามามีส่วนในการใช้อำนาจและ ด้วยความกลัวว่าจะมีกลุ่มทางการเมืองอื่นมาแย่งชิงอำนาจ บรรดาผู้นำเหล่านี้จะพยายามค้นหาและทำลายกลุ่มเหล่านั้นเสียก่อนที่จะเติบโต ขึ้นมาและทำลายพวกตนได.

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ສະບາຍດີສິດທິພອນ


ຈັ່ງແມ່ນເຈົ້າຊອກວຽກໃຫ້ເນາະ ສິໄປໃສບໍໄດ້ ອາຈານຈັນລີ ມີຊື່ວ່າ พระครูอุทัยธรรมโสภิต เจ้าอาวาสวัด สัมมาชัญญาวาส เขตคลองสามวา กทม. อดีตนายทหาร ฝ่ายขวาของลาว ถูกคนร้าย บุกสังหารจนมรณภาพเมื่อวันที่ 18 ต.ค. 47(18/10/2004)


ໄຜໄປລີ້ຢູ່ໄທນັ້ນຕາຍງ່າຍ ບໍ່ວ່າຈະແມ່ນຝ່າຍໃດ ໂດຍສະເພາະຜູ້ມັກດ່າໃຫ້ຫມູ່ເຈັບໃຈ ຝຣັ່ງ ກໍຊ່ອຍບໍໄດ້

ເບີ່ງໄດ້ທີ່ນີ້ http://tiny.cc/mahaChanli




1. นายทองใบ ซอนมณี ถูกอุ้มฆ่าทำลายศพ เมื่อวันที่ 20 ต.ค. 46( 20/10/2003) ในพื้นที่ จ.นครพนม

2. นายณรงค์ สุวรรณบุปผา ถูกยิงและแทงจน เสียชีวิตเมื่อวันที่ 3 พ.ย. 46(3/11/2003) ที่ อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี

3. นายชัย กันนะดอน ถูกยิงเสียชีวิตเมื่อวันที่ 18 ก.ย. 47(18/9/2004) ที่ จ.หนองคาย

4. พระครูอุทัยธรรมโสภิต เจ้าอาวาสวัด สัมมาชัญญาวาส เขตคลองสามวา กทม. อดีตนายทหาร ฝ่ายขวาของลาว ถูกคนร้าย บุกสังหารจนมรณภาพเมื่อวันที่ 18 ต.ค. 47(18/10/2004)

5. นายดำริ สีพันธ์ ถูกยิงเสียชีวิต ส่วนภรรยา บาดเจ็บ เหตุเกิดวันที่ 23 พ.ย. 47 (23/11/2004)ที่ อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย

6. นายบุญมี นาระเนตร ถูกยิงเสียชีวิตเมื่อวันที่ 2 ม.ค. 48(2/1/2005) ที่ ต.หมากแข้ง อ.เมืองอุดรธานี

7. นายเจมส์ เซ้ง ชาวลาว สัญชาติอเมริกัน

8. นายบัติ ใจเที่ยง

9. นายสินกัน ปราจอหอ

10. และนายรัตน์ พรหมจันทร์ ถูกอุ้มฆ่าหมู่ รวม 4 ศพ เมื่อ วันที่ 26 ม.ค. 48(26/1/2005) ที่ จ.หนองคาย

11. นายนำชัย

12. และนางรัชดา ศรีรัตน์ ถูกฆ่า เมื่อวันที่ 10 พ.ค. 48(10/5/2005) ใน ต.ขามใหญ่ อ.เมืองอุบลราชธานี

13. นายมงคล อ่อนประทุม ถูกยิงเสียชีวิตเมื่อวันที่ 19 ก.ค. 48(19/7/2005) ที่ ต.สระไคร้ อ.เมืองหนองคาย

14. นายตัน ก๊วนแข็ง ถูกยิง เสียชีวิตวันที่ 5 ส.ค. 48(5/8/2005) ในห้องพักหัวลายอพาร์ตเมนต์ อ.เมืองอุบลราชธานี

15. นายคำหยาด วรรณสุธะ ถูกยิงตาย เมื่อวันที่ 28 ส.ค. 48(28/8/2005) ที่ ต.พลูหลวง จ.เลย

16. นายชูชาติ ฉิมฤทธิ์ ถูกฆ่าเมื่อวันที่ 26 ต.ค. 48(26/10/2005) ที่ ต.ขามใหญ่ อ.เมือง อุบลราชธานี

17. นายไซซอง ชาวลาวสัญชาติอเมริกันถูกยิงเมื่อวันที่ 17 พ.ย. 48(17/11/2005) ที่ จ.อุบลราชธานี

18. นายชิดชัย ธัญวิกุล ถูกฆ่าวันที่ 30 พ.ย. 48(30/11/2005) ที่ อ.เมืองมุกดาหาร

19. นายแก่นตา ศรีสวาสดิ์ ถูกฆ่าเมื่อวันที่ 16 ธ.ค. 48(16/12/2005) ที่ จ.มุกดาหาร

20. เชื้อพระวงศ์ลาวสายเวียงจันทน์ ในนาม สมเด็จพระเจ้าอนุวงศ์ เศรษฐาธิราช
ที่สี่ จากเมืองแฟร์วิลล์ ของรัฐนอร์ทแคโรไลนา สหรัฐอเมริกา
21 และเจ้าหยิงอุไรวรรณ เศรษฐาธิราช ถือสัญชาติอเมริกัน ถูกยิง เสียชีวิตเมื่อวันที่ 18 ม.ค. 49(18/1/2006) ที่ศาลากู่แก้ว จ.หนองคาย

22. ร.อ.สุกันต์

23. และนางจันทร์ เตชะคำภู ถูกยิงเสียชีวิตเมื่อ วันที่ 11 พ.ค. 49(11/5/2006)ที่ อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี หลังเกิดเหตุ ทางกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) ได้จับกุมนายอาทิตย์ หรือลม กลิ่นจันทร์ อายุ 22 ปี และนายสุวัฒน์ สุทธัง อายุ 28 ปี เป็นผู้ต้องหา รับสารภาพก่อคดีสังหารทั้ง 17 คดีรวม 22 ศพ แลกกับค่าจ้างศพละ 1 แสนบาท โดยทั้งคู่ถูกจับได้เมื่อวันที่ 25 พ.ค. 49

24 แต่หลังจากนั้นในวันที่ 8 ส.ค. 49(8/8/2006) ก็มีเหตุฆ่าสมาชิก แนวร่วมขบวนการต่อต้านลาวเสียชีวิตอีก 1 ราย คือ ร.อ. คำบอน ทุยวงศา อายุ 56 ปี อดีตทหารลาวฝ่ายขวา ถูก คนร้ายใช้ปืนเอ็ม 16 ถล่มยิงเสียชีวิตคาบ้านเลขที่ 172 หมู่ 8 บ้านมันปลา ต.คำเขื่อนแก้ว อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี

25. ทิ้งห่างเพียงแค่ 5 เดือน ก็เกิดเหตุมือปืนประกบยิงนาย สุกัน วิชาเทศ

26. และนายสมหวัง แก้วมณีวงศ์ ชาวลาว สัญชาติ อเมริกัน ซึ่งเป็นแนวร่วม ขตล.กลางสถานีขนส่ง จ.อุบลราชธานี เมื่อช่วงเย็น วันที่ 13 ธ.ค.(13/12/2006) ทำให้คดีที่เกี่ยวข้องกับขบวนการ ต่อต้านลาวเพิ่มเป็น 19 คดี มียอดผู้เสียชีวิตไปแล้ว 26 ศพ และ อยังมีอีก40คน ใน แบลกลีสต์

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1324040317&grpid=03&catid=&subcatid=


UNODC ชี้พม่าและลาวปลูกฝิ่นรายใหญ่ของโลกอันดับ 2และ3 ยกย่องไทยลดการผลิตต่อเนื่อง

วันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2554 เวลา 22:57:17 น.

Share






เมื่อไม่นานมานี้ สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC ) ระบุว่าพื้นที่ ที่ใช้ในการปลูกฝิ่นในแถบเอเซียตะวันออกเฉียงใต้เพิ่มขึ้นราว 16% ในปีนี้ โดยเฉพาะพม่าซึ่งเป็นประเทศผู้ปลูกฝิ่นรายใหญ่อันดับ 2 รองจากอัฟกานิสถาน มีการปลูกฝิ่นเพิ่มขึ้นคิดเป็นสัดส่วนราว 96% ของปริมาณการปลูกฝิ่นที่เพิ่มขึ้นทั้งหมดในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ปีนี้ คาดว่าฝิ่นที่ผลิตในพม่าตลอดปี พ.ศ 2554 มีปริมาณราว 610 ตันหรือประมาณ 10% ของปริมาณฝิ่นทั่วโลก ขณะที่ลาวผลิตฝิ่นในปีนี้ทั้งหมด 25 ตัน




Gary Lewis ผู้แทนของ UNODC ประจำเอเซีย-แปซิฟิก กล่าวต่อสมาคมผู้สื่อข่าวต่างชาติในประเทศไทยในโอกาสเผยแพร่รายงานสำรวจฉบับ นี้ว่า ฝิ่นที่ผลิตในแถบเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ปีนี้มีมูลค่ารวมประมาณ 319 ล้านดอลล่าร์ ส่วนใหญ่ปลูกในแถบรัฐฉานของพม่า โดยสาเหตุที่ทำให้การปลูกฝิ่นในรัฐฉานมีปริมาณเพิ่มขึ้นคือความไร้เสถียรภาพ ด้านอาหาร ความยากจนและความขัดแย้งในพื้นที่ดังกล่าว รวมทั้งการที่ฝิ่นมีราคาแพงขึ้นทำให้เกษตรกรจำนวนมากหันไปปลูกฝิ่น







UNODC ระบุว่าปัจจุบันราคาฝิ่นในพม่าเพิ่มขึ้นจากระดับกิโลกรัมละ 300 ดอลล่าร์เมื่อปีที่แล้วเป็นกิโลกรัมละ 450 ดอลล่าร์ ประกอบกับเงินจ๊าดมีค่าลดลงยิ่งทำให้ฝิ่นขายได้ราคาสูงขึ้นโดยเปรียบเทียบ ขณะที่ราคาฝิ่นในลาวและประเทศไทยเพิ่มขึ้นไปถึงกิโลกรัมละ 1,400 – 1,600 ดอลล่าร์ ส่งผลให้เกษตรกรผู้ปลูกฝิ่นรวมถึงคนงานที่ทำงานในไร่ฝิ่นต่างมีรายได้เฉลี่ย สูงกว่าคนงานหรือเกษตรกรผู้ปลูกพืชชนิดอื่นๆหลายเท่า







Jason Eligh ผู้จัดการฝ่ายพม่าของ UNODC ชี้ว่าด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจดังกล่าว ชาวบ้านจำนวนมากที่ประสบปัญหาเงินๆทองๆจึงหันไปปลูกฝิ่นหรือไปรับจ้างทำงาน ในไร่ฝิ่นแทนอาชีพอื่น เจ้าหน้าที่ของ UNODC ยังบอกด้วยว่าจำเป็นต้องมีเงินทุนเพิ่มขึ้นจากต่างชาติเพื่อนำมาใช้ใน โครงการใหม่ๆเพื่อลดการปลูกฝิ่นในลาวและพม่า เช่นโครงการสนับสนุนให้เกษตรกรปลูกพืชเศรษฐกิจชนิดอื่นๆซึ่งเคยใช้ได้ผลมา แล้วในอดีต







การปลูกฝิ่นในแถบเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ 3 ประเทศคือพม่า ลาวและไทย ลดลงไปมากในช่วงระหว่างปี พ.ศ 2541 ถึง 2549 หลังจากรัฐบาลปราบปรามอย่างหนักพร้อมกับนำโครงการปลูกพืชทดแทนชนิดอื่นมาใช้ แต่ปริมาณการปลูกฝิ่นในพม่าและลาวกลับเพิ่มขึ้นอีกครั้งในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา





UNODC ยังได้กล่าวยกย่องประเทศไทยที่เป็นประเทศเดียวในแถบนี้ที่ยังสามารถลดปริมาณ การปลูกฝิ่นลงได้อย่างต่อเนื่อง โดยพื้นที่ปลูกฝิ่นในประเทศไทยปีนี้ลดลงราว 25% และปริมาณผลผลิตฝิ่นลดลงเหลือเพียง 3 ตันเท่านั้น





( เรื่อง Daniel Schearf / ทรงพจน์ สุภาผล | กรุงเทพฯ/กรุงวอชิงตัน / voa thai )

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ລາວ ອ້ອນວອນ ຂໍເງິນຊ່ອຍເຫຼືອ 1 ຕື້ ກີບ ນໍາ NGOs
ລາວ ອ້ອນວອນ ຂໍເງິນຊ່ອຍເຫຼືອ 1 ຕື້ ກີບ ນໍາ NGOs
ລາວ ອ້ອນວອນ ຂໍເງິນຊ່ອຍເຫຼືອ 1 ຕື້ ກີບ ນໍາ NGOs



Laos asks for 1.12 trillion kip for post-flood infrastructure restoration

By Soulaphone Kanyaphim

(KPL) Government officials representing Ministries of Planning and Investment, Foreign Affairs and Labour and Social Welfare met representatives of NGOs, international organisations, and international community expressing the government needs as much as 1.12 trillion kip (approx USD141 million) for the restoration of basic infrastructure destroyed and damaged in flooding caused by two typhoons Haima and Nockten.

The meeting saw the presence of Minister of Planning and Investment, Mr. Somdy Douangdy.

Typhoons Haima on 24-25 June and Noktan on 30 July-1 August affected 82,493 families in 12 provinces nationwide.

The Haima hit the northern and central provinces Sayaboury, Xiengkhouang, Vientiane and Bolikhamsay. Nock-Ten hit central and southern provinces Vientiane,

Bolikhamxay, Khammouane, Savannakhet, and Champassak.

They brought heavy rains, which had caused the rise of water levels in many rivers including Mekong. As a result, many provinces

had been significantly affected by floods and landslides. The worst flooding in decades swept away houses and rice barns and damaged thousands of hectares of farmland, livestock, many schools, hospitals, roads, bridges, water supply systems, electricity networks and other infrastructure in those provinces.

Since June 24, 2011, flooding has killed at least 27 people, the total cost of damage is huge and thousands of people affected.

Vientiane province is the most hard-hit province. The damage cost of the agriculture sector in the province is estimated at 100 billion kip. Meanwhile five of nine districts in Xiengkhouang have been affected by the storm. Houses, roads, electricity and telecommunication systems have been heavily damaged.





36ປິກັບການອ່ອນເພັຍ ບໍ່ເປັນຕົນໂຕຂອງຕົນເອງ
ລຸກຂື້ນລົ້ມປັມ ສົມຄວນຜູກຄໍຕາຍໄດ້ແລ້ວ
ປານນັ້ນ ຣມຕ ແຜນຜັງແລະການລົງທືນ ດຣ ຄຳລຽງພົນເສນາ
ເສືອກ ຫລອກໂລກອິກວ່າ ປິ 2012 ເສຖກິດພວກເຂົາຈະຍອມໂຕ8 % ອິກແລ້ວ

ມີຄຳຕອບທີ່

www.siengserixonlao.com

ຖາກຖາງໄດ້ເຖິງໄຈທີ່ສຸດ

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=0uZnqWukdn4

ພາສາລາວຂອງຄົນເຊື້ອສາຍລາວກ່ວາ40­ລ້ານຄົນໃນສຍາມ ປທ ເປັນພາສາທີ່ຕ້ອງຫ້າມ ອັກສອນລາວຂອງຄົນທີ່ຫລາຍກ່ວາເຄີ່­ງຂອງຄົນທັງ ປທ ຈະພົບເຫັນໄດ້ ແຕ່ທີ່ ຫ້ນາສະຖານທູດລາວແດງ ທີ່ຖນົນສາທອນໄຕ້ ກທມ ເທົ້ານັ້ນເອງ ໃນຄລິບນີ້ ສັງເກດໄດ້ ພາສາທີ່ຄົນສັມພາດ ກະບໍ່ຍອມເວົ້າຫລືຖາມເປັນພາສາ ລ າ ວ ຂອງ ເຮົາ ເລີຍ ແປວ່າ ເຂົາຍັງຊຸກຊົ້ນປົກປິດ ບໍ່ຢາກໃຫ້ ພວກເຮົາຍົກພາສາແມ່ຂອງພວກເຮົາຄືພ­າສາລາວເຮົານັ້ນເອງ ຂື້ນມາທ້າທາຍພາສາເຈົ້າພໍ່ອານານີ­ຄົມທອ້ງຖີ່ນນັ້ນລະຫ້ນາເສັຍໄຈທີ່­ສຸດ ຍຸກນີ້ແມ່ນແລ້ວຕ້ອງນັບຖືຄວາມເປັ­ນມະນຸດຊື້ງກັນແລະກັນຫລາຍກ່ວາຈະຂ­ົ່ມເຫັງແລະດູຖູກແບບບ້າໆ

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

คลิปคุณจักรภพ...เมื่อ 15/12 / 54 mp3..
1. http://www.mediafire.com/?0jf70w860rah788

2. http://www.4shared.com/audio/5xctGEgz/2011-12-15JP.html


Seeds of Democracy ประจำวันที่16-12-54
หากนี่คือสามชั่วโมงสุดท้าย ที่เพียงดินและพิธีกรร่วมจะพูดกับคนไทย... จะบอกอะไรบ้าง?

http://www.mediafire.com/?q5z9kz4ci83mozt
http://www.2shared.com/audio/oD9N0AYS/Seeds_of_Democracy_16-12-54. htmlhttp://www.4shared.com/audio/jAwImDje/Seeds_of_Democracy_16-12-54.html

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์@ตอบโจทย์ "คดีอากง


ตอนที่1 12 ธันวาคม 2554

http://youtu.be/DiBJQK8yS04
wma http://www.mediafire.com/?ow35tji87697ggu




อ.สุลักษณ์ ศิวรักษ์ มาตรา112@Intelligence 12-12-2011


http://www.youtube.com/watch?v=8vkBoaLyBVA

mp3 http://www.mediafire.com/?24t5b2vmxui1upv

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

3 นักวิชาการ" มองมุมต่างจากบทความ "อากงปลงไม่ตก" ของโฆษกศาลยุติธรรม วันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2554 เวลา 20:30:00 น.

matichon




สิทธิศักดิ์ วนะชกิจ โฆษกศาลยุติธรรม


สาวตรี สุขศรี


พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์


คดี "อากงส่งเอสเอ็มเอส" ก่อให้เกิดกระแสการวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมอย่างกว้างขวาง กระทั่งล่าสุด เมื่อวันที่ 14 ธันวาคมที่ผ่านมา นายสิทธิศักดิ์ วนะชกิจ โฆษกศาลยุติธรรม ได้เขียนบทความชื่อ "อากงปลงไม่ตก" ซึ่งถูกนำไปเผยแพร่ในสื่อมวลชนออนไลน์-ออฟไลน์จำนวนมาก


เช่นกันกับ "คดีอากง" บทความของโฆษกศาลยุติธรรมได้นำไปสู่ "ความเห็นต่าง" อย่างหลากหลาย มติชนออนไลน์จึงขออนุญาตนำความเห็นบางส่วนเหล่านั้น มาเผยแพร่ ณ ที่นี้ เพื่อให้สอดคล้องกับที่นายสิทธิศักดิ์เขียนไว้ในบทความว่า


"ศาลและกระบวนการยุติธรรมไม่เคยขัดขวางการแสดงความคิดเห็นของบุคคลใดๆ ขอเพียงการแสดงออกตั้งอยู่บนฐานคติที่ปราศจากอคติ ภายใต้หลักวิชาการ หลักกฎหมาย หลักนิติธรรม หลักเหตุผล หรือหลักความเชื่อส่วนตนที่สุจริตมีข้อมูลครบถ้วนสมบูรณ์"


นักวิชาการนิติราษฎร์ชี้ โฆษกศาลฯ ไม่ได้พูดถึง "ประเด็นสำคัญ" ของการตัดสินคดี


นางสาวสาวตรี สุขศรี นักวิชาการจากคณะนิติราษฎร์ แสดงทัศนะต่อประเด็นนี้ไว้ในงานเปิดตัวหนังสือ "ก้าวข้ามความกลัว" เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ว่าบทความที่เขียนโดยโฆษกศาลยุติธรรม ถึงแม้จะมีการชี้แจงในเรื่องต่างๆ เช่น อากงจะถูกสันนิษฐานว่าบริสุทธิ์จนกว่าจะถูกตัดสินถึงที่สุด เนื่องจากในขณะนี้คดียังอยู่ในศาลชั้นต้นและสามารถอุทธรณ์ได้ อย่างไรก็ตาม จากท่าทีของบทความ กลับสะท้อนว่า ผู้เขียนบทความเองได้ปักใจเชื่อไปแล้วว่า อากงเป็นผู้กระทำความผิดจริง นอกจากนี้ ยังไม่มีการพูดถึงหลักการของภาระการพิสูจน์ความผิด ทั้งๆ ที่เป็นประเด็นที่สำคัญในการตัดสินคดีนี้


(ที่มา "Fearlessness Talk: เสวนาเพื่อก้าวข้ามความกลัว" เว็บไซต์ประชาไท)


"พิชญ์" ตั้งคำถามทำไมไม่มองว่า "เราเข้าใจไม่ตรงกัน"


ด้านนายพิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ รองคณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้แสดงความเห็นไว้ในรายการเวค อัพ ไทยแลนด์ ทางสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมวอยซ์ ทีวี เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม ว่าจะขอวิพากษ์วิจารณ์บทความของโฆษกศาลยุติธรรม ในฐานะการแสดงความเห็นส่วนตัวของนายสิทธิศักดิ์ ไม่ใช่ความเห็นของศาล ซึ่งตามมุมมองของตนบทความดังกล่าวมีปัญหา อาทิ เมื่อมีการยืนยันว่าอากงยังถูกสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าคดีจะถึงที่สุด แต่เหตุใดเขาจึงไม่ได้รับสิทธิประกันตัวในระหว่างการต่อสู้คดี


นอกจากนั้น อาจารย์รัฐศาสตร์ จุฬาฯ ได้ตั้งคำถามว่า ทำไมท่าทีของบทความนี้จึงไม่พิจารณาว่า ปรากฏการณ์การถกเถียงเกี่ยวกับคดีอากงเกิดขึ้นมาเพราะ "เราเข้าใจไม่ตรงกัน" แต่กลับระบุว่า อีกฝ่ายมิได้รู้เห็นข้อเท็จจริงอย่างถ่องแท้ ซึ่งเท่ากับเป็นการชี้ให้เห็นว่า "เราไม่เท่ากัน" นั่นเอง


(ที่มา อ.พิชญ์ เห็นต่างบทความโฆษกศาลยุติธรรม)


อาจารย์ประวัติศาสตร์ มช. ชี้บทความสะท้อน 2 ปัญหาใหญ่ในสังคมไทย


ขณะเดียวกัน นายสิทธิเทพ เอกสิทธิพงษ์ อาจารย์สาขาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เขียนบทความ "บทสะท้อนสังคมไทย" ผ่านคำชี้แจงของโฆษกศาลยุติธรรมต่อคดีอากง โดยระบุว่า ข้อเขียนของโฆษกศาลยุติธรรม เป็นภาพสะท้อนความคิดของคนในสังคมไทยจำนวนไม่น้อย ซึ่งมีปัญหาทางตรรกะวิธีคิดและความเชื่ออยู่ 2 ประเด็นใหญ่ คือ


1.ความเป็นไทยกับการแก้ปัญหาแบบไทย ๆ


นักวิชาการจำนวนมาก ได้พูดถึงความคิดความเชื่อของคนไทยว่า คนไทยมองตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาล "ความเป็นไทย" มีความเฉพาะแตกต่าง ที่พวกฝรั่งไม่มีทางเข้าใจ อะไรที่เกิดในประเทศนี้เป็นเรื่องของไทย ฉะนั้นท่านทั้งหลาย "กรุณาอย่างยุ่ง"


ในแถลงการณ์ของท่านโฆษกศาลได้กล่าวถึงกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ซึ่งประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคีเมื่อปี พ.ศ. 2539 ท่านได้กล่าวว่ากติกาดังกล่าวสอดคล้องกับ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 45 ซึ่งต่อมาท่านได้พัฒนาตรรกะวิธีคิด เพื่อเชื่อมโยงสู่ความคิดที่ว่า "ประเทศไทยให้สิทธิเสรีภาพแก่ประชาชน มีกฎหมาย ที่ความก้าวหน้าทันสมัยทัดเทียมอารยประเทศ เพียงแต่ภายใต้ระบอบการปกครองบ้านเมืองที่แตกต่างกัน ทุกประเทศจึงควรที่จะต้องให้เกียรติเคารพในความต่างที่เป็นจุดแข็งทางวัฒนธรรมและสังคมของแต่ละประเทศ"


นายสิทธิเทพระบุว่า ตนไม่ปฏิเสธเรื่องความต่างระหว่างไทยกับประเทศอื่น ๆ เพราะยอมเป็นสิ่งที่ดำรงอยู่จริงแน่ ๆ ปัญหาคือวิธีคิดในเรื่องความแตกต่างดังนี้ ทำให้คนไทยจำนวนไม่น้อยเลือกที่จะกลบเกลื่อน "ความเหมือน" กับมนุษย์คนอื่น ๆ ในโลก ซึ่งนำไปสู่การปฏิเสธ "คุณค่าในเรื่องสิทธิมนุษยชน" สากล โดยอ้างว่า "ต้องบริหารจัดการกันเองบนความต่างแบบไทย ๆ"

ทั้งนี้ คุณค่าบางอย่างมีความเป็นสากลที่มนุษย์ทั่วโลกรับรู้ได้เหมือนกัน ความรู้สึก เจ็บปวด ทรมานทางกายภาพและจิตใจ จากการถูกลิดรอนอิสรภาพด้วยการคุมขัง ล้วนเป็นสิ่งที่มนุษย์ทั่วโลกมีร่วมกัน การอ้างความเฉพาะแบบไทย ๆ โดยไม่ฟังเสียงวิจารณ์จากมนุษย์คนอื่นที่ไม่ใช่คนไทยไม่สามารถกลบเกลื่อนลบเลือนความเหมือนนี้ได้


นอกจากนี้วิธีคิดที่ปฏิเสธคุณค่า ความคิด ความรู้บางอย่าง เพราะไม่ใช่ของไทย เมื่อเอามาใช้แล้วจึงไม่เหมาะสมกับไทย เพราะประเทศไทยมีสังคมวัฒนธรรมเฉพาะของตัวก็เป็นวิธีคิดที่มีปัญหา หากคิดเช่นนั้นอะไรที่เป็นฝรั่งก็ต้องปฏิเสธให้หมด ไม่เว้นแม้แต่การแพทย์แผนตะวันตก


2. ความรู้ประวัติศาสตร์แบบมักง่าย และขี้ลืม


คนไทยจำนวนไม่น้อยเชื่อว่า ความรู้ประวัติศาสตร์คือการกล่าวถึงสิ่งที่เป็นจริง "จริง ๆ" แน่นอนว่าความเข้าใจดังกล่าวย่อมไม่ผิด แต่แท้จริงหัวใจของการศึกษาประวัติศาสตร์ในโลกสมัยใหม่คือการ "ตั้งคำถาม" และคิดอย่างวิพากษ์โดยมองเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลา ปัจจุบันวงการประวัติศาสตร์เกิดการตั้งคำถามถึงความจริงว่ามีได้หลายมุมมอง เช่น ประวัติศาสตร์ไทยกระแสหลักที่ไม่มี "สามัญชน" อยู่ในประวัติศาสตร์ก็เริ่มถูกตั้งคำถามจากนักประวัติศาสตร์ จนนำไปสู่การศึกษาค้นคว้าประวัติศาสตร์ที่เป็น "ประวัติศาสตร์สังคม" ซึ่งเป็นการมองความจริงจากจุดยืนของคนสามัญ


การศึกษาประวัติศาสตร์ไทยจึงไม่ใช่เรื่องของการท่องจำว่าใครทำอะไรที่ไหนเท่านั้น หากแต่ต้องมีทัศนะวิพากษ์ที่ทำให้มองเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์อย่างสลับซับซ้อน เพราะการท่องจำโดยปราศจากความเข้าใจย่อมนำมาสู่การจำถูกจำผิดได้ เช่น "ประเทศไทยมีเอกราชทางการปกครองและการศาลมาช้านาน" ผมอยากจะเตือนความทรงจำว่าเราเสีย "สิทธิสภาพนอกอาณาเขต" ไปในสมัยรัชกาลที่ 4 ภายใต้สนธิสัญญาเบาว์ริ่ง ประเทศไทยเพิ่งได้รับเอกราชทางการศาลกลับคืนมาอย่างสมบูรณ์ในปี พ.ศ.2481 ด้วยความพยายามของคณะราษฎรภายหลังการปฏิวัติ โดยคณะราษฎรได้ทำการต่อสู้เพื่อให้ไทยได้รับเอกราชทางการศาลอย่างสมบูรณ์ ประจักษ์พยานหรือหลักฐานที่สะท้อนถึง "ความจริง จริง ๆ" ดังกล่าวคือ "อาคารศาลฎีกา" ที่ตั้งตระหง่านแถวสนามหลวง โดยเจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมในปีพ.ศ.2481 ได้บันทึกถึงเหตุผลในการก่อสร้างอาคารศาลนี้ไว้เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2481 มีความตอนหนึ่งว่า


".....บัด นี้ประเทศสยามได้เอกราชในทางศาลคืนมาโดยสมบูรณ์แล้ว จึ่งเป็นการสมควรที่จะมีศาลยุติธรรมให้เป็นสง่าผ่าเผยเยี่ยงประเทศที่เจริญ แล้วทั้งหลาย เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งการที่ได้อำนาจศาลคืนมา....."



คลิกอ่านบทความ "อากงปลงไม่ตก" ได้ที่นี่





__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

คุยกับคนทำหนังสือ "ก้าวข้ามความกลัว" (Free Akong) - อ่านบทความ "อากงปลงไม่ตก" โดยโฆษกศาลยุติธรรม วันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2554 เวลา 20:45:00 น.

matichon




ปวิน


สิทธิศักดิ์






จากคดีจำคุกชายชราวัย 61 ปี ในคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ นำมาสู่การรณรงค์โครงการ "ฝ่ามืออากง" ซึ่งได้ผลตอบรับเกินคาด มีผู้เข้าร่วมโครงการโดยวิธีส่งภาพถ่ายฝ่ามือ ที่เขียนตัวอักษร "อากง" มาหลายร้อยรูปภายในระยะเวลาเพียง 2 สัปดาห์ กระทั่งสามารถรวบรวมเป็นสมุดภาพได้อย่างรวดเร็ว


สมุดภาพเล่มนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้หากขาดผู้ริเริ่มเคลื่อนไหวคนแรกคือ "ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์" นักวิจัยจากสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาแห่งสิงคโปร์ กระทั่งการรวบรวมภาพนั้น นำมาผนวกเข้ากับบทความและคำนิยมของนักวิชาการคนสำคัญ อย่าง ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, ธงชัย วินิจจะกูล และ David Streckfuss กลายเป็นหนังสือ "ก้าวข้ามความกลัว" (Thailand’s Fearlessness: Free Akong)


"ปวิน" เปิดเผยกับ "มติชนออนไลน์" ว่า ตอนนี้มีผู้ส่งรูปถ่ายมาเข้าร่วมโครงการมากกว่า 500 รูป หลังจากเริ่มรณรงค์วันแรกทางเฟซบุ๊ก เมื่อวันที่ 30 พ.ย. โดยไม่ได้กำหนดหลักเกณฑ์อะไรมาก


"ขอให้เขียนชื่ออากงบนฝ่ามือ และถ่ายรูปเต็มตัวให้เห็นหน้า ′เพื่อชี้ว่าเราได้ก้าวข้ามความกลัว′ แต่ก็มีบางคนที่มีไอเดียอย่างอื่น ก็ไม่เป็นไรครับ ผมรับทุกรูป ผมดีใจที่เห็นเพื่อนๆ ให้ความสนใจ และตื่นตัวกับปัญหาที่มากับมาตรา 112 นี้ บางคนก็ส่งความเห็นมาครับ ส่วนใหญ่มาเป็นการบรรยายประกอบภาพ ส่วนใหญ่ตระหนักดีว่ามาตรานี้ก่อให้เกิดปัญหามาก และต้องการเห็นสังคมไทยเดินหน้าต่อไป บนพื้นฐานของความยุติธรรม"


สำหรับความคาดหวังต่อโครงการนี้ เขาบอกว่า การเริ่มต้นในการเป็นแรงบันดาลใจให้หลายคนออกมาเคลื่อนไหวเป็นสาระสำคัญ


"ผมไม่อยากคาดหวังอะไรที่เกินไปกว่าความเป็นจริง ผมจึงยังไม่รู้ว่า โครงการอากงนี้จะลงเอยอย่างไร แต่ผมยังไม่ยอมยุติเพียงเท่านี้ และคิดว่าจะมีกิจกรรมเพิ่ม ผมหวังว่า กรณีอากงและโครงการของผมเป็นแรงบันดาลใจให้อีกหลายคนออกมาร่วมการเคลื่อนไหว ผลักดันให้รัฐบาลนำเรื่องนี้ไปพิจารณาอย่างจริงจัง จุดหมายปลายทางอยู่ที่การแก้ไขมาตรานี้เป็นอย่างน้อย"


สำหรับผลตอบรับตั้งแต่เริ่มต้นโครงการนี้ ซึ่งสุ่มเสี่ยงต่อข้อกล่าวหาเหมารวมว่าไม่จงรักภักดีนั้น "ปวิน" บอกว่า ได้รับเสียงสะท้อนในแง่บวกมากๆ และสิ่งที่ทำตั้งอยู่บนเจตนาดี


"เรามีความจงรักภักดี เราจึงอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี และเชื่อผมเถอะ การแก้ไขกฎหมายหมิ่นฯ จะเป็นทางออกที่ดีที่สุดของการรักษาไว้ซึ่งสถาบัน" ปวินกล่าว


ผู้สนใจการรณรงค์สมุดภาพเล่มนี้ สามารถร่วมงานเปิดตัวหนังสือ "ก้าวข้ามความกลัว" (Thailand’s Fearlessness: Free Akong) และชมนิทรรศการภาพถ่ายได้ ในวันพฤหัสที่ 15 ธันวาคม 2554 ณ ลานปรีดี หาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เวลา 17:30 – 20:00 น. รายได้จากการขายหนังสือทั้งหมด (หลังหักค่าจัดพิมพ์) มอบให้ครอบครัวของ "อากง"


กำหนดการงานเปิดตัวหนังสือ "ก้าวข้ามความกลัว"


17:30 น. เปิดให้เข้าชมนิทรรศการภาพถ่าย สื่อมวลชนลงทะเบียนเพื่อรับหนังสือ และ VCD


18:15 น. ฉายวีดีทัศน์ "อภยยาตรา" และรับฟังเพลง "แดนตาราง" นิธินันธ์ ยอแสงรัตน์ ขับร้อง บรรเลงไวโอลีนโดย ฌส นิยมทรัพย์


18:30 น. แถลงข่าวเปิดตัวหนังสือ "ก้าวข้ามความกลัว" โดย ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการประจำสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ และชวนสนทนาว่าด้วยการก้าวข้ามความกลัว กับ สาวตรี สุขศรี นักวิชาการคณะนิติราษฎร์, วรพจน์ พันธุ์พงศ์ นักเขียนอิสระ และ วันรัก สุวรรณวัฒนา อาจารย์ประจำคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


----------


"อากงปลงไม่ตก" โดยสิทธิศักดิ์ วนะชกิจ โฆษกศาลยุติธรรม


หมายเหตุ : สิทธิศักดิ์ วนะชกิจ โฆษกศาลยุติธรรม ได้เขียนและเผยแพร่บทความแสดงความเห็นเกี่ยวกับ "คดีอากงส่งเอสเอ็มเอส" ซึ่งมีเนื้อหาดังนี้


อากงปลงไม่ตก


พลันสิ้นคำอ่านคำพิพากษาศาลอาญาคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.311/2554 ระหว่างพนักงานอัยการฯ โจทก์ นายอำพล (ขอสงวนนามสกุล) จำเลยอายุ 61 ปี ข้อหาหมิ่นประมาท ดูหมิ่นแสดง ความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์พระราชินีฯ อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14(2)(3) เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2554 หรือที่ผู้คนทั่วไปเรียกว่า "คดีอากง" กระแสสังคมเกือบทุกสาขาอาชีพต่างให้ความสนใจเหมือนกระแสน้ำที่ไหลบ่ามาท่วมศาลและกระบวนยุติธรรมเช่นน้ำท่วมกรุงเทพฯที่ผ่านมารวมทั้งต่างชาติบางประเทศก็ให้ความสนใจแสดงความห่วงใยวิพากษ์วิจารณ์ ศาลยุติธรรมไทยในทางไม่สร้างสรรค์นัก


แต่ไม่ว่าความเห็นของสังคมจะสื่อสารในทางใดก็ตาม ศาลและกระบวนการยุติธรรมไม่เคยขัดขวางการแสดงความคิดเห็นของบุคคลใดๆขอเพียงการแสดงออกตั้งอยู่บนฐานคติที่ปราศจากอคติ ภายใต้หลักวิชาการ หลักกฎหมาย หลักนิติธรรม หลักเหตุผล หรือหลักความเชื่อส่วนตนที่สุจริตมีข้อมูลครบถ้วนสมบูรณ์ แต่ดูเหมือนหลายคนที่วิจารณ์ผลคดีข้างต้นในทางลบยังมิได้รู้เห็นพยานหลักฐานหรือข้อเท็จจริงในสำนวนความอย่างถ่องแท้ ซึ่งการนิ่งเฉยของศาลและกระบวนยุติธรรมมิได้มีค่าเป็นตำลึงทองเสียแล้ว


ผู้เขียนจึงขออนุญาตนำความจริงบางประการในท้องสำนวนคดีนี้ ประกอบกับประเด็นที่สังคมตั้งข้อสงสัยมานำเฉลยเอ่ยความ เพื่อเป็นข้อมูลแลกเปลี่ยนกับท่านผู้อ่านที่เคารพ ซึ่งมีประเด็นใหญ่ๆ ที่ผู้คนกล่าวขานกันดังนี้


1. อากงไม่ได้กระทำความผิด เหตุใดศาลจึงพิพากษาลงโทษจำคุก


2. ศาลลงโทษจำคุก 20 ปี เป็นโทษที่หนักเกินไป


3. อากงอายุมากแล้วควรได้รับการลดโทษ ปล่อยตัวไป หรือได้รับการประกันตัว


4. ศาลไทยไม่มีมาตรฐานสากล ควรรับรองเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของบุคคล


5. ควรยกเลิกความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และความผิดว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับกฎหมายคอมพิวเตอร์


ในข้อแรก ผู้ที่เห็นว่าอากงมิได้กระทำความผิดนั้น หากเป็นการตัดสินกันเองโดยบุคคลกลุ่มคนนอกศาลและกระบวนการยุติธรรม คงจะหาเหตุผลรองรับความชอบธรรมยากสักหน่อย เพราะเป็นความเชื่อส่วนตนที่ตัวเองไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ ขณะที่มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น เป็นอัตวิสัยที่อาจปราศจากพยานหลักฐานสนับสนุน ในขณะที่คดีนี้ผ่านกระบวนการสอบสวน การกลั่นกรองจากอัยการ แล้วเปิดโอกาสให้จำเลยต่อสู้คดีในชั้นศาลอย่างเต็มที่ อันเป็นหลักการสากลและหลักกฎหมายที่เปิดโอกาสให้ผู้ต้องหาหรือจำเลยต่อสู้คดีอย่างเสมอภาคเท่าเทียมและเป็นธรรม


ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า อากงหรือจำเลยมีความผิด เพราะศาลชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายแล้วเชื่อว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดตามฟ้องของอัยการโจทก์จริงแต่ถ้าจำเลยไม่เห็นด้วยไม่พอใจในผลคำพิพากษาก็ยังสามารถใช้สิทธิอุทธรณ์ ฎีกาได้ตามกฎหมาย ซึ่งในอดีตมีคดีที่ศาลสูงเห็นต่างจากศาลชั้นต้นพิพากษากลับ หรือแก้คำพิพากษาศาลล่างก็ไม่น้อย ดังนั้นเมื่อคดียังไม่ถึงที่สุด การจะด่วนสรุปว่าอากงเป็นผู้ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดว่าเป็นผู้กระทำผิดโดยเสร็จเด็ดขาดนั้น ก็ยังมิใช่เป็นเรื่องที่แน่แท้เสมอไป ดังที่บางคนมีความเชื่อและเข้าใจในทำนองนั้น แท้จริงแล้วอากงยังถูกสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าคดีจะถึงที่สุด


ข้อต่อมาที่ว่าเหตุใดศาลจึงพิพากษาลงโทษถึงจำคุก ปกติการกล่าวถ้อยคำหมิ่นประมาทหรือดูหมิ่นบุคคลธรรมดาที่เป็นการดูหมิ่นใส่ความทำให้ผู้เสียหายเสื่อมเสียต่อชื่อเสียงเกียรติคุณอย่างร้ายแรงกฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิดมีโทษถึงจำคุก


ศาลยุติธรรมก็เคยลงโทษจำคุกจำเลยโดยไม่รอการลงโทษมาแล้ว


สำหรับคดีนี้ มีการใช้ถ้อยคำหยาบคายแสดงความอาฆาตมาดร้าย จาบจ้วงล่วงเกินพระมหากษัตริย์และพระราชินีด้วยถ้อยคำภาษาที่ป่าเถื่อนและต่ำทรามอย่างยิ่ง เกินกว่าวิญญูชนคนทั่วไปจะพึงพูดจาดูหมิ่นเหยียดหยามกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้กระทำต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์พระประมุขของประเทศ อันเป็นที่เคารพยกย่องเทิดทูนของปวงชนชาวไทยและทั่วโลก ในหลวงทรงครองสิริราชย์มาเป็นเวลากว่า 65 ปี ทรงครองแผ่นดินด้วยหลักทศพิธราชธรรม ห่วงใยทุกข์เข็ญของอาณาประชาราษฎร์ตลอดเวลา แม้ในยามทรงพระประชวร พระองค์ก็ยังทรงงานเพื่อแก้ไขความทุกข์ยากของประชาชนเช่นอุกทุกภัยน้ำท่วมในครั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทุ่มเทพระวรกายตลอดพระชนม์ชีพ ทรงงานเพื่อความผาสุกของประเทศชาติและประชาชนทุกหมู่เหล่า ในกฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 8 ก็บัญญัติว่า "องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้" โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมิใช่คู่กรณีที่มีความขัดแย้งสร้างความเดือดร้อนเสียหายแก่จำเลยแม้แต่น้อยนิดรวมทั้งพระองค์ท่านทรงอยู่เหนือความขัดแย้งทางการเมืองจากมวลชนทุกหมู่เหล่าจึงไม่มีเหตุผลที่จำเลยหรือบางคนจะพยายามบิดเบือนว่า คดีนี้มาจากมูลฐานทางการเมือง ซึ่งเป็นข้ออ้างที่ไม่เป็นธรรมและห่างไกลจากความเป็นจริง


ข้อสอง คดีนี้มีข้อเท็จจริงบางประการที่ผู้วิจารณ์อาจยังรู้ไม่ครบถ้วนและเข้าใจคลาดเคลื่อนคือ นอกเหนือจากพฤติการณ์แห่งคดีหรือข้อความหมิ่นประมาทที่มีความรุนแรงและร้ายแรงอย่างมากแล้ว ข้อเท็จจริงยังปรากฏว่า ผู้กระทำไม่ได้กระทำความผิดแค่ครั้งเดียว แต่มีการกระทำความผิดต่างกรรมต่างวาระ ด้วยถ้อยคำดูหมิ่น หมิ่นประมาท แสดงความอาฆาตมาดร้ายถึง 4 ครั้ง มีถ้อยคำที่แตกต่างกันทุกครั้ง แสดงถึงเจตนาที่จงใจกระทำผิดกฎหมายอย่างท้าทายไม่ยำเกรงอาญาแผ่นดิน ไม่มีจิตสำนึกรู้ผิดชอบชั่วดี เมื่อจำเลยให้การปฏิเสธมาตลอดจนถึงในชั้นศาลจึงไม่มีเหตุลดโทษบรรเทาโทษตามกฎหมาย ซึ่งความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 กฎหมายระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปี ถึง 15 ปี


ส่วนความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ กฎหมายระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี การที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยในความผิดแต่ละครั้งจำคุกกระทงละ 5 ปี ตามมาตรา 112 ซึ่งเป็นโทษบทหนักนั้น เป็นการลงโทษสูงกว่าโทษขั้นต่ำของกฎหมายเพียง 2 ปี ยังเหลืออัตราโทษอีก 10 ปีที่ศาลมิได้นำมาใช้ เมื่อนำโทษทั้ง 4 กระทงมารวมกันเป็น 20 ปี คนทั่วไปที่ไม่รู้จึงเข้าใจผิดคิดว่าศาลลงโทษครั้งเดียว 20 ปี เห็นว่าโทษหนักไป แต่ถ้าเทียบกับพฤติการณ์ความร้ายแรงแห่งคดีแล้ว หลายคนที่รู้จริงเห็นตรงข้ามว่าโทษเบาไปหรือเหมาะสมแล้วก็มี


ข้อสาม แม้สังคมทั่วไปจะเรียกจำเลยว่า "อากง" ฟังดูประหนึ่งว่าจำเลยชราภาพมากแล้ว แต่ตามฟ้องจำเลยอายุ 61 ปี มิได้แก่ชราจนต้องอยู่ในความอนุบาลดูแลของผู้ใด สามารถเข้าใจและใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ได้ แสดงว่าเป็นผู้มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์และมิได้แก่เฒ่าคราวปู่ทวด


สำหรับบุคคลที่เจนโลก โชกโชน สันดานเป็นโจรผู้ร้าย มีเจตนาทำร้ายสังคมสถาบันหลักของประเทศชาติและองค์พระประมุข อันเป็นที่เคารพสักการะของคนในชาติให้เกิดความหลงผิดก่อให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวง ผู้เขียนเชื่อว่า ไม่มีใครอยากให้คนเช่นนี้ลอยนวลอยู่ในสังคมเพื่อสร้างความเสียหายต่อเนื่องหรือแก่ผู้อื่นอีก เพราะสักวันคนใกล้ตัวของคนเหล่านี้อาจตกเป็นเหยื่อด้วยก็ได้ มาตรการที่เหมาะสมจึงควรตัดโอกาสในการกระทำผิด ลงโทษให้หลาบจำสาสมไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่ผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผู้ที่กระทำความผิดคิดวางแผนไตร่ตรองในการกระทำความผิดอย่างแยบยลแนบเนียนด้วยแล้ว ก็ยิ่งสมควรใช้วิธีการที่เหมาะสมในการคุ้มครองรักษาความสงบสุขของประเทศชาติและประชาชนด้วย จึงไม่แน่แท้เสมอไปว่าชราชน ที่กระทำความผิดจะต้องได้รับการลดโทษ ลงโทษน้อย หรือปล่อยตัวไปเสมอไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับข้อหาความผิด ความเสียหายและพฤติการณ์การกระทำแต่ละคดีที่ต้องพิจารณาเป็นรายกรณีไป ส่วนการจะได้รับการประกันตัวหรือไม่ ขึ้นอยู่กับพฤติการณ์ข้อเท็จจริงแห่งคดีเป็นเรื่องๆ ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 108, มาตรา 108/1


ข้อสี่ ตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองเกี่ยวกับเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น (International Covenant on Civil and Political Rights) ICCPR ได้บัญญัติรับรองในข้อ 19 ว่า


1) บุคคลมีสิทธิที่จะมีความคิดเห็นโดยปราศจากแทรกแซง


2) บุคคลมีสิทธิในเสรีภาพที่จะแสดงความคิดเห็น สิทธินี้รวมถึงเสรีภาพที่จะแสวงหา ได้รับและสื่อสารข้อมูลและความคิดทุกชนิด โดยไม่คำนึงถึงพรมแดน ไม่ว่าด้วยวาจา เป็นลายลักษณ์อักษรหรือด้วยการพิมพ์ ในรูปแบบของศิลปะหรือโดยสื่อประการอื่นใดที่บุคคลดังกล่าวเลือก


3) การใช้สิทธิตามวรรคสองของข้อนี้ต้องประกอบด้วยหน้าที่และความรับผิดชอบอันเป็นพิเศษ ดังนั้น สิทธิดังกล่าวจึงอาจอยู่ภายใต้ข้อจำกัด บางประการ แต่ข้อจำกัดนั้นต้องเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติและเท่าที่จำเป็น


(ก) เพื่อเคารพต่อสิทธิหรือชื่อเสียงของบุคคลอื่น


เพื่อคุ้มครองความมั่นคงแห่งชาติ ความสงบเรียบร้อยของประชาชนสาธารณสุขหรือศีลธรรมอันดี


นอกจากนั้น กติการะหว่างประเทศฯ ยังได้ให้ความคุ้มครองสิทธิของบุคคลในการที่จะไม่ถูกล่วงละเมิดทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงหรือเกียรติภูมิไว้ด้วยตามข้อ17 ซึ่งกำหนดว่า


"1. ไม่มีบุคคลใดที่จะต้องตกอยู่ภายใต้การแทรกแซงตามอำเภอใจหรือโดยมิชอบด้วยกฎหมายต่อความเป็นส่วนตัว ครอบครัวหรือการติดต่อสื่อสาร หรือการโจมตีโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายต่อเกียรติภูมิและชื่อเสียง


2. บุคคลมีสิทธิที่จะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายจากการแทรกแซงหรือการโจมตีเช่นว่านั้น"


ฉะนั้นแม้การแสดงความคิดเห็นถือเป็นเสรีภาพขั้นพื้นฐานที่กติการะหว่างประเทศฯให้การยอมรับแต่ในขณะเดียวกัน กติการะหว่างประเทศฯ ก็ได้กำหนดไว้ด้วยว่าการใช้สิทธิดังกล่าวต้องทำด้วยความสำนึกรับผิดชอบและไม่ล่วงละเมิดสิทธิของบุคคล เนื่องจากบุคคลทุกคนย่อมมีสิทธิในการรักษาชื่อเสียงและเกียรติภูมิของตนและต้องได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายด้วยเช่นกัน


กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองหรือICCPR เป็นสนธิสัญญาพหุภาคี ซึ่งสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติได้ให้การรับรองเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2509 และมีผลใช้บังคับเมื่อ 23 มีนาคม พ.ศ. 2519 สนธิสัญญานี้ให้คำมั่นสัญญาว่าภาคีจะเคารพสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองของบุคคล ซึ่งรวมถึงสิทธิในชีวิต เสรีภาพในศาสนา เสรีภาพในการพูด เสรีภาพ ในการรวมตัว สิทธิเลือกตั้ง และสิทธิในการได้รับการพิจารณาความอย่างยุติธรรม จนถึงเดือนตุลาคม พ.ศ. 2552 กติการะหว่างประเทศนี้มีประเทศลงนาม 72 ประเทศและภาคี 167 ประเทศ ประเทศไทยเข้าเป็นภาคีของสนธิสัญญานี้โดยการภาคยานุวัติเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2539 และมีผลบังคับใช้กับไทย เมื่อวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2540 อันสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 45 ที่ว่า "บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การพิมพ์และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น แต่เสรีภาพดังกล่าวก็ยังถูกจำกัดได้โดยกฎหมายหากเป็นไปเพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐ เพื่อคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพ เกียรติยศ ชื่อเสียง สิทธิ หรือความเป็นส่วนตัวของบุคคลอื่นเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน..."


นอกจากนี้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 5 บัญญัติว่าในการใช้สิทธิแห่งตนก็ดี บุคคลทุกคนต้องกระทำโดยสุจริต และมาตรา 421ก็บัญญัติว่าการใช้สิทธิ ซึ่งมีแต่จะให้เกิดเสียหายแก่บุคคลอื่นนั้น ท่านว่าเป็นการอันมิชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งมีมาตรฐานเช่นเดียวกับหลักการสากลข้างต้น อันแสดงว่าประเทศไทยให้สิทธิเสรีภาพแก่ประชาชน มีกฎหมายที่ความก้าวหน้าทันสมัยทัดเทียมอารยประเทศ เพียงแต่ภายใต้ระบอบการปกครองบ้านเมืองที่แตกต่างกัน


ทุกประเทศจึงควรที่จะต้องให้เกียรติเคารพในความต่างที่เป็นจุดแข็งทางวัฒนธรรมและสังคมของแต่ละประเทศ หากผู้วิจารณ์คนใดยังศึกษาภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ไม่ลึกซึ้งถึงแก่นแท้หรือมีข้อเท็จจริงไม่ครบถ้วนเพียงพอไม่เข้าใจในขนบธรรมเนียมประเพณี สังคมประเทศใดแล้ว การแสดงความเห็นว่าศาลหรือกระบวนการยุติธรรมของประเทศอื่นในทำนองห่วงใยว่าจะไม่มีมาตรฐานสากลนั้น เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ลึกซึ้ง และหมิ่นเหม่ต่อการกล่าวหากันอย่างไม่เป็นธรรม อาจทำให้คิดไปว่าผู้วิพากษ์เจือปนด้วยอคติที่ผิดหลงมีวาระซ่อนเร้น ประเทศไทยมีเอกราชทางการปกครองและการศาลมาช้านาน และประชาชนมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข


ข้อห้า กฎหมายทุกฉบับออกหรือตราขึ้นโดยฝ่ายนิติบัญญัติที่เป็นผู้แทนมาจากปวงชนชาวไทยสามารถแก้ไขปรับปรุงและยกเลิกได้ ถ้าสภาผู้แทนราษฎรเห็นว่าล้าสมัยไม่เหมาะสม ศาลเป็นเพียงผู้ใช้กฎหมายตามเจตนารมณ์ที่สภานิติบัญญัติตราขึ้น มีกฎหมายหลายฉบับเขียนให้ศาลแทบใช้ดุลพินิจไม่ได้ หรือต้องลงโทษสถานหนักในบางข้อหาเช่น ผลิตนำเข้ายาเสพติดให้โทษประเภท 1 แม้เพียง 1 เม็ดหรือ ข้อหาฆ่าบุพการี ต้องประหารชีวิตสถานเดียว เป็นต้น แม้การแก้ไขยกเลิกกฎหมายจะกระทำได้ก็ตาม แต่ต้องคำนึงถึงความรู้สึกของประชาชน ความสงบเรียบร้อยของสังคมและผลกระทบข้างเคียงอื่นที่อาจตามมาด้วย อย่าให้อารมณ์หรือกระแสแห่งการปลุกปั่นยั่วยุชักจูงไปในทางที่เสียหายได้


คดีอากงเป็นแค่ปฐมบทในการพิสูจน์ความผิดหรือความบริสุทธิ์ของจำเลยตามครรลองแห่งเสรีภาพที่กฎหมายเปิดช่องไว้ตราบใดที่คดียังไม่ถึงที่สุด


การด่วนรวบรัดตัดความกล่าวโทษบุคคลหรือองค์กรที่ทำหน้าที่รักษากติกาสังคมอาจยังไม่เป็นธรรมนัก อย่างไรก็ตาม คนทุกชาติ ทุกภาษา ต่างหวงแหนรักในแผ่นดินเกิดของตนเองเคารพและศรัทธาในศาสดาที่เป็นผู้นำทางศาสนาของตนเอง ความแตกต่างทางความคิดเชื้อชาติศาสนาการปกครองบ้านเมืองศิลปวัฒนธรรม ประเพณี มิใช่สิ่งผิดปกติในสังคมโลก แต่การกล่าวร้ายใส่ความ แสดงความอาฆาตมาดร้ายศาสดาของศาสนาอื่น เป็นพฤติการณ์ที่ผู้เจริญมิสมควรกระทำอย่างยิ่ง เพราะน้ำผึ้งหยดเดียวอาจกลายเป็นความหายนะของชาติได้


ดังนั้น หากท่านผู้อ่านอยากรู้ปัจจุบันและอนาคตของชาติใด ขอจงศึกษาประวัติศาสตร์ของประเทศนั้น


สำหรับชาติไทยดำรงคงเอกราชมีเอกลักษณ์ของความเป็นชาติไทย เป็นที่ชื่นชมยกย่องของคนทุกชาติทุกภาษา เพราะผู้คนในสังคมไทยยังมีความรักสามัคคี มีน้ำใจ เอื้ออาทรผ่อนปรนเข้าหากัน ไม่ก้าวร้าวรุนแรง โดยขาดสติไร้เหตุผลรักหวงแหน เทิดทูนในชาติ ศาสนาและสถาบันพระมหากษัตริย์จากรุ่นสู่รุ่น และปลูกฝังถ่ายทอดเป็นมรดกสู่ลูกหลานจนถึงปัจจุบัน หากคนไทยยังรักและภูมิใจในแผ่นดินเกิด ขอได้โปรดช่วยกันรักษาสถาบันชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ การจะติชมวิพากษ์เป็นเสรีภาพที่กระทำได้ ขอเพียงมีจิตเป็นกลาง ไม่มีอคติ และบนฐานคติที่สร้างสรรค์ พึงอย่าได้ใช้สิทธิส่วนตนเกินส่วนจนเกินขอบเขตก้าวล้ำสิทธิเสรีภาพผู้อื่น อย่าได้แสดงความพยาบาทอาฆาตมาดร้าย ประหัตประหารด้วยอาวุธ ลมปากและความเท็จต่อผู้อื่น โดยอ้างเหตุผลทางการเมืองหรือเหตุอื่นมาสร้างความชอบธรรมแก่ตนเอง


อย่าให้ลูกหลานในอนาคตเหลือแค่ความทรงจำแห่งความภาคภูมิในอดีตบนซากปรักหักพังของชาติไทย ที่ผองชนรุ่นปัจจุบันได้ทำลายล้างไปอย่างตั้งใจและมิได้ตั้งใจ


สิทธิศักดิ์ วนะชกิจ
โฆษกศาลยุติธรรม




__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

วันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7689 ข่าวสดรายวัน


หนาวจัดคนลาวเข้ารักษาร.พ.ไทย




ผิงไฟ -สภาพอากาศในจังหวัดน่านที่หนาวเย็นมาอย่างต่อเนื่อง เริ่มสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน โดยเฉพาะชาวไทยภูเขา จ.น่าน ที่อยู่ตามดอยสูงและมีฐานะยากจน หาวิธีคลายหนาวด้วยการก่อกองไฟผิงทั้งเช้าและในเวลากลางคืนเพื่อบรรเทาทุกข์ทรมานจากสภาพอากาศที่หนาวเย็น


อุบลราชธานี - น.พ.สุรพร ลอยหา นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดอุบลราชธานี ระบุว่า ช่วงนี้ ตามโรงพยาบาลต่างๆ มีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงมากกว่าช่วงปกติ 2-3 เท่าตัว ทำให้โรงพยาบาลแต่ละแห่งมีผู้ป่วยแออัด แต่แพทย์พยาบาลยังสามารถให้การรักษาได้ตามปกติ ส่วนผู้ป่วยที่เป็นชาวลาวที่เข้ามารับการตรวจรักษากับโรงพยาบาลประจำอำเภอ และโรงพยาบาลตำบลตามที่คนลาวมีภูมิลำเนาอยู่ใกล้เคียง จะเป็นผู้ป่วยนอก มารับการตรวจรักษาและขอรับยา ให้การตรวจรักษาฟรี เพราะคนลาวเหล่านี้ ส่วนใหญ่เป็นคนยากจน จึงให้การรักษาตามหลักมนุษยธรรมและจรรยาบรรณของแพทย์ ซึ่งมีเฉลี่ยราววันละ 20-30 ราย

ด้านจ.น่าน เนื่องจากสภาพอากาศในจังหวัดน่านที่หนาวเย็นมาอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะชาวไทยภูเขาที่อยู่ตามดอยสูงและมีฐานะยากจน ซึ่งอุณหภูมิบนดอยลดต่ำกว่า 10 องศาเซลเซียส ทำให้หลายครอบครัวที่ขาดแคลนเครื่องกันหนาวต้องหาวิธีคลายหนาวด้วยการก่อกองไฟผิงคลายหนาว ทั้งเช้าและในเวลากลางคืน จึงทำให้ช่วงนี้ชาวบ้านต้องเร่งหาฟืนตามป่ามาเก็บไว้ที่บ้าน

นายจั่นเหวน แซ่พ่าน อายุ 83 ปี ชาวไทยภูเขาเผ่าเมี่ยน กล่าวว่า ลำพังแค่เสื้อกันหนาวกับผ้าห่มไม่พอคลายหนาว ต้องอาศัยการก่อกองไฟผิงช่วย แต่ด้วยอายุที่มากแล้วไม่มีเรี่ยวแรงออกไปหาไม้ฟืน จึงจำเป็นต้องซื้อไม้ฟ?นที่พ่อค้าใส่รถปิกอัพเข้ามาขายราคาลำรถละ 800 บาท เพื่อใช้คลายหนาว และหากปีนี้สภาพอากาศหนาวเย็นยาวนานตามที่เป็นข่าว ก็อาจจะต้องซื้อเพิ่มอีก

หน้า 9




__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

From: blacksaphire@hotmail.fr
To: specom2009@comcast.net
Subject: RE: ໃຊ້ສູນບໍາບັດປິ່ນປົວພວກຕິດຢາເສບຕິດ ເປັນສູນກັກຂັງທໍຣະມານປະຊາຊົນຜູ້ທຸກຍາກ,
Date: 8.12 2011 18:58:52 +0200


ชายหนุ่ม-หญิงสาวลาวเหล่านี้คือพลังของชาติลาวในอนาคตในการสร้างชาติกำลังถูกมอมเมาด้วยยาเสพติด,ยาบ้า เพื่อทำลายคนลาวทังชาติจากอดิตร์จน
ถึงปัจจุบันนี้จากประเทศไกล้เคียง เพราะเขามีนโยบายกืนกินชาติลาวไห้เป็นของเขา เพื่อไห้คำ่ว่า"ลาว-คนลาว"หมดสิ้นไปในแผนที่ของโลกนี้ ในลาวตะวัน
ตกเฉียงเหนือ(ไทอิสาน)และลาวตะวนออก(ลาวฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง)ก็เช่นเดียวกัน ทิสดีการเมืองของไทยสยามและเวียตนามที่กระทำต่อประเทศลาวคนลาวนี้
นับมาได้หลายร้อยปีแล้ว กรุณาไห้คนลาวผู้ที่ยังรักความเป็นลาวอยู่ไห้ไปอ่านประวัติศาสตร์เรื่อง"สงครามอันนาม-สยามยุทธ์"เรื่องนี้สำคัญมากคนลาวทุกๆคนควรหามาอ่านเพราะเป็นเรื่องสงคราม
"ไทยสยาม กับ เวียตนาม"ทำสงครามแ่ย่งชิงแผ่นดินลาว,เขมร กันในอดิตร์ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันนี้ สัตรูของลาว
สำคัญในอดิตร์ถึงปัจจุบันนี้ก็คือ ไทยสยาม กับ เวียตนาม กำลังแย่งชิงกันเป็นเจ้าทาส รองลงมาก็คือจีนกำลังแย่งกืนกินอีกเพราะเคยได้มาแล้วเขตยูนานใน
อดิตรแล้ว ปัจจุบันนี้ได้แล้วเขตภาคเหนือจากแขวงห้วยซาย(บ่อแก้ว)ถึงยูนาน ในรูป"สัญญาเช่า 99ปี" คนลาว หรือ ผู้นำ พัก-ลัด สปปล ไม่เข้าใจเรื่องการ
เมืองในการปกครองชาติเลย เพราะขาดการศึกษา ความรู้ส่นมากไม่จบประถมเข้ามาปกครองชาติ จึงถูกชาติอื่นหลอกลวงได้เพราะโง่เขลาเบาปัญญา จะไม่
ไห้ชาิติเกีด และประชาชนลาวทกข์จนได้ย่างไร...คนลาวฉลาดเพียงด้านเดียวคือ กินทาน,ทำบุญ,เล่นไพ่,เ้ต้นลำ,ร้องเพลง,ฟังเพลงไทยสยาม-เพลงลาว,กิน
เหล้า,ไหว้เทวดา,ไหว้พญานาค ต่อมาก็ช่วยกันสร้างวัดเื่อไห้"คูบา"ไทยสยาม,ลาวแดง มาัรับของทานบริจาค และเอาข่าว"ลาวนอกปะติกานขายซาด"กลับไป
ไห้ พัก-ลัด สปปล-แกวแดงอีก นี้คือความจริง...ถ้าอยากไห้ชาติเกีดมี"ประชาธิปไตย"พวกท่านต้องช่วยกันต่อต้าน,ต่อสู้ทุกๆรูปแบบเช่นเดียวกับพวกแนวลาว
ฮักซาดเขาทำลายพวกท่านใน 1973-1975 กรุณาขอความคิดเห็นจาก"21องค์การ"ว่าพวกเขาทำลาย"พระราชอาณาจักรลาว"สำเ็ร็จได้ย่างไร!!!




--------------------------------------------------------------------------------
Date: 18.12 2011 11:49:18 -0500
From: specom2009@comcast.net
To: laosnetworkroom@googlegroups.com
CC: alansananikone@yahoo.com; anousack.thamma@sympatico.ca; blacksaphire@hotmail.fr; bboualaphanh@gmail.com; brajphoumy@yahoo.com; bounkhong.arounsavat2@gmail.com; karasa1@hotmail.com; bounthanh_pousavanh@yahoo.com.au; khamkeob@ohsu.edu; chanthalavong@aol.com; khamlay.mounivongs@hotmail.fr; amerilao@gmail.com; LaoDemo@cs.com; johnanouvong@yahoo.com; kdseri@yahoo.com.au; kboon12@gmail.com; specom2009@comcast.net; kongpakanh@hotmail.fr; khamphiou@hotmail.com; lxenexai@hotmail.com; loukmahaxay001@9online.fr; mmnirajd@aol.com; mothana@bbox.fr; nouksk@comcast.net; schidhalay@hotmail.com; S.NHOYBOUAKONG@gerep.fr; saysitthideth@hotmail.com; soun1000@hotmail.co.uk; schanthavixay@yahoo.com; chanthaveunxay@hotmail.com; yenvisetx@hotmail.com
Subject: ໃຊ້ສູນບໍາບັດປິ່ນປົວພວກຕິດຢາເສບຕິດ ເປັນສູນກັກຂັງທໍຣະມານປະຊາຊົນຜູ້ທຸກຍາກ,

ລາວຄອມມິວນິສ ໃຊ້ສູນບໍາບັດປິ່ນປົວພວກຕິດຢາເສບຕິດ ເປັນສູນກັກຂັງທໍຣະມານປະຊາຊົນຜູ້ທຸກຍາກ, ຂໍທານ, ບໍ່ມີທີ່ພັກເຊົາ, ເດັກນ້ອຍເກເລໃນຖນົນ, ກວດລ້າງພວກທີ່ເຂົາບໍ່ມັກໄປຂັງໂຮມບ່ອນດຽວກັນ.ທີ່ສູນ ''ສົມສະງ່າ'' ສູນແຫ່ງນີ້ບໍ່ໄດ້ທໍາການປິ່ນປົວ ເບິ່ງແຍງຜູ້ມີບັນຫາຍາເສບຕິດແຕ່ປະການໃດ, ແລະສູນແຫ່ງນີ້ແມ່ນໄຊ້ງົບປະມານຂອງອົງການມະນຸສທັມສາກົນ ທີ່ມີ ອົງການສະຫະປະຊາຊາຕ, ສະຫະຣັດ ອະເມຣິກາ, ແລະອີກຫລາຍປະເທດໃຫ້ການຊ່ວຍເຫລືອ ຕາມຄໍາຮ້ອງຂໍຂອງຣັຖະບານ ນັບແຕ່ປີ 2002 ເປັນຕົ້ນມາ. ພວກຖືກຈັບໄປຂັງ ຈະຖືກຕີ ທໍຣະມານຂົ່ມເຫັງແບບໄຮ້ຄວາມເປັນມະນຸສ.ລາວຄອມມີວນີສຈະເຮັດ ທຸກຢ່າງເພື່ອເອົາຫນ້າລອດ, ເພື່ອອວດອ້າງຫລອກລວງຊາວຕ່າງດ້າວແບບໂງ່ໆ ໂດຍບໍ່ຄໍານຶງເຖິງຄວາມປ່າເຖື່ອນໂຫດຮ້າຍ, ຄົນພວກນີ້ບໍ່ຮູ້ຈັກວ່າບາບ, ບຸນ, ຄຸນໂທດເປັນແນວ ເປັນພວກຄົນທີ່ມີໃຈດໍາອໍາມະຫິດທຸກຣະດັບຊັ້ນ, ມອງບໍ່ເຫັນແສງສວ່າງ ໃນຊີວິຕນອກຈາກຄວາມເຫັນແກ່ຕົວ, ເປັນຄົນປ່າເຖື່ອນໄປທັ້ງປະເທດ, ເຫັນຄວາມຕາຍ ເຫັນຄວາມທໍຣະມານ ເຈັບປວດຂອງຄົນເປັນຂອງທັມະດາ, ເຊີນທ່ານເບິ່ງວີດີໂອ, ແລະຕິດຕາມລາຍຣະອຽດຢູ່ລຸ່ມນີ້.

http://youtu.be/TapsnP5lyko

http://www.hrw.org/news/2011/10/11/Laos-drug-users-undesirables-detained-abused


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ในพระเจ้าไม่มีความบังเอิญ= เขียนโดย: คุณรูธ และคุณอรุณ ซ๊อกเน๊พ
เรื่องของอรุณและรูธ ซ๊อก เน๊พ (Arun & Ruth Sok Nhep) สามีชาวกัมพูชาโดยกำเนิด และ ภรรยาชาวฝรั่งเศส ผู้มาจากวิถีชีวิตที่แตกต่าง แต่ พระเจ้าทรงนำให้มาพบกันและทำงานรับใช้พระองค์ ร่วมกัน
ปัจจุบันอรุณเป็นเจ้าหน้าที่สหสมาคม พระคริสตธรรมแห่งภาคพื้นเอเซีย-แปซิฟิก ทำงานที่ ประเทศสิงคโปร์ มีบุตรชาย 2 คนอายุ 14 และ 16 ปี อรุณ ซ๊อก เน๊พ (Arun Sok Nhep) เกิดใน กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา บิดาเป็นข้าราชการ ทหาร ทั้งครอบครัวได้มารับเชื่อพระเจ้า โดย เริ่มจากน้องชายซึ่งไปวิ่งเล่นที่โบสถ์คริสเตียน ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก จึงมีโอกาสเรียนรู้เรื่องพระเจ้า และได้นำพ่อและแม่มาเชื่อพระเจ้าด้วย แต่อรุณคิดว่า ตนเองเป็นหนุ่มแล้วไม่ควรจะให้ใครมาจูงจมูกได้ง่ายๆ

เมื่ออรุณอายุได้ประมาณ 17 ปี สงครามขยายลัทธิ คอมมิวนิสต์กระจายไปทั่วคาบสมุทรอินโดจีน รวม ทั้งกัมพูชา การฆ่าฟันและความเกลียดชังกันแพร่ กระจายไปทั่ว ความโหดร้ายของภัยสงครามกลาย เป็นเรื่องประจำวัน สิ่งเหล่านี้ทำให้อรุณมาครุ่นคิดถึง ความหมายที่แท้จริงของชีวิต จึงได้หยิบ พระคริสตธรรมคัมภีร์ที่มีอยู่ในบ้านมาอ่าน เขาพบว่า หนังสือเล่มนี้มีพลังอำนาจและตอบปัญหาที่เขา สงสัยได้ ในยามสงครามนั้นเองเขาได้ตัดสินใจ มอบชีวิตของเขาให้พระเยซูคริสต์ หลังจากรับเชื่อพระเจ้าเพียงไม่กี่วัน สงครามเข้ามาใกล้ตัวทำให้พ่อแม่พี่น้องต้องกระจัดกระจายไป คนละทิศคนละทาง ตัวเขาเองพยายามหนีไปยัง ประเทศเวียดนาม เพื่อลงเรือไปประเทศที่สาม พร้อม กับชาวเวียดนาม แต่ไม่สำเร็จและยังถูกจับไว้เป็น เวลาถึง 4 เดือน โดยที่ตัวเขาเองก็ไม่ทราบว่าได้ทำความผิดประการใด เป็นครั้งแรกที่เขาเข้าใจและเห็น คุณค่าของคำว่าอิสรภาพ เมื่อถูกปล่อยตัว อรุณไม่สามารถเดินทางกลับพนมเปญได้เพราะสงคราม ภายในประเทศรุนแรงมาก หากกลับไปก็อาจอันตรายแก่ชีวิต เขาจึงตั้งใจเดินทางไปยังประเทศลาวเพื่อข้ามมายังฝั่งไทย เส้นทางจากกัมพูชามาเวียดนามและลาว อรุณและคนอื่นๆ เดินทางด้วยเท้าในป่าทั้งสิ้น อรุณมองเหตุการณ์กลับไปเมื่อข้ามมายัง ชายแดนฝั่งลาว ยิ่งมองเห็นพระคุณของพระเจ้า ที่มีแก่ตัวเขาอย่างชัดเจนในท่ามกลางความทุกข์ยาก นานาประการ

ที่เมืองอัตตะปือ ประเทศลาว เขาถูก ทหารลาวจับเนื่องด้วยความเข้าใจผิดจากการวิพากษ์ วิจารณ์ลัทธิคอมมิวนิสต์โดยเพื่อนร่วมทางบางคน และเขายังถูกกล่าวหาว่าเป็นหน่วยสืบราชการลับ เพราะพูดภาษาฝรั่งเศสได้แต่อธิบายตัวเองเป็นภาษาลาวไม่ได้ เขาถูกควบคุมตัวอยู่ในค่ายกักกันของ ตำรวจลาวถึง 3 เดือน ในระหว่างนี้ได้รับหนังสือ จากคริสเตียนลาว เป็นพระคัมภีร์คัดตอนชื่อ "ขอจง ฟัง" (เรื่องของบุตรน้อยหลงหายและเหรียญหล่นหาย จากพระธรรมลูกา 15:8-32) ซึ่งทำให้อรุณอยากจะอ่าน และพูดภาษาลาวให้ได้ จึงได้ขอให้ผู้คุมเป็นผู้สอน ภาษาลาวแก่เขา ตลอดเวลา 3 เดือนที่ถูกกักขังนั้น ผู้คุมกลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อเขาและเพื่อนเขมรอีก 4 คนที่หนีออกจากประเทศมาด้วยกัน ผู้คุมได้เห็นว่า แท้จริงแล้ว เขาและเพื่อนไม่ใช่คนทำผิดคิดร้ายกับใคร และเลิกใช้ปืนกำกับคนกลุ่มนี้ ในที่สุดได้รับการ ปล่อยตัวจากที่คุมขังแห่งนี้ แต่ถูกส่งไปค่ายกักกัน อีกแห่งหนึ่ง ซึ่งต้องทำงานในทุ่งนาตอนกลางวัน และอบรม "ล้างสมอง" ตอนกลางคืน ทางการลาว ได้ส่งผู้ที่พูดภาษาเขมรมาเป็นผู้ "ล้างสมอง" อรุณ และเพื่อน แต่ผู้อบรมกลับเห็นว่าคนกลุ่มนี้ไม่ใช่ คนร้ายและยังเป็นเด็กหนุ่ม อายุแค่ 20 ปี จึงปลอบใจ ว่าหากอยากไปเมืองไทย ก็ให้อยู่ที่ค่ายนี้ไปก่อน สักระยะ ด้วยพระคุณของพระเจ้า บุคคลนี้ก็ได้กลาย เป็นเพื่อนที่ดีกับอรุณและเพื่อนตลอดเวลา 1 ปี ที่อยู่ในค่าย เขาสามารถไปไหนมาไหนในเมืองได้ โดยในตอนแรกต้องมีตำรวจไปด้วย แต่ต่อมาก็ไปไหน มาไหนได้เองอย่างมีอิสระภายในเขตจังหวัด เพียงแต่ต้องได้รับการอบรม "ล้างสมอง" และทำงานในทุ่งนาต่อไป

หนึ่งปีผ่านไป อรุณสามารถสื่อสารด้วย ภาษาลาวได้ และอ่านพบในหนังสือปกแดงคู่มือลัทธิ คอมมิวนิสต์ซึ่งกล่าวว่าหากใครเป็นคนต่างชาติ ก็มีอิสระที่จะไปไหนมาไหนได้ วันหนึ่งเขามีโอกาส อยู่ใกล้นายใหญ่ของค่ายกักกันนั้นตามลำพัง และได้ ถือโอกาสบอกนายผู้นี้ว่าอยากไปเวียงจันทน์ ซึ่งนายไม่เชื่อเพราะเวียงจันทน์นั้นอยู่ใกล้มาก เขารู้ว่าอรุณ ต้องการไปเมืองไทยมากกว่า แต่อย่างไรก็ดี เขาจะช่วย ให้ได้ออกไปจากเมืองอัตตะปือ เพราะอรุณยังเด็ก คอมมิวนิสต์ไม่ใช่สิ่งที่ดีสำหรับเด็ก จากนั้นอรุณ ก็ได้รับเอกสารที่สามารถใช้เดินทางไปต่างเมืองได้ เขาจึงเดินทางด้วยเท้ามาถึงสุวรรณเขต แต่ก็ถูกจับอีก เพราะมีเหตุการณ์เกิดจากกลุ่มอื่นๆ ในที่สุด ก็มาถึงเวียงจันทน์ มีผู้เมตตาแนะนำให้ไปหาสถานทูต ฝรั่งเศสประจำประเทศลาวและสภากาชาดโลก

จากจุดนั้น อรุณจึงได้ไปถึงฝรั่งเศส ในฐานะผู้อพยพ ในปี 1977 ที่ประเทศฝรั่งเศส อรุณได้ทำงานในโรงงานผลิตรถยนต์ ขณะเดียวกันเขาก็ได้เข้าร่วมนมัสการในคริสตจักรและมีส่วนร่วมรับใช้ในพันธกิจเกี่ยวกับผู้อพยพ อรุณได้พยายามสืบหาพ่อแม่และน้อง และที่สุดได้พบแต่แม่และน้อง ซึ่งได้รับความช่วยเหลือ ให้ไปอยู่ที่ประเทศคานาดา ส่วนพ่อนั้นได้เสียชีวิต ที่กัมพูชาไปแล้ว เมื่ออยู่ในฝรั่งเศสได้ 1 ปี ศิษยาภิบาลของคริสตจักรได้เริ่มเชิญชวนอรุณมาสู่การรับใช้ คริสตจักรเต็มเวลา โดยจะส่งไปเรียนพระคัมภีร์ก่อน แต่เขาปฏิเสธว่าเขารับใช้คริสตจักรได้ แต่ไม่ใช่ในฐานะ ศิษยาภิบาล เขามีงานทำอยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องง่ายที่เขา จะทิ้งงานนั้นมาทำงานคริสตจักร ศิษยาภิบาลท่านนี้ ได้เฝ้ากวนใจอรุณทุกครั้งที่พบหน้าเป็นเวลา 3 เดือน ในที่สุดเขาปฏิเสธต่อไปไม่ได้ จึงตอบรับเพียงเพื่อ ตามใจศิษยาภิบาล ซึ่งท่านก็รีบติดต่อโรงเรียน พระคริสตธรรมในปารีสให้ส่งใบสมัครมาให้ และ จัดการหาทุนการศึกษาให้เสร็จสรรพ เมื่อจัดการ ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว วันรุ่งขึ้น ศิษยาภิบาลและ ภรรยาก็ไปพักร้อน และวันนั้นเองได้เกิดอุบัติเหตุ ทางรถยนต์ เสียชีวิตทั้งคู่ เหตุการณ์นี้ทำให้อรุณ เพิ่งเข้าใจและแน่ใจว่าพระเจ้าทรงเรียกเขาให้ถวาย ตัวรับใช้พระเจ้าเต็มเวลา เขาเรียนในวิทยาลัย พระคริสตธรรมที่กรุงปารีส 4 ปี และได้สำเร็จการ ศึกษาในปี 1982

ทุกครั้งที่อรุณคิดย้อนกลับไปถึงอดีต เขา ไม่เข้าใจว่าทำไมเหตุการณ์เหล่านี้ต้องเกิดขึ้นกับเขา ทำไมชีวิตต้องเผชิญกับความทุกข์ยาก ความโหดร้าย ของสงคราม และการพลัดพราก แต่เขารู้ว่าทุกสิ่ง ที่เกิดขึ้นเป็นผลดีเสมอต่อผู้ที่เชื่อและรักพระเจ้า.



__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ตร.ปดส.ยกกำลัง ทลายซ่อง"บ้านต้นปาล์ม-บ้านไซอิ๋วเบียร์การ์เด้น" กลางเมืองหมากแข้ง อุดรธานี ตรวจพบสาวลาวเข้ามาค้าบริการเกือบ 40 คน จับกุมแม่เล้า-แมงดา 4 คน เผยดัดแปลงบ้านเปิดเป็นร้านเบียร์การ์เด้นลอบค้าบริการทางเพศโจ๋งครึ่ม ค้นเจอถุงยางอนามัยทั้งที่ยังไม่ได้ใช้กับใช้แล้วจำนวนมาก พร้อมบัญชีรายรับรายจ่าย ชิปแทนจำนวนแขก แฉ "ป๋าอ้อย" เป็นเจ้าของ มีเครือข่ายอยู่ในหลายอำเภอ ทั้งบ้านผือ-วังสามหมอ-ศรีธาตุ

เมื่อ เวลา 18.00 น.วันที่ 17 ธ.ค. 2554 พ.ต.ท.กิตติภพ อนุวงศ์วราเวทย์ สว.กก.1 กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดต่อเด็ก เยาวชน และสตรี (ปดส.) รับแจ้งทางเว็บไซต์ปดส.ว่า ที่บ้านต้นปาล์ม เลขที่ 200/24 ซอยอดุลยเดช 3 ถ.อดุลยเดช ต.หมากแข้ง อ.เมืองอุดรธานี และบ้านไซอิ๋วเบียร์การ์เด้น ไม่มีเลขที่ ซอยอดุลยเดช 3 เปิดเป็นสถานบริการ มีการลักลอบนำผู้หญิงจาก สปป.ลาว มาให้การบริการแก่นักเที่ยวกลางคืน จึงพร้อมด้วยพ.ต.ต.จักรกฤษณ์ วงศ์พรหมเมษร์ สว.งานสืบสวนปราบปราม ศูนย์ตรวจคนเข้าเมืองภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จ.นครราชสีมา มาสืบสวนแล้วนำกำลังจำนวน 15 คน พร้อมหมายค้นของศาลจังหวัดอุดรธานีที่ 314/2549 และที่ 315/2549 เข้าตรวจค้นบ้านดังกล่าว

หลังเจ้าหน้าที่ นำกำลังเข้าตรวจค้น พบว่าบ้านต้นปาล์มเป็นตึก 3 ชั้นสีเขียว ด้านล่างเปิดเป็นห้องโชว์ติดไฟสีแดง อีกฟากเป็นร้านขายสบู่ ยาสีฟัน ถุงยางอนามัยแก่แขกที่มาใช้บริการ ส่วนบ้านไซอิ๋วเบียร์การ์เด้นนั้นเป็นบ้านชั้นเดียวอยู่ฝั่งตรงข้ามบ้านต้น ปาล์ม ตัวบ้านติดไฟสีแดง มีห้องโชว์หญิงบริการ จากการตรวจค้นทั้ง 2 หลังพบหญิงบริการเป็นชาวลาว 37 คน และผู้คุ้มครองหญิงทั้งหมดให้บริการแขก เป็นหญิง 1 คน ชาย 3 คน คือนางนันทพัทน์ มูลเทพ อายุ 32 ปี อยู่บ้านเลขที่ 134 ต.ในเมือง อ.เมือง จ.น่าน นายสมบูรณ์ บุญเติม อายุ 20 ปี อยู่บ้านเลขที่ 263 ต.จุน อ.จุน จ.พะเยา นายวิรัตน์ มั่นดี อายุ 35 ปี อยู่บ้านเลขที่ 40/45 บ้านหนองไส ต.หนองบัว อ.เมืองอุดรฯ และนายเอกชัย ภากัย อายุ 28 ปี อยู่บ้านเลขที่ 134 ต.หมากแข้ง อ.เมืองอุดรฯ นอกจากนี้ยังพบถุงยางอนามัยทั้งที่ใช้แล้วและยังไม่ได้ใช้จำนวนมาก บัญชีรายรับรายจ่าย และชิปสีน้ำเงินแทนจำนวนบริการแขก จึงควบคุมตัวมาสอบสวนที่ สภ.อ.เมืองอุดรฯ พร้อมของกลาง

พ.ต.ท.กิตติ ภพเผยว่า การจับกุมในครั้งนี้สืบเนื่องจากมีประชาชนในอุดรฯ ร้องทุกข์เข้าไปในเว็บไซต์ของ ปดส.ว่า มีชาวต่างชาติเข้ามาขายบริการในซอยดังกล่าวเป็นจำนวนมาก จึงออกมาสืบสวน โดยการสืบสวนจับกุมครั้งนี้เป็นไปด้วยความยากลำบาก เนื่องจากทางสถานที่เปิดให้การบริการจ้างทั้งพวกวินมอร์เตอร์ไซค์ และพวกสามล้อปั่น ไว้เป็นสายคอยดูต้นทางที่ปากซอย จึงต้องเปลี่ยนรถที่ใช้ในการนี้กระทั่งจับกุมได้จำนวนมากดังกล่าว

พ.ต.ต. จักรกฤษณ์กล่าวว่า สถานบริการแห่งนี้จากการสืบทราบพบว่าเปิดเป็นสถานบริการที่มีเครือข่ายค้า มนุษย์รายใหญ่แห่งหนึ่ง มี "ป๋าอ้อย" เป็นเจ้าของ ซึ่งหลบหนีไปได้และมีเครือข่ายอยู่ในต่างอำเภอของ จ.อุดรธานี อยู่หลายอำเภอด้วยกัน คือ ที่ อ.บ้านผือ อ.วังสามหมอ และอ.ศรีธาตุ ซึ่งในขั้นตอนต่อไปคือจะส่งฟ้องศาล และขอหมายจับจากศาลจังหวัดอุดรฯ แล้วขั้นตอนต่อไปก็จะขอยึดทรัพย์ในที่สุด เพื่อเป็นการตัดตอนของขบวนการค้ามนุษย์ข้ามชาติเสีย และการจับกุมในครั้งนี้จากการสอบสวนพบว่ามีหญิงชาวลาวที่อายุไม่ถึง 20 ปีอยู่ 3 คนโดนหลอกลวงมา ซึ่งหลังการสอบสวนแล้วถ้าพบว่าหญิงคนใดที่อายุไม่ถึง 20 ปีก็จะส่งให้กรมพัฒนาสังคมนำไปดำเนินการ ส่วนที่อายุเกิน 20 ปีก็จะดำเนินคดีตามกฎหมาย "การค้าประเวณี โดยผิดกฎหมาย" และ "หลบหนีเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยผิดกฎหมาย"


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 


บุกทลายโอเกะกาม "โก-ลก" 36สาวลาวพ้นนรก
--------------------------------------------------------------------------------




แฉเปิดขายบริการโจ๋งครึ่ม ญาติร้องเรียน-ดีเอสไอลุย ผงะเจอเด็กต่ำกว่า18ปีด้วย

ดีเอสไอบุกทลายคาราโอเกะค้ากาม กลางเมืองสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาสช่วยเหยื่อสาวชาวลาว 36 คน ถูกบังคับค้า ประเวณีโจ๋งครึ่ม เผยได้รับร้องเรียนจากพ่อแม่เหยื่อสาวรายหนึ่ง ผ่านมูลนิธิพิทักษ์สตรี ว่าลูก สาวถูกล่อลวงบังคับค้าประเวณี เลยนำกำลังเข้าจับกุม ผงะเปิดคาราโอเกะบังหน้าให้เหยื่อขายตัว ถึง 2 ร้าน ในจำนวนนี้มีเด็กสาวอายุไม่ถึง 18 รวมอยู่ด้วย 3 คน รวบเจ้าของร้านดำเนินคดีทันที แฉในเมืองนราฯ มีร้านโอเกะค้ากามอีกเพียบ
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 14 ธ.ค. นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) สั่งการให้ พ.ต.ท.ไพสิทธิ์ สังคพงษ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านคดีพิเศษ 9 ศูนย์ต่อต้านการค้ามนุษย์ ร่วมสนธิกำลังกับเจ้าหน้าที่ กอ.รมน. ภาค 4 นำหมาย ศาล จ.นราธิวาส เข้าตรวจค้นร้านอินเตอร์คาราโอเกะ ตั้งอยู่เลขที่ 16 และเลขที่ 21 ถ.ประชาวิวัฒน์ ซอย 3 เขตเทศบาลเมืองสุไหงโก-ลก หลังจากได้รับการร้องเรียนจากพ่อและแม่ของเด็กหญิงชาวลาวรายหนึ่ง ผ่านมูลนิธิพิทักษ์สตรี ว่าลูกสาวถูกล่อลวงบังคับมาค้าประเวณี
จากการตรวจค้นครั้งนี้ พบร้านคาราโอเกะดังกล่าว มีนายสาธิต สาระวัน อายุ 45 ปี อยู่บ้านเลขที่ 2/5 ถ.รัตชนะอุทิศ เขตเทศบาลเมืองสุไหงโก-ลก แสดงตัวเป็นเจ้าของ โดยเจ้าหน้าที่ สามารถช่วยเหลือหญิงสาวชาวลาวได้จำนวน 36 คน แยกเป็นหญิงชาวลาวที่ถูกบังคับค้าประเวณีที่ร้านเลขที่ 16 จำนวน 17 คน และที่ร้านเลขที่ 21 อีก 19 คน ในจำนวนนี้มีเด็กหญิงอายุไม่ถึง 18 ปี รวมอยู่ด้วย 3 คน จึงประสานไปยังเจ้าหน้าที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ดำเนินการจัดแยกผู้เสียหายตามพ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ.2551 เพื่อเข้าสู่กระบวนการช่วยเหลือส่งตัวกลับประเทศ ต่อไป ส่วนนายสาธิตถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับร้านคาราโอเกะที่ดำเนินกิจการในลักษณะดังกล่าว มีมากมายนับร้อยๆ แห่งในพื้นที่อ.สุไหงโก-ลก อ.ตากใบ และอำเภอเมืองนราธิวาส ซึ่งที่ผ่านมาไม่ค่อยมีหน่วยงานใดเข้าดำเนินการจับกุม กระทั่งเจ้าหน้าที่ จากส่วนกลางต้องลงมาดำเนินการในที่สุด
ที่มา:นสพ.ข่าวสด
วันที่: 15 ธันวาคม 2554





--------------------------------------------------------------------------------
Date: Sat, 17 Dec 2011 00:29:42 -0800
From: toum.rasika@yahoo.com
Subject: Re: RDP LAO PROSTITUTE IN THAILAND
To: laosnetworkroom@googlegroups.com


ທ່ານ ແບລກ ຊາຟາຍ ທີ່ນັບຖື.


ຂ້າພະເຈົ້າ ຮູສຶກມີຄວາມເສັຽໃຈ ທີ່ໄດ້ເຫັນສະພາບການທີ່ອັບສູ ຂອງລູກແສ້ຫລານສາວລາວ ທີ່ໄດ້ມີສະພາບດັ່ງນີ້ຈາກຣະບອບການປົກຄອງ
ໂດຍມີ ຈ.ສຸພານຸວົງ ເປັນຕົ້ນເຫດ ແລະ ການຮັກເຊຶ້ອແກວ ຂອງໄກສອນ ພ້ອມທັງກຸ່ມໂຈນ ປຸ້ນບ້ານປຸ້ນເມືອງ ຢູ່ໃນຂນະນີ້.


ການທີ່ອອກຄວາມເຫັນໃນ ເວທີແຫ່ງນີ້ ຫລາຍແດ່ນ້ອຍນຶ່ງ ຍ້ອນວ່າ ມີ ຄວາມສາມາດຊ່ວຍການຕໍ່ສູ້ປະຊາທິປະໄຕ ນຳເພິ່ນໄດ້ເທົ່ານີ້ ແລະ
ອີກປະການນຶ່ງ ຜູ້ບໍ່ມີສິດປາກເວົ້າ ຢູ່ໃນລາວ ເວລາອົດບໍ່ລົນທົນບໍ່ໄດ້ ອອກປາກເວົ້າ ຕອນເມົາເຫລົ້າ ແນວລາວມັນແຮງງາບຄໍດີ ທັງທຸບທັງຕີ
ຈັບເຂົາ ຫ້ອງຂັງ ຖ້າຍາດພີ່ນ້ອງບໍ່ວີ່ງ ບໍເຕັ້ນ ບໍ່ເສັຽເງິນເສັຽຄຳ ກໍຖືກຈັບໄປເລີຍ ນີ້ລະເພິ່ນວ່າ ທຸກແຫ່ງຊ້້ຳ.


ສ່ວນລາວນອກ ມີສິດປາກເວົ້າ ຊ້ຳມິດງຽບ ປ່ອຍໃຫ້ ຜູ້ຕາງຫນ້າ ພັກເວົ້າ ບາງພັກກໍງອບໄປເລີຍ ເພາະວ່າ ເວົ້າໄປກໍບໍ່ເຫັນມີ
ການແກ້ໄຂຈັກເທື່ອ ຫມາຍຄວາມວ່າ ຍອມໄປເລີຍ ຈະວ່າຍອມຈຳນົນກໍແມ່ນ.


ສຳລັບ ຂພຈ ຈະປ່ຽນ ຫລື ບໍ່ປ່ຽນ ຫນ້າທີ່ເວົ້າໄປໂລດ ໄດ້ຂ່າວວ່າ VOA ກໍມີສິດໄດ້ຮັບຂ່າວຄືເຮົານີ້ລະ ຖ້າເຮົາ ເວົ້າແຕ່ເຣື່ອງດຽວຫມົດ
ອາທິດ ພວກນັກຂ່າວ ບໍ່ໄປຊອກເອົາຂ່່າວມາລົງ ຜູ້ອຸປຖັມ ຄົງບໍ່ເຫັນດີເຊັ່ນກັນ.


ນັບຖື
ຕ. ຣາສິກາ.

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

REDUDD วันอาทิตย์ที่ 18-12-54 รายการพิเศษคุณอาคม ซิดนีย์ และ Dr.piangdin

http://www.mediafire...t4pf993297ui776
http://www.2shared.c...-12-54___2.html
http://www.4shared.c...-12-54___2.html

ขอบคุณ butterfly freedom


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ຣາຊສວົງ ຄມນ ໂຈນລາວແດງ ແບບບ້າບໍ ຂອງບັກບຸນຍັງ ວໍຣະຈິດ ຮອງ ປທປທ ຄົນປັດຈຸບັນຖືກ ນຳມາເປິດເຜິຍຢ່າງຈະແຈ້ງທີ່ສຸດໃນ ວີທຍຸແຫ່ງດຽວຂອອງໂລກ

www.siengserixonlao.com

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ขอบคุณ ดีเจจุ๋ม Mr.Bigbuff แห่ง http://konthais.org/


เมื่อ 18 ธันวาคม 2554, 19:43, nut sakuldee เขียนว่า:

คลิปรายการ "นายแน่มาก" ตัดเสียงลำโพงหวีดที่หัวคลิปและหางคลิปยาว ๆ ออกแล้วค่ะ

http://www.mediafire.com/?2ru1ocy6tb7r1v3
http://www.4shared.com/audio/Xd5tsis1/54-12-18__by_MrBigbuff.html


Bigbuff http://www.mediafire.com/?o4tc25j31p49h4y
Electron Spin http://www.4shared.com/audio/xkfXlCPZ/ktw_2011-12-18.html


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

http://www.kplnet.net/english/news/edn9.htm

Anourak Phiphaksa Vehicular registration process bettered

By Vinnaly

(KPL) Head of Driving and Vehicle Management Unit of Vientiane Public Works and Transport Division Mr. Nounsay Phasaisombat said the process of registering vehicles was significantly improved due to the use of modern technology.

Mr. Nounsay said that so far this year his Unit had registered over 50,800 vehicles including over 31,200 motorcycles.

?This year 2011, the number of people coming to register their vehicles is up by 5-6% as compared to last year,? said Mr. Nounsay.

?Pre-availability of modern technology, the registration and licensing process was very slow and took several months. The process cost a lot of time for vehicle users and complaining about our service by the general public was very common to us,? said Mr. Nounsay. ?But now we rarely get complaining phone calls and letters from the people.?

Since 2000, around 500,000 vehicles have been registered in Vientiane. This includes 50,000 registered in the last twelve months. And the number of registered vehicles has increased from 11,000 in 2000 to 50,000 this year meanwhile the number of driving licences has increased from over 97,000 in 2000 to over 238,300 this year.

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 



ค้ามนุษย์ จนท.หาประโยชน์!!!


--------------------------------------------------------------------------------
เผยสถานการณ์ค้ามนุษย์ในประเทศไทย การบังคับใช้กฎหมายล้มเหลว เจ้าหน้าที่รัฐมีส่วนแสวงหาผลประโยชน์ ปัญหาหนักที่สุดคือ ลักลอบขนแรงงานเถื่อนเข้ามาบังคับทำงานบนเรือประมงเยี่ยงทาส แต่จับต้นตอไม่ได้ แฉอุดรธานีเป็นแหล่งใหญ่ค้ากามเด็กสาวชาวลาว สำรวจพบซ่องผุดโจ๋งครึ่มรอบศาลากลางจังหวัด
เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน มีการจัดเสวนาสถานการณ์การค้ามนุษย์ประเทศไทย 2554 จัดโดยเครือข่ายปฏิบัติการต่อต้านการค้ามนุษย์ โดยนายสมพงษ์ สระแก้ว ผู้อำนวยการมูลนิธิเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงานข้ามชาติ กล่าวในเวทีเสวนาครั้งนี้ว่า เมื่อปลายปี 2553 กระทรวงแรงงานประเทศสหรัฐอเมริกาได้จัดอันดับปัญหาการค้ามนุษย์ในประเทศ ไทยอยู่ในระดับที่ 2 คือเป็นประเทศที่มีการค้ามนุษย์ ไม่มีความพยายามแก้ไขอย่างจริงจัง และอยู่ในกลุ่มต้องจับตามองเป็นพิเศษ แม้ประเทศไทยจะมีกฎหมายป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ตั้งแต่ปี 2551 แต่การบังคับใช้กฎหมายยังคงล้มเหลว และมีเจ้าหน้าที่รัฐเข้ามาเกี่ยวข้องกับกระบวนการแสวงหาผลประโยชน์ตั้งแต่ ต้นทางถึงปลายทาง ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้การค้ามนุษย์ในประเทศไทยยังคงเกิดขึ้นมากมาย โดยเฉพาะการบังคับแรงงานทาสในเรือประมง เป็นปัญหาที่ซับซ้อนและน่าเป็นห่วงมากที่สุด
นายสมพงษ์กล่าวว่า ในรอบ 3 ปีที่ผ่านมานับตั้งแต่มีกฎหมายเฉพาะนี้ขึ้นมา ก็ไม่สามารถจับกุมต้นตอกระบวนการค้ามนุษย์ได้เลย หลายคดีเป็นไปอย่างยืดเยื้อยาวนาน หรือไม่สามารถนำผู้กระทำผิดมาลงโทษได้ทั้งๆ ที่มีผู้เสียหายหรือเหยื่อเป็นหลักฐานชัดเจน ขณะนี้ยังมีการลักลอบขนแรงงานต่างด้าวชาวพม่า ลาว และกัมพูชาเข้ามาทำงานตลอดเวลา ตัวเลขแรงงานข้ามชาติที่ขึ้นทะเบียนกระทรวงแรงงานมีจำนวน 1.2 แสนคน แต่จริงๆ แล้วน่าจะมีถึง 5 แสนคน เนื่องจากพบการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพในจังหวัดสมุทรสาครคือ จำนวนหอพักและร้านค้าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แสดงว่ามีการลักลอบขนแรงงานเถื่อนจากชายแดนเข้ามาโดยเจ้าหน้าที่รัฐมีส่วน ร่วมด้วย
"การบังคับใช้แรงงานบนเรือประมงถือว่าเข้าข่ายการค้ามนุษย์ เพราะมีการกดขี่แรงงานเยี่ยงทาส ซึ่งการเข้าถึงความช่วยเหลือจากภาครัฐมีน้อย ทั้งแรงงานต่างด้าวและคนไทยก็ถูกล่อลวงจากนายหน้าให้ไปทำงานบนเรือโดยไม่ได้ รับค่าจ้าง และถูกทำร้ายทุบตี ขณะที่นายหน้าก็ไม่เคยถูกจับกุมแม้แต่รายเดียว" ผู้อำนวยการมูลนิธิเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงานข้ามชาติเผย
น.ส.ชลีรัตน์ แสงสุวรรณ ผู้อำนวยการมูลนิธิพิทักษ์สตรี ซึ่งเป็นผู้นำส่งสาวเวียดนามรับจ้างอุ้มบุญผิดกฎหมายกลับประเทศ กล่าวว่า จากการลงพื้นที่เก็บข้อมูลการค้ามนุษย์โดยบังคับหญิงสาวชาวลาวขายบริการทาง เพศในประเทศไทยพบว่า จังหวัดอุดรธานีเป็นแหล่งที่มีการค้าประเวณีหญิงสาววัยรุ่นชาวลาวมากที่สุด โดยปล่อยให้มีการเปิดซ่องค้ากามกันอย่างโจ๋งครึ่มเป็นจำนวนมาก ไม่เกรงกลัวกฎหมาย โดยเฉพาะศาลากลางจังหวัดล้อมรอบไปด้วยซ่องที่เปิดเป็นร้านคาราโอเกะบังหน้า หญิงสาวลาวที่ขายบริการทางเพศส่วนใหญ่อายุน้อยตั้งแต่ 13 ปีขึ้นไป มีทั้งถูกนายหน้าล่อลวงตั้งแต่ประเทศลาวลักลอบเข้ามาหลบซ่อนอยู่ในซ่อง มีสภาพชีวิตความเป็นอยู่ย่ำแย่และถูกบังคับหมุนเวียนไปยังต่างประเทศ เช่น สิงคโปร์ และมาเลเซีย
"สาวชาวลาวส่วนหนึ่งสมัครใจค้าประเวณีเนื่องจากเห็นว่ามีรายได้ดี เป็นกลุ่มที่อยู่ประจำซ่องเป็นเวลานาน เพราะทำเอกสารเข้าประเทศไทยถูกกฎหมาย บางคนมีปัญหาครอบครัวแตกแยกก็ตั้งใจจะหาแฟนเป็นคนไทยโดยสมัครใจขายตัวแบบ อิสระหรือสาวไซด์ไลน์ ซึ่งมีรายได้ 1-2 พันบาทต่อครั้ง ลูกค้ามีตั้งแต่นักการเมือง ข้าราชการ และพนักงานบริษัทเอกชนที่มาดูงานในจังหวัดอุดรธานี" นางชลีรัตน์เผย
นายเอกลักษณ์ หลุ่มชมแข หัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการค้ามนุษย์ มูลนิธิกระจกเงา กล่าวเสริมว่า จังหวัดอุดรธานีถือเป็นตลาดใหญ่ของโสเภณีชาวลาว ส่วนมากเป็นเด็กวัยรุ่นที่เข้ามากับนายหน้าและส่งไปยังซ่องต่างๆ ที่ผุดขึ้นมากเหมือนดอกเห็ด โดยไม่มีเจ้าหน้าที่เข้าไปปราบปรามแต่อย่างใดทั้งๆ ที่ผิดกฎหมายค้ามนุษย์อย่างชัดเจน จากการตรวจสอบในเว็บไซต์พบว่า มีการจัดทำแผนที่ซ่องที่มีสาวลาว มีการจองตั๋วเครื่องบินราคาถูกไปกลับเพื่อซื้อประเวณีโดยเฉพาะ ซ่องเหล่านี้อยู่ไม่ไกลจากศาลากลางจังหวัดอุดรธานี ถ้าวันไหนมีหน่วยงานรัฐและเอกชนมาจัดประชุมหรือสัมมนาที่จังหวัดนี้ ก็จะทำให้ลูกค้าอุดหนุนเด็กลาวเป็นจำนวนมาก
"ผมรับประกันได้เลยว่าผู้ชายที่ไปเที่ยวจังหวัด อุดรธานีแล้วผ่านสถานีขนส่ง ก็จะมีคนชักชวนไปซื้อบริการทางเพศสาวลาวแน่นอน" นายเอกลักษณ์เผย.



__._,_.___

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

เสรีภาพคืออะไร!!!
เสรีภาพ คือ การที่บุคคลจะพูด จะทำ จะเขียนอย่างไรก็ได้ ถ้าในขณะที่พูด ที่ทำ ที่เขียนนั้น ไม่มีกฎหมายห้ามไว้ ย่อมไม่มีเสรีภาพ เมื่อบุคคลไม่มีเสรีภาพจะเรียกว่าการปกครองนั้นเป็นการปกครองระบอบ ประชาธิปไตยไม่ได้
ประการที่สาม รัฐบาลของประเทศที่ปกครองระบอบประชาธิปไตยต้องเป็นรัฐบาลของประชาชน โดยประชาชนตามที่ท่านประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอน ได้กล่าวที่เมืองเกตตีสเบิร์ก (Gettysburg) ในสมัยสงครามกลางเมืองของอเมริกา
รัฐบาลที่จะเป็นรัฐบาลของประชาชน โดย ประชาชนก็ต้องเป็นรัฐบาลที่ประชาชนเลือกตั้งเข้ามา รัฐบาลที่ประชาชนไม่ได้เลือกตั้งเข้ามา แต่มาจากขุนศึกก็ดี ศักดินาก็ดี อำมาตย์ก็ดี ย่อมไม่ใช่รัฐบาลของประชาชน โดยประชาชน ไม่ใช่รัฐบาลในระบอบประชาธิปไตย
ประการที่สี่ คนในระบอบการปกครองระบอบประชาธิปไตยต้องมีความเสมอภาค ข้อความนี้ปรากฎอยู่ที่หน้าศาลสูงสุดของประเทศอเมริกา Equal justice under law ฉะนั้น ตราบใดที่ประชาชนยังไม่ได้รับการปฏิบัติที่เท่าเทียมกัน ยังมีสองมาตรฐาน ตราบนั้นก็ยังเรียกว่าประเทศปกครองในระบอบประชาธิปไตยไม่ได้

ประเทศจะปกครองในระบอบประชาธิปไตยได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับประชาชน
หากประชาชนต้องการแล้วก็ไม่มีใครขัดขวางได้!
เพราะเสียงประชาชนคือเสียงสวรรค์!

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

http://asiapacific.anu.edu.au/newmandala/2011/12/01/the-red-prince/

2009 was the 100th anniversary of the birth of the famous “Red Prince” Souphanuvong, president of the Lao PDR until 1986, and Advisor of Communist Party’s Central Committee Party until his passing in 1995. Such centenaries are auspicious times in Lao culture, and consequently there have appeared several biographies of the “beloved leader”.

Featured here are: เรียนรู้ประวัติศาสตร์ลาวผ่านชีวิตเจ้าสุพานุวง โดย ศุขปรีดา พนมยงค์ (Understanding Lao History through the Life of Prince Souphanuvong by Sukprīdā Phanomyong), and ປະທານສຸພານຸວົງ : ຊີວິດ ແລະ ການເຄື່ອນໄຫວ ປະຕິວັດ (President Souphanuvong: Life and Revolutionary Movement, produced by Research Institute of Social Science), being further contributions to the ongoing elaboration of Lao political iconography. These are unreservedly positive accounts of the Prince’s life and achievements, compiled by authors from either side of the Mekong. Both are illustrated with black and white photographs covering events from childhood until his passing.

Interestingly, we seem to be enjoying something of an awakening of interest in Lao history, with the NLA receiving some 10 titles of histories published in Laos in the last two years. The broader context seems to be the 450th anniversary of Viengchan in 2010, which was officially celebrated by the Lao government.

Readers can find a list of selected titles here.

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 


http://www.youtube.com/all_comments?v=hA4VB7rX7hs

ອິວຽງທອງ4000ດອນ ຮຽນຫຍັງກະບໍໄດ້ ພຽງແຕ່ເປັນລູກສາວນັກຄາຕກອນໂລກ
ບັກແກວຫັວຂອດ ຄຳໄຕບັກມື ມີເລຶອດຂ້າລາວຝ່າຍ ວຈ ກ່ວາ2ແສນຄົນ ໄລ່ອອກນອກ ປທ 5ແສນສົ່ງໄປຕາຍສູນສັມພະທຸກ5ມື່ນ ອີ່ຫິຄຽວອິ້ໂຄດແມ່ມືງ ໂຄດພໍ່ມືງຂ້າຣາຊວົງກູ ຖືກລາກມາເປັນ ຣມຕຄັງຊ່ວຍ ຢ່າຍອມໄປບໍລິການທະນະຄານນນິ້ເດັດ­ຂາດ  ພໍ່ມັນມີສັນດານອັນຕາພານໂຈນ ປົ້ນແລ້ວຂ້າຢ່າງໃດປິ1945 ຂະໂມຍໄປສນີເມືອງປາກເຊ2ແສນkipປິນິ້ປ­ິ ...2011 ອິ້ຫ່ານິ້ກະຊີມີສັນດານຊັ່ວໆຄືໂຄ­ດພໍ່ມັນບັກຫ້ນາແຫລ້ສົບເວິ ປູ້ນ ທະນາຄານນິເຊັ່ນກັນ
ທີ່ວິທຍຸແຫ່ງດຽວໃນໂລກ ທີ່ ມີການດ່າຕະກຸນໂຈນນີ້ຢ່າງຮຸນແຮງທ­ີ່ສຸດຈາກເມືອງໂຂງ

www.siengserixonla­o.com
















__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ຂ່າວສົດສົດ ຮ້ອນຮ້ອນ
ໂກໂຣແນນ ແສງແກ້ວ ຢູ ກົມໃຫຍ່ກອງພັນ 645 ເຂດພາກໄຕ້ ຖືກຢາເບື່ອຍ ວານນີ້ ຫລັງຈາກ ໄປອົມລົມການເມືອງສາມວັນທີ່ວຽດນາມກັບມາ ນໍ້າລາຍແຕກປາກ ແລະໄດ້ຖຶກເສັຍຊິວິດ. ທ່ານນີ້ ຕ້ານວຽດນາມຕັດໄມ້ໃນດິນລາວ ຂໍສແດງຄວາມເສົ້າສລົດໃຈນໍາເພີ່ນແລະຄອບຄົວ ທົ່ວກອງພັນທະຫານລາວທີ່ຮັກຊາດລາວ. ລາວ ຈະໃຫ້ວຽດນາມຂ້າຊາວລາວຕາຍເທືອ່ລະນ້ອຍຕໍ່ໄປອີກບໍ່ ຫລື ພວກລາວເຮົາຈະ ຕີປັດເຂັ່ຍຄອມມຸຍນິດວຽດທີ່ມັນເຂົ້າມາແຊກແຊງຊາດລາວ ອອກຫນີຈາກດິນລາວ ເພື່ອຢຸດຕິ ວຽດນາມຂ້າຊາວລາວ
ສຈັນທະວິໄຊ

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

Chao Anou the great king of Lanxang-kingdom

http://www.youtube.com/watch?v=gBFpO84HZDY&feature=share

Lum Chao Anou Koo Xart.wmv

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

merry christmas and happy new year 2012 to all laohomlaos members
merry christmas and happy new year 2012 to all laohomlaos members
merry christmas and happy new year 2012 to all laohomlaos members
merry christmas and happy new year 2012 to all laohomlaos members
merry christmas and happy new year 2012 to all laohomlaos members
merry christmas and happy new year 2012 to all laohomlaos members
merry christmas and happy new year 2012 to all laohomlaos members
merry christmas and happy new year 2012 to all laohomlaos members
merry christmas and happy new year 2012 to all laohomlaos members
merry christmas and happy new year 2012 to all laohomlaos members

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

อดีตอธิการบดี ม.อีสาน ดิ้นขอคืนมหาวิทยาลัย

600.jpg

อดีตอธิการบดี ม.ลาวขอคืนมหาวิทยาลัย จวกคณะกรรมการควบคุม งดรับนักศึกษาในทุกระดับชั้น 2 ปี แต่ขอเงินเพิ่มทุน 150 ล้านบาท...

เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 25 ธ.ค.2554 ที่ห้องประชุมโซเรนโต้ โรงแรมโรมาโฮเต็ล ในเมืองขอนแก่น ดร.อัษฎางค์ แสวงการ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยลาวและนายปรีดา บุญเพลิง ประธานนักศึกษามหาวิทยาลัยลาว ได้เปิดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน ถึงความคืบหน้าการขอคืนมหาวิทยาลัยลาว หลังจากกระทรวงศึกษาธิการมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการควบคุม เข้าไปดำเนินกิจการมหาวิทยาลัยลาว จากปัญหาการทุจริตวุฒิ ป.บัณฑิต

โดยนายปรีดา บุญเพลิง ประธานนักศึกษามหาวิทยาลัยลาว กล่าวว่า อยากขอความเป็นธรรมให้กับนักศึกษา และมหาวิทยาลัยลาว เพราะหลังจากอนุสนธิจากการเข้าควบคุมมหาวิทยาลัยลาวของคณะกรรมการควบคุมมหาวิทยาลัยลาว เพื่อเข้าไปแก้ไขปัญหามหาวิทยาลัยลาวใน 3 ด้าน คือ ด้านทะเบียนนักศึกษา ด้านการเงิน ด้านการจัดการศึกษา แต่ขณะนี้ทราบว่า การแก้ไขปัญหาด้านทั้งหมดได้ดำเนินการไปเรียบร้อยแล้ว และจากการติดตามข่าวสารตั้งแต่วันแรกจนถึงปัจจุบัน ทราบว่า ในที่ประชุมคณะกรรมการ เมื่อวันที่ 20 ธ.ค. ที่ผ่านมานั้น ที่ประชุมสรุปมติใน 2 ประเด็น คือ 1. ยุบมหาวิทยาลัยลาว 2. ให้คณะกรรมการควบคุมมหาวิทยาลัยลาวต่อไป อีก 2 ปี โดยมีเงื่อนไขให้ผู้รับใบอนุญาต เพิ่มเงินทุนดำเนินการมหาวิทยาลัยลาว อีก 150 ล้านบาท ถ้าไม่ให้จะยุบมหาวิทยาลัยลาว

 


นายปรีดา บุญเพลิง กล่าวต่ออีกว่า จากมติดังกล่าว จะเห็นว่าไม่มีความเป็นธรรมกับนักศึกษาและมหาวิทยาลัยอีสาน ทำให้เกิดความเสียหายต่อนักศึกษา ทั้งด้านโอกาส ความก้าวหน้าด้านการงานอาชีพ เกียรติยศ ชื่อเสียง เกิดความล้มเหลว สร้างความเดือดร้อน การแก้ไขปัญหาให้แก่นักศึกษา ไม่เป็นไปตามกฎเกณฑ์ของมหาวิทยาลัยที่กำหนดไว้ และมีการสร้างเงื่อนไขที่ไม่เป็นธรรมเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม คือ คณะกรรมการควบคุมมหาวิทยาลัยลาวไม่มีเอกภาพ แบ่งเป็น 2 ฝ่าย คณะผู้บริหารไม่มีเอกภาพ แล้วยังสร้างความมั่นใจให้นักศึกษาและบุคลากรของมหาวิทยาลัยลาวต่อผู้จัดการห้องเรียนและผู้รับใบอนุญาตจัดตั้ง ซึ่งในปัจจุบัน นักศึกษาที่มาติดต่อกับมหาวิทยาลัยอีสาน จะไม่ได้รับความชัดเจน เจ้าหน้าที่พูดจาในทางลบต่อมหาวิทยาลัยลาว ชี้ให้เห็นว่า คณะกรรมการควบคุมสร้างปัญหาให้มากขึ้นกว่าเดิม และมีอคติกับนักศึกษา และผู้รับใบอนุญาตมหาวิทยาลัยลาว คณะกรรมการควบคุมมหาวิทยาลัยลาว มีอคติ หาว่าที่ปรึกษาของ มอส.จำนวน 30 คน ไม่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ ทั้งๆที่ข้อเท็จจริง อาจารย์ที่ปรึกษาล้วนแต่เป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีคุณวุฒิตามเกณฑ์ และเคยให้คำปรึกษาของสถาบันการศึกษาของรัฐก่อนหน้านี้ทั้งสิ้น คุณภาพของนักศึกษาสามารถประกันได้ว่า มีคุณภาพมาตรฐาน จากการกรณีสอบบรรจุแข่งขันครูผู้ช่วย และผู้บริหารสถานศึกษาในอันดับต้นของบัญชีอันดับมากมาย

“คณะนักศึกษามีมติเอกฉันท์ว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเท่านั้นที่มีอำนาจตามกฎหมาย ที่จะให้ความเป็นธรรมกับนักศึกษามหาวิทยาลัยลาวได้ คณะนักศึกษาจึงขอความเป็นธรรมมายังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ โปรดพิจารณาเยียวยานักศึกษา และคืนการบริหารมหาวิทยาลัยลาว กับผู้รับใบอนุญาต ตามมาตรา 90 พ.ร.บ.สถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ.2546 ให้แก้ไขปัญหาที่ยังไม่เรียบร้อย เป็นขวัญกำลังใจ เกียรติ และศักดิ์ศรีของนักศึกษามหาวิทยาลัยลาวทั้งหมด” นายปรีดา กล่าว

ทางด้านนายอัษฎางค์ แสวงการ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยอีสาน กล่าวว่า การดำเนินการของคณะกรรมการควบคุม ย่างเข้าสู่เดือนที่ 8 แล้ว การประชุมหรือการทำงานก็ย่ำอยู่กับที่ กับปัญหาเดิมๆ ไม่มีความคืบหน้า มีการนำเสนอข้อสรุปของการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมาต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ แต่ตัดประเด็นในเรื่องของการยื่นอุทธรณ์ ในเรื่องที่เกิดขึ้นของคณะผู้บริหารชุดเดิม โดยที่คณะกรรมการไม่ได้มีการรับเรื่องของการยื่นขออุทธรณ์ ของทางอดีตคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยอีสานแต่อย่างใด ทั้งที่กฎของกระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานการอุดมศึกษา ระบุชัดเจนว่า สามารถยื่นขออุทธรณ์ในเรื่องดังกล่าวได้ภายใน 30 วัน ซึ่งที่ผ่านมา มีการยื่นเรื่องไป 2 ครั้ง และทำตามกฎระเบียบทุกอย่าง ก็ถูกบ่ายเบี่ยง ทางอดีตคณะผู้บริหารจึงเตรียมที่จะเสนอขอยื่นอุทธรณ์เป็นครั้งที่ 3 เพื่อให้ทางกระทรวงได้รับพิจารณาในเรื่องที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะกับการขอคืนมหาวิทยาลัย เพื่อกลับเข้าสู่กระบวนการบริหารจัดการตามปกติ เพราะคณะกรรมการที่กระทรวงศึกษาธิการแต่งตั้งมาควบคุมนั้น ที่ผ่านมา ไม่มีแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ชัดเจน ประกอบกับมีการใช้อำนาจที่เกินหน้าที่ โดยมีคำสั่งงดรับนักศึกษาในปี 2554-2555

นายอัษฎางค์ กล่าวอีกว่า มติที่ประชุมคณะกรรมการควบคุมมหาวิทยาลัยอีสาน ที่มีการเสนอเรื่องต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการมีเพียง 2 ประเด็น คือ 1. ยกเลิกหรือเพิกถอนใบอนุญาต 2. ให้คณะกรรมการชุดดังกล่าวควบคุมการดำเนินงานของมหาวิทยาลัยต่อไป แต่มีข้อแม้ว่า ผู้รับใบอนุญาตฯจะต้องสนับสนุนงบประมาณอีก 150 ล้านบาท สำหรับการดำเนินงาน 2 ปี โดยงดรับนักศึกษาในทุกระดับและทุกรายวิชาโดยเด็ดขาด ซึ่งเรื่องดังกล่าวขัดต่อระเบียบของกระทรวงศึกษาธิการ ในการยื่นอุทธรณ์หรือการให้อดีตคณะผู้บริหารได้เข้าชี้แจงในเรื่องดังกล่าวที่เกิดขึ้น อีกทั้งการดำเนินงานของคณะกรรมการควบคุมไม่มีประสิทธิภาพ และขัดแย้งกันเองของอธิการบดีและคณะผู้บริหาร จนทำให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างล่าช้า และมีการก้าวล่วงเข้ามาควบคุมการบริหารงานในด้านต่างๆ จนทำให้เกิดความเสียหายต่อนักศึกษาอย่างมาก

“การของบประมาณสนับสนุนจากผู้รับใบอนุญาตอีก 150 ล้าน ในสัญญาการเข้ามาควบคุมการดำเนินงานต่อมหาวิทยาลัยต่อไปอีก 2 ปี โดยไม่มีการรับนักศึกษา หากไม่เป็นไปตามมติก็จะสั่งปิด ถือเป็นการขู่กรรโชกจากกลุ่มคณะกรรมการฯ จึงเป็นเรื่องที่รัฐมนตรีควรรับทราบ และให้ความเป็นธรรมในเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะเป็นปัญหาที่เกิดขึ้น มีผลกระทบโดยตรง ต่อนักศึกษาและคณาจารย์ รวมไปถึงบุคลากรทางการศึกษาของมหาวิทยาลัยอีสาน ที่คณะกรรมการควบคุม มีการออกมาระบุว่า เป็นบุคคลที่ไร้มาตรฐานและไม่มีคุณภาพ ซึ่งก็เท่ากับว่า ศาสตราจารย์, รองศาสตราจารย์ และผู้ทรงคุณวุฒิทั้งในระดับภูมิภาคและระดับประเทศ ที่มาเป็นครูผู้สอนและคณะผู้บริหารนั้น ไม่ได้มาตรฐานตามที่คณะกรรมการระบุจริง เพราะคณะผู้บริหารบางคนก็สำเร็จการศึกษา มาพร้อมกับคณะกรรมการควบคุมบางคน เช่นกัน” นายอัษฎางค์ กล่าว

 

โดย: ทีมข่าวภูมิภาค

25 ธันวาคม 2554, 17:35 น.



__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

 +2snow



__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

+เต้น we will ..we will ..rock you..Ai com Jone 500



__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

+3xmasLao hak lao xang phouak phaletkhane komminist lao deang



__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

+2012ny 



__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ของแซ่บอีสาน : อักษรอีสาน (ไทยน้อย) V.1

http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=Sl8Vc1xpzcA

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

หนังเรื่องทองปาน สะท้อนให้เราได้เห็นวิถีชีวิตที่หาดูยากแล้วในปัจจุบัน เท่าที่เห็นนักแสดงน่าจะมี ส.ศิวะรักษ์และหงา คาราวานร่วมด้วยไม่แน่ใจ เป็นภาพสะท้อนการตัดสินใจการบริหารการพัฒนาประเทศโดยระบบราชการ แม้จะมีการสัมนาร่วมแสดงความคิดเห็นจากหลายฝ่าย แต่ดูเหมือนจะเป็นเพียงรูปแบบเท่านั้นอำนาจการตัดสินใจที่แท้จริงก็คือจากเบื้องบนสู่เบื้องล่าง จากชนชั้นนำสู่รากหญ้า และเหตุผลความต้องการของสองฝ่ายคือระหว่างประชาชนกับรัฐบาลมักจะตรงข้ามกัน บทสรุปก็คือประชาชนต้องเชื่อฟังรัฐตามระเบียบ

นี่เด้อคุณยอดนี่กะเบิ่งแล่วออนซอนหลายจ้า http://www.youtube.com/watch?v=584G0SvW6lc ของแซ่บ
ลาว : อักษรลาวV.1

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ทนาย อานนท์ ว่าความให้อากง แพ้หมดรูป แต่ยังว่าโง่ทันทียังไม่ได้ ต้องดูคำพิพากษา คดีอาญา ไม่มีหลักฐานแน่ชัดต้องยกประโยชน์ให้จำเลย ศาลไทยเน่าไปทั่วโลก เป็นครั้งแรกที่กระทรวงการต่างประเทศต้องออกหนังสือชี้แจง งามหน้าไหมละ///////////////// ที่ผมออกมาพูดนี่ผมมีเหตุผลซิครับ ผมมีเหตุผลที่กล้าพูดใด้เลย แต่ผมไม่ต้องการเอาออกมาพูดที่นี่ คุณต้องการทราพส่งเมลมาหาผมผ่าน นปช กลางแล้วผมจะอธิบายไห้คุณฟังครับ

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

Matichon Group : ศูนย์อบรมอาชีพและธุรกิจมติชน สำนักพิมพ์มติชน เส้นทางเศรษฐี เทคโนโลยีชาวบ้าน ศิลปวัฒนธรรม มติชนสุดสัปดาห์ ประชาชาติธุรกิจ ข่าวสด
| อ่านข่าวบนมือถือ |
หน้าแรก การเมือง บันเทิงและศิลปวัฒนธรรม" กีฬา ในประเทศ ต่างประเทศ เศรษฐกิจ ไลฟ์สไตล์ วันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2554
บันเทิงเทศ บันเทิงเอเชีย บันเทิงไทย ศิลปะวัฒนธรรม พิงค์สเกิร์ต เซาะเปีย กีฬาต่างประเทศ กีฬาในประเทศ การศึกษา คุณภาพสังคม ยุติธรรม-อาชญากรรม ภูมิภาค การเงิน-การคลัง ตลาดทุน พาณิชย์-เกษตร-การตลาด สื่อสารและคมนาคม อุตสาหกรรม-พลังงาน พร็อพเพอตี้ อาหาร-ท่องเที่ยว สุขภาพและความงาม รถยนต์ เทคโนโลยี

ลาว"สั่งแบน"เสก"-ทำลายวัฒนธรรม ปปส.ยินดีรับเป็นพรีเซ็นเตอร์วันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2554 เวลา 11:17:16 น.

Share3




ข่าวสด 26 ธันวาคม 2554




ผู้บริหารแกรมมี่แฉ"เสก โล โซ" เคยโดนสั่งยกเลิกคอนเสิร์ต ที่ประเทศลาวแกรมมี่แฉเอง รองเลขาฯ ป.ป.ส.เผยร็อก เกอร์หนุ่มยังไม่ติดต่อขอรับการบำบัดยา เสพติด ขีดเส้นให้มาแสดงตนถึง 29 ธ.ค.นี้ หากสมัครใจจริงจะให้เป็นพรีเซ็นเตอร์เชิญชวนคนหลงผิดเข้าคอร์สเลิกยาของป.ป.ส. ′เสก′ยังอารมณ์ดี โพสต์รูปตัวเองเก๊กท่าเสยผมขึ้นเฟซบุ๊กทักทายแฟนคลับ





จากกรณี ′เสก โลโซ′ หรือ นายเสกสรร ศุขพิมาย นักร้องเพลงร็อกชื่อดัง ตกเป็นข่าวครึกโครมหลังมีพฤติกรรมพัวพันกับยาเสพติด จนค่ายแกรมมี่ต้นสังกัดต้องฉีกสัญญาทิ้ง ต่อมาสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ทำหนังสือ เชิญตัวร็อกเกอร์ดังมาให้ข้อมูลโดยขีดเส้นให้เข้าพบภายในวันที่ 29 ธ.ค. มิเช่นนั้นจะให้ตำรวจออกหมายเรียกและหมายจับกุมตามลำดับ ขณะเดียวกันปัญหาครอบครัวระหว่าง ′กานต์′วิภากร ศุขพิมาย อดีตภรรยา ยังหาข้อยุติไม่ได้ ตามข่าวที่เสนอไปแล้วนั้น





ความคืบหน้าเมื่อวันที่ 25 ธ.ค. นายกริช ทอมมัส ผู้บริหารค่ายแกรมมี่ กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีของนักร้องหนุ่ม ′เสก โลโซ′ ว่า ตอนนี้แกรมมี่ไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้อง เพราะสัญญาของเรากับเสกถูกยกเลิกไปแล้ว เป็นเรื่องที่หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องจะต้องดำเนินการต่อไป ที่ผ่านมาเสกก็ยังไม่ได้ติดต่อเข้ามาเลย ผู้สื่อข่าวถามว่าหากเสกได้รับการบำบัดยาเสพติดจะมีโอกาสร่วมงานกันอีกครั้งหรือไม่ นายกริชกล่าวว่า เป็นไปได้ เขาก็เป็นคนมีฝีมือ หาก 2 ปีได้รับการบำบัดจนหายดีแล้วเรายินดีร่วมงานกันได้ ยังให้โอกาสเสกเข้ามาพูดคุยกัน





เมื่อถามว่าก่อนหน้านี้มีข่าวว่าเสกไปเปิดการแสดงที่นครเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว แล้วถูกสั่งให้เลิกเล่นกลางเวทีเพราะมีอาการเมายาและสั่งห้ามเข้าประเทศจริงหรือไม่ นายกริชกล่าวว่าตนได้รับรายงานมาว่าเขาให้เลิกเล่นจริง งานนั้นเสกเป็นคนรับเอง ทีมงานบอกแต่เพียงว่าเขาไปสูบบุหรี่และถอดเสื้อบนเวทีขณะแสดง ทำให้เจ้าหน้าที่กระทรวงวัฒนธรรมของลาวต้องสั่งหยุดแสดง ส่วนอื่นๆตนไม่ทราบ แต่ว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นนานแล้ว น่าจะเป็นช่วงที่เขาป่วยใหม่ๆ





วันเดียวกัน นายณรงค์ รัตนานุกูล รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) เผยความคืบหน้าการเชิญ ′เสก โลโซ′ มาพบเจ้าหน้าที่ป.ป.ส.ว่า ยังไม่ได้ติดต่อว่าจะเข้าพบเจ้าหน้าที่ป.ป.ส.วันใด มีเพียงคนใกล้ชิดยืนยันว่าจะมาเข้ารับการบำบัดฟื้นฟูตามหมายเรียกของป.ป.ส. โดยเป็นผู้สมัครใจเข้ารับการบำบัดตนเท่านั้น อยากให้เสกและคนใกล้ชิดไม่ต้องกังวลหรือกลัวว่าจะกลายเป็นผู้กระทำผิด ป.ป.ส.ถือว่ากลุ่มคนเหล่านี้ไม่ใช่อาชญากร เป็นผู้ป่วยที่ต้องได้รับการรักษา ส่วนระยะเวลาหรือโปรแกรมการบำบัดเป็นหน้าที่ของกระทรวงสาธารณสุขที่จะเข้ามารับช่วงต่อ แต่ละคนใช้ระยะเวลาไม่เท่ากัน แล้วแต่ใครติดมากติดน้อย สำหรับสถานที่บำบัดอาจใช้สถาบันธัญญารักษ์





นายณรงค์กล่าวว่า หากเสกยินดีรับเป็นพรีเซ็นเตอร์เพื่อเชิญชวนให้ผู้เสพสมัครใจเข้าโครงการสมัครใจบำบัดตามเป้าหมายของ ป.ป.ส.จะเป็นเรื่องที่น่ายินดีมาก เพราะเป็นบุคคลมีชื่อเสียง เป็นต้นแบบของเยาวชน ส่วนการสืบสวนขยายเครือข่ายยาเสพติดจากผู้เสพเป็นคนละส่วนกัน ยังไม่พูดถึงตอนนี้ ที่สำคัญการให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่เป็นเรื่องสมัครใจ ไม่ใช่การบังคับ แม้เจ้าหน้าที่จะไม่ได้ข้อมูลจากเสกแต่ก็สามารถทำงานสืบสวนได้ ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ

"ไม่ต้องกลัวว่าเจ้าหน้าที่จะคาดคั้นหาข้อมูลเรื่องเครือข่ายยา เพราะเป็นคนละส่วน เป้าหมายของป.ป.ส.ต้องการให้ผู้เสพซึ่ง เป็นผู้ป่วยเข้ารับการบำบัดรักษาอย่างถูกต้องถูกวิธี แต่หากใครอยากให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ก็ยินดี ผมเชื่อว่าตอนนี้เสกอาจขอเวลาคิดอะไรสักหน่อย ซึ่งเป็นสิทธิของ เสก เพราะมีระยะเวลาถึงวันที่ 29 ธ.ค. หากพร้อมจะมาวันไหนป.ป.ส.ก็พร้อม" นาย ณรงค์กล่าว



ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โครงการนำผู้เสพยาเสพติดเข้าสู่กระบวนการบำบัดนั้น รัฐบาลตั้งเป้าภายในปี 2555 จะนำผู้เสพยาเสพติดเข้าสู่กระบวนการบำบัดให้ได้ 400,000 คน ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มบังคับบำบัด กลุ่มสมัครบำบัดยังมียอดความสมัครใจค่อนข้างน้อย





วันเดียวกัน เวลา 12.00 น. นางวิภากร ศุขพิมาย หรือ ′กานต์′ อดีตภรรยา ′เสก โลโซ′ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กว่า "Merry x mas รอแซนต้าตั้งแต่เมื่อคืนแล้วเนี่ย แต่จะรออีกคืนนี้" ต่อมาช่วงเย็น ′เสก′ โพสต์ภาพลงเฟซบุ๊กด้วยชุดเสื้อคอกลมสีดำ พร้อมเอามือเสยผมลักษณะเก๊กท่า และเขียนข้อความใต้ภาพว่า "ยืนแอ็คแล้วก็เก็กท่าท้างวัน^_^ ใครมีบริษัทดีๆ แล้วก็แค่รวมเสร็จก็จัดจำหน่าย พี่คิดว่าเวิร์คเรยสส์ละ"




__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 


ใครฆ่าพระเจ้าตาก ยอด กษัตริย์ ชาตินักรบ
จากเรื่องราวต่างๆ หลายแงมุมมอง....จากหนังสือต่างๆ แหลงข้อมูลต่างๆ.....ผมจะหยิบยกมาเสนอใน มุมมองต่างๆ
มาบอกเล่าสู่กันฟังนะครับ ถ้าข้อมูลบางส่วนผิดประการใดก็ขออภัยไว้ ณ...ที่นี้ด้วยนะครับ ขอความกรุณาอ่านและวิจารณ์เฉพาะ
ในเชิงของประวัติศาสตร์นะครับ
ก่อนอื่นผมขอเล่าเรื่อง จุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ ก่อนเล็กน้อยนะครับเพื่อให้ได้เนื้อหาที่สมบูรณ์ครับ
พระเจ้าตากสิน บุตรชาวจีน บิดาชื่อนายไหฮอง บรรดาศักดิ์ขุนพัฒน์ นายอากรบ่อนเบี้ย
กับคนลาวชิ่อนกเอี้ยง (page.20 : Chinese Society in Thailand . An Analytical History. By Skinner G.William. Ithaca New York.Cornell Universty Press 1957 :459 pages)ซึ่งในภายหลังได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น “สมเด็จกรมพระพิทักษ์-
เทพามาตย์“ พระเจ้าตากประสูติในวันอาทิตย์ ปีขาล (๑๗ เมษายน ๒๒๗๗) เล่ากันว่า
ตอนเกิดนั้นมีนิมิตรเกิดขึ้นเป็นฝนตกฟ้าผ่า พอท่านอายุครบ ๓ วัน มีดันงูเหลือมตัวใหญ่
เลื้อยอยู่รอบ ๆ เปล บิดาของท่านก็กลัวว่าจะเป็นลางร้าย จึงนำไปฝากให้เป็นบุตร
บุญธรรมของเจ้าพระยาจักรีในสมัยนั้น ต่อมาไม่นานนักเจ้าพระยาจักรีเกิดร่ำรวยมีแต่
โชคลาภมงคลเข้ามา ท่านจึงตั้งชื่อให้ลูกบุญธรรมคนนี้ว่า”สิน” ซึ่งแปลว่า “เงินทอง”

เมื่ออายุ ๕ ขวบ ได้เรียนกับพระอาจารย์ทองดี วัดโกษาวาส มีเพื่อนสนิทบวชเณรอยู่
ด้วยกัน ๒ คนคือ ทองด้วง และบุนนาค ซึ่งต่อมา ”ทองด้วง” ก็ขึ้นเสวยราชย์เป็น ร.๑
ในราชวงศ์จักรี ในขณะที่ “บุนนาค” เป็นมหาดเล็กหุ้มแพร นายฉลองไนยนาถ และ
ได้เป็น เจ้าพระยามหาเสนาบดี ต้นตระกูลบุนนาค หลังจากที่พระเจ้าตากสินได้สู่
สวรรคตแล้ว

คราวนี้ผมจะพาพวกเราลองย้อนกลับไปในช่วงก่อนที่พระเจ้าตากจะถูกทำรัฐประหาร
เพื่อเตรียมปูพื้นไว้ก่อนว่า มีอะไรบ้างที่ดูเหมือนจะเป็นการบิดเบือน

เหตุการณ์ทางการเมืองในช่วงปลายรัชสมัยของพระเจ้าตากนั้นเต็มไปด้วยความวุ่นวาย
มีความสับสนในข้อมูล มีการบิดเบือนโดยใช้การบอกเล่าผ่านทางนวนิยายก็หลายหน
ซึ่งผมไม่ให้ความสำคัญกับข้อความในนวนิยายพวกนี้ ที่มักอ้างเอกสารทางประวัติศาสตร์
เพื่อโน้มน้าวผู้อ่านให้เชื่อถือ ตัวอย่างเช่น นวนิยายชื่อ “ผู้อยู่เหนือเงื่อนไข” ของ
สุภา ศิริมานนท์ ใช้นามปากกาว่า ษี บ้านกุ่ม เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๖ ที่อ้างถึงเอกสารสมุดข่อย
ที่ตกทอดในตระกูลสุนทรโรหิต และสืบทอดมาถึงหลวงสุภาเทพ (โต สุนทรโรหิต) บิดา
ของจินดา ศิริมานนท์ ซึ่งต่อมาก็ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้เก็บรักษาสมุดข่อยที่ว่านี้ไว้

ในเรื่องของ “ผู้อยู่เหนือเงื่อนไข” นี้ ได้สร้างความเชื่ออย่างนึงในกลุ่มผู้อ่านว่าพระเจ้าตาก
ไม่ได้สวรรคตจากการประหารชีวิตที่วัดอรุณ แต่ทรงได้รับความช่วยเหลือจากภิกษุ
๕ รูปและทรงประทับเรือพาย พร้อมด้วยฝีพาย ๔ คน ออกมาจากกรุงธนบุรี เพื่อไปประทับ
เรือใบของ "คุณพัด" หรือ เจ้าพระยาพัฒน์ ผู้ครองเมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นพี่เขย
ของคุณเล็กและคุณฉิม พระชายาในสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ที่ทอดสมอรออยู่ที่ตำบล
ปากลัด หรือ พระประแดง ในปัจจุบัน เพื่อทรงหลบหนีไปเมืองนครศรีธรรมราช และ
ได้บอกเล่าเอาไว้ว่า ภิกษุทั้ง ๕ นั้น ที่จริงแล้วก็คือพระสหายเก่าตั้งแต่ครั้งอุปสมบทที่
วัดโกษาวาส เมื่อ พ.ศ. ๒๒๙๗ ในช่วงกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย มีชื่อว่า "สิงห์ขาม"หรือ
แกละดำ, "ปางทราย" หรือ แกละขาว, "สีเหล็ก" หรือ เอกจิโตภิกขุ, "หินขาบ" หรือ
แกละแดง และคนสุดท้ายคือ "หลวงอาสาศึก" หรือ บุญคง ซึ่งท่านสุดท้ายนี้ไม่ได้
เดินทางกลับมาด้วย เนื่องจากได้เสียสละปลอมตัวเป็นพระองค์อยู่ในที่คุมขัง และยอมถูก
สำเร็จโทษแทนสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ผมคิดว่าทั้งหมดที่ถูกพรรณาในนวนิยาย “ผู้อยู่เหนือเงื่อนไข” นั้น ออกจะเกินจริงไป
เหตุเพราะพระเจ้ากรุงธนบุรีนั้นทรงถูกพระยาสรรค์ก่อการรัฐประหารยึดอำนาจ และ
นำตัวพระองค์ไปคุมขังไว้ แต่การประหารพระองค์นั้นไม่ได้เกิดขึ้นจากน้ำมือพระยาสรรค์
แต่กลับเกิดขึ้นหลังจากที่เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก หรือ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ฯ
ได้เสวยราชสมบัติแล้ว ซึ่งผมไม่เชื่อว่าจะเกิดการเปลี่ยนตัวนักโทษได้ง่าย ๆ เนื่องจาก
การกลับคืนสู่พระนครและการปราบกบฏพระยาสรรค์นั้น ไม่ได้ทำเพื่อถวายคืนพระยศ
และถวายพระราชอำนาจคืนแก่พระเจ้ากรุงธนบุรี แต่เป็นการทำเพื่อการเข้าสู่ราชบัลลังก์
ของพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ฯ ซึ่งแน่นอนว่าการคุมขังพระเจ้ากรุงธนบุรีในคุกหลวงนั้น
ย่อมต้องแข็งแรงรัดกุม และผมเชื่อแน่นอนว่า เรื่องที่เล่าสู่กันฟังว่าพระเจ้าตากทรง
เตี๊ยมกับเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก สร้างเรื่องเพื่อหลบปัญหาหนี้สิน ๖ หมื่นตำลึงกับจีน
จนนำไปสู่การสลับตัวนักโทษประหารและการหลบหนีของพระเจ้าตากนั้น ไม่น่าจะเป็น
ไปได้ เหตุเพราะหลังจากพระเจ้าตากได้สู่สวรรคตแล้ว ทั้งโอรสและธิดาของพระเจ้าตาก
๒๙ พระองค์ที่ทรงพระเจริญวัยก็ถูกจับปลงพระชนม์หมด ที่ยังทรงพระเยาว์และเจ้าหญิง
ก็ถูกถอดพระยศออก แล้วเรียกว่าหม่อมเหมือนกันทุกพระองค์ (ในช่วงแรกมีคนเสนอให้
นำไปทำเรือล่มเพื่อให้หมดสิ้นวงศ์ด้วซ้ำ แต่พระพุทธยอดฟ้า ฯ ทรงห้ามไว้) แม้จนกระทั่ง
สมเด็จพระราชินีและสมเด็จพระน้านาง ก็ถูกถอดพระยศจนหมดสิ้น จะมียกเว้นก็แต่เพียง
“เจ้าฟ้าเหม็น”ซึ่งเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าตากสิน ซึ่งเกิดจากเจ้าจอมฉิมใหญ่ ซึ่งเป็น
พระราชธิดาของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ทำให้เจ้าฟ้าเหม็นเป็นทั้งโอรสของ
พระเจ้าตากและเป็นพระนัดดาหรือหลานตาของ ร.๑ จึงรอดจากการถูกประหารในขณะนั้น
แต่เมื่อสิ้น ร.๑ ได้เพียง ๓ วัน "เจ้าฟ้าเหม็น" ก็ถูกปลงพระชนม์ในข้อหากบฏ เนื่องจาก
มีอีกาบินคาบข่าวการกบฏมาตกในท้องพระโรง ... ???

นอกจากนี้ ทหารเสือคู่พระทัยและข้าราชบริพารที่ซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าตากสินอีกร้อยกว่าชีวิต
ต่างก็ถูกโทษประหารด้วยเช่นกัน อย่างเช่น เจ้าพระยานครราชสีมา (ต้นสกุลกาญจนา),
พระยารามัญวงศ์ (ต้นสกุลศรีเพ็ญ), พระยาพิชัยดาบ หัก (ทองดี ต้นสกุลวิชัยขัทคะ และ
พิชัยกุล) เป็นต้น ต่างก็ถูกฝังเรียงรายใกล้พระศพสมเด็จพระเจ้าตากสินนั้นเอง

จากพฤติกรรมต่าง ๆ ที่ผมเล่าให้ฟังนี้ ผมเชื่อว่ามีการล้างตระกูลเกิดขึ้นจริงและไม่น่าที่จะ
มีเรื่องของการยอมให้มีการเปลี่ยนตัวพระเจ้าตากออกมาจากคุก เพื่อหลบหนีไปบวชอยู่
ที่นครศรีธรรมราชตามที่มีผู้เล่าทิ้งความเชื่อเอาไว้ และผมยังเชื่ออีกว่าบรรดาเรื่องราว
ทั้งในนวนิยายของ ษี บ้านกุ่ม ก็ดี หรือเรื่อง “ใครฆ่าพระเจ้ากรุงธน” ของหลวงวิจิตร ฯ
ก็ดี รวมทั้งพงศาวดารไทยอีกหลายฉบับที่มีการชำระหลังจากรัชสมัยของ ร.๑ ก็ดีมีความ
พยายามที่จะทำให้เรื่องราวข้อเท็จจริงในอดีตนั้นดูเบาลง และเป็นภาพที่ดีขึ้นสำหรับการ
กำเนิดราชวงศ์ใหม่หลังจากสิ้นสุดรัชสมัยของพระเจ้ากรุงธนบุรี

เป็นอย่างไรบ้างครับท่านผู้อ่าน.. คราวนี้เราจะมาดูข้อมูลจากแหล่งที่มาต่างๆครับ
เป็นอย่างไรบ้างครับ...ท่านผู้อ่าน ตอนนี้ผมขอพักเรื่องไว้นิดหนึ่งนะครับ คราวนี้เรามาดูจากแหล่งข้อมูลต่างๆ
จากหนังสือต่างๆ ที่ได้เขียนไว้ครับ
บรรดาเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ของชาติ มีบางเหตุการณ์ที่ยังหาข้อสรุปที่ชัดเจนไม่ได้ ทำให้มีการตีความ และนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้นใหม่อยู่เป ็นระยะ

ดังเช่นเหตุการณ์สวรรคตของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี (พระเจ้าตากสิน) พระปฐมบรมราชกษัตริย์แห่งกรุงธนบุรี ในปี พ.ศ.2325

แม้เหตุการณ์ในวันนั้นจะผ่าน มา 226 ปี หากคำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้กลับแตกต่างกันไป มีการนำเสนอเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้ากรุงธนบุรี หลายต่อหลายครั้ง เมื่อมีเอกสาร หรือการตีความใหม่เกิดขึ้น

สำหรับนิตยสาร "ศิลปวัฒนธรรม" นำเสนอบทความเกี่ยวกับสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีมาเป็น ระยะ เช่น บทความชื่อ "ชำแหละแผนยึดกรุงธนบุรี" ของ ปรามินทร์ เครือทอง ที่กล่าวถึงเหตุการณ์ช่วงกรุงธนบุรีแตกไว้โดยละเอียด

ตั้งแต่ การเกิดรัฐประหารขึ้นในกัมพูชาซึ่งอยู่ในอำนาจของกรุ งธนบุรีในขณะนั้นซึ่งเป็นเวลา 1 ปี ก่อนกรุงธนบุรีแตก บรรยากาศทางการเมืองที่มีกลุ่มต่างๆ ก่อตัวขึ้น จนถึง 24 ชั่วโมงสุดท้ายของกรุงธนบุรี และ 24 ชั่วโมงแรกของกรุงรัตนโกสินทร์ ตลอดจนพระราชดำรัสสุดท้ายของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ที่บันทึกในพระราชพงศาวดารกรุงกัมพูชา ให้ชวนคิดว่า

"กูวิตกแต่ศัตรูมาแต่ประเทศเมืองไกล แต่เดี๋ยวนี้ไซ้ลูกหลานของกูเอง ว่ากูคิดเปนบ้าเปนบอแล้วดังนี้ จะให้พ่อบวชก็ดี ฤาจะใส่ตรวนพ่อก็ดี พ่อจะยอมรับทำตามใจลูกบังคับทั้งสิ้น" (ศิลปวัฒนธรรม เดือนเมษายน พ.ศ.2550)


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

หรือบทความชื่อ "ความเปลี่ยนแปลงในการเขียนประวัติศาสตร์ และการให้ความหมายต่อกรณี "สัญญาวิปลาส" ของพระเจ้าตากสิน" ผลงานการค้นคว้าข้อมูลของ ศิริวรรณ ลาภสมบูรนานนท์ (ศิลปวัฒนธรรม เดือนกันยายน พ.ศ.2550) ตั้งข้อสังเกตว่า

"พระราชประวัติของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีหรือ "พระเจ้าตากสิน" เป็นที่เคลือบแคลงเสมอมาโดยเฉพาะในช่วงปลายรัชกาล ในพระราชพงศาวดารฉบับต่างๆ ทั้งที่เขียนขึ้นร่วมสมัยและฉบับที่ชำระใหม่ภายหลัง ได้กล่าวถึงวาระสุดท้ายของพระเจ้าตากสินไว้ว่า

ทรงถูกสำเร็จโทษอันเนื่องมาจากว่าทรงมีพระสติฟั่นเฟื อนจนถึงแก่ "สัญญาวิปลาส" จนเป็นภัยต่อพระพุทธศาสนาและไม่อาจปกครองบ้านเมืองรว มทั้งอาณาประชาราษฎร์ให้เกิดความสงบสุขร่มเย็นได้

...คำอธิบายนี้ได้กลายเป็นแม่แบบคำอธิบายอย่าง "เป็นทางการ" ซึ่งได้รับการผลิตซ้ำ (reproduction) อย่างสม่ำเสมอ ทั้งจากการพิมพ์เผยแพร่พระราชพงศาวดารและจดหมายเหตุต่างๆ..."
และกล่าวถึงพระราชพงศาวดารสมัยกรุงธนบุรี 4 ฉบับ คือ 1.ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) 2.ฉบับบริติชมิวเซียม 3.ฉบับหมอบรัดเลย์ และ 4.ฉบับพระราชหัตถเลขา ซึ่งมีลักษณะที่แตกต่างกันคือ

"พระราชพงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) และฉบับบริติชมิวเซียม เป็นพระราชพงศาวดารที่ชำระขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ตอน ต้น จึงยังคงข้อความถวายพระเกียรติพระเจ้าตากสินด้วยราชา ศัพท์หรือคำยกย่องในบุญญาบารมีอยู่มาก...และคงลักษณะ ยกย่องอย่างนั้นจนถึงช่วงปลายรัชกาลที่มีการรวบรัดตัดความ

ส่วนพระราชพงศาวดารฉบับหมอบรัดเลย์และฉบับพระราช หัตถ เลขา ซึ่งชำระขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่ห ัว ไม่ได้ให้ความยกย่องแก่พระเจ้าตากสิน...ยิ่งในช่วงปล ายรัชกาลยิ่งลดทอนพระเกียรติของพระเจ้าตากสินในฐานะพ ระมหากษัตริย์ลงอีก..."

เพื่อชี้ให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในการเขียนประวัติ และการให้ความหมายต่อกรณี "สัญญาวิปลาส" ของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีที่เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพสังคม

และในเดือนพฤษภาคม พศ2551 นิตยสารศิลปวัฒนธรรม นำเสนอบทความเกี่ยวกับสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีอีกครั ้ง ปรามินทร์ เครือทอง กลับมาชวนท่านผู้อ่านคิดต่อเนื่องถึงเหตุการณ์ปลายแผ ่นดินสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี หากคราวนี้สมรภูมิเป็นพื้นที่ในพงศาวดาร พื้นที่สำหรับสร้างความชอบธรรม ในบทความชื่อ "แฉ" แผนใช้พงศาวดารยึดกรุงธนบุรี "ซ้ำ" ที่ว่า

"การทำรัฐประหารเปลี่ยนแผ่นดินจากกรุงธนบุรีไปสู่กรุง รัตนโกสินทร์ สำเร็จราบคาบในคราวเดียวหรือจะให้ละเอียดกว่านั้นคือ ศึกกลางเมืองยึดกรุงธนบุรีสำเร็จเด็ดขาดด้วยเวลาเพีย ง 7 ชั่วโมง และตลอดรัชสมัยรัชกาลที่ 1 ก็ไม่มีแรงปฏิกิริยาใดๆ จากกลุ่มอำนาจเก่าหรือฝ่ายพระเจ้าตากเลย... แต่งานปราบปรามกรุงธนบุรียังมิได้ลุล่วงไปอย่างสมบูร ณ์แท้ดังที่ทราบกัน ยังคงมีสิ่งที่ต้องชำระสะสางกันอีกเพื่อให้กรุงรัตนโ กสินทร์มีความสง่างามประดุจรัตนชาติซึ่งไร้ตำหนิรอยร ้าว

13 ปี หลังจากการปราบดาภิเษกเปลี่ยนแผ่นดิน การยึดกรุงธนบุรีได้เกิดขึ้นอีกครั้ง ซึ่งกระทำโดยปราศจากการใช้กำลังและความรุนแรง แต่เป็นการยึดกรุงธนบุรีโดยใช้ "พระราชพงศาวดาร" เป็นอาวุธ

โดยเฉพาะพระราชพงศาวดารกรุงธนบุรีในช่วงปลายรัชกาล นับตั้งแต่เค้าลางแห่งการรัฐประหารเริ่มเกิดขึ้น โครงสร้างของเนื้อความในพระราชพงศาวดารก็วิบัติผันแป รไปตามเหตุการณ์ เพื่อสนับสนุนให้เนื้อเรื่องตอนฉากจลาจลในพระนคร เป็นไปอย่างสมเหตุสมผลและสมควรแก่การเปลี่ยนแปลงทางก ารเมือง"

ถึงตรงนี้ขอเชิญท่านผู้อ่านร่วมกันค้นหา "ความจริง" เกี่ยวกับ "เวลา" เกิดเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งซ่อนเร้นอยู่ในพงศาวดาร พยายามชี้ให้เห็น ส่วนคำตอบจะเป็นเช่นไร กรุณาตรวจสอบใน "ศิลปวัฒนธรรม" เดือนพฤษภาคมนี้ แล้วท่านจะพบว่า
พงศาวดารพูดถึง "ยุคเข็ญ" ปลายกรุงธนบุรีได้เสียงดังฟังชัดแค่ไหน !!!


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

หรือบทความชื่อ "ความเปลี่ยนแปลงในการเขียนประวัติศาสตร์ และการให้ความหมายต่อกรณี "สัญญาวิปลาส" ของพระเจ้าตากสิน" ผลงานการค้นคว้าข้อมูลของ ศิริวรรณ ลาภสมบูรนานนท์ (ศิลปวัฒนธรรม เดือนกันยายน พ.ศ.2550) ตั้งข้อสังเกตว่า

"พระราชประวัติของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีหรือ "พระเจ้าตากสิน" เป็นที่เคลือบแคลงเสมอมาโดยเฉพาะในช่วงปลายรัชกาล ในพระราชพงศาวดารฉบับต่างๆ ทั้งที่เขียนขึ้นร่วมสมัยและฉบับที่ชำระใหม่ภายหลัง ได้กล่าวถึงวาระสุดท้ายของพระเจ้าตากสินไว้ว่า

ทรงถูกสำเร็จโทษอันเนื่องมาจากว่าทรงมีพระสติฟั่นเฟื อนจนถึงแก่ "สัญญาวิปลาส" จนเป็นภัยต่อพระพุทธศาสนาและไม่อาจปกครองบ้านเมืองรว มทั้งอาณาประชาราษฎร์ให้เกิดความสงบสุขร่มเย็นได้

...คำอธิบายนี้ได้กลายเป็นแม่แบบคำอธิบายอย่าง "เป็นทางการ" ซึ่งได้รับการผลิตซ้ำ (reproduction) อย่างสม่ำเสมอ ทั้งจากการพิมพ์เผยแพร่พระราชพงศาวดารและจดหมายเหตุต่างๆ..."
และกล่าวถึงพระราชพงศาวดารสมัยกรุงธนบุรี 4 ฉบับ คือ 1.ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) 2.ฉบับบริติชมิวเซียม 3.ฉบับหมอบรัดเลย์ และ 4.ฉบับพระราชหัตถเลขา ซึ่งมีลักษณะที่แตกต่างกันคือ

"พระราชพงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) และฉบับบริติชมิวเซียม เป็นพระราชพงศาวดารที่ชำระขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ตอน ต้น จึงยังคงข้อความถวายพระเกียรติพระเจ้าตากสินด้วยราชา ศัพท์หรือคำยกย่องในบุญญาบารมีอยู่มาก...และคงลักษณะ ยกย่องอย่างนั้นจนถึงช่วงปลายรัชกาลที่มีการรวบรัดตัดความ

ส่วนพระราชพงศาวดารฉบับหมอบรัดเลย์และฉบับพระราช หัตถ เลขา ซึ่งชำระขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่ห ัว ไม่ได้ให้ความยกย่องแก่พระเจ้าตากสิน...ยิ่งในช่วงปล ายรัชกาลยิ่งลดทอนพระเกียรติของพระเจ้าตากสินในฐานะพ ระมหากษัตริย์ลงอีก..."

เพื่อชี้ให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในการเขียนประวัติ และการให้ความหมายต่อกรณี "สัญญาวิปลาส" ของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีที่เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพสังคม

และในเดือนพฤษภาคม พศ2551 นิตยสารศิลปวัฒนธรรม นำเสนอบทความเกี่ยวกับสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีอีกครั ้ง ปรามินทร์ เครือทอง กลับมาชวนท่านผู้อ่านคิดต่อเนื่องถึงเหตุการณ์ปลายแผ ่นดินสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี หากคราวนี้สมรภูมิเป็นพื้นที่ในพงศาวดาร พื้นที่สำหรับสร้างความชอบธรรม ในบทความชื่อ "แฉ" แผนใช้พงศาวดารยึดกรุงธนบุรี "ซ้ำ" ที่ว่า

"การทำรัฐประหารเปลี่ยนแผ่นดินจากกรุงธนบุรีไปสู่กรุง รัตนโกสินทร์ สำเร็จราบคาบในคราวเดียวหรือจะให้ละเอียดกว่านั้นคือ ศึกกลางเมืองยึดกรุงธนบุรีสำเร็จเด็ดขาดด้วยเวลาเพีย ง 7 ชั่วโมง และตลอดรัชสมัยรัชกาลที่ 1 ก็ไม่มีแรงปฏิกิริยาใดๆ จากกลุ่มอำนาจเก่าหรือฝ่ายพระเจ้าตากเลย... แต่งานปราบปรามกรุงธนบุรียังมิได้ลุล่วงไปอย่างสมบูร ณ์แท้ดังที่ทราบกัน ยังคงมีสิ่งที่ต้องชำระสะสางกันอีกเพื่อให้กรุงรัตนโ กสินทร์มีความสง่างามประดุจรัตนชาติซึ่งไร้ตำหนิรอยร ้าว

13 ปี หลังจากการปราบดาภิเษกเปลี่ยนแผ่นดิน การยึดกรุงธนบุรีได้เกิดขึ้นอีกครั้ง ซึ่งกระทำโดยปราศจากการใช้กำลังและความรุนแรง แต่เป็นการยึดกรุงธนบุรีโดยใช้ "พระราชพงศาวดาร" เป็นอาวุธ

โดยเฉพาะพระราชพงศาวดารกรุงธนบุรีในช่วงปลายรัชกาล นับตั้งแต่เค้าลางแห่งการรัฐประหารเริ่มเกิดขึ้น โครงสร้างของเนื้อความในพระราชพงศาวดารก็วิบัติผันแป รไปตามเหตุการณ์ เพื่อสนับสนุนให้เนื้อเรื่องตอนฉากจลาจลในพระนคร เป็นไปอย่างสมเหตุสมผลและสมควรแก่การเปลี่ยนแปลงทางก ารเมือง"

ถึงตรงนี้ขอเชิญท่านผู้อ่านร่วมกันค้นหา "ความจริง" เกี่ยวกับ "เวลา" เกิดเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งซ่อนเร้นอยู่ในพงศาวดาร พยายามชี้ให้เห็น ส่วนคำตอบจะเป็นเช่นไร กรุณาตรวจสอบใน "ศิลปวัฒนธรรม" เดือนพฤษภาคมนี้ แล้วท่านจะพบว่า
พงศาวดารพูดถึง "ยุคเข็ญ" ปลายกรุงธนบุรีได้เสียงดังฟังชัดแค่ไหน !!!


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

หรือบทความชื่อ "ความเปลี่ยนแปลงในการเขียนประวัติศาสตร์ และการให้ความหมายต่อกรณี "สัญญาวิปลาส" ของพระเจ้าตากสิน" ผลงานการค้นคว้าข้อมูลของ ศิริวรรณ ลาภสมบูรนานนท์ (ศิลปวัฒนธรรม เดือนกันยายน พ.ศ.2550) ตั้งข้อสังเกตว่า

"พระราชประวัติของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีหรือ "พระเจ้าตากสิน" เป็นที่เคลือบแคลงเสมอมาโดยเฉพาะในช่วงปลายรัชกาล ในพระราชพงศาวดารฉบับต่างๆ ทั้งที่เขียนขึ้นร่วมสมัยและฉบับที่ชำระใหม่ภายหลัง ได้กล่าวถึงวาระสุดท้ายของพระเจ้าตากสินไว้ว่า

ทรงถูกสำเร็จโทษอันเนื่องมาจากว่าทรงมีพระสติฟั่นเฟื อนจนถึงแก่ "สัญญาวิปลาส" จนเป็นภัยต่อพระพุทธศาสนาและไม่อาจปกครองบ้านเมืองรว มทั้งอาณาประชาราษฎร์ให้เกิดความสงบสุขร่มเย็นได้

...คำอธิบายนี้ได้กลายเป็นแม่แบบคำอธิบายอย่าง "เป็นทางการ" ซึ่งได้รับการผลิตซ้ำ (reproduction) อย่างสม่ำเสมอ ทั้งจากการพิมพ์เผยแพร่พระราชพงศาวดารและจดหมายเหตุต่างๆ..."
และกล่าวถึงพระราชพงศาวดารสมัยกรุงธนบุรี 4 ฉบับ คือ 1.ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) 2.ฉบับบริติชมิวเซียม 3.ฉบับหมอบรัดเลย์ และ 4.ฉบับพระราชหัตถเลขา ซึ่งมีลักษณะที่แตกต่างกันคือ

"พระราชพงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) และฉบับบริติชมิวเซียม เป็นพระราชพงศาวดารที่ชำระขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ตอน ต้น จึงยังคงข้อความถวายพระเกียรติพระเจ้าตากสินด้วยราชา ศัพท์หรือคำยกย่องในบุญญาบารมีอยู่มาก...และคงลักษณะ ยกย่องอย่างนั้นจนถึงช่วงปลายรัชกาลที่มีการรวบรัดตัดความ

ส่วนพระราชพงศาวดารฉบับหมอบรัดเลย์และฉบับพระราช หัตถ เลขา ซึ่งชำระขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่ห ัว ไม่ได้ให้ความยกย่องแก่พระเจ้าตากสิน...ยิ่งในช่วงปล ายรัชกาลยิ่งลดทอนพระเกียรติของพระเจ้าตากสินในฐานะพ ระมหากษัตริย์ลงอีก..."

เพื่อชี้ให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในการเขียนประวัติ และการให้ความหมายต่อกรณี "สัญญาวิปลาส" ของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีที่เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพสังคม

และในเดือนพฤษภาคม พศ2551 นิตยสารศิลปวัฒนธรรม นำเสนอบทความเกี่ยวกับสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีอีกครั ้ง ปรามินทร์ เครือทอง กลับมาชวนท่านผู้อ่านคิดต่อเนื่องถึงเหตุการณ์ปลายแผ ่นดินสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี หากคราวนี้สมรภูมิเป็นพื้นที่ในพงศาวดาร พื้นที่สำหรับสร้างความชอบธรรม ในบทความชื่อ "แฉ" แผนใช้พงศาวดารยึดกรุงธนบุรี "ซ้ำ" ที่ว่า

"การทำรัฐประหารเปลี่ยนแผ่นดินจากกรุงธนบุรีไปสู่กรุง รัตนโกสินทร์ สำเร็จราบคาบในคราวเดียวหรือจะให้ละเอียดกว่านั้นคือ ศึกกลางเมืองยึดกรุงธนบุรีสำเร็จเด็ดขาดด้วยเวลาเพีย ง 7 ชั่วโมง และตลอดรัชสมัยรัชกาลที่ 1 ก็ไม่มีแรงปฏิกิริยาใดๆ จากกลุ่มอำนาจเก่าหรือฝ่ายพระเจ้าตากเลย... แต่งานปราบปรามกรุงธนบุรียังมิได้ลุล่วงไปอย่างสมบูร ณ์แท้ดังที่ทราบกัน ยังคงมีสิ่งที่ต้องชำระสะสางกันอีกเพื่อให้กรุงรัตนโ กสินทร์มีความสง่างามประดุจรัตนชาติซึ่งไร้ตำหนิรอยร ้าว

13 ปี หลังจากการปราบดาภิเษกเปลี่ยนแผ่นดิน การยึดกรุงธนบุรีได้เกิดขึ้นอีกครั้ง ซึ่งกระทำโดยปราศจากการใช้กำลังและความรุนแรง แต่เป็นการยึดกรุงธนบุรีโดยใช้ "พระราชพงศาวดาร" เป็นอาวุธ

โดยเฉพาะพระราชพงศาวดารกรุงธนบุรีในช่วงปลายรัชกาล นับตั้งแต่เค้าลางแห่งการรัฐประหารเริ่มเกิดขึ้น โครงสร้างของเนื้อความในพระราชพงศาวดารก็วิบัติผันแป รไปตามเหตุการณ์ เพื่อสนับสนุนให้เนื้อเรื่องตอนฉากจลาจลในพระนคร เป็นไปอย่างสมเหตุสมผลและสมควรแก่การเปลี่ยนแปลงทางก ารเมือง"

ถึงตรงนี้ขอเชิญท่านผู้อ่านร่วมกันค้นหา "ความจริง" เกี่ยวกับ "เวลา" เกิดเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งซ่อนเร้นอยู่ในพงศาวดาร พยายามชี้ให้เห็น ส่วนคำตอบจะเป็นเช่นไร กรุณาตรวจสอบใน "ศิลปวัฒนธรรม" เดือนพฤษภาคมนี้ แล้วท่านจะพบว่า
พงศาวดารพูดถึง "ยุคเข็ญ" ปลายกรุงธนบุรีได้เสียงดังฟังชัดแค่ไหน !!!


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

"แล้วจึงให้เชิญเสด็จพระบรมศพพระที่นั่งสุริยาศน์อัมรินทร์แห่แหนมา ณ โพธิ์สามต้น
ถวายพระเพลิง” นอกจากนี้ยังกล่าวถึงพระบรมวงศานุวงศ์ในพ่อเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ
ไว้ตอนนึงว่า "จึงให้รับบุราณขัตติยวงศาซึ่งได้ความลำบากกับทั้งพระบรมวงศ์ลงมาทะนุ
บำรุงไว้ ณ เมืองธนบุรี" ซึ่งเหตุที่ต้องอพยพอย่างนี้ก็เพราะในขณะนั้น บริเวณแถบ
โพธิ์สามต้นและกรุงเก่ายังเป็นเขตอิทธิพลของชุมชนมอญ เกรงว่าจะไม่ปลอดภัย
ต่อพระราชวงศ์ รวมทั้งสภาพของเมืองนั้นก็ทรุดโทรมอย่างหนัก มีแต่ทรากปรักพัง
ยากแก่การซ่อมแซม จึงดำริว่าจะอพยพลงไปตั้งมั่นอยู่ที่ธนบุรี

ในความเห็นส่วนตัวของผมนั้น ผมค่อนข้างเห็นชัดว่าพระเจ้าตากนั้นไม่ทรงลืมที่จะต้องภักดี
ต่อแผ่นดินอโยธยาและทรงพยายามที่จะรักษาสัตยวาจา รักษานโยบายการกู้คืนราชธานี
อยุธยาอย่างมั่นคงอย่างที่เคยประกาศไว้เมื่อครั้งเริ่มก่อตั้งชุมนุมพระยาตาก บุรุษอย่างนี้
สมแล้วที่จะทรงเป็นมหาราชของแผ่นดิน

ด้านนโยบายทางการปกครองของพระเจ้าตากนั้น จะทรงเน้นให้ผู้นำชุมชนหรือชุมนุมที่
ผ่านเส้นทางนั้นปกครองกันเองโดยไม่ทรงแต่งตั้งคนจากส่วนกลางไปปกครองถ้าไม่จำเป็น
วิธีนี้ค่อนข้างต่างจากสมัยอยุธยาที่มักจะส่งเชื่อพระวงศ์ให้ขึ้นไปปกครองหัวเมือง หรือ
ไม่ก็พยายามดองเขยดองสะใภ้ให้เป็นทองแผ่นเดียวกันกับเจ้าผู้ครองนครเดิม

อาจจะด้วยเหตุผลที่ว่าพระเจ้าตากเองก็อยู่ในภาวะจำยอมเนื่องจากกรุงธนบุรีเองก็ไม่ได้มี
กำลังมากพอขนาดที่จะไปควบคุมหัวเมืองได้ในยามที่กระด้างกระเดื่อง จึงใช้นโยบาย
แบบที่ว่านี้เพื่อลดความขัดแย้งระหว่างศูนย์กับหัวเมืองในปกครอง ซึ่งกลับเป็นผลดี
แก่กรุงธนบุรีเอง อย่างน้อยก็กว่า ๑๕ ปี

เป็นอย่างไรบ้างครับคงอ่านกันเหนื่อยแย่เลย เนื้อเรื่องเริ่มสนุกเข้มขนขึ้นแล้วสิครับ..
ต่อจากนี้เราจะมาดูเรื่องการขยายดินแดนของพระองค์ท่านนะครับ....
เราจะมาดูกันว่าหลังจากที่พระเจ้าตากได้ทรงกอบกู้บ้านเมืองจากอิทธิพลของ
พม่าได้สำเร็จแล้วนั้น พระองค์ทรงดำเนินการรวบรวมชาติให้เป็นปึกแผ่นกันอย่างไร

พระเจ้าตากซึ่งต่อไปนี้ผมจะขอเรียกท่านว่า “พระเจ้ากรุงธนบุรี” ทรงใช้เวลาอยู่ ๓ ปี
คือตั้งแต่ พ.ศ. ๒๓๑๑ จนถึง พ.ศ. ๒๓๑๓ ในการปราบชุมนุมต่าง ๆ เพื่อการรวมชาติ
ชุมนุมแรกที่ไปปราบ คือ ชุมนุมพิษณุโลก เหตุเพราะอยู่ไม่ไกลจากกรุงธนบุรีและ
สะดวกในการเตรียมไพร่พลเสบียงกรังและการเดินทัพ แต่ตีไม่สำเร็จ จึงได้เปลี่ยนแผนใหม่
โดยเริ่มตีตั้งแต่ชุมนุมเล็ก ๆ ไปหาใหญ่อย่างที่แอ๊ด คาราบาว แต่งเพลงไว้ ชุมนุมเจ้าพิมาย
เป็นอันดับแรก ตามมาด้วยชุมนุมเจ้านครศรีธรรมราช และชุมนุมเจ้าฝาง ตามลำดับ
ผมจะขอสรุปเหตุการณ์ในการเข้าตีชุมนุมต่าง ๆ โดยสั้น ๆ อย่างนี้

การเข้าปราบชุมนุมเจ้าพิษณุโลก

เกิดขึ้น ภายหลังศึกบางกุ้งใน พ.ศ. ๒๓๑๑ พระเจ้ากรุงธนบุรีโปรดให้ยกทัพไปปราบ
ชุมนุมเจ้าพิษณุโลก เจ้าพิษณุโลกได้ให้หลวงโกษา ฯ คุมทหารมาตั้งรับที่ตำบลเกยชัย
อยู่ในแขวงเมืองนครสวรรค์ แต่ปรากฏว่าพระเจ้ากรุงธนบุรีถูกปืนที่พระชงฆ์(เข่า)ทรงเจ็บ
จึงต้องยกทัพกลับ แต่กลับมีเรื่องประหลาดเกิขึ้นคือเจ้าพิษณุโลกเห็นพระเจ้ากรุงธนบุรี
สู้ไม่ได้ เลยคิดตั้งตัวเป็นใหญ่สถาปนาตัวเองเป็นกษัตริย์ เป็นได้อยู่ ๗ วัน ดันเกิดฝี
ขึ้นที่ลำคอเสียชีวิตไป ชุมนุมพิษณุโลกก็ถึงคราวอ่อนแอลงจนในที่สุดต้องเสียเมืองให้แก่
เจ้าพระฝาง พวกราษฎรก็ได้หนีเข้ามายังกรุงธนบุรี กลายเป็นการเพิ่มขึ้นทั้งกำลังผู้คน
และอาวุธที่ชาวพิษณุโลกได้นำติดตัวมาด้วย
การปราบชุมนุมเจ้าพิมาย

ในปีเดียวกันกับการเข้าตีเมืองพิษณุโลกคือ พ.ศ. ๒๓๑๑ พระเจ้ากรุงธนบุรียกทัพไปตี
เมืองนคาราชสีมาเพื่อจะปราบเจ้าพิมาย โปรดให้พระมหามนตรีและพระราชวรินทร์
คุมกองทัพไปเปิดแนวรบที่ด่านกระโทก พระเจ้ากรุงธนบุรีเสด็จยกทัพหลวงรบข้าศึกที่
ด่านจอหอ(อันนี้คงคุ้นกันดีนะครับ) กองทัพทั้งสองได้ชัยชนะจนเด็ดขาด นับได้ว่า
เป็นครั้งแรกของการขยายอาณาเขตอาณาจักรธนบุรีขึ้นไปจนถึงนครราชสีมา

เจ้าพิมายพยายามหลบหนี แต่กรมการเมืองนครราชสีมาจับตัวไว้ได้และนำมาถวาย
พระเจ้ากรุงธนบุรี ซึ่งในครั้งแรกนั้นพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงคิดว่าจะชุบเลี้ยงเอาไว้
แต่กรมหมื่นเทพพิพิธเจ้าชุมนุมพิมายแสดงความกระด้างกระเดื่องไม่อ่อนน้อม ก็เลยโดน
ประหารชีวิตไป หลังจากศึกพิมายแล้ว ทรงโปรดให้พระราชวรินทร์เลื่อนบรรดาศักดิ์
ขึ้นเป็น พระยาอภัยรณฤทธิ์ (พระพุทธยอดฟ้า ฯ) และพระมหามนตรีได้เลื่อนขึ้นเป็นพระยา
อนุชิตราชา (พระอนุชา ของพระพุทธยอดฟ้า ฯ)

การปราบชุมนุมเจ้านครศรีธรรมราช

๑ ปีถัดจากที่ได้ชัยชนะจากชุมนุมเจ้าพิมาย คือ ใน พ.ศ. ๒๓๑๒ ได้ทรงโปรดให้แต่ง
เจ้าพระยาจักรีเป็นแม่ทัพยกลงไปตีชุมนุมเจ้านคร ซึ่งพระปลัด (หนู) ผู้รั้งตำแหน่งเป็น
เจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ได้ตั้งตัวขึ้นเป็นเจ้าที่เมืองนครศรีธรรมราช ปรากฏว่าทัพของ
พระยาจักรีมีความแตกแยกไม่ลงรอยกันเอง จึงทำการตีชุมนุมเจ้านคร ฯ ไม่สำเร็จ
ร้อนถึงพระเจ้ากรุงธนบุรีซึ่งทรงหายจากการบาดเจ็บที่พิษณุโลกแล้ว ต้องเสด็จยกกองทัพ
ลงไปเอง ทรงยกกองทัพเรือไปตีได้เมืองนครศรีธรรมราช ส่วนพระยานครฯ หนีไป
อยู่ที่รัฐปัตตานี พระยาตานีศรีสุลต่านได้จับตัวมาถวาย ซึ่งพระเจ้ากรุงธนบุรี ทรง
ให้ชุบเลี้ยงไว้ แล้วแต่งตั้งพระหลานเธอเจ้านราสุริยสงศ์ลงไปครองเมืองนคร ฯ แทน
หลังจากที่พระหลานเธอ ฯ ได้ถึงแก่พิลาลัย เจ้าพระยานคร ฯ จึงได้เป็นเจ้าเมืองนคร
และทรงยกฐานะให้เป็นเจ้าประเทศราช

ฝ่ายพระยาจักรีหลังจากมีปัญหากับความปรองดองภายในกองทัพจนเป็นเหตุให้ต้อง
พ่ายต่อกองกำลังของเจ้านคร ฯ ในครั้งแรกนั้น ก็ได้รับพระบรมราชโองการให้นำทัพขึ้นไป
ตีเขมรเพื่อเป็นการไถ่โทษ

ปราบชุมนุมเจ้าพระฝาง

ถัดจากการปราบชุมนุมนครศรีธรรมราช ๑ ปีเช่นกัน พระ เจ้ากรุงธนบุรีทรงเห็นว่า
เจ้าพระฝาง ซึ่งเดิมก็คือพระสังฆราชาในเมืองสวางคบุรี ได้ตั้งตัวขึ้นเป็นใหญ่ทั้ง ๆ ที่
ยังครองผ้าเหลืองเป็นพระภิกษุอยู่นั้นมีอิทธิพลมากทางเหนือ จึงเสด็จยกทัพไปปราบเอง
โดยทรงเลื่อนพระยาอนุชิตราชา หรืออดีตนายบุญมา พระอนุชาของพระพุทธยอดฟ้า ฯ
เป็น ”พระยายมราช” ทำหน้าที่สมุหนายก รักษาพระนครด้วยความไว้วางพระทัย (จำตรงนี้
เอาไว้นะครับ) พระเจ้ากรุงธนบุรีตีหัวเมืองรายทางได้มาตลอดเส้นทาง และแวะตีเมือง
พิษณุโลกโจทก์เก่า ซึ่งขณะนั้นขึ้นเป็นบริวารของชุมนุมเจ้าพระฝาง ดับแค้นแผลปืน
ได้สำเร็จ แล้วเลยไปตีสวางคบุรี เจ้าพระฝางหนีไปหลบอยู่กับพม่าที่เชียงใหม่
พระเจ้ากรุงธนบุรีก็ได้ประทับอยู่ที่นั่นเพื่อจัดระเบียบการปกครองเสียใหม่จนสิ้นฤดูฝน
รวบรวมผู้คนที่อพยพมาหลบภัยให้กลับไปอาศัยทำมาหากินในถิ่นเดิมของตัว ทรงตั้ง
ข้าราชการซึ่งมีความดีความชอบในราชการ โปรดให้เลื่อนพระยายมราชให้ เป็น
เจ้าพระยาสุรสีห์พิณุวาธิราช สำเร็จราชการเมืองพิษณุโลก และทรงแต่งตั้งพระยา
อภัยรณฤทธิ์ ซึ่งต่อมาก็คือ พระพุทธยอดฟ้า ฯ ขึ้นเป็นพระยายมราชแทน

เมื่อจัดการเมืองเหนือเรียบร้อยแล้วก็เสด็จกลับกรุงธนบุรี ซึ่งจากการรบในครั้งนี้ขอบ
ขัณฑสีมาของราชอาณาจักรธนบุรีทางทิศเหนือก็ได้ขยายไปจนจรดถึงเมืองเชียงใหม่
นอกจากการเข้าปราบชุมนุมต่าง ๆ แล้ว พระเจ้ากรุงธนบุรียังได้พยายามขยายอาณาเขต
ของสยามออกไปเพื่อที่จะให้ได้แผ่นดินกลับมาเทียบเท่ากับอาณาเขตในสมัยอยุธยา
ซึ่งผมเองก็ไม่อยากจะเชื่อว่า ภายในเวลาเพียง ๑๐ ปี พระเจ้ากรุงธนบุรีและกองทัพ
ของพระองค์สามารถขยายอาณาเขตออกไปครอบคลุมได้อย่างนั้นจริง ๆ
เอาหละเรามาสรุปให้กระชับขึ้นอีกนิดหนึ่งนะครับ
พ.ศ. ๒๓๑๒ พระเจ้ากรุงธนบุรี โปรดให้ พระยาอภัยรณฤทธิ์ (พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก)
ยกทัพไปตีเขมร, ให้พระยาโกษา ยกทัพไปตีปราจีน, พระยาอภัยรณฤทธิ์ประสบชัยชนะ
ตีเสียมราฐได้สำเร็จครับ ส่วน พระยาโกษาก็ตีเมืองพระตะบองได้เช่นเดียวกัน แต่ก็มี
เหตุให้พระยาอภัยรณฤทธิ์ต้องยกทัพกลับเสียก่อนที่จะรุกคืบต่อไปในดินแดนเขมร
เพราะได้ข่าวว่า พระเจ้ากรุงธนบุรี ยกทัพไปตีนครธรรมราช และสวรรคต ซึ่งกลายเป็น
ข่าวลวง



__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

พ.ศ. ๒๓๑๔ หลังจากที่พระเจ้ากรุงธนบุรีตีเขมรได้แล้ว ก็ให้นักองรามาธิบดีขึ้น เป็น
สมเด็จพระรามาธิราช ครองเขมร และให้เจ้าพระยาจักรี (พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก)
อยู่ช่วยราชการจนเรียบร้อย ฝ่ายพม่าก็ยกทัพมารักษาเมืองเชียงใหม่ไว้ซึ่งขณะนั้น
เชียงใหม่ยังคงตกเป็นของพม่าอยู่ และดันทะลึ่งเข้ามาตีเมืองพิชัยถึงสองครั้ง แต่ทว่า
ถูกทัพเมืองพิชัยตีแตกกลับไปทั้งสองครั้ง ในการรบครั้งที่ ๒ พระยาพิชัยถือดาบสองมือ
ออกไปต่อสู้จนดาบหักไปข้างหนึ่ง จึงไดัรับสมญานามว่า " พระยาพิชัยดาบหัก "เป็น
ต้นมาตั้งแต่นั้น

พ.ศ. ๒๓๑๗ พระเจ้ากรุงธนบุรีเข้าตีเมืองเชียงใหม่จนได้ เมื่อตีได้แล้วทรงสั่งให้
เจ้าพระยาจักรีช่วยจัดการให้เรียบร้อย แล้วจึงเสด็จกลับ ในระยะนั้นมอญจากเมือง
เมาะตะมะได้หนีการรุกรานของพม่าเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารจากหลายทางด้วยกัน
พม่าก็ส่งกองกำลังตามเข้ามาทุกทางเช่นกัน แตก็ถูกตีแตกกลับไปทุกครั้ง

พ.ศ. ๒๓๑๘ อะแซหวุ่นกี้ ยกทัพใหญ่มาล้อมเมืองพิษณุโลก เจ้าพระยาจักรี รักษาเมืองได้
๑๐ เดือน อาหารหมดจึงต้องตีฝ่าข้าศึกออกมาภายนอก พอดีกับ พระเจ้ามังระ
กษัตริย์พม่าได้สวรรคตลง อะแซหวุ่นกี้แม่ทัพพม่าจึงต้องยกทัพกลับไป ซึ่งครั้งนี้แหละ
ครับ ที่เกิดเรื่องเล่าเกี่ยวกับการที่อะแซหวุ่นกี้ขอดูตัวเจ้าพระยาจักรี (ซึ่งนักวิชาการหลาย
ท่านตั้งข้อสังเกตุว่าอาจจะเป็นเรื่องที่ถูกแต่งเติมขึ้นมาในภายหลัง)

พ.ศ. ๒๓๒๐ เจ้าพระยาจักรีและเจ้าพระยาสุรสีห์ ยกทัพไปปราบพระยานางรอง
ที่เอาใจออกห่างไปขึ้นกับเมืองจำปาศักดิ์หรืออาณาจักรลาวนั่นเอง ซึ่งสามารถตีได้ทั้ง
เมืองจำปาศักดิ์, สีทันดร และอัตปือ รวมทั้งหัวเมืองต่าง ๆ ทั้งหมดในภาคนั้น

พ.ศ. ๒๓๒๑ พระวอ - พระตา บุตรเจ้าปางคำ แห่งเมืองหนองบัวลุ่มภู เป็นเสนาบดี
พระเจ้าสิริบุญสาร กรุงศรีสัตนาคนหุต หนีเข้า มาพึ่งพระบรมโพธิสมภารเพื่อหลบภัย
การเมืองเพราะไม่ถูกกับเจ้าผู้ครองในอาณาจักรลานช้าง และถูกกองทัพเวียงจันทน์
ตามปราบปราม จึงโปรดให้ เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก (พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก)
กับ เจ้าพระยาสุรสีห์ ยกทัพไปช่วย สยามจึงได้อาณาจักรลานช้างทั้งหมด และทรง
อาราธนา พระแก้วมรกต และพระบาง มาจากเมืองเวียงจันทน์ด้วย
พ.ศ. ๒๓๒๒ พระแก้วมรกต มาถึงกรุงธนบุรี

พ.ศ. ๒๓๒๓ เขมรเกิดจลาจลเนื่องจากคนในราชสำนักญวณ ก่อการกบฏในญวณ
แต่ไม่สำเร็จ จึงอพยพยกพลเข้ามาตั้งฐานที่มั่นในเขมร และทำการปล้นสะดมจาก
ชาวบ้าน เพื่อสั่งสมกองกำลังหวังที่จะกลับไปปฏิบัติการอีกครั้งในประเทศญวณ
พระเจ้ากรุงธนบุรีจึงทรงโปรดให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกยกทัพขึ้นไปปราบ
แต่ไปไม่ถึงพนมเปญเพราะเกิดจลาจลและกบฏพระยาสรรค์ในกรุงธนบุรี ต้องยก
ทัพกลับเข้าพระนคร จนเป็นต้นเรื่องของการจับกุมตัวและสำเร็จโทษพระเจ้ากรุงธนบุรี
ในเวลาอีก ๒๘ วันถัดมาหลังจากทัพของ เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกกลับเข้าสู่กรุงธนบุรี

ข้อมูลจาก ปรามินทร์ เครือทอง
ข้อมูลจาก ท่าน มหาชำร่วย แห่งบ้านราชดำเนินครับ
ขอบคุณครับ
เอาแหละ เรามาดูยอดทะหารของพระองค์ท่านดีกว่าครับว่ามีใครบ้าง.....
การที่พระองค์ท่านทรงรอดพ้นจากการถูกประหารนั้น เป็นการช่วยเหลือจากเจ้าพระยาสุรสีห์-เจ้าศิริรจจา(ชายา) วางแผนช่วยเหลือกับท่านเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช(หนู) โดยให้ทหารจากวังหน้า 4 นาย พายเรือเล็กพาพระองค์ไปส่งขึ้นเรือใหญ่ที่ปากแม่น้ำเจ้าพระยา(สมุทรปราการใน ปัจจุบัน) และให้นำทหารที่มีรูปร่างใกล้เคียงกับพระองค์ท่านไปจองจำไว้แทนโดยในตอนเช้า วันประหาร(6/4/2325) เจ้าพระยาสุรสีห์ ทรงวางแผนให้นำถุงผ้าแดงคลุมศีรษะออกมาเพื่อป้องกันมิให้ผู้อื่นทราบถึง เรื่องการเปลี่ยนตัวครับ
ส่วนบรรดาทหารที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นทหารเสือพระ เจ้าตาก หรือเหล่าทหารเอกนั้นมีทั้งสิ้น 7 นาย โดย 6 นายได้ติดตามพระองค์มาแต่ครั้งยกทัพออกจากวัดพิไชย ส่วนอีก 1 นายนั้น ได้มาช่วยในศึกตีเมืองจันทบูรและเป็นบุคคลที่ได้ช่วยเหลือพระองค์ในหลายๆ เรื่องตั้งแต่เรื่องช่วยดูแลครอบครัวของพระองค์ โดยก่อนพระองค์จะยกทัพออกจากกรุงศรี ก็ได้ช่วยพระองค์พาครอบครัวไปส่งที่อัมพวาเพื่อให้พระองค์จะได้มิต้องทรง กังวลพระทัย ครั้นพม่ายกทัพบุกใกล้ถึงอัมพวาทหารเสือท่านนี้ ก็ยังได้พาครอบครัวของพระองค์ไปหลบซ่อนอยู่ในถ้ำเขาหลวง เมืองเพชรบุรี และพอทราบข่าวว่าพระองค์บุกเมืองจันทบูรได้แล้ว ก็ยังได้พาครอบครัวของพระองค์มาส่งที่เมืองจันทบูรอีกด้วยครับ.(ทหารเสือ ท่านนี้คือเจ้าพระยาสุรสห์คัรบ)
รายนามของเหล่าทหารเสือขององค์สมเด็จพระเจ้าตากสิน มีดังต่อไปนี้ครับ
1.พระเชียงเงิน ได้เป็นพระยาสุโขทัย ครองเมืองสุโขทัย ถึงอนิจกรรมราวปี 2320
2.หลวงพรหมเสนา
3.หลวงราชเสนา
4.ขุนหาญศึก(อภัยภักดี)
5.หมื่นราชเสน่หา
6.หลวงพิไชยอาสา ได้เป็นพระยาพิไชย ครองเมืองพิไชย(อุตรดิตถ์ ในปัจจุบัน)
7.พระยายมราช ได้เป็นเจ้าพระยาสุรสีห์พิษณุวาธิราช ครองเมืองพิษณุโลก ทิวงคตปี 2346
โดย 5 ท่านแรกได้เสียชีวิตในระหว่างช่วงศึกสงครามก่อนปี 2325 ส่วนอีก 2 ท่านได้มีชีวิตอยู่จนถึงวัยชราภาพ โดยท่านพระยาพิไชยได้ไปอยู่กับพระองค์ท่านที่เขาขุนพนมจวบจนวาระสุดท้ายครับ
ครา่วนี้เรามาดูเรื่องเล่าของชาว นครศรีธรรมราชครับ
ส่วนเมืองนครศรีธรรมราชมีตำนานเล่ากันว่า เมื่อสิ้นรัชกาลแล้ว สมเด็จพระเจ้าตากสินได้หลบมาบวชและพำนักอยู่ที่นครศรีธรรมราช ที่ประทับได้แก่ ที่อำเภอลานสกา และที่อำเภอเมือง ปัจจุบันเล่ากันว่า ที่อำเภอลานสกาเป็นที่ซึ่งพระองค์ได้แวะพักระหว่างที่เสด็จมายังเมืองนครฯ ส่วนที่ประทับถาวรก็คือ วัดเขาขุนพนม ในเขตอำเภอเมือง

นอกจากนี้ เรื่องเล่ากันในหมู่สมาชิกตระกูล "ณ นคร" บางกลุ่มในปัจจุบัน บอกว่าหลังจากที่พระเจ้าตากสินทรงผนวชที่วัดเขาขุนพนมระยะหนึ่งแล้ว ก็ได้ประชวรด้วยพระโรคอย่างหนึ่ง จึงจำเป็นต้องทรงลาผนวช แล้วเสด็จไปประทับอยู่ในจวนของเจ้าพระยานคร (น้อย) ในสมัยรัชกาลที่ ๓

มีการอ้างด้วยว่า เมื่อพระเจ้ากรุงธนบุรีเสด็จสวรรคตแล้ว ได้มีใบบอกเข้าไปแจ้งรัฐบาลในกรุงเทพฯ ว่า "ท่านข้างใน" สิ้นแล้ว ส่วนพระบรมศพนั้นก็ได้ไปตั้งทำการพระเมรุที่ชายทะเลแห่งหนึ่งในจังหวัด นครศรีธรรมราช

ทั้งนี้ มีการอ้างถึง "หลักฐาน" เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือของเรื่องนี้อีกว่า ที่วัดแจ้งและวัดประดู่ซึ่งมีเก๋งไว้อัฐิของเจ้านคร (หนู) หม่อมทองเหนี่ยวชายา และของเจ้าพระยานคร (น้อย) นั้น มีศิลาจารึกภาษาจีนอยู่ ๓-๔ หลัก หนึ่งในนี้มีผู้อ้างว่า มีข้อความกล่าวถึงว่าเป็นหลุมศพของ "ผู้เป็นใหญ่แซ่เจิ้ง" เนื่องจากพระบิดาของสมเด็จพระเจ้าตากสิน "แซ่เจิ้ง"

สมเด็จพระเจ้าตากสินจึงทรงใช้ "แซ่เจิ้ง" ด้วย สำเนียงแต้จิ๋วเรียก "แต้" เรื่องนี้เป็นความจริงเพราะมีหลักฐานชั้นต้นยืนยันจำนวนมาก รวมทั้งพระราชสาส์นของพระเจ้าตากสินที่ทรงมีถึงพระเจ้ากรุงจีนก็ใช้ "แซ่เจิ้ง"

เอาเป็นว่าผมเล่าเรื่องที่ได้ยินมาตามสำนวนของผมก็แล้วกัน ผมจะจับความตอนที่พระยาจักรีได้เมืองแล้วพระยาพิชัยดาบหักที่ยกทัพตามลงมา ตั้งแต่ได้ข่าวว่ากรุงธนบุรีถูกทัพกบฎล้อมแต่ก็สายไปแล้วได้พบว่าพระเจ้าตาก ถูกพระยา จักรีสั่งประหารเรียบร้อยก่อนหน้าไปหลายวัน พระยาพิชัยดาบหักโกรธมากไสช้างเข้าเมืองมาร้องเรียกให้พระยาจักรีออกมาคุย กัน

พระยาจักรีตอนนั้นเป็นกษัตริย์แล้วได้ออกมากับน้องชายที่เป็น พระราชวังบวร ได้พบกับสหายเก่าร่วมรบพระยาพิชัยดาบหักร้องท้าทายว่าเอ็งอยากเป็นกษัตริย์ ถึงกับฆ่าท่านใหญ่เลยหรือวะ เอ็งมารบกับข้าดีกว่าข้าก็อยากเป็นด้วยเหมือนกัน พระยาจักรีร้องตอบไปว่าใครบอกว่าข้าฆ่าท่านใหญ่วะเอ็งลงมาจากช้างมาดูดีกว่า ว่าท่านใหญ่มีชีวิตหรือเปล่า

เมื่อพระเจ้าตากได้พบกับพระยาพิชัยที่เป็นทั้งสหายและลูกน้องเก่าก็พูดคุย เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง พูดถึงความจำเป็นในการหลอกเมืองจีนเรื่องบ้าแล้วโดนประหารเพื่อล้างหนี้ มหาศาลในการกู้เงินมาทำนุบำรุงบ้านเมือง พิชัยอยู่กับพระยาจักรีในที่ลับก็พูดกันประสาเพื่อนร่วมรบแก่เก่าก่อนว่า ให้รับราชการร่วมกัน เล่นละครบทนี้ต่อ พระยาพิชัยก็ประกาศว่า ไม่ยอมเป็น ข้าสองเจ้า บ่าวสองนาย

ความจริงก็เพื่อนกันแต่พระยาพิชัยทำใจไม่ได้ พระยาจักรีก็สั่งฆ่าพระยาพิชัย แต่พระยาพิชัยไม่ตายเป็นละครอีกบทของพระยาพิชัย มีนักโทษประหารชีวิตตายแทนพระยาพิชัย ตัวจริงก็เปลี่ยนเป็นชื่ออื่นแล้วไปอยู่ที่อื่นใช้ชีวิตแบบสงบ

ตกคืนนั้นพระเจ้าตากก็นั่งคานหามออกไปจากวังในกลาดึกคืนนั้น นั่งเรือลงไปนครศรีธรรมราชกับลูกชาย เข้าจำพรรษาที่ลานสกานอกเมืองนครฯ ส่วนลูกชายก็ไปนั่งเมืองนครฯ เป็นเจ้าเมือง ท่านไม่ได้ไปเพียงท่านกับลูกชาย มีพระสนมที่ติดตามไปดูแลท่านอีกคนหนึ่ง และทหารเสือพระเจ้าตากเชื้อสายจีนร้อยแซ่ ตั้งแต่สมัยกู้บ้านเมืองจากพม่า ได้ติดตามท่านไปสมทบด้วยอีกประมาณ 500 คน เพื่อรักษาท่านเอาไว้ไม่ให้ใครตามมารบกวนท่านอีก

ทหารเสือพระเจ้าตากเหล่านี้ได้สร้างที่จำพรรษาให้ท่านบนยอดเขาขุนพนม ถาวรวัตถุที่หลงเหลือเห็นในตอนนี้ เป็นศิลปะจีนทั้งถ้วยชามจีนบนฝาผนังและลายพระพุทธบาทแบบจีนในวัด ทั้งมีการอ้างว่าพระยาน้อยเจ้าเมืองนคร คือลูกของท่านกับหม่อมปราง

อีกทั้งเจ้าชุมนุมนครฯเป็นเจ้าชุมนุมเดียวที่พระเจ้าตากไว้ชีวิต เมื่อครั้งรวบรวมประเทศเข้าตีชุมนุมนครฯ อีกทั้งยังถวายลูกสาวเจ้าเมืองนครฯ เข้าดองเป็นสนมภายหลังอีกด้วย

ลักษณะที่ตั้งของ "เขาขุนพนม" ที่อยู่ในชัยภูมิที่เหมาะสมในการป้องกันภัยของพระองค์ ความผูกพันต่อเจ้าชุมนุมเมืองนครทีมีความเกี่ยวดอง ในลักษณะพ่อตากับลูกเขย

ในหลายเหตุผลที่ยกมาเป็นพยานหลักฐาน หรือเป็นสมมุติฐานที่เชื่อได้ หรือยังว่านครศรีธรรมราช และเขาขุนพนมก็คือสถานที่มีความเหมาะสม เป็นฐานที่มั่นในการหลบภัยทางด้านการเมือง ที่ไว้ใจได้มากที่สุดของพระเจ้าตากสิน ถือว่าเป็นหนึ่งในความเชื่อว่าพระเจ้าตากสิน สิ้นพระชนม์ที่เมืองนครฯ ของชาวนครเองที่เล่าขานมาหลายชั่วรุ่นคน
วันนี้ผมเล่าเรื่องพระเจ้าตากอย่างมีความสุขมาก อยากให้เรื่องจริงเป็นอย่างนั้นจริงๆ ผมอยากให้ท่านมีชีวิตรอดใช้ชีวิตในสมณะเพศที่เขาขุนพนม

อีกเรื่องเล่าหนึ่งจาก พงศาวดาร ฉบับนายหยง ครับ ขณะที่ปรีดา ศรีชลาลัย กล่าวถึงวาระสุดท้ายของพระเจ้าตากสินฯ ไว้ในบทความเรื่อง"ปีสุดท้ายของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช" ในนิตยสารศิลปวัฒนธรรม ปีที่ 3 ฉบับที่ 2 ประจำเดือนธันวาคม 2524 ว่า

"สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชถูกปลงพระชนม์ ณ พระวิหารที่ประทับในวัดแจ้ง (คือวัดอรุณราชวราราม ปัจจุบันนี้) รวมวันตั้งแต่เสด็จออกทรงผนวชจนถึงวันถูกปลงพระชนม์ เป็น 28 วัน

โหรจดไว้ว่าดับขันธ์ ไม่ใช้คำว่าสิ้นพระชนม์ หรือสวรรคต ก็เพื่อยืนยันว่า พระองค์ท่านถูกปลงพระชนม์ทั้งที่ทรงเพศเป็นพระภิกษุ จึงใช้คำว่าดับขันธ์ เพื่อให้เข้าใจว่ามิได้สวรรคตเมื่อลาผนวชออกมา ความจริงพระองค์ดำรงสมณเพศจนตลอดพระชนม์ชีพ

เมื่อการปลงพระชนม์เสร็จเรียบร้อยแล้ว เชิญพระศพไปฝังไว้ที่วัดอินทาราม บางยี่เรือ ใกล้ตลาดพลู คลองบางหลวง (เวลานั้นยังเรียกวัดบางยี่เรือ)"

บรรดาศพข้าราชการที่จงรักภักดีในพระองค์ มีเจ้าพระยานครราชสีมา (บุญคง ต้นสกุลกาญจนาคม) พระยาสรรค์ (บรรพบุรุษสกุลแพ่งสภา) พระยารามัญวงศ์ (ต้นสกุลศรีเพ็ญ) พระยาพิชัยดาบหัก (ทองดี ต้นสกุลวิชัยขัทคะ และพิชัยกุล) เป็นต้น จำนวนมากกว่า 50 นาย ก็ถูกฝังเรียงรายใกล้พระศพสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชนั้น

ฝ่ายพระราชวงศ์ของพระเจ้าตากสินที่ยังเหลือ ถ้าเป็นเจ้าชายชั้นทรงพระเจริญวัยก็ถูกจับปลงพระชนม์หมด เอาไว้แต่ที่ทรงพระเยาว์ และเจ้าหญิง ถอดพระยศออกแล้วเรียกว่าหม่อม เหมือนกันทุกพระองค์ แม้จนกระทั่งสมเด็จพระราชินี และสมเด็จพระน้านาง เป็นการถอดอย่างที่ไม่เคยมีมา

ฝ่ายเจ้าพระยาอินทวงศา อัครมหาเสนาธิบดีฝ่ายกลาโหม ขณะนั้นตั้งวังปราบบัญชาการทัพอยู่ที่ปากพระ ใกล้เมืองถลาง ทราบว่าสมเด็จพระเจ้าตากสินฯถูกปลงพระชนม์แล้ว ก็ฆ่าตัวตายตามเสด็จ เพราะไม่ยอมเป็นข้าคนอื่น

ส่วนความเกี่ยวข้องกับญวนตามสัญญาลับ ไทยต้องช่วยญวนต่อรบกับพวกราชวงศ์เล้ (ที่เรียกพวกกบฎไตเซิน) 2 ครั้ง และช่วยอาวุธยุทธภัณฑ์อีกนับไม่ถ้วน ผลสุดท้ายเมื่อญวนกลับตั้งราชวงศ์องเชียงสือสำเร็จ มีอำนาจใหญ่โตขึ้น ไทยต้องเสียเมืองพุทไธมาศแก่ญวน

(ดูพงศาวดาร ฉบับนายหยง แปล เล่ม 2 หน้า 394, 419)
อีกเรื่องเล่าครับ ทรงวางพระทัยในเพื่อนผู้ใกล้ชิด จึงเป็นเช่นนี้แล... พระองค์ทรงวางพระทัยในผู้ใกล้ชิด มิได้ทรงระแวงเหตุร้ายที่ถูกวางแผนไว้นานกว่าขวบปี การภายใน ให้ นายบุนนาค, หลวงสุระ,หลวงชะนะ เป็นผู้ยุยงตัวสำคัญ ซึ่งแอบขึ้นไปตั้งทำการ ยุยงที่กรุงเก่า

การภายนอกให้ เขมร และ ญวน ตีโอบแม่ทัพใหญ่(คือขุนอิน) จับตัวขุนอินฯสำเร็จโทษเสียที่นอกเมือง ยกทัพหัวเมืองจากสามทางเข้าโอบตี ยึดเมืองหลวงไว้

สัญญาลับการกบฏที่มีต่อเขมร และญวนคือการส่งกำลังตอบแทนสองครั้ง และคำสัญญา ไม่กำหราบ เจ้าเขมร ให้ย่อยยับดังคำสั่งเหนือหัว พระองค์ทรงวางพระทัย เพราะสิ่งที่สั่งไว้ก่อนทรงผนวช ล้วนส่งคุณต่อลูกหลานเจ้าพระยาจักรี โดยไม่คาดคิดว่ามีผู้มักใหญ่ใฝ่สูง คิดยึดอำนาจไปเป็นของตัว โดยศักดิ์ พระเจ้าตากคือลูกเขย เจ้าฟ้าเหม็น เป็นหลานตา ในเจ้าพระยาจักรี กรุงธนบุรี พระเจ้าตากคิกการณ์ไว้ มอบให้แก่ ขุนอินฯ มิได้ตั้งใจมอบให้แก่เจ้าฟ้าเหม็น ดังตำนาน คืออีกหนึ่งรอยร้าวฉานเจ็บแค้น

สุดท้าย เจ้าฟ้าเหม็น ต้องสิ้นใจ ภายใต้การโค้นล้มของ หลานชาย เจ้าพระยาจักรี (ร.3) หลังพระพุทธยอดฟ่าฯ สิ้นพระชมน์ 6 วัน

สรุป เรื่องวิปลาศ ไม่จริง ออกบวชเพราะถูกขอร้อง บังคับ ไม่จริง ถูกก่อกบฏ ยึดอำนาจ จริง

มีการก่อความไม่สงบ ยุยงปลุกปั่น จากอยุธยา มีหัวเมืองใหญ่ ยกเข้ามายึดเมืองหลวงโดยมิได้มีพระบรมราชานุญาต ข้ารายการภายใน ฝักใฝ่ในตัวสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกเข้าร่วม การยกทัพไปเขมร แล้วย้อนกลับ มีการวางแผนล่วงหน้า

การตีโอบทัพหลวง โดยทัพเขมร และญวนมีการส่งสัญญาลับต่างตอบแทนจริง ข้าราชการผู้มีสายเลือดนักรบ และซื้อสัตย์ ถูกกำจัดสิ้น ที่เหลือจึงอย่างที่ ประชาชนชาวไทยได้แลเห็น ล้วนสายเลือดดีดีทั้งนั้น...

เมื่อกลับกรุงเทพมหานครแล้ว พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ
ทรงรำลึกถึงผลงาน และความจงรักภักดีของพระยายมราช (แบน) จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งเป็น "เจ้าพระยาอภัยภูเบศร วิเศษสงคราม รามนรินทรบดี อภัยพิริยบรากรมพาหุ" เป็นเจ้าพระยาคนแรกของสกุลอภัยวงศ์
ได้ปกครองบ้านเมืองเขมรให้ผาสุกสวัสดีมาได้ ๑๒ ปี

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ทรงพระราชดำริว่าเจ้าพระยาอภัยภูเบศร (แบน) มีความชอบใหญ่หลวง ครั้นจะเรียกตัวกลับก็ไม่ควร แต่ครั้นจะให้รับราชการอยู่เขมรต่อไป ก็น่ากลัวจะเกิดเรื่องวิวาทบาดหมางกับนังองค์เอง อยู่ไปก็อาจจะระแวงกัน

ด้วยเหตุนี้ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ จึงทรงขอกันเมืองพระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณ มงคลบุรี และระสือ รวม ๕ เมือง ซึ่งอยู่ใกล้ชายแดนไทย มาขึ้นตรงต่อกรุงเทพมหานคร และโปรดฯ ให้เจ้าพระยาอภัยภูเบศร (แบน) มีสิทธิปกครองโดยเด็ดขาดถึงขนาดเก็บภาษีได้เอง

ตระกูลอภัยวงศ์จึงได้ปกครองเขตแดนนั้นสืบมาหลายชั่วอายุคน จนถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ ในยุคของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ชุ่ม) เป็นคนสุดท้าย ลูกหลานเหลนอภัยวงศ์หลายคนก็เกิดที่นั้น

เจ้าพระยาอภัยภูเบศร (แบน) เจ้าเมืองพระตะบองและดินแดนใกล้เคียง ได้ปกครองบ้านเมืองอยู่ ๑๖ ปี จึงถึงแก่อสัญกรรมเมื่อพุทธศักราช ๒๓๕๓ นำมาได้เท่านี้นี้ครับ สงสัยโดนแบนซะก่อน
เขียนโดย Kunginter inter

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

BAC THONGDOUANG BAC XAT SUA BURNED OUR CAPITAL VIENTIANE AND MASSACRED THE TCHEK PON LAO KING THAKSIN

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ສຸກສັນ ວັນປິໄຫ່ມ ທຸກທັ່ວຫ້ນາ
ປິ12 ຢ່າຍາກໄຮ້ ໃຫ້ສຸກສັນ
ໄຮ້ທຸກໂສກ ໄຮ້ໂຣກພັຍ ໃຫ້ມີດິ
ອິກມັ່ງມີ ສັບເງິນທອງ ກ້າວກອງໄກ
ເຮົາ ພ້ອມຂໍ ອ່ວຍພອນໃຫ້ ດ້ວຍໄຈຈິງ
ຂໍທຸກສີ່ງ ທີ່ຂໍນັ້ນ ທຸກທ່ານໄດ້
ປິໄຫ່ມນີ້ ເສຣິຊົນ ແລະ ພີ່ນ້ອງລາວ
ຄິດສິ່ງໃດ ແນວຄິດຊາດ ຕ້ານແນວລາວ
ຜະເດັດການ ຕັວການໄຫ່ຍ ໄປໄກແສນ
ຢ່ານອບແນບ ບີບນ້ຳຕາ ໃຫ້ລີງຮັກ
ນັ່ງຈົນຕາຍ ຕິດແທບບອດ ກອດອຳນາດ
ພາກັນລົງ ປົງອຳນາດ ເພາະຈິບຫາຍ
ເຫືມອນຄວາມຫວັງ ດັ່ງເຮົາຄິດ ໃນໄຈເອີຍ


ທິມງານ
www.siengserixonlao.com
ຂໍມອບໃຫ້ແຟນໆ ລາວໂຮມລາວດ້ວຍໄຈຈີງ

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 


ໄຮໂຊneoລາວ ມີແຕ່ລູກແຕ່ຫລານ ພວກໂຈນອອກຈາກຖ້ຳ ວຽງໄຊ ປິ 1975 ເຂົ້າມາວຽງ ສົ້ງຂາດຫ້ນາເສື້ອຂາດຫລັງ ໄສ່ແຕ່ເກິດປາອິຮຶ ຫາເງີນດົ້ງອັດນື່ງຕິດຕັວກະບໍ່ມິເຫັນສັງຄົມຜູດິ ນູ່ງສີ້ນໄຫມ ເຕະເຂົ້າຄຸກດອນທ້າຍດອນນາງທັງຫມົດເລີຍ
ເຫັນເຮຶອນງາມໆ ທີ່ຝ່າຍ ວຈ ສ້າງໄວ້ ປົ້ນຈີ້ເອົາແບບສຸດເຖື່ອນ ບໍ່ເຄີຍມີຍຸກໃດ ໃນປະວັດສາດໄຫ່ມໆ ຂອງ ລາວຈະເປັນເຊັ່ນນີ້
ເຄີ່ງ ສຕວ ຜ່ານໄປ ກັບພຽງໄດ້ແຕ່ແລ່ນນຳກົ້ນແກວແລະສຍາມຫລາກແຫລ້
ທັງໆ ພີ່ນ້ອງ ລາວກ່ວາ40 ລ້ານຄົນໃນ ປທທ ເຂົາເບື່ອແລ້ວ ສັງຄົມເເອົາລັດເອົາປຽບຂູດຮິດ ດູຖູກເຊື້ອຊາດລາວເຮົານິ້
ຝູຍ ກູອາຍຕາງ
ກ່ອນ75 ສັງຄົມລາວເຂົາແລ່ນຕາມຫລັງສັງຄົມຝຣັ່ງອັງກິດ ອມຣກ ຍີ່ປູ່ນ
ນີ້ຄືຄວາມກ້າວຫ້ນາຂອງສັງຄົມລາວແດງ ພາຍໄຕ້ການນຳພາຂອງຣາຊວົງ ຄມນ ຜດກ ຍາວນານ

http://pasalao.activeboard.com/t47000705/topic-47000705/?page=last#lastPostAnchor

Facebook :
Anourak Anourak Phiphikasa
Anourack Phiphaksa
http://www.facebook.com/#!/profile.php?id=100002868526558

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

6 ปี...สังหาร 20 ศพ นักฆ่าสองฝั่งโขง!!!
นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์บุกเข้ายึดด่านวังเตา เมืองโพนทอง แขวงจำปาสัก ล้มเหลว เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2543 ปรากฏว่าแกนนำขบวนการต่อต้านลาว (ขตล.) ที่ยังหลบหนีอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยถูกลอบสังหารไปแล้วกว่า 20 ศพ
คดีลอบสังหารแกนนำขบวนการต่อต้านลาว (ขตล.) ในภาคอีสานของไทยเกิดขึ้นเป็นระยะๆ และต่อเนื่อง หลังเกิดเหตุการณ์ พ.ท.สีสุก ไชยแสง หรือนายณรงค์ สุวรรณบุปผา วางแผนส่งกำลังพลติดอาวุธประมาณ 60 คน บุกเข้ายึดด่านวังเตา เมืองโพนทอง แขวงจำปาสัก ที่ตั้งอยู่ติดกับด่านช่องเม็ก อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี ช่วงเช้ามืดวันที่ 3 กรกฎาคม 2543 แต่แผนการล้มเหลว ครั้งนี้ผู้ร่วมขบวนการถูกสังหารทันที 6 ศพ ส่วนอีก 29 ราย วิ่งผ่านประตูด่านเข้าไทย และถูกทางการไทยจับดำเนินคดี
นับแต่ปี 2543 เป็นต้นมา แกนนำ ขตล.กว่า 20 ราย ถูกลอบสังหารแต่ก็ไม่มีความคืบหน้ามากนัก แต่คดีสังหาร ร.อ.สุกันต์ เดชะคำภู อดีตทหารลาวแกนนำ ขตล. อายุ 46 ปี และนางจันทร เดชะคำภู อายุ 38 ปี ภรรยา ในบ้านเลขที่ 275 หมู่ 5 บ้านคันเปือย ต.คำเขื่อนแก้ว อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม รายล่าสุด ทำให้คดีสังหารแกนนำ ขตล.ที่ผ่านมา ถูกขยายผลมากขึ้น
เมื่อผู้ต้องหา 2 ราย ให้การรับสารภาพ อ้างว่ารับแจ้งฆ่ารายละ 1 แสนบาท จนได้ฉายาว่า "นักฆ่าสองฝั่งโขง"
เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 25 พฤษภาคม พล.ต.ต.อัศวิน ขวัญเมือง รองผบช.ก.แถลงข่าวจับกุมนายอาทิตย์ หรือลม กลิ่นจันทร์ อายุ 25 ปี ชาว ต.พานพร้าว อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย และนายสุวัฒน์ สุทธัง ผู้ต้องคดีฆ่า ร.อ.สุกันและภรรยา เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม
รอง ผบช.ก.แถลงว่า วันที่ 11 พฤษภาคม 2549 เวลาประมาณ 23.30 น.นายอาทิตย์ร่วมกับนายสุวัฒน์และนายสมบัติ หรือแด๊ก เพิ่มปัญญา อายุ 25 ปี ฆ่านายสุกันต์ เดชะคำภู อดีตทหารลาว อายุ 46 ปี และนางจันทร เดชะคำภู อายุ 38 ปี ที่บ้านเลขที่ 275 หมู่ 5 บ้านคันเปือย ต.คำเขื่อนแก้ว อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี แต่วันรุ่งขึ้นตำรวจสามารถติดตามจับกุมนายสุวัฒน์ได้ และให้การซัดทอดว่า ร่วมกับนายอาทิตย์และนายสมบัติฆ่าอดีตทหารลาว
"ผู้ต้องหาสารภาพว่าร่วมกันสังหารคนลาว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นขบวนการต่อต้านลาว หรือ ขตล.มาแล้วรวม 17 ราย ในหลายพื้นที่ได้แก่ จ.อุบลราชธานี หนองคาย อุดรธานี และเลย นอกจากนี้ยังก่อเหตุที่ จ.มุกดาหาร และนครพนม รวมทั้งสังหารนายอนุวงศ์และนางอุไรวรรณ เศรษฐาธิราช ที่ศาลาแก้วกู่ ฆ่านายคำหยาด หรือ ร.อ.คำฝู ท้องที่ อ.ภูหลวง จ.เลย ฆ่านายบุญมี นาระนาด ท้องที่ อ.เมือง จ.อุดรธานี ผู้ต้องหาทั้งสองคนได้ฉายาว่านักฆ่าสองฝั่งโขง รับเงินค่าจ้างศพละ 1 แสนบาท"
จากการสืบสวนทางลับพบว่า นายอาทิตย์เรียนจบชั้น ม.6 โรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.หนองคาย เมื่ออายุ 14 ปี ถูกจับกุมข้อหาฆ่าคนตายพร้อมเพื่อนคู่หู คือ นายสมบัติ หรือแด๊ก เพิ่มปัญญา ถูกส่งเข้าสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดหนองคาย 4 ปี และเมื่ออายุย่างเข้า 19 ปี ก็เข้าสู่วงจรมือปืนรับจ้าง
ย้อนเหตุการณ์ไปเมื่อปี 2543 พ.ท.สีสุก ไชยแสง หรือนายณรงค์ สุวรรณบุปผา วางแผนส่งกำลังพลติดอาวุธประมาณ 60 คน บุกเข้าไปก่อกวนรัฐบาลลาว ด้วยการเข้าบุกยึดด่านวังเตา เมืองโพนทอง แขวงจำปาสัก ที่ตั้งอยู่ติดกับด่านช่องเม็ก อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี เช้ามืดวันที่ 3 กรกฎาคม แต่แผนการล้มเหลว ทำให้ผู้ร่วมขบวนการถูกสังหารทันที 6 ศพ อีก 29 ราย วิ่งผ่านประตูด่านเข้ามาประเทศไทย และถูกทางการไทยจับดำเนินคดี
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา คดีสังหารแกนนำ ขตล.ก็เกิดขึ้นทุกปี ไม่เคยมีเว้นวรรค !!!
รายแรก ท้าวภูเวียง คนร้ายนั่งเรือหางยาวใช้ปืนอาก้าบุกเข้าไปสังหารในบ้านพัก ที่บ้านคันท่าแพ ต.โขงเจียม อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี เมื่อกลางเดือนมิถุนายน 2544 ผ่านไป 1 เดือน ท้าวสง่าก็ถูกคนร้ายบุกยิงเสียชีวิต ที่บ้านเหล่าอินแปลง ต.ช่องเม็ก อ.สิรินธร และราวเดือนพฤศจิกายน คนร้ายใช้อาวุธปืน 11 มม.ยิงท้าวทองเสียชีวิต ที่บ้านสนามชัย อ.พิบูลมังสาหาร
ปี 2545 คนร้ายใช้อาวุธปืนยิงท้าวคำบอน ที่บ้านคำมันปลา อ.สิรินธร แต่ไม่เสียชีวิต หลังรักษาตัวจนหายดีก็หนีออกจากพื้นที่ และไม่ได้กลับมาอีกเลย
วันที่ 3 พฤศจิกายน 2546 พ.ท.สีสุก ไชยแสง หัวหน้าขบวนการต่อต้านลาวถูกคนร้ายใช้อาวุธสงครามชนิดอาก้ายิงเสียชีวิตใน หมู่บ้านประชาสมบูรณ์ ต.นิคมลำโดมน้อย อ.สิรินธร
เดือนธันวาคม 2546 นายอุดร หรือน้อย มั่นคง พ่อค้าขายผลไม้ในตลาดสด อ.เขมราฐ ที่ดูแลการโอนเงินระหว่างประเทศข้ามฝั่งจากประเทศไทยไปที่เมืองละครเพ็ง แขวงสาละวัน ประเทศลาว ถูกอุ้มตัวข้ามฝั่งไปคุมขังในประเทศลาว และเสียชีวิตในเวลาต่อมา
เดือนตุลาคม 2548 นายชูชาติ ฉิมฤทธิ์ หรือหลวงบริบูรณ์ อดีตนายทหารรัฐบาลลาวฝ่ายขวา ยศ "พ.อ." และเป็นนักเคลื่อนไหวกับ ร.อ.คำเผย สายกงจักร หลบเข้ามาอยู่ในประเทศไทยและถูกคนร้ายใช้อาวุธปืน.38 ยิงเสียชีวิตในบ้านพัก ที่บ้านนาอุดม อ.เมือง จ.อุบลราชธานี ส่วน ร.อ.คำเผย ได้เปลี่ยนชื่อเป็น "นายสุพรรณ" ไม่ทราบนามสกุล
แกนนำ ขตล.รายล่าสุด คือ ร.อ.สุกัน ที่สู้รบกับรัฐบาลลาวมาตั้งแต่อายุ 14 ปี หลบเข้ามาอยู่ในประเทศไทยก็ถูกฆ่าตายพร้อมนางจันทร ภรรยา ที่บ้านคำเปื่อย ต.คำเขื่อนแก้ว อ.สิรินธร
ส่วนผู้ต้องหาคดีบุกยึดด่านวังเตาที่เป็นคนลาว 16 คน ที่ถูกจับดำเนินคดีในประเทศลาว เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2547 ศาลประชาชนแห่งแขวงจำปาสัก ตัดสินจำคุกท้าวสวง แสงสุระ นักโทษการเมืองที่ร่วมกันบุกยึดด่านวังเตาและพวกรวม 8 คน คนละ 12 ปี จำคุกท้าวคำ ไชยวงศ์ กับพวกรวม 6 คน คนละ 7 ปี และจำคุกท้าวแสง จำปา กับท้าวสม ไชยวงศ์ คนละ 2 ปี 6 เดือน
ปัจจุบันมีแกนนำ ขตล.ที่ยังเคลื่อนไหวเหลืออยู่เพียง ร.อ.คำเผย สายกงจักร เท่านั้น
คำรับสารภาพของผู้ต้องหาที่ได้ฉายาว่า "นักฆ่าสองฝั่งโขง" ในคดีฆ่าแกนนำ ขตล.รายล่าสุด เป็นเพียงคำให้การที่ตำรวจต้องหาพยานหลักฐานเพื่อประกอบสำนวนส่งฟ้องศาล แต่คำรับสารภาพของผู้ต้องหา 2 รายนี้ ก็ถูกปฏิเสธจากนายยง จันทะลังสี โฆษกกระทรวงต่างประเทศลาว ว่า ไม่เป็นความจริง เพราะลาวมีกองกำลังไว้เพื่อป้องกันประเทศ ไม่เคยเข้าแทรกแซงประเทศอื่น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ลาวถือว่าเป็นเรื่องภายในของไทย แต่การจะกล่าวหาผู้ใดต้องมีหลักฐานที่ชัดเจน




นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์บุกเข้ายึดด่านวังเตา เมืองโพนทอง แขวงจำปาสัก ล้มเหลว เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2543 ปรากฏว่าแกนนำขบวนการต่อต้านลาว (ขตล.) ที่ยังหลบหนีอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยถูกลอบสังหารไปแล้วกว่า 20 ศพ
คดีลอบสังหารแกนนำขบวนการต่อต้านลาว (ขตล.) ในภาคอีสานของไทยเกิดขึ้นเป็นระยะๆ และต่อเนื่อง หลังเกิดเหตุการณ์ พ.ท.สีสุก ไชยแสง หรือนายณรงค์ สุวรรณบุปผา วางแผนส่งกำลังพลติดอาวุธประมาณ 60 คน บุกเข้ายึดด่านวังเตา เมืองโพนทอง แขวงจำปาสัก ที่ตั้งอยู่ติดกับด่านช่องเม็ก อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี ช่วงเช้ามืดวันที่ 3 กรกฎาคม 2543 แต่แผนการล้มเหลว ครั้งนี้ผู้ร่วมขบวนการถูกสังหารทันที 6 ศพ ส่วนอีก 29 ราย วิ่งผ่านประตูด่านเข้าไทย และถูกทางการไทยจับดำเนินคดี
นับแต่ปี 2543 เป็นต้นมา แกนนำ ขตล.กว่า 20 ราย ถูกลอบสังหารแต่ก็ไม่มีความคืบหน้ามากนัก แต่คดีสังหาร ร.อ.สุกันต์ เดชะคำภู อดีตทหารลาวแกนนำ ขตล. อายุ 46 ปี และนางจันทร เดชะคำภู อายุ 38 ปี ภรรยา ในบ้านเลขที่ 275 หมู่ 5 บ้านคันเปือย ต.คำเขื่อนแก้ว อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม รายล่าสุด ทำให้คดีสังหารแกนนำ ขตล.ที่ผ่านมา ถูกขยายผลมากขึ้น
เมื่อผู้ต้องหา 2 ราย ให้การรับสารภาพ อ้างว่ารับแจ้งฆ่ารายละ 1 แสนบาท จนได้ฉายาว่า "นักฆ่าสองฝั่งโขง"
เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 25 พฤษภาคม พล.ต.ต.อัศวิน ขวัญเมือง รองผบช.ก.แถลงข่าวจับกุมนายอาทิตย์ หรือลม กลิ่นจันทร์ อายุ 25 ปี ชาว ต.พานพร้าว อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย และนายสุวัฒน์ สุทธัง ผู้ต้องคดีฆ่า ร.อ.สุกันและภรรยา เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม
รอง ผบช.ก.แถลงว่า วันที่ 11 พฤษภาคม 2549 เวลาประมาณ 23.30 น.นายอาทิตย์ร่วมกับนายสุวัฒน์และนายสมบัติ หรือแด๊ก เพิ่มปัญญา อายุ 25 ปี ฆ่านายสุกันต์ เดชะคำภู อดีตทหารลาว อายุ 46 ปี และนางจันทร เดชะคำภู อายุ 38 ปี ที่บ้านเลขที่ 275 หมู่ 5 บ้านคันเปือย ต.คำเขื่อนแก้ว อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี แต่วันรุ่งขึ้นตำรวจสามารถติดตามจับกุมนายสุวัฒน์ได้ และให้การซัดทอดว่า ร่วมกับนายอาทิตย์และนายสมบัติฆ่าอดีตทหารลาว
"ผู้ต้องหาสารภาพว่าร่วมกันสังหารคนลาว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นขบวนการต่อต้านลาว หรือ ขตล.มาแล้วรวม 17 ราย ในหลายพื้นที่ได้แก่ จ.อุบลราชธานี หนองคาย อุดรธานี และเลย นอกจากนี้ยังก่อเหตุที่ จ.มุกดาหาร และนครพนม รวมทั้งสังหารนายอนุวงศ์และนางอุไรวรรณ เศรษฐาธิราช ที่ศาลาแก้วกู่ ฆ่านายคำหยาด หรือ ร.อ.คำฝู ท้องที่ อ.ภูหลวง จ.เลย ฆ่านายบุญมี นาระนาด ท้องที่ อ.เมือง จ.อุดรธานี ผู้ต้องหาทั้งสองคนได้ฉายาว่านักฆ่าสองฝั่งโขง รับเงินค่าจ้างศพละ 1 แสนบาท"
จากการสืบสวนทางลับพบว่า นายอาทิตย์เรียนจบชั้น ม.6 โรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.หนองคาย เมื่ออายุ 14 ปี ถูกจับกุมข้อหาฆ่าคนตายพร้อมเพื่อนคู่หู คือ นายสมบัติ หรือแด๊ก เพิ่มปัญญา ถูกส่งเข้าสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดหนองคาย 4 ปี และเมื่ออายุย่างเข้า 19 ปี ก็เข้าสู่วงจรมือปืนรับจ้าง
ย้อนเหตุการณ์ไปเมื่อปี 2543 พ.ท.สีสุก ไชยแสง หรือนายณรงค์ สุวรรณบุปผา วางแผนส่งกำลังพลติดอาวุธประมาณ 60 คน บุกเข้าไปก่อกวนรัฐบาลลาว ด้วยการเข้าบุกยึดด่านวังเตา เมืองโพนทอง แขวงจำปาสัก ที่ตั้งอยู่ติดกับด่านช่องเม็ก อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี เช้ามืดวันที่ 3 กรกฎาคม แต่แผนการล้มเหลว ทำให้ผู้ร่วมขบวนการถูกสังหารทันที 6 ศพ อีก 29 ราย วิ่งผ่านประตูด่านเข้ามาประเทศไทย และถูกทางการไทยจับดำเนินคดี
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา คดีสังหารแกนนำ ขตล.ก็เกิดขึ้นทุกปี ไม่เคยมีเว้นวรรค !!!
รายแรก ท้าวภูเวียง คนร้ายนั่งเรือหางยาวใช้ปืนอาก้าบุกเข้าไปสังหารในบ้านพัก ที่บ้านคันท่าแพ ต.โขงเจียม อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี เมื่อกลางเดือนมิถุนายน 2544 ผ่านไป 1 เดือน ท้าวสง่าก็ถูกคนร้ายบุกยิงเสียชีวิต ที่บ้านเหล่าอินแปลง ต.ช่องเม็ก อ.สิรินธร และราวเดือนพฤศจิกายน คนร้ายใช้อาวุธปืน 11 มม.ยิงท้าวทองเสียชีวิต ที่บ้านสนามชัย อ.พิบูลมังสาหาร
ปี 2545 คนร้ายใช้อาวุธปืนยิงท้าวคำบอน ที่บ้านคำมันปลา อ.สิรินธร แต่ไม่เสียชีวิต หลังรักษาตัวจนหายดีก็หนีออกจากพื้นที่ และไม่ได้กลับมาอีกเลย
วันที่ 3 พฤศจิกายน 2546 พ.ท.สีสุก ไชยแสง หัวหน้าขบวนการต่อต้านลาวถูกคนร้ายใช้อาวุธสงครามชนิดอาก้ายิงเสียชีวิตใน หมู่บ้านประชาสมบูรณ์ ต.นิคมลำโดมน้อย อ.สิรินธร
เดือนธันวาคม 2546 นายอุดร หรือน้อย มั่นคง พ่อค้าขายผลไม้ในตลาดสด อ.เขมราฐ ที่ดูแลการโอนเงินระหว่างประเทศข้ามฝั่งจากประเทศไทยไปที่เมืองละครเพ็ง แขวงสาละวัน ประเทศลาว ถูกอุ้มตัวข้ามฝั่งไปคุมขังในประเทศลาว และเสียชีวิตในเวลาต่อมา
เดือนตุลาคม 2548 นายชูชาติ ฉิมฤทธิ์ หรือหลวงบริบูรณ์ อดีตนายทหารรัฐบาลลาวฝ่ายขวา ยศ "พ.อ." และเป็นนักเคลื่อนไหวกับ ร.อ.คำเผย สายกงจักร หลบเข้ามาอยู่ในประเทศไทยและถูกคนร้ายใช้อาวุธปืน.38 ยิงเสียชีวิตในบ้านพัก ที่บ้านนาอุดม อ.เมือง จ.อุบลราชธานี ส่วน ร.อ.คำเผย ได้เปลี่ยนชื่อเป็น "นายสุพรรณ" ไม่ทราบนามสกุล
แกนนำ ขตล.รายล่าสุด คือ ร.อ.สุกัน ที่สู้รบกับรัฐบาลลาวมาตั้งแต่อายุ 14 ปี หลบเข้ามาอยู่ในประเทศไทยก็ถูกฆ่าตายพร้อมนางจันทร ภรรยา ที่บ้านคำเปื่อย ต.คำเขื่อนแก้ว อ.สิรินธร
ส่วนผู้ต้องหาคดีบุกยึดด่านวังเตาที่เป็นคนลาว 16 คน ที่ถูกจับดำเนินคดีในประเทศลาว เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2547 ศาลประชาชนแห่งแขวงจำปาสัก ตัดสินจำคุกท้าวสวง แสงสุระ นักโทษการเมืองที่ร่วมกันบุกยึดด่านวังเตาและพวกรวม 8 คน คนละ 12 ปี จำคุกท้าวคำ ไชยวงศ์ กับพวกรวม 6 คน คนละ 7 ปี และจำคุกท้าวแสง จำปา กับท้าวสม ไชยวงศ์ คนละ 2 ปี 6 เดือน
ปัจจุบันมีแกนนำ ขตล.ที่ยังเคลื่อนไหวเหลืออยู่เพียง ร.อ.คำเผย สายกงจักร เท่านั้น
คำรับสารภาพของผู้ต้องหาที่ได้ฉายาว่า "นักฆ่าสองฝั่งโขง" ในคดีฆ่าแกนนำ ขตล.รายล่าสุด เป็นเพียงคำให้การที่ตำรวจต้องหาพยานหลักฐานเพื่อประกอบสำนวนส่งฟ้องศาล แต่คำรับสารภาพของผู้ต้องหา 2 รายนี้ ก็ถูกปฏิเสธจากนายยง จันทะลังสี โฆษกกระทรวงต่างประเทศลาว ว่า ไม่เป็นความจริง เพราะลาวมีกองกำลังไว้เพื่อป้องกันประเทศ ไม่เคยเข้าแทรกแซงประเทศอื่น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ลาวถือว่าเป็นเรื่องภายในของไทย !!!

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

เรื่องของพวกสลิ่ม
เกิดมาก็หลายสิบปี ...

ที่ทำให้เราได้เห็นอะไรที่ไม่เคยได้เห็นมาตลอดทั้งชีวิตที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็น.......

1. ได้เห็น นายกหญิงคนแรกและอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย แต่กลับนำความฉิบหายมาให้กับประเทศมากที่สุด

2. ได้เห็น รถจอดเต็มแม่งทุกสะพานและทางด่วน เหลือทางวิ่งแค่ช่องเดียวทั่ว กทม

3. ได้เห็น ถุงทรายราคาแพงพอๆกับถุงข้าว

4. ได้เห็น มาม่า ปลากระป๋อง น้ำดื่ม แม่งหมดห้าง

5. ได้เห็น ไข่ไก่ที่โคตรแพงฟองละ 8 บาท และยังหาซื้อไม่ได้

6. ได้เห็น เซเว่นร้าง มีเหลือแต่พนักงานคิดเงิน

7. ได้เห็น shelf ที่ว่างเปล่าในโลตัส

8. ได้เห็น แม่งน้ำดื่มแพงกว่าน้ำมัน

9. ได้เห็น ของที่ทุกบ้านต้องมี คือ กระสอบทราย

10. ได้รู้ รสชาติของนำ้ดื่มจากคลองประปาผสมศพคนตายลอยคอ คละน้ำเน่า

11. ได้เห็น สันดานคนไทย vs นิสัยคนญี่ปุ่น เมื่อเจอวิกฤติ

12. ได้เห็น น้ำท่วมกทมและปริมณฑล แบบมิดหัวแบบตัวเป็นๆ

13. ได้เห็น คนถูกจระเข้กัดที่กลางเมืองหลักสี่

14. ได้เห็น คนพายเรือกลางถนน แล้วต้องปีนจากเรือขึ้นไปต่อรถไฟฟ้า

15. ได้เห็น ว่าทำไมเครื่องบินแม่งถึงเรียกว่าเรือบิน

16. ได้เห็น ที่ดอนกลับน้ำท่วมแต่แม่งที่หนอง(งูเห่า)น้ำไม่ท่วม

17. ได้เห็น ไอ้คนเตี้ยมันโคตรเก่งและโคตรเอี้ย มันสั่งได้ว่าให้น้ำมันท่วมหรือไม่ท่วมตรงไหนก็ได้

18. ได้เห็น ที่สุพรรณบุรีสูงกว่าภูเขา น้ำจะไม่ท่วมตลอดปีตลอดชาติ

19. ได้เห็น คนนั่งเก้าอี้หรือนั่งบนกล่องกระดาษก็ขี้ได้ด้วย

20. ได้เห็น รถก็ห่อเป็นของขวัญได้เหมือนกัน

21. ได้เห็น เรือพลาสติกราคาแพงเท่ารถมอเตอร์ไซค์

22. ได้เห็น ค่าเรือจ้างมหาโหดต้องควักจ่ายเป็นพัน

23. ได้เห็น คนแม่งต้องนั่งคุกเข่ากด ATM

24. ได้เห็น ความหมายของคำว่า "เอาอยู่" ก็คือ "ฉิบหาย ณ บัดดล"

25. ได้เห็น ของบริจาคกองเป็นภูเขาแต่ชาวบ้านยังไม่มีของกิน

26. ได้เห็น คนเลวชาติเอาของบริจาคไปใส่ชื่อเอี้ยๆของตัวเอง

27. ได้รู้ว่า ประเทศไทยมีเดือนที่ 13 คือพฤศจิกาคม

28. ได้เห็น อยุธยาเสียกรุงครั้งที่ 3 ในช่วงชีวิต

29. ได้เห็น นิคมอุตสาหกรรมแตก 7 นิคมแบบเละเทะ

30. ได้เห็น ตลาดน้ำที่แม่งใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ที่พุทธมณฑล 1 - 6

31. ได้เห็น คนตกงานเป็นล้านคนในพริบตา

32. ได้เห็น คนแก่ คนพิการ ต้องถูกหามลงเรืออย่างน่าสงสารและสมเพช

33. ได้เห็น หมาและแมวถูกทิ้งเป็นพันๆตัว

34. ได้เห็น ธนาคารใหญ่สีลมตั้งบังเกอร์สูง แม่งอย่างกับจะไปรบกับเขมรแดง

35. ได้เห็น พัทยาและหัวหินแทบระเบิดเต็มไปด้วยผู้อพยพ

36. ได้เห็น คนกลางมุ้งเป็นบ้านนอนเต็มสะพานลอย

37. ได้เห็น คนถูกไฟดูดตายเป็นร้อย

38. ได้เห็น วัดพระแก้ว วัดคู่บ้านคู่เมืองของประเทศไทย ถูกน้ำท่วม

39. ได้เห็น คนใช้แหจับปลากลางถนนวิภาวดี

40. ได้เห็น บ้านริมทะเลสาบเป็นแสนๆหลัง

41. ได้เห็น ครอบครัวกระเด็นกระดอน ปู่ย่าตายายไปอยู่ต่างจวฺ. พ่อแม่ไปอยู่โรงแรม. ลูกวัยรุ่นไปอยู่คอนโดเพื่อน, สัตว์เอาไปฝากเลี้ยง

42. ได้เห็น ปัญญาชนกรอกทราย

43. ได้เห็น ควายบริหารประเทศ

44. ได้เห็น ประจักษ์ตากับความหมายที่ว่านำ้ท่วมไม่กลัว แต่กลัวผู้นำโง่

45. ได้เห็น คนที่แม่งเป็นแต่ตัดริบบิ้น, ทาสี และยืนบีบน้ำตาก็เป็นนายกประเทศไทยได้

46. ได้เห็น นายกผมตั้ง ปากแดง แก้มชมพู แม่งสวยทุกวัน ไม่ว่าปชช.จะตกทุกข์ได้ยากยังไง

47. ได้เห็น ไอ้น้องน้ำมันโคตรเก่งเลย สอบเข้าได้ตั้งหลายมหาวิทยาลัย

48. ได้เห็น ทหาร 1 คนมีค่ามากกว่า ส.ส. ทั้งสภา แต่มีเงินเดือนไม่ถึง 10% ของส.ส. 1 คน

49. ได้ เห็น น้ำใจและความแน่วแน่ ของทหารแบบไม่เคยคิดสงสัย ว่าเค้าทำเพื่อใคร เพื่ออะไร ทั้งที่ โดน ส.ส. ของพวกที่นั่งด่าอยู่ทุกวัน... บลา บลา บลา!! #

และสุดท้าย

50. ได้เห็น นายกไทยหน้าด้านที่สุดในโลก ทำประเทศไทยฉิบหาย 9 แสนล้าน ยังหน้าด้านไม่ลาออกไป แต่กลับบีบน้ำตาให้คนสงสาร


ร" และพวกพ้อง

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
เรื่อง รวมการโกง ของทักษิณ...

--ก่อนหน้านี้ ทักษิณ ก็เป็นเหมือนคนปกติทั่วไ...ปที่อยากจะร่ำรวย....

--เริ่ม จากการอยากร่ำรวยทางลัด ยุคปฏิวัติ รสช สมัยสุนทร คงสมพงษ์....ทักษิณ ก็ให้เงินทหารที่ปฏิวัติ เพื่อแลก สัมปทานมือถือแบบง่ายๆ ... "ยัดเงิน ทหาร ไม่ต้องประมูลสัมปทานอย่างยุติธรรม ให้มันยุ่งยาก"

--หลังจากทักษิณ ได้สัมปทานรัฐฯ จากการยัดเงินใต้โต๊ะแล้ว ทักษิณก็เริ่มอยากปกป้องผลประโยชน์ตัวเอง เพราะการมีอำนาจเอง ก็คงดีกว่าการคอยพึ่งบารมีผู้มีอำนาจ นักการเมือง ข้าราชการที่คอยแต่จะรีดไถ่
--ทักษิณก็เลยโดดมาเล่นการเมือง เพื่อการมีอำนาจซะเองเลย


--เริ่ม ที่พรรคพลังธรรม ทำหน้าที่เป็นนายทุนให้พรรค เติบโตมาพร้อมๆกับ เจ้หน่อย ซึ่งสมัยนั้น ยังไม่ได้มีชื่อเสียงมากนัก ถือเป็นนักธุรกิจไฟแรง ที่ผันตัวเองมาเล่นการเมือง


--เมื่อทักษิณเล่นการเมืองมีอำนาจรัฐฯ อยู่ในมือแล้ว เป็นรองนายก แม้ไม่ถึงขั้นเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ก็เห็นช่องทางแห่งความร่ำรวย
--เริ่ม จากตัดลดงบประมาณต่างๆ ทำองค์กรโทรศัพท์ให้อ่อนแอ ขาดงบประมาณในการซ่อมแซมดูแล ใช้งานไม่ได้มากๆเข้า ก็เป็นการบีบประชาชน โดยทางอ้อมให้จำเป็น ต้องซื้อโทรศัพท์มือถือ เพราะยุคนั้นตู้โทรฯสาธารณะแทบจะใช้ไม่ได้ซักตู้
--พอทักษิณเล่นการเมือง ไปนานๆเข้า ก็เห็นว่าอำนาจรัฐมีประโยชน์ สร้างความร่ำรวยให้ได้มากมาย ความคิด... ก็เข้าครอบงำ จากนั้น..... ตามมาๆ

--ยุคนายก จิ๋ว ฟองสบู่แตก + ลดค่าเงินบาท ยุคนั้น ทักษิณ เป็นรองนายกรัฐมนตรี และเป็นหนึ่งในผู้ร่วมเสนอให้ ชวลิตลดค่าเงินบาท ซึ่งถือเป็นผู้รู้ข้อมูลภายในล่วงหน้า (insider) ....
--ทักษิณ ได้ใช้ข้อมูลนั้น ในการดำเนินการ ประกันค่าเงินของ ทรัพย์สินและบริษัท ในตระกูลของตนเองและพวกพ้องทั้งหมดไว้ แค่นั้นยังไม่พอ..


--ทักษิณ และพวกพ้องกลุ่มนายทุนใหญ่ ระดับชาติ ใช้กลยุทธการ "ไซฟ่อนเงิน" เพื่อความร่ำรวย และซ้ำเติมความหายนะของชาติ ให้มากขึ้นไปอีก เพรายิ่งไทยหายนะเท่าไหร่ ค่าเงินบาทไทยก็ยิ่งลดลงไปมากเท่านั้น ซึ่งก็คือ...
--ทักษิณและพวกพ้อง ใช้วิธี กู้เงินจากสถาบันการเงินต่างๆ ในประเทศให้ได้มากที่สุด แล้วนำไปแลกดอลล่าร์ไว้ เพราะรู้ข้อมูลล่วงหน้าว่า จะมีการประกาศลดค่าเงินบาท และเมื่อ ชวลิตลดค่าเงินบาทตามคำแนะนำของกลุ่มทักษิณ..
--ค่าเงิน จาก 25 บาทต่อ 1 ดอลล่าร์ ก็ดิ่งลงสู่หายนะ ในเวลาอันรวดเร็ว โดยต่ำสุดอยู่ที่ 58 บาท ต่อ 1 ดอลล่าร์ ....... ทักษิณ และพวกพ้อง ก็เอาดอลล่าร์กลับมาแลกคือเป็นเงินบาทไทย "กำไรทันทีเกิน เท่าตัว!!!!"
--ทฤษฏี ของ สสาร ง่ายๆ คือ สสารไม่มีวันหายไปจากโลก เหมือนเม็ดทรายในท้องทะเล แค่ ย้ายจากที่หนึ่ง ไปสู่อีกที่หนึ่งเท่านั้นเอง ความร่ำรวย และยากจนก็ไม่ต่างกัน...
--เมื่อทักษิณ และพวกพ้องมีกำไรจากการประกันค่าเงิน และ ไซฟ่อนเงินเป็นมูลค่ามหาศาลเกิน 100% คนที่ขาดทุนก็คือประชาชนคนไทย และ ธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งจริงๆก็เหมือนมีเงินในกระเป๋าเท่าเดิม แต่ค่าของเงินหายไปเกินครึ่ง!!!
--ทักษิณและพวก ร่ำรวยขึ้นเป็นเท่าตัว บนความยากจนลงๆ ของประชาชนทั้งประเทศ จากการลดค่าเงินบาทในครั้งนี้


--คราวนี้ทักษิณก็มีทุน กระสุนดินดำ ไว้ใช้ในการเล่นการเมืองเต็มตัวแล้วสิ.....


--ทักษิณ ก็เริ่มใช้เงินที่ได้มา ซื้อพรรคการเมืองต่างๆ กวาด สส.พรรคต่างๆเข้าพรรคของตัวเอง เพราะเวลาทักษิณจะออกกฏหมาย หรือเปลี่ยนแปลงกฏหมายอะไร จะได้มี สส.ลูกน้อง คอยยกมือโหวดผ่านร่างในสภา ให้กฏหมายผ่านง่ายๆ ตามแต่ใจที่ต้องการ
--หลังจากทักษิณกวาดต้อน ใช้เงินซื้อ สส.ที่ขายตัว มาเป็นลูกน้องคอยยกมือให้ในสภาแล้ว ก็เริ่มจัดการแก้กฏหมายต่างๆ เพื่อเอื้อประโยชน์ เพื่อสร้างความร่ำรวยให้ตัวเองก่อนเลย โดย...


--ทักษิณแก้กฏหมาย วิธีการจ่ายภาษีสัมปทานมือถือให้รัฐฯ โดยให้ บ. ตัวเองจ่ายน้อยลง ทำให้รัฐสูญเสียเงินรายได้ จากการจัดเก็บภาษีสัมปทานมือถือในทุกๆปี เป็นจำนวนเงินหลักหมื่นล้าน/ต่อปี...
--ผลจากการแก้กฏหมายดังกล่าว ......."รัฐฯจะสูญเสียรายได้ส่วนนี้ไปอีก นานแสนนาน"

--เป็น ไงละ...ก็ เพราะทักษิณคุมอำนาจรัฐฯไว้ในมือ แต่ในขณะเดียวกัน ครอบครัวของทักษิณ ก็ดันทำธุรกิจกับภาครัฐฯ ไปด้วย... แล้วคิดว่า ทักษิณจะอยากให้รัฐฯได้ประโยชน์มากกว่า หรือ อยากให้ครอบครัวตัวเองได้ประโยชน์ มากกว่าหละ
--แน่นอนเมื่อสัญญาถูกแก้ ให้ครอบครัวทักษิณจ่ายภาษีมือถือน้อยลง รัฐก็จะมีเงินรายได้เข้าคลังน้อยลง เงินที่จะนำไปใช้ในการบริหารประเทศ ช่วยเหลือคนจนก็จะน้อยลง ยิ่งช่วงนั้น ไทยประสบปัญหา ฟองสบู่แตก ด้วย เงินในคลังก็ยิ่งน้อยลง


--ที่นี้ ทักษิณอยากได้เงินเข้าคลังเยอะๆ เพราะทักษิณเป็นรัฐบาล จะได้เอาเงินไปใช้จ่ายโครงการต่างๆ เพื่อให้พวกพ้องโกงกิน แต่ไทยยังติดหนี้ IMF และยังมีเงินในคลังน้อยอยู่ แล้วทักษิณจะทำไงดีละ.... ตามมาๆๆ

--ทักษิณ ก็ขายสมบัติชาติไง เพราะพอขายแล้ว ชาติจะได้มีเงินเข้าคลังเยอะๆ ทักษิณและพวกพ้อง สส.จะได้เอาไปถลุง + โกงกินทุกโครงการให้สบายใจ


--โดยเริ่มจากขาย ปตท. ซึ่งเดิมที ปตท.เป็นรัฐวิสาหกิจ หรือเรียกง่ายๆว่า ธุรกิจของรัฐฯ 100%
--ซึ่ง หมายความว่า.."กำไร" จากการขายน้ำมัน /ปิโตรเคมี /อะโรเมติค /พาราไซรีน ฯลฯ ทุกอย่างทุกชนิด ทุกบาท ทุกสตางค์ ของ ปตท จะกลับเข้าคลัง ไปเป็นงบประมาณของรัฐฯ เพื่อนำเงินนั้น กลับมาบำรุงชาติ/ประชาชน แต่ทักษิณก็ขาย...
--ซึ่งนั้นหมายความว่า กำไรจาก ปตท ที่ รัฐฯเคยเก็บได้ทุกปี 100% เต็ม "ตลอดอายุประเทศไทย".... จะไม่ได้เท่าเดิมอีกแล้ว เพราะต้องเอากำไรของชาติ ไปแบ่งให้ผู้ถือหุ้นด้วย ประเทศไทยจะสูญเสียรายได้ในส่วนนี้ตลอดไป
--แถมทักษิณยังขาย ปตท. แบบโกงราคา สัดส่วนหุ้น ต่อหน่วยลงทุนด้วย!! งง มั้ย คืองี้....

--ปตท คือรัฐวิสาหกิจของประเทศ ประชาชนทุกคนเป็นเจ้าของ เราเลือก สส + นายก มาเป็น ผู้บริหารประเทศ หรือเรียกง่ายๆว่า ตัวแทน "ผู้จัดการมรดก"
--ทีนี้ เมื่อทักษิณเป็นรัฐบาล เป็นนายก เป็นผู้จัดการมรดกของชาติ ก็มีความคิดเอาทรัพย์สินของชาติ ไปขาย เพื่อให้มีเงินเข้าคลังเยอะๆ
--แทน ที่ทักษิณจะขายให้ได้กำไร หรือ อย่างน้อยเท่าทุน เพื่อให้ชาติได้เงินตามสมควร... แต่ทักษิณเอาสมบัติชาติไป.."ขายขาดทุน โดยให้ พวกพ้อง ญาติเป็นคนซื้อ"
--ทักษิณให้ญาติ และ พวกพ้อง สส.ของพรรค ซื้อสมบัติชาติ จนหมด และ ในราคา ต่ำกว่าต้นทุนหลายๆเท่า ดังตัวอย่างเช่น ประชาชน"คนแรก"ที่ไปรอต่อแถวซื้อหุ้น ปตท ตั้งแต่ตี 4 แค่กรอกใบสมัคร 1.14 นาที หุ้นก็หมดไปแล้ว...
--แต่ผู้ที่ได้มีสิทธซื้อ หุ้น เป็นจำนวนหลายล้านหุ้นต่อคน กลับเป็น คนในนามสกุล ที่เรารู้จักกันดีทั้งนั้น ทั้งๆที่ กฏหมาย ห้ามซื้อเกินคนละ 1 แสนหุ้น???
--แถม... ราคาหุ้น ที่พวกทักษิณได้มีสิทธิซื้อนั้น ต่ำกว่าราคาของความเป็นจริง หรือเรียกง่ายๆว่า ให้ญาติซื้อสมบัติชาติ ในราคาต่ำกว่าต้นทุนนั้นเอง
--ผล ที่ได้คือ พวกพ้อง ญาติร่ำรวย +ประชาชนไม่รับรู้ + ประเทศชาติ(พูดไม่ได้)ขาดทุน .......และยังมีเงินจากการขาย ปตท ครั้งนี้ เข้าคลังไปถลุง ซึ่ง..."น้อยกว่าที่ควรจะเป็น" อีกต่างหาก....เฮ้อ.
--นั้นคือ สาเหตุ ที่ราคาหุ้น PTT ณ.วันเปิดเข้าตลาดหลักทรัพย์ กับ วันนี้ ราคาสูงขึ้น เป็น 10 เท่าตัว.... กำไร 1000%
--สรุป ทักษิณบริหารสมบัติชาติ -- ชาติ (ประชาชน )ขาดทุนย่อยยับ -- ญาติ พวกพ้องมัน ร่ำรวย เพราะซื้อสมบัติของชาติต่ำกว่าทุน ...


--หน้าทีอีกอย่างของ ปตท คือ คอยถ่วงดุล + กดดัน + ควบคุมระดับราคาน้ำมันภายในประเทศ ไม่ให้แพงเกินจริง ซึ่ง...
--ว่า ง่ายๆก็คือ ถ้า ปตท ไม่ขึ้นราคาน้ำมันซะอย่าง แล้ว บ.น้ำมันข้ามชาติ เช่น เชล เอสโซ่ คาร์เทค จะขึ้นราคาน้ำมันมากแค่ไหนก็ตามใจ เพราะไม่มีใคร อยากไปเติมของแพง
--เมื่อ เป็นเช่นนั้น ถ้า ปตท พยายามกดดันราคาน้ำมันไว้ พวก บ.น้ำมันข้ามชาติทั้งหลาย ก็ไม่กล้าจะขึ้นราคาน้ำมันให้แพงเวอร์นัก เพราะ ประชาชนก็จะมีทางเลือกเติม ปตท ที่คิดราคาน้ำมันถูกกว่า
--ทีนี้ลองคิดตามนะ......


--ถ้า พวกทักษิณ เป็นรัฐบาล ควบคุมกลไกรัฐ ควบคุม ปตท.มีหน้าที่ คอยถ่วงดุล+กดดัน+ควบคุมระดับ ราคาน้ำมันภายในประเทศ ไม่ให้แพงเกินจริง.."แต่ขณะเดียวกัน พวกทักษิณ ก็ดันถือหุ้น ปตท ไปด้วย" ???
--นั้นหมายความว่า..."ถ้าปตท กำไรมาก พวกทักษิณก็จะกำไรมากๆด้วย !!!"
--แล้วทักษิณ และพวกพ้อง ซึ่งเป็นผู้ควบคุมกลไกรัฐฯ จะอยากทำให้น้ำมันแพงหรือถูกดีหละ....???
--เพราะ ถ้าทักษิณ ทำตามหน้าที่ โดยกดดันให้น้ำมันถูก ประชาชนก็จะได้ประโยชน์ ..แต่พวกทักษิณ ซึ่งถือหุ้น ปตท อยู่ ....."ก็จะกำไรน้อย"
--แต่ถ้า ทักษิณปล่อย ให้น้ำมันขึ้นๆแพงๆๆ ให้ประชาชนจ่ายค่าน้ำมันแพงๆเข้าไว้ โดยไม่คอยควบคุมกดดัน พวกทักษิณที่ถือหุ้น ปตท ก็จะได้กำไรเยอะตามไปด้วย!!


--จากการขาย ปตท พวกทักษิณ กำไร 3 เด้ง ...คือ
1 กำไรจากการได้ซื้อสมบัติชาติในราคาถูก
2 ปล่อยราคาน้ำมันขึ้นให้ประชาชน เติมน้ำมันแพง พวกทักษิณถือหุ้น ปตท ก็รวยไปด้วย
3 คลังมีเงินจากการขายสมบัติชาติ มาให้ถลุงเล่น
--นั้น คือเหตุผลที่ว่า น้ำมันทุกค่ายจับมือกันแพง จับมือกันขึ้นราคาไง จากยุคเชาวลิต 12-13 บาทต่อลิตร จน 45-48 บาทต่อลิตร และ... บ. ปตท กำไร ปีละเป็น แสนๆล้าน เยี่ยมมั้ย ไอ้ทักษิณ!!
--จากนั้น...รัฐบาลทักษิณ ก็ได้เงิน เข้ามาจากการขาย+โกง สมบัติชาติ เข้าคลัง... และ คลังก็มีเงินให้พวกทักษิณเอาไป ถลุงเล่นแล้ว... มาดูกันว่าทักษิณจะทำอะไรได้บ้าง ...


--ไทยมีเงินให้ถลุงแล้ว แต่ไทยก็ยังมีหนี้ IMF และเสียดอกเบี้ยอยู่ ทำไงดี ให้เอาเงินในคลังไปถลุงง่ายๆ โดยไม่โดน ฝ่ายค้านโจมตี และ ประชาชนด่า
--ทักษิณก็ปลดหนี้ IMF ไง จะได้ดูดี ไม่มีหนี้แล้ว เก่งด้วย
--กองทุน IMF เค้า ให้ค่อยๆผ่อน ค่อยๆเสียดอก แต่ ทักษิณ ดันจ่ายทั้งต้น ทั้งดอก ทั้งหมดเลยทีเดียว คนจะได้ว่าข้าเก่ง และเอาเงินไปทำอย่างอื่นได้ โดยไม่โดนประชาชนด่า แล้วมันไม่ดีตรงไหนช่ายมะ ..ดูนะ
--ต้น+ดอกเบี้ย ทุกปีอะ เค้าให้เราทะยอยจ่าย โดยคำนวนไว้แล้ว เหมือนคุณผ่อนบ้านอะ สมมุติผ่อนบ้านเดือนละ 5 หมื่น ผ่อน 20 ปี .. คำถามก็คือว่า
--"ค่าของเงิน" 5หมื่นในวันนี้ กับ "ค่าของเงิน" 5หมื่นใน อีก 20 ปีข้างหน้ามีค่าเท่ากันมั้ย ..คำตอบคือ...ไม่เท่าแน่ๆ
--ถ้า ให้จ่ายแบบปิดเงินต้น แล้ว ดอกมาคิดกันใหม่ก็ว่าไปอย่าง เหมือนเราจะ เทบ้าน เทต้น อะไรแบบนี้ แต่ถ้าต้องรวบยอด ทั้งต้นทั้งดอก ทั้งหมดจ่ายเลยวันนี้ "ค่อยๆผ่อนไปไม่ดีกว่าเหรอ" อีก 20 ปีข้างหน้า ถึงเราจะต้องจ่ายเท่าเดิม แต่ ค่าของเงินก็เปลี่ยนไป
--ก็เหมือนเราจ่ายจำนวนเงินเท่าเดิม แต่ค่าของเงินนั้นน้อยลง แต่รู้มั้ย ทักษิณทำเพื่ออะไร???


--คำ ตอบก็คือ ทักษิณต้องการให้ธนาคาร เอ็กซิมแบ้งค์ของรัฐ ปล่อยกู้พม่า ค่อนหมื่นล้าน โดยทักษิณตกลงกับพม่า ให้นำเงินก้อนนี้ "กลับมาซื้อสัมปทาน เครือค่ายโทรศัพท์ของตระกลูชินวัตร ไง" ....รัฐบาลมีเงินในคลังแล้วนิ รวยแล้ว..
--วิธีการก็ง่ายๆ ก็โอน 10% ให้นายพลเผด็จการพม่าใต้โต๊ะ อีก 90% เข้าบัญชีพจมานเลย เพราะกลัวพม่าโกง..แถมปล่อยกู้พม่า โดยคิดอัตราดอกเบี้ย ถูกแสนถูก ถูกกว่าที่ไทยกู้จาก IMF มากนัก
--สรุป ปลดหนี้ จ่ายรวบ ดอกเบี้ย IMF ที่แแพงกว่า มาปล่อยกู้พม่า ในดอกเบี้ยที่ถูกกว่า...เพื่อให้พม่า เอาเงินมาซื้อสัมปทาน มือถือ ของตระกูลตัวเอง
--หลัง จากนั้นก็เริ่ม อภิมหาโครงการโกง ต่างๆ เช่น โคล้านตัว กล้ายาง กองทุนหมู่บ้าน สนุกสนานกันเข้าไป ยกตัวอย่างเด่นๆ ดังต่อไปนี้....


--ดาวเทียมไทยคม เคยรู้กันมั้ย??
--ประเทศ แต่ละประเทศ ตามสนธิสัญญาสากล ทุกประเทศ มีสิทธิในการใช้วงจรดาวเทียม ซึ่งแต่ละประเทศได้จำนวนวงโคจร มากน้อยนั้นไม่เท่ากัน... ขึ้นกับสัดส่วนพื้นที่ของแต่ละประเทศ และปัจจัยต่างๆมากมาย
--ดาวเทียม 1 ดวง สามารถหารายได้ จำนวนมหาศาล จากมัน เพราะขีดความสามารถทางด้านการสือสาร ทุกชนิด แล้วมีโครงข่ายสูง.... ทักษิณ เลยจัดการประมูลให้เอกชน เป็นผู้ได้สัมปทาน???
--เงื่อนไข ผู้มีสิทธิเข้าประมูล คุณสมบัติ แต่ละข้อนั้น ทักษิณกำหนดเอง ตั้งข้อจำกัดในเงื่อนไข จนให้ บ. ของตัวเองได้ในที่สุด และกำกับท้ายว่า ผู้ชนะการประมูล ให้ยกเว้น+ลด ค่าสัมประทานให้กับรัฐฯ ให้น้อยกว่าที่ควรจะเป็นอีกด้วย !!!
--รัฐ สูญเสียรายได้ ที่ควรจะจัดเก็บเข้าคลังได้อีกปีละเป็น หมื่นล้าน...รายได้เข้าคลังจะน้อยลง กว่าที่ควรจะเป็นไปอีกหลายสิบปี...
--ผล จากการประมูลสัมปทานดาวเทียม ซึ่งมีได้เพียงดวงเดียวในประเทศไทย ดังกล่าว ......."รัฐฯจะสูญเสียรายได้ส่วนนี้ ไปอีกนานแสนนาน" อีกแล้ว...


--FTA
--เกษตรกร ทั้งหลาย คงไม่เข้าใจ ว่าทำไมทุกวันนี้ พืชผลทางการเกษตรถึงตกต่ำ ราคาถูกแสนถูก ถ้าอยากรู้ คุณต้องเข้าใจ คำว่า FTA ก่อนนะ มาดูกัน....
--เริ่มที่....
--"ยุคอดีต" ประเทศแต่ละประเทศ ไม่ได้มีการติดต่อการค้าสัมพันธ์กัน คนในประเทศ มีการเพราะปลูก พืชผล การผลิต ก็มักจะขายกันแต่ภายในประเทศ แน่นอนมันจะเกิดภาวะที่ว่า สินค้าบางอย่างมีปริมาณมากเกินไป แต่สินค้าบางอย่างก็ขาดแคลน
--"ยุคอดีต" สินค้าล้น มีปริมาณมากไปราคาก็จะถูก เพราะเกินความจำเป็น ส่วนสินค้าที่ขาดแคลน ราคาก็จะแพงโดด เพราะมีปริมาณความต้องการสูง เกิดความยากลำบากในการดำรงค์ชีวิต ของประชาชน
--ต่อมา.....

--"ยุค กลาง" มีการติดต่อ การค้าระหว่างประเทศ และเริ่มมีการนำสินค้า ที่มีปริมาณมากเกินไป "เหลือใช้" จากประเทศหนึ่ง ส่งไปค้าขายอีกประเทศหนึ่ง ที่มีความต้องการ หรือขาดแคลนสินค้านั้นๆ
--"ยุคกลาง" แน่นอนว่า...ถึงจะเป็นสินค้าขาดแคลน แต่สินค้าที่ขาดแคลนชนิดนั้นๆ ก็ยังมีประชาชนในประเทศ"บางส่วน" เป็นผู้ผลิตอยู่บ้าง ซึ่งอาจเป็นคนส่วนน้อยของประเทศ
--"ยุคกลาง" ดังนั้น การนำเข้ามาสินค้าที่ขาดแคลน เข้ามาขาย ก็จะกระทบคนกลุ่มน้อยในส่วนนี้ด้วย ด้วยเหตุนี้ รัฐจึงต้องใช้มาตราการ การตั้งกำแพงภาษี เพื่อช่วยเหลือคนกลุ่มน้อย ไม่ให้ถูกตัดราคาสินค้าจากประเทศอื่นๆ ที่ส่งสินค้าเหลือใช้เข้ามาขาย
--"ยุคกลาง" เพราะเมื่อภาษีสูง คนที่นำสินค้าที่มีปริมาณเกินความจำเป็น ของประเทศเค้า เข้ามาขายในประเทศเราก็จะมี ต้นทุนในการนำเข้าสูงตามไปด้วย จึงไม่สามารถขายตัดราคาสินค้า ของคนที่เพาะปลูกในประเทศได้
--สุดท้าย....

--"ยุคปัจจุบัน" เจตนารมณ์ของ FTA ก็ คือ ลดกำแพงภาษีนำเข้าสินค้าที่มีปริมาณมาก เกินความจำเป็นของแต่ละประเทศ เพื่อชดเชยความต้องการของประเทศ ที่ขาดแคลน และต้องการสินค้านั้นๆเหมือนกัน เพื่อให้เกิด "ดุลลภาพทางด้านการค้า"
--"ยุคปัจจุบัน" เมื่อเปิดเสรีการค้ามากขึ้น รัฐก็จะมีรายได้จากภาษี ของผู้ที่นำเข้าสินค้านั้นๆ มาขายภายในประเทศ ในสัดส่วนที่มากขึ้นตามไปด้วย และรัฐฯก็จะนำเงินภาษีที่ได้ไปอุดหนุ่น ไปช่วย เกษตรกร ที่ได้รับผลกระทบจาก สินค้าที่ถูกตัดราคาจากสินค้าที่นำเข้ามา



__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 


" นี่คือเจตนารมณ์ ของ FTA "

--แต่ ยุคทักษิณทำไงรู้มั้ยย ย ย ย
--คน ส่วนใหญ่ของประเทศไทยเรา เพาะปลูก ทำไร่ ทำสวน สินค้า พวกนี้จึงน่าเป็นสินค้าส่งออก เพราะเป็นสินค้าที่มีปริมาณมากในประเทศ แต่...
--ทักษิณตกลง FTA กับ จีน โดยยอมให้จีน นำพืชผลทางการเกษตรเข้ามาตีชาวไร่ ชาวสวนซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ในบ้านเรา เพื่อ...แลกกับการนำเข้า อะไหล่รถยนต์ ซึ่งเป็น บ.ของ พวกทักษิณ เอง ไปจีน
--ผลก็คือ บ.พวกทักษิณร่ำรวย ส่งสินค้าเข้าจีน ขายได้ถล่มทลาย แต่ เกษตรกร ชาวไร่ ชาวสวน ชาวนา ในประเทศ ตาย..เพราะถูก ผลไม้จีนตีตลาด ถูกจนเหลือเชื่อ เช่น มะม่วงเหลือ โลละ 10 บาท ฯลฯ


--สายการบิน
--ต่อมาก็เรื่องสายการบิน ทุกๆประเทศมีสายการบินประจำชาติ ประเทศไทยชื่อ การบินไทย และ เส้นทางการบินของสายการบินนั้นๆ บ้างก็มีขาดทุน บ้างก็มีกำไร เช่น
--กรุงเทพ ไป นิวยอร์ก กำไรทุกปี แต่ กรุงเทพไป.. อาจขาดทุน แต่สายการบินเป็นของรัฐ ยังไงก็ต้อง รองรับระบบพื้นฐานโลจิสติกของไทย ไม่ว่าจะกำไรหรือขาดทุน ก็ต้องบิน โดยหากเกิดการขาดทุน รัฐจะเป็นผู้ให้เงินสนับสนุน ชดเชยให้
--เมื่อ ทักษิณกุมอำนาจ การบริหารประเทศ ทักษิณก็ถือหุ้นใหญ่ สายการบิน แอร์เอเชีย จากนั้น ก็ง่ายนิดเดียว ยกเลิกเส้นทางการบินของรัฐที่มีกำไร ไปให้แอร์เอเชียบิน ...ส่วนอันไหนขาดทุน ให้ การบินไทยบินต่อไป .ให้รัฐจ่าย..
--แอร์เอเชียก็กำไรมโหฬาร ส่วนการบินไทย ก็ ... ตามมีตามเกิดไป .......นั้นหละ การโกงในเชิงนโยบาย


+++เมื่อ ทักษิณจัดการธุรกิจทุกอย่าง จนได้สัญญาสัมปทาน ผูกขาดกับรัฐ ไปอีกหลายนานแสนนาน แถมสัญญาที่ทำกับรัฐในทุกสัญญานั้น ทั้งได้เปรียบ เอาเปรียบ ลดภาษี ลดค่าสัมปทาน "จนเหมือนแทบจะเหมือนได้เปล่า.."
+++จาก นั้นทักษิณก็จัดการแก้กฏหมาย เพื่อให้สามารถขาย บริษัททั้งหมดให้กับต่างชาติ โดยบวกกำไรส่วนเพิ่ม ที่ทักษิณได้ทำสัญญาการเอาเปรียบรัฐ ต่างๆไว้ นั้นก็คือ...
+++กฎหมายขยายเพดานการถือหุ้น ของชาวต่างชาติ ในบริษัทโทรคมนาคมของประเทศ มีผลบังคับใช้วันที่ 21 มกราคม 2549
+++และ สองวันต่อมา ตระกูลชินวัตรและดามาพงศ์ ก็ขายหุ้นชินคอร์ป ให้กับบริษัทเทมาเส็ก แห่งประเทศสิงคโปร์ เป็นจำนวนเงิน 73,300 ล้านบาท
+++รวยขึ้นทันตาเห็น เดิมจาก 2หมื่นกว่าล้าน ขายทีเดียวได้เกิน 3 เท่า หรือกว่า 300%


+++"....... จริงๆทุกอย่างแทบจะผ่านพ้น ไปได้ด้วยดี เพราะถึงจะโกงยังไง สส.ตัวแทนประชาชนทุกคน ที่ทักษิณใช้เงินฟาดหัวซื้อไว้ ก็ยกมือโหวดกฏหมายต่างๆ ให้ผ่านร่าง พรบ. ได้อย่างถูกต้องตามกฏหมาย ใครก็เอาผิดทักษิณไม่ได้!!!!!!"


+++แต่ความโลภ และ หลงอำนาจ ของทักษิณ เลยทำให้ทักษิณชะล่าใจ ใช้อำนาจเอื้อหนุน ในการซื้อที่ดินรัชดา
+++เริ่ม ตั้งแต่การเปลี่ยนวงเงินมัดจำ การประมูลจาก 10 ล้าน เป็นเงินสด 100ล้าน ภายในวันเดียวเพื่อให้ ผู้ร่วมเข้าประมูลเตรียมเงินสดไม่ทัน
+++จากนั้นการประมูล ทางอินเตอร์เน็ต ก็ไม่พบผู้ร่วมประมูล ทั้งๆที่ บ. แลนด์แอนเฮ้า LPN ฯลฯ กว่า 7 ราย ก็เข้าร่วมประมูล แต่ทักษิณบอกเป็นการผิดพลาดทางด้านเทคนิค
+++แถม ทักษิณยัง ประกาศแก้ไขวันหยุดสิ้นปีของปีนั้นๆ เป็นวันทำการ เพื่อให้สามารถซื้อขายที่ดินแปลงนั้นได้ ก่อนสิ้นปี ก่อนที่จะมีการบังคับใช้กฏหมายการใหม่ ในปีถัดไปอีกด้วย
+++สรุปราคาการ ซื้อขาย จากเดิมที่ กองทุนฟื้นฟูซื้อมาที่ต้นทุนราคา 4889ล้านบาท .....แต่ทักษิณ ให้พจมาน ซื้อไปได้ในราคา 772 ล้านบาท .... ก็คิดเอาเองละกานนะ


+++เฮ้อ คนไทยบางคน ยังภูมิใจกับเศษเงินที่เขาให้มา แลกกับการโกงชาติไปมากมาย สัญญาต่างๆที่เขาทำไว้ เป็นสัญญาที่ผูกพันกับรัฐไปอีกนานแสนนาน
+++รัฐ จะสูญเสียเงิน ที่ควรจะเก็บภาษีต่างๆ ที่ควรได้ในทุกๆปี หายไปอีกปีละกว่าหลายหมื่นล้าน ทั้งยังเสียประโยชน์จากการดำเนินนโยบาย ที่มุ่มเน้นแต่การเอื้อประโยชน์ ให้พวกพ้อง ตลอดจนถึงการทุจริตเชิงนโยบาย รวมทั้งสิ้น ปีละเป็นแสนล้าน
+++เงินในคลังก็จะน้อยลง ไทยก็จะยากจน การพัฒนาก็จะน้อยลงกว่าที่ควรจะเป็น ไปอีกหลายสิบปี คนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือคนยากจน ที่รักทักษิณ ตามต่างจังหวัด ที่ต้องพึ่งพาสวัสดิ์การ จากรัฐตั้งแต่เกิดนั้นแหละ
+++.................


-+-ตลอด เวลาที่ผ่านมา ทักษิณ กุมอำนาจเสร็จเด็ดขาดทุกอย่าง ตั้งแต่ สส.ในสภา การแต่งตั้ง ผบ.ทหาร /ตำรวจ ข้าราชการประจำ จนถึงแก้ไขระบบผู้ว่าราชการจังหวัด ให้เป็นแบบ ผู้ว่า CEO ก็เป็นพวกของทักษิณทั้งนั้น
-+-ถ้า ทักษิณครองเมืองได้ ถึงมีผู้รู้ทันมากสักแค่ไหน ก็ขวางทักษิณไม่ได้ การที่ยุคสมัยนึงคนไทยรักเลือกทักษิณ เพราะไม่รู้ไม่เข้าใจในการทุจริต ในเชิงนโยบายของเขา
--------------" แล้วใครละ จะคอยขวางทางทักษิณ "......ไม่ให้ทักษิณแต่งตั้งเอา ญาติและพวกพ้อง คนชั่วมามีอำนาจ...เพื่อยึดอำนาจ ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดสมใจเขา-------------------


-+-ระบอบ ประชาธิปไตยเป็นสิ่งที่ดี แต่ประชาชน ต้องมีความรู้ แล้วการจะมีความรู้ได้ ต้องได้รับข้อมูลข่าวสารที่เพียงพอ ในการประกอบการตัดสินใจ เลือก สส. ตัวแทนประชาชน มารักษาไว้ซึ่งผลประโยชน์ของพวกเรา




พระบรมราโชวาท

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลเดชมหาราช

" คนดี "

ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี
ไม่มีใครจะทำให้คนทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด
การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุขเรียบร้อย
จึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี
หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมคนดีให้คนดี ได้ปกครองบ้านเมือง
และควบคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวาย

รักพ่อครับ


รบกวนฝากเพื่อนๆกด "แชร์"
เพื่อเผยแพร่สิ่งที่พวกตระกูล ชินวัตร ทำไว้กับประเทศไทย ให้คนทุกคนได้รับรู้นะครับ
ผมเชื่อว่าถ้าคนรักทักษิณได้อ่าน เค้าจะไม่อยากรักทักษิณอีกแล้วครับ
ขอบคุณเพื่อนๆทุกคนครับผมดูเพิ่มเติม


รูป ภาพละ 1 บทความนะครับผม ผมเชื่อว่าถ้าคนรักทักษิณได้อ่าน เค้าจะไม่อยากรักทักษิณอีกแล้วครับ รบกวนฝากเพื่อนๆกด "แชร์" เผยแพร่สิ่งที่พวกตระกูล ชินวัตร ทำไว้กับประเทศไทยให้คนทุกคนได้รับรู้นะครับ ขอบคุณเพื่อนๆทุกคนครับผม


โดย: คนไทย ร่วมต่อต้านการคอร์รัปชั่น ของ "ตระกูลชินวัตร" และพวกพ้อง

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ໄຮໂຊລາວນອກ ປທ ທີ່ ປາຣີສ ສັງສັງໃນງານໄປໄຫ່ມສາກົນ 2011 ພາຍໄຕ້ການອຸປຖັມຂອງເຈົ້າຟ້າຊາຍໂສຣີຍະວົງສຫ່ວາງແຫ່ງຣາຊວົງລາວ

http://www.laofr.net/?mid=56

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ลักษณะการปกครองแบบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์:
1. แนวความคิดของระบบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ คือ รัฐไม่เพียงแต่จะเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต แต่ยังมีอำนาจไปถึงการควบคุมสิทธิเสรีภาพ และวิถีการดำเนินชีวิตของประชาชนอีกด้วย
2. ที่มาของระบบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ได้มาจากแนวความคิดของ คาร์ลมาร์กซ์ เจ้าของ ลัทธิมาร์กซิสม์ Marxism
3. ประเทศแรกที่นำระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์เข้ามาใช้โดยปฎิวัติยึดอำนาจของ เจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 คือ เลนิน โดยสามารถเปลี่ยนแปลงการปกครองได้สำเร็จในปี ค.ศ. 1917
4. เลนินได้นำลัทธิมาร์กซิสม์มาปรับเป็นรูปแบบการปกครองระบอบคอมมิวนิสต์ในรัส เซีย ซึ่งต่อมาได้แพร่หลายไปยังประเทศต่างๆ โดยมีลักษณะที่สำคัญ ดังนี้:=
1. ใช้วิธีการรุนแรงในการยึดอำนาจ
2.เปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจโดยชี้ให้เห็นว่าลัทธิทุนนิยมมีข้อบกพร่องมากต้องการขจัดชนชั้นนายทุนโดยเปลี่ยนมาใช้ระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม
3. ยกเลิกกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของบุคคล
4. ให้รัฐเป็นเจ้าของเครื่องมือการผลิตและเป็นผู้ประกอบการ กำหนดแผนทางเศรษฐกิจ ส่วนประชาชนเป็นผู้ใช้แรงงาน
5.. จักตั้งพรรคคอมมิวนิสต์เพื่อเป็นแนวทางหน้าในการต่อสู้ พรรคคอมมิวนิสต์มีลักษณะเป็นกึ่งกองทัพ และเมื่อดำเนินการสำเร็จแล้วก็จัดเป็นพรรคเดียวที่มีอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ ทำหน้าที่กำหนดนโยบายทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมมาโดยตลอด
6.. มีการควบคุมสื่อมวลชนอย่างเคร่งครัดเพื่อมิให้ประชาชนรับเอาแนวคิดอื่นนอกจากลัทธิคอมมิวนิสต์




. ลักษณะการเมืองการปกครองของประเทศสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ มีดังนี้คือ:=
ก. มีทั้งรัฐประเภทรัฐเดี่ยวและรัฐรวม
ข. มีพรรคคอมมิวนิสต์เป็นแกนนำ มีองค์กรของพรรคทำหน้าที่อบรมและเผยแพร่มติและนโยบายของพรรค
ค. ประมุขของรัฐ ไม่ ว่าจะเป็นระบบประธานาธิบดีหรือระบบรัฐสภาจะอยู่ภายใต้การควบคุมของพรรค คอมมิวนิสต์ กรรมการของพรรคคอมมิวนิสต์โดยเฉพาะเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์เป็นผู้มีอำนาจ ที่แท้จริงในการปกครอง
ง. สมาชิกรัฐสภาเป็นบุคคลที่พรรคคอมมิวนิสต์เป็นผู้กลั่นกรองแล้วเสนอให้ประชาชนรับรอง!!!


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 



ถึงเวลาที่เราต้องสร้างวัฒนธรรมพลเมือง

โดย ใจ อึ๊งภากรณ์



เนื่องจากปีที่ผ่านมาเป็นปีแห่งความคลั่งในการใช้กฏหมายหมิ่นฯ 112 และเป็นปีแห่งการถกเถียงกันอย่างหนักในเรื่องนี้ เราควรเริ่มปี ๒๕๕๕ ด้วยการตั้งเป้าหมายเพื่อสร้าง “วัฒนธรรมพลเมือง” ในประเทศไทย

วัฒนธรรมพลเมืองเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งถ้าเราจะมีประชาธิปไตยและสิทธิเสรีภาพในโลกสมัยใหม่ เพราะวัฒนธรรมพลเมืองตั้งอยู่บนรากฐานความเสมอภาค สิทธิเสรีภาพ ความโปร่งใส และสิทธิในการตรวจสอบบุคคลสาธารณะ มันตรงข้ามกับ “วัฒนธรรมไทยเป็นทาส” ที่เต็มไปด้วยเผด็จการและการหมอบคลาน

ทั้งๆ ที่นักวิชาการ “เสรีนิยม” และคนที่อ้างว่าเป็นตัวแทน “ภาคประชาชน” ในไทยจำนวนมาก เคยชอบท่องสูตรเรื่องความสำคัญของประชาธิปไตย ความโปร่งใส เสรีภาพในการแสดงออก สิทธิในการเลือกผู้แทน และสิทธิในการตรวจสอบการทำงานของผู้ถือตำแหน่งสาธารณะ เพื่อให้มีการรับผิดชอบ ตามที่เคยชอบพูดกันถึง transparency กับ accountability ในสมัยร่างรัฐธรรมนูญปี ๔๐ แต่พอมาถึงยุครัฐประหาร ๑๙ กันยา และการใช้ความรุนแรงกับประชาชนที่ต้องการประชาธิปไตย และโดยเฉพาะการใช้กฏหมายหมิ่นฯ 112 เพื่อเป็นเครื่องมือทางการเมืองของอำมาตย์ ปรากฏว่านักวิชาการเสรีนิยมและคนที่อ้างว่าเป็นตัวแทน “ภาคประชาชน” เหล่านั้น ก็เพิกเฉยต่อสิ่งที่ตนเองเคยท่องมาในยุคก่อน

ที่แย่กว่านั้นคือพวกนี้เพิกเฉยต่อการอ้างอำนาจผูกขาดโดยอำมาตย์ในการกำหนด “วัฒนธรรมไทย” ตามแนวคิดไดโนเสายุคหินอีกด้วย ซึ่งเราก็เห็นตัวอย่างในรูปแบบการพูดของผบทบ.ประยุทธ์หรือสส.พรรคประชาธิปัตย์ในทำนองว่า การแก้หรือยกเลิกกฏหมายหมิ่นฯ 112 “ขัดกับวัฒนธรรมไทย” ซึ่งเป็นการเสนอว่าวัฒนธรรมไทยคือวัฒนธรรมแบบไพร่กับนาย ไม่ใช่วัฒนธรรมพลเมือง เขากำลังเสนอว่า “ความเป็นไทยคือความเป็นทาสสำหรับคนส่วนใหญ่” และมันเป็นการดูถูกเหยียดหยามการที่พลเมืองธรรมดาของไทยจำนวนมาก เคยต่อสู้และเสียสละเลือดเนื้ออย่างต่อเนื่องเพื่อประชาธิปไตยและสิทธิเสรีภาพ ไม่ว่าจะเป็น ๒๔๗๕ ๑๔ตุลา ๖ ตุลา สงครามของพคท. พฤษภา๓๕ หรือการเคลื่อนไหวของเสื้อแดงหลังรัฐประหาร ๑๙ กันยา

ในความเป็นจริง ไม่ว่านายพล นักการเมือง หรืออภิสิทธิ์ชนคนไหนจะหลงตนเองแค่ไหน แต่เขาหรือบุคคลอื่นที่อ้างตัวเป็นใหญ่ ไม่สามารถสร้างวัฒนธรรมได้ เพราะวัฒนธรรมมาจากความยินยอมและการร่วมปฏิบัติของคนจำนวนมาก ซึ่งแปลว่าไม่มีวัฒนธรรมเดียวในสังคมไทย มีแต่หลากหลายวัฒนธรรมที่แข่งกันเพื่อครองใจคน

วัฒนธรรมทาสที่ฝ่ายอำมาตย์อ้างว่าเป็น “วัฒนธรรมไทย” เป็นแค่วัฒนธรรมกดขี่ประชาชนของชนชั้นปกครองเท่านั้น วัฒนธรรมทาสนี้บังคับให้ประชาชนส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นเจ้าของประเทศ ต้องคลานกับพื้น เพื่อพิสูจน์ว่าตนเองเหมือนสัตว์และต่ำกว่ามนุษย์ แต่ในสังคมไทยวัฒนธรรมที่ตรงข้ามกับวัฒนธรรมทาสนี้คือวัฒนธรรมพลเมือง ที่คนธรรมดาเริ่มชื่นชมมากขึ้นทุกวัน

ปัญหาของ กฏหมายหมิ่นฯ 112 คือมันเป็นกฏหมายที่ตรงข้ามกับวัฒนธรรมพลเมืองโดยสิ้นเชิง เพราะเป็นการบังคับไม่ให้สังคมไทยมีประชาธิปไตย ความเสมอภาค ความโปร่งใส และการตรวจสอบผู้ถือตำแหน่งสาธารณะ

นอกจากนี้แล้วการปิดปากประชาชนที่เกิดขึ้นจากกฏหมายนี้ เปิดทางให้มีการใช้ความรุนแรงในการล้มประชาธิปไตย หรือในการเข่นฆ่าผู้ที่เรียกร้องประชาธิปไตยภายใต้ข้ออ้างของทหารว่ากำลัง “ปกป้องสถาบันเบื้องสูง”

กฏหมายหมิ่นฯ 112 เป็นการเปิดทางไปสู่สองมาตรฐานทางกฏหมายที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้อีกด้วย ลองดูว่าตอนนี้ใครในสังคมไทยติดคุกหรือติดคดีที่เกี่ยวข้องกับวิกฤตการเมืองปัจจุบันบ้าง มีแต่คนระดับล่างที่เป็นเสื้อแดง ในขณะที่นายพลและนักการเมืองที่สั่งฆ่าประชาชนลอยนวลหมด แต่มันยิ่งแย่กว่านั้นอีก เพราะไม่ต้องพูดถึงแค่คดีการเมือง เมื่อดูคดีฆาตกรรมส่วนตัวปัจเจก จะเห็นว่า “คนมีเส้น” มักหลีกเลี่ยงคุกได้อย่างสบาย และแม้แต่ในศาลไทย พวกผู้พิพากษาไม่มีจิตสำนึกประชาธิปไตยพอที่จะมองว่าต้องอ่านคำตัดสินคดีให้ผู้ต้องหาฟัง บางครั้งไม่ลงมาในศาลด้วย แค่ใช้โทรทัศน์วงจรปิด และผู้ต้องหามักจะถูกบังคับให้แต่งชุดนักโทษก่อนตัดสินคดี ซึ่งเป็นการละเมิดหลักว่าทุกคนต้องบริสุทธิ์ก่อนตัดสินคดี และความอยุติธรรมทั้งหมดนี้ปกป้องด้วยกฏหมายหมิ่นศาลแบบ 112 ที่ปิดปากประชาชนไม่ให้ตรวจสอบศาลได้

สรุปแล้ว ถ้าไม่มีวัฒนธรรมพลเมือง ที่มองว่าพลเมืองมีสิทธิ์เท่าเทียมกันในกระบวนการศาล และมีสิทธิ์ที่จะมีส่วนร่วมเต็มที่ในกระบวนการยุติธรรม จะไม่มีวันมีความยุติธรรมในสังคมไทยเลย

กฏหมายหมิ่นฯ 112 เป็นกฏหมายเผด็จการที่พยายามสร้างวัฒนธรรม “ไทยเป็นทาส” กฏหมายนี้สวนทางกับวัฒนธรรม “ไทยเป็นพลเมือง” ที่คนไทยจำนวนมากเริ่มชื่นชม

กฏหมายหมิ่นฯ 112 ไม่ใช่กฏหมายที่ปกป้องไม่ให้คน “ด่าในหลวง” คนที่เสนอแบบนี้เป็นคนโกหกสังคม เพราะกฏหมายหมิ่นฯ 112 เป็นกฏหมายที่ปกป้องทหาร และปกป้องชนชั้นปกครองไทยทั้งหมดต่างหาก กฏหมายอื่นที่พอจะปกป้องคนไทยทุกคนจากการถูกด่าหรือกล่าวหาเท็จ คือกฏหมายหมิ่นประมาทธรรมดา

กฏหมายหมิ่นฯ 112 ไม่ใช่กฏหมายที่ปิดปากไม่ให้เรา “พูดเรื่องในหลวง” ด้วย เพราะเป็นกฏหมายที่ปิดปากไม่ให้เราพูดคุยถกเถียงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างทหารเผด็จการกับสถาบันกษัตริย์ต่างหาก จนคนไทยจำนวนมากในยุคปัจจุบันหลงเชื่อคำโฆษณาอ้อมๆ ของทหาร และนักการเมือง ว่าประเทศไทยปกครองด้วยระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์

ประเทศไทยไม่ได้ปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่ปกครองด้วยระบบ “รัฐซ้อนรัฐบาล” ที่ทหาร ข้าราชการชั้นสูง นายทุน และนักการเมืองอาวุโส มีอำนาจนอกและเหนือรัฐธรรมนูญ พร้อมกันนั้นมีการแอบอ้างสร้างความชอบธรรมทั้งปวงจากสถาบันกษัตริย์ พร้อมกับปกป้องระบบรัฐซ้อนรัฐบาลด้วยกฏหมายหมิ่นฯ 112 เพราะทุกอย่างอ้างว่า “ทำไปเพื่อปกป้องสถาบันเบื้องสูง” ดังนั้นถ้าใครแย้งหรือตั้งคำถามกับระบบนี้จะ “ถือว่าผิด 112”

เราจะเห็นได้ว่าการตั้งคำถามกับการทำรัฐประหาร ๑๙ กันยา ว่าทำไมต้องแอบอ้างสถาบันกษัตริย์ ทำไมต้องผูกโบสีเหลืองบนปืนและเครื่องแบบทหาร หรือการตั้งคำถามว่าประมุขในระบบประชาธิปไตยควรปกป้องรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยหรือไม่ ซึ่งเป็นคำถามที่พลเมืองทุกคนควรมีส่วนร่วมในการถาม เพื่อความโปร่งใสและการรับผิดชอบ ล้วนแต่กลายเป็นคำถามที่ถูกอำมาตย์นิยามว่า “หมิ่น” ตามกฏหมายหมิ่นฯ 112

กฏหมายหมิ่นฯ 112 นำไปสู่การอ้างอภิสิทธิ์พิเศษของพวกนายพลในการฆ่าคนที่คิดต่างจากตนเองอีกด้วย เพราะมีการประโคมข่าวว่าพวกที่โดนยิงเป็นพวก “ล้มเจ้า”

ถ้าเรามีสิทธิ์สร้างความโปร่งใสเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างนายพลระดับสูงกับประมุข ผมมั่นใจว่าเราจะค้นพบว่าทหารไม่ได้รับใช้กษัตริย์ แต่รับใช้ตนเองมากกว่า นี่คือสาเหตุที่ทหารอยากปกป้องกฏหมายหมิ่นฯ 112 แบบสุดชีวิต

ถ้าเรามีสิทธิ์สร้างความโปร่งใสเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างนายพลระดับสูงกับประมุข ผมมั่นใจว่าเราจะพบว่าบุคคลในพระราชวังไม่ได้มีส่วนในการสั่งฆ่าประชาชนเมื่อปี ๒๕๕๓ แต่อย่างใด ทั้งๆ ที่คนไทยจำนวนมากในปัจจุบันเข้าใจว่า “เป็นคำสั่งจากวัง” ตรงกันข้ามเราจะพบความจริงว่าผู้สั่งฆ่าตัวจริงคือทหารและนักการเมือง แต่พวกนี้อยากจะใช้กฏหมายหมิ่นฯ 112 ในการหลีกเลี่ยงการถูกตรวจสอบ

ใครๆ ที่ไม่ตอแหลหรือไม่หลอกตนเองและผู้อื่น เข้าใจมานานแล้วว่าในประเทศประชาธิปไตย พลเมืองมีสิทธิ์ตรวจสอบประมุข เพราะประมุขเป็นผู้ถือตำแหน่งสาธารณะ นี่คือสาเหตุที่ประเทศต่างๆ ที่มีกษัตริย์ในยุโรปไม่มีการใช้กฏหมายหมิ่นฯ 112 ในทางปฏิบัติมานานแล้ว ในประเทศเหล่านี้พลเมืองมีสิทธิ์แลกเปลี่ยนอย่างเสรีด้วยว่า ประมุขควรเป็นกษัตริย์ที่สืบทอดสายเลือด หรือควรมาจากการเลือกตั้ง และในยุคนี้เราเห็นความเพี้ยนของระบบที่ให้ความสำคัญกับการสืบทอดสายเลือดในกรณีเกาหลีเหนือ ซึ่งน่าจะเป็นบทเรียนที่เรานำมาพิจารณาในไทยอีกด้วย

ในเมื่อกฏหมายหมิ่นฯ 112 ขัดกับวัฒนธรรมพลเมือง ขัดกับการสร้างความโปร่งใสและการตรวจสอบในระบบการเมืองสาธารณะ การเสนอให้ลดโทษ หรือการเสนอให้เลขาสำนักพระราชวังเป็นผู้ยินยอมให้มีการฟ้องแต่ฝ่ายเดียว จะเป็นเพียงการปกป้องระบบที่กีดกันเสรีภาพ ความโปร่งใส และการตรวจสอบเท่านั้น และเราคงเดาได้ว่าเลขาสำนักพระราชวังจะเป็นคนของทหารอีกด้วย

ข้อเสนอให้ “ปฏิรูป” กฏหมายหมิ่นฯ 112 ของคณิต ณ นคร ประธานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) เป็นเพียงการปกป้องกลุ่มที่เกาะกินกับระบบรัฐซ้อนรัฐบาล มันเป็นการปกป้องวัฒนธรรม “ไทยเป็นทาส” และเป็นแค่ปฏิกิริยาต่อกระแสวัฒนธรรมพลเมืองที่ต้องการให้ยกเลิกกฏหมายหมิ่นฯ 112 และปล่อยนักโทษการเมืองทุกคน และนักวิชาการ “เสรีนิยม” ที่คล้อยตามการ “ปฏิรูปเทียม” แบบนี้ ก็เพียงแต่คล้อยตามวัฒนธรรมไทยเป็นทาสเท่านั้นเอง

แค่ข้อเสนอที่ไม่แก้ปัญหา 112 ของ คอป. ก็ไม่ได้รับความชื่นชมจากรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่คนเสื้อแดงเลือกมา เพราะรัฐมนตรีเฉลิม อยู่บำรุง “ลั่น” ว่าจะคัดค้านแบบหัวชนฝา การแก้กฏหมายหมิ่นฯ 112 และด่าคนที่ต้องการสร้างสิทธิเสรีภาพว่า "ไอ้พวกนี้มันว่างงาน มาทำเรื่องไม่เป็นเรื่อง”

เราต้องถือว่าคำพูดของนายเฉลิมเป็นนโยบายของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เพราะไม่มีการออกมาวิจารณ์นายเฉลิมโดยนายกรัฐมนตรี และในรูปธรรมรัฐบาลนี้ยิ่งคลั่งในการใช้ 112 และกฏหมายคอมพิวเตอร์มากขึ้น

คนที่เคยหลอกตัวเองว่า “ต้องให้เวลากับรัฐบาลยิ่งลักษณ์” ด้วยข้ออ้างต่างๆ นาๆ เกี่ยวกับความใหม่ของรัฐบาล หรือปัญหาน้ำท่วม ถ้าพร้อมจะซื่อสัตย์ยอมรับความจริง คงต้องร่วมสรุปกับพวกเราว่ารัฐบาลพรรคเพื่อไทยทำข้อตกลงกับทหารเรียบร้อยแล้ว และจะทำทุกอย่างเพื่อหักหลังวีรชนเสื้อแดง ไม่ว่าจะในเรื่องการไม่ลงโทษนายประยุทธ์ นายอนุพงษ์ นายอภิสิทธิ์ หรือนายสุเทพ ในข้อหาฆ่าประชาชน หรือในเรื่องการทอดทิ้งคนเสื้อแดงที่ติดคุกอยู่ หรือในเรื่องข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์ และนอกเหนือจากนั้น สิ่งที่สำคัญพอๆ กันคือ แกนนำ “นปช. แดงทั้งแผ่นดิน” ก็พร้อมจะเผิกเฉยและปล่อยให้รัฐบาลหักหลังเสื้อแดง และปล่อยให้มีการสลายพลังของขบวนการเสื้อแดงจนไม่เหลืออะไร เพื่อให้ชนชั้นปกครองปรองดองกันเองและร่วมหากินบนสันหลังพลเมืองต่อไปในอนาคต

พวกเราที่อยากเห็นวัฒนธรรมพลเมืองเกิดขึ้นอย่างจริงจังในสังคม จะต้องจับมือกันและเคลื่อนไหว และจะต้องพร้อมที่จะสร้างหน่ออ่อนของขบวนการเสื้อแดงใหม่ เพราะแกนนำที่เคยประกาศว่าเป็น “ไพร่... พร้อมสู้กับอำมาตย์” ดูเหมือนจะหันมาส่งเสริมวัฒนธรรม “ไทยเป็นทาส” ไปเสียแล้ว





--
ใจ อึ๊งภากรณ์
+44(0)7817034432
http://redthaisocialist.com/



__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

มากกว่า ผู้นำที่มีความรอบรู้กว่า ผู้นำที่มีการใช้ข้อมูลมาวิเคราะห์ได้ดีกว่า มักเป็นที่ยอมรับ อีกทั้งเป็นที่เคารพเชื่อถือแก่ผู้ตาม.
3.กล้าเปลี่ยนแปลงหรือริเริ่มสิ่งใหม่ๆ ยุคสมัยปัจจุบันและยุคของโลกในอนาคต ผู้นำมักเป็นผู้ที่กล้าเปลี่ยนแปลง ผู้นำมักกล้าทดลอง ค้นคว้า สิ่งใหม่ๆ โลกยุคใหม่จึงเป็นยุคสมัยของ ผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลง.
4.กระตือรือร้น ผู้นำที่มีประสิทธิภาพ มักเป็นผู้นำที่มีความกระตือรือร้น กระฉับกระเฉง เดินไวกว่าคนปกติ ตามจิตวิทยา หากผู้นำมีความกระตือรือร้นในการทำงาน ผู้ตามมักจะมีความกระตือรือร้นด้วย ในทางกลับกัน หากว่าผู้นำมีความเฉยชา ผู้ตามก็มักจะทำงานด้วยความเฉยชา เช่นกัน.
5.มีความอดทน งานของผู้นำมักเป็นงานที่หนักกว่าผู้ตาม เนื่องจากต้องมีความรับผิดชอบต่องาน ต่อคนที่ทำงาน และต่อองค์กร ยิ่งเป็นองค์กรขนาดใหญ่ เช่น บริษัท , กระทรวง , หรือประเทศชาติ ก็ต้องรับภาระที่หนักหนาขึ้น หากว่าเราสังเกต ผู้นำระดับประเทศบางคนตอนขึ้นสู่ตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี ประธานาธิบดี มีใบหน้าที่หล่อ ดูดี มีสง่า แต่เมื่อดำรงตำแหน่งไปได้ไม่นาน หน้าตาที่เคยสง่า ดูดี กลับการเป็นใบหน้าที่ดู เคร่งเครียด จริงจัง ก็สืบเนื่องมาจาก ผู้นำระดับประเทศผู้นั้น ต้องแบกรับปัญหาต่างๆ มากมายและใช้ความคิดในการแก้ปัญหานั้นเอง.
6.การบังคับตนเองหรือการควบคุมตนเอง คนที่ต้องการเป็นผู้นำต้องมีสติในการควบคุมตนเอง ทั้งทางด้านจิตใจและร่างกาย เช่น บังคับตนเองไม่ให้แสดงออกต่อหน้าสาธารณะในการแสดงกิริยาอาการที่ไม่ดี โดยเฉพาะต่อหน้าสื่อมวลชน เนื่องจากผู้นำต้องเป็นเป้าสายตาต่อลูกน้องและคนทั่วไป.
7. การใช้ดุลพินิจและกล้าตัดสินใจ ผู้นำที่ดีต้องรู้จักใช้ดุลพินิจ อีกทั้งเมื่อมีปัญหาก็ต้องกล้าตัดสินใจ ถึงแม้จะตัดสินใจผิดพลาดไปบ้างก็ตาม แต่หากไม่กล้าตัดสินใจ ก็จะทำให้สถานการณ์นั้นๆ แย่ลงได้ ผู้นำจึงต้องเป็นนักวิเคราะห์ นักคิดที่ดีในการรู้จักมองปัญหาต่างๆ อีกทั้งต้องมีความเด็ดขาดเมื่อต้องตัดสินใจ เพื่อที่จะนำพาองค์กร ประเทศชาติ เดินหน้าต่อไป.
8.มีมนุษย์สัมพันธ์ ผู้นำที่ดีต้องเป็นคนมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี เนื่องจากผู้นำต้องทำงานกับคน หากผู้นำสามารถครองใจคนทำงานได้ ลูกน้องก็มักจะทำงานเต็มที่ การมีมนุษย์สัมพันธ์จะทำให้ผู้นำเป็นที่ เคารพรัก ศรัทธา เชื่อถือ ของผู้คน ทำให้มีคนอยากช่วยเหลือ มากกว่าผู้นำที่ไม่มีมนุษย์สัมพันธ์ในการทำงาน.

ผู้นำที่ดีมักคิดยากๆ แล้วปฏิบัติง่ายๆ แต่ผู้นำที่ไม่ดีมักคิดง่ายๆ แล้วปฏิบัติยากๆ!!! Black Saphire.

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ໂຊກດີປີໄຫ່ມ 2012
Sokdee Pee mai 2012
ໂຊກດີປີໄຫ່ມ 2012
Sokdee Pee mai 2012
ໂຊກດີປີໄຫ່ມ 2012
Sokdee Pee mai 2012

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ອົງການສິດທີມະນຸດທີ່ວໍຊີງຕັນ ເອົາ ສປປລ ມາປິ້ງ

http://www.freedomhouse.org/images/File/CaC/2011/LAOSFINAL.pdf



__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

http://www.zdf.de/ZDFmediathek/beitrag/video/1528920/Im-Land-der-Drachensoehne#/beitrag/video/1528920/Im-Land-der-Drachensoehne



__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

Laos casino under suspicion over drugs trade:
www.laoalliance.org

Democracy process in Burma, a modle for Laos?
www.laoalliance.org

"Countries at the crossroads: Laos" by Martin Stuart Fox
http://www.laoalliance.org/Human-rights.html

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

http://www.unhcr.org/refworld/category,COI,,,LAO,4ecba64bc,0.html

ountries at the Crossroads 2011 - Laos

MARTIN STUART-F

Martin Stuart-Fox is Emeritus Professor of History in the University of Queensland, Brisbane, Australia. He is the author of several books on Lao politics and history, plus more than seventy articles and book chapters.

INTRODUCTION

In December 1975, after a thirty-year struggle, the Lao People's Revolutionary Party (LPRP) seized power from the former Royal Lao regime, abolished the monarchy, and established the Lao People's Democratic Republic (LPDR). The new institutions of government were modeled on those of the former Soviet Union and Laos is today one of only five remaining Marxist-Leninist states, two of which (China and Vietnam) are its powerful neighbors. It is also one of only five Theravada Buddhist countries, three of which (Burma/Myanmar, Cambodia, and Thailand) comprise its other three neighbors. The paradox of Laos today reflects its position on this fault line between communist leadership and Buddhism.

During its first 10 years in power, the LPRP pursued orthodox socialist policies: it nationalized industry and cooperativized agriculture. But plummeting production and peasant opposition forced a reconsideration. In 1986, the ruling party introduced what it called the "new economic mechanism." Over the next decade, land rights were returned to peasant owners, state-owned industries were privatized (except for a few strategic industries), the economy was opened up to foreign capital, and development aid welcomed. Laos reduced its close dependency on Vietnam, and in 1997 both countries joined ASEAN, the Association of Southeast Asian Nations.

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

http://www.youtube.com/watch?v=IHjAJhlWdZo&feature=related

http://www.youtube.com/watch?v=h-KS5e1rC9s&feature=related

http://www.youtube.com/watch?v=It5a4vnDM34&feature=related

http://www.youtube.com/watch?v=jUgNxvJqTWA&feature=related

ປິໄຫ່ມ2012 ຊູມຊົນລາວກ່ວາ40ລ້ານຄົນ ໃນ ສຍາມ ປມ ຂໍສົ່ງເພັງລາວມ່ວນໆໃຫ້ພີ່ນ້ອງທັ໋ວໂລກ
ຟັງແລ້ວແລ້ວ ຢ່າລຶມ ເປິດ ຄລີບຂ້າງລູ່ມນິ້ ສ້າງອານາຈັກລາວຂື້ນໄຫ່ມ ປັສຈາກ ໂຈນສອງຝັ່ງຂອງ

http://www.lannaworld.com/cgi/lannaboard/reply_topic.php?id=41009



__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

http://www.lannaworld.com/cgi/lannaboard/reply_topic.php?id=41009

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

http://atcloud.com/stories/102726


Bonjour ,


Je ne dis pas le contraire ,
mais avec les fonds souverains des pays émergents
riche pour n avoir pas les mêmes soucis que les pays européens ,
peuvent pratiquement tout acheter et puis tout délocaliser .
Et que va-t-il rester en France ? Là est la question .


N oublie pas, ce n est que le commencement,
en dix ans , tout au plus quinze ans ,
ils ont mis les pays riches en faillite chronique .


Total n est plus française grâce à la diligence de madame la juge,
la sidérurgie non plus , Renault l était-elle encore ...
il faudrait peut être faire l inventaire de ce qu il reste à la France
avant de savoir qu'un jour qu on a tout vendu pour les sourires de la princesse .


LKP

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

Press Statement
Hillary Rodham Clinton
Secretary of State
Washington, DC

January 5, 2012


--------------------------------------------------------------------------------


This morning, President Obama and Secretary of Defense Panetta unveiled new strategic guidance that reflects our 21st century defense needs and secures America’s leadership for the future. The Defense Department and State Department continue to work side-by-side to bring the full range of American assets to bear on our foreign policy. As the new strategy notes, meeting our challenges cannot be the work of our military alone. Diplomacy and development are equal partners with defense in our smart power approach to promoting American interests and values abroad, building up our economic prosperity, and protecting our national security.

This new guidance is a critical element in our integrated approach to strengthening American leadership in a changing world. It enhances the capabilities and relationships we need to lead and meet our responsibilities for years to come. And it promotes our strategic priorities, including sustaining a global presence while strengthening our focus on the Asia-Pacific region; deterring our adversaries and fulfilling our security commitments; investing in critical alliances and partnerships, including NATO; combating violent extremists and defending human dignity around the world; and preserving our ability to respond quickly to emerging threats. As we move forward with this strategy, we will continue to consult our allies and partners to address our shared concerns, seize new opportunities, and bolster global stability.

I look forward to continuing the close partnership between the Departments of State and Defense as we work together to realize President Obama’s vision for the security of the United States and its people.




PRN: 2012/018

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

http://www.vientianetimes.org.la/FreeContent/FreeContent_Nongtha.htm

E-Newspaper

Nongtha wetland cleared for development

Land is being cleared for construction of the Nongtha Urban Development Project in Chanthabouly district, Vientiane, after the groundbreaking ceremony took place last year.

Vientiane residents are eager to see the progress of the development project.

The project will see the transformation of 74.85 hectares of land in the Nongtha wetland area into an urban development that has essential infrastructure, houses, and environmental protection measures, at an estimated cost of about 1,996 billion kip (US$250 million).

Due to financial issues on the part of the investor, the Ha Do Group of Vietnam, construction has been delayed until now, Chanthabouly district Deputy Governor Mr Sengphone Souvanny told Vientiane Times yesterday.

Work has just now started on building a road on land for which the group has paid compensation to the former occupiers, he said.

Most of the people who had land within the project area have agreed to compensation of US$4 per square metre, but the group is considering paying more to people who have lost both land and housing.

The Ha Do Group has paid the Lao government US$1.5 million to compensate people who have had to move out of the area.

If the cost of compensation rises above this figure, the group will pay an additional 10 percent or US$150,000.

Now that the group's finances are in order, Mr Sengphone said he believed the project would continue to make progress.

The Ha Do Group holds a 50-year concession on the site, which lies within Nongtha Tai and Neua, Dondeng, Phonsavang and Houayhong villages.

The first phase of the project will see US$80 million invested in turning the site into a modern urban area.

The project is one of many such developments taking place in Vientiane to further the overall socio-economic and residential development of the city.

According to the developers, the project will see the construction of roads, hotels, guesthouses, rental properties, restaurants and tourist facilities incorporated into a leisure park.

Vientiane residents have been waiting for this development for a long time and are keen to see how their former home will be transformed.

Several companies have investigated the possibility of developing the Nongtha area in recent years but none have actually gone ahead.

The development of the wetland into an area of premium accommodation replete with tourist facilities has long been considered a possibility due to its proximity to the city centre.

The wetland is an attractive area and it is hoped its development will bring in visitors and residents both from within the country and overseas.





By Khamphone Syvongxay
(Latest Update January 05, 2012)

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

เหตุการณ์บุกเข้ายึดด่านวังเตา เมืองโพนทอง แขวงจำปาสัก เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2543 ปรากฏว่าแกนนำขบวนการต่อต้านลาว ขตล. ที่ยังหลบหนีอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยถูกลอบสังหารไปแล้วกว่า 20 ศพ
คดีลอบสังหารแกนนำขบวนการต่อต้านลาวขตล. ในภาคอีสานของไทยเกิดขึ้นเป็นระยะๆ และต่อเนื่อง หลังเกิดเหตุการณ์ พ.ท.สีสุก ไชยแสง หรือนายณรงค์ สุวรรณบุปผา วางแผนส่งกำลังพลติดอาวุธประมาณ 60 คน บุกเข้ายึดด่านวังเตา เมืองโพนทอง แขวงจำปาสัก ที่ตั้งอยู่ติดกับด่านช่องเม็ก อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี ช่วงเช้ามืดวันที่ 3 กรกฎาคม 2543 แต่แผนการล้มเหลว ถูกสังหารทันที 6 ศพ ส่วนอีก 29 ราย วิ่งผ่านประตูด่านเข้าไทย และถูกทางการไทยจับดำเนินคดี!!!

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

จีนธ์พิเศษกับลาว!!!

การ เดินทางเยือนลาวอย่างเป็นทางการครั้งแรกของ สี จินผิง รองประธานาธิบดีผู้ซึ่งได้รับการคาดหมายว่าจะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำสูงสุด คนต่อไปของจีนในระหว่างวันที่ 15-16 มิถุนายนที่ผ่านมานี้ ได้มีการลงนามในข้อตกลงว่าด้วยการร่วมมือระหว่างลาวกับจีนเพิ่มขึ้นถึง 18 ฉบับ ซึ่งถือเป็น ภาคส่วนหนึ่งในความสัมพันธ์และร่วมมืออย่างรอบด้านระหว่างสองประเทศที่มุ่ง เน้นการพัฒนาทั้งในด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม วัฒนธรรม ความมั่นคง การป้องกันประเทศ และ การต่างประเทศ ภายใต้หลักการแห่งสันติภาพเสมอภาค และมิตรภาพที่ยืนยาวระหว่างประเทศทั้งสอง!

โดย สำหรับในด้านเศรษฐกิจนั้น ทั้งสองฝ่ายก็ได้เน้นหนักให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับการที่จะเพิ่มมูลค่าการ ค้าและการลงทุนระหว่างกันให้มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากรายงานของกระทรวง อุตสาหกรรมและการค้าของลาวเองก็ได้ระบุว่าสภาวะการค้าระหว่างลาวกับจีนนั้น ได้มีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหนึ่งทศวรรษมานี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2009 ที่ผ่านมาก็ปรากฏว่าการค้าสองฝ่ายมีมูลค่ารวมเกินกว่า 744 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเพิ่มขึ้นถึง 77% เมื่อเทียบกับปี 2008

ทั้งนี้โดยเป็นการส่งออกสินค้าของลาวไปจีนถึง 367 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นอัตราเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นจากปี 2008 ถึง 149% ในขณะที่ลาวเองก็นำเข้าสินค้าจากจีนมากกว่า 377 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นอัตราเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นจากปี 2008 ถึง 44% ซึ่งภายใต้สภาวะดังกล่าวนี้ยังทำให้ทั้งสองฝ่ายเชื่อมั่นด้วยว่าการค้าในปี 2010 นี้จะมีมูลค่ารวมเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐอย่างแน่นอน!

ทางด้านกระทรวงแผนการและการลงทุนของลาวนั้น ก็ได้เสนอรายงานว่าการลงทุนสะสมของจีนในลาวมีมูลค่ารวมเกินกว่า 3,577 ล้านดอลลาร์สหรัฐแล้วในเวลานี้ โดยเป็นการลงทุนใน 12 ภาค การผลิตด้วยกัน แต่ว่าภาคการผลิตที่กลุ่มทุนจากจีนได้ให้ความสำคัญเป็นพิเศษก็คือภาคการ เกษตร อุตสาหกรรมเหมืองแร่ พลังงานไฟฟ้า และล่าสุดทางการจีนก็ยังได้ประกาศการลงทุนสร้างดาวเทียมเพื่อปล่อยขึ้นสู่วง โคจรให้กับลาวคิดเป็นมูลค่าถึง 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐอีกด้วย!

โดย การลงทุนของจีนในลาวที่เป็นโครงการขนาดใหญ่ในเวลานี้ ก็คือการซื้อกิจการเหมืองทองคำและทอง แดงที่เมืองวีละบุลีในแขวงสะหวันนะเขต การสร้างเมืองใหม่สามเหลี่ยมทองคำที่เมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว การสร้างเมืองใหม่ China Town ใน เขตนครเวียงจันทน์ รวมถึงการทำเหมืองแร่บ็อกไซต์และการก่อสร้างโรงงานผลิตโลหะอลูมิเนี่ยมใน แขวงจำปาสักและอัตตะปือในภาคใต้ของลาว ส่วนในเขตแขวงภาคเหนือนั้นก็มีโครงการปลูกยางพารา ข้าวโพด อ้อย มันสำปะหลัง และชาคิดเป็นบริเวณกว้างกว่า 2 แสนเฮกตาร์ ซึ่งไม่เพียงทำให้การลงทุนของจีนในลาวได้แซงหน้าไทยขึ้นมาเป็นอันดับ 1 อย่างเป็นทางการแล้วเท่านั้น หากยังจะทำให้การลงทุนสะสมของจีนในลาวมีมูลค่าทะลุหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐภายใน 2 ปีนี้อีกด้วย!

ยิ่งไปกว่านั้น สำหรับทางการลาวแล้วก็ยังถือว่าจีนเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ในการพัฒนาความร่วมมือในทุกๆด้านของลาวอีกด้วย ซึ่งก็ทำให้ทางการจีนสนองตอบด้วยการมอบหมายให้องค์การ ทางรถไฟแห่งชาติจีนไปตกลงร่วมมือกับองค์การทางรถไฟแห่งชาติลาวเพื่อดำเนิน การพัฒนาระบบเส้นทางรถไฟในลาวเชื่อมต่อกับจีนและกลุ่มอาเซียน เมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา!

ทั้ง นี้ก็เนื่องจากว่าสิ่งที่ทางการลาวเรียกว่าหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ดังกล่าวก็ ไม่ใช่เป็นเพราะว่าลาวกับจีนมีระบอบทางการเมืองเหมือนกันเท่านั้น หากยังมีความหมายครอบคลุมไปถึงการที่ทางการลาวได้ยึดถือ ว่าจีนนั้นคือแบบอย่างที่ลาวจะเจริญรอยตามให้ได้อย่างแท้จริงด้วย!

แต่ เนื่องจากว่ารัฐบาลลาวยังคงมีข้อจำกัดในด้านงบประมาณที่จะนำมาใช้จ่ายในการ พัฒนาประเทศในด้านต่างๆเป็นอย่างมาก จึงทำให้รัฐบาลลาวมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพึ่งพาความช่วยเหลือและกู้ ยืมเงินทุนจากต่างประเทศเป็นด้านหลัก และครั้นเมื่อทางการลาวก็ถือว่าจีนเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เช่นนี้ จึงให้การส่งเสริมการลงทุนจากจีนเข้ามาในลาวมากขึ้นอย่างต่อเนื่องในตลอด ช่วง 10 ปีมานี้ ซึ่งทางฝ่ายจีนก็ไม่ทำให้ฝ่ายลาวผิดหวังแต่อย่างใด!

ก่อน หน้านี้ จูมมะลี ไซยะสอน ประธานประเทศและเลขาธิการพรรคประชาชนปฏิวัติลาว ได้ให้การยืนยันกับสื่อมวลชนจีนในระหว่างที่ได้เดินทางไปเยือนจีนอย่างเป็น ทางการในช่วงปลายปี 2009 ว่า พรรคฯและรัฐบาลลาวถือว่าจีนนั้นเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ในการพัฒนาอย่าง รอบด้านและยาวนาน ซึ่งฝ่ายจีนก็ ตอบสนองด้วยการลงนามในข้อตกลงว่าด้วยการร่วมมือระหว่างกันถึง 8 ฉบับ โดยรัฐบาลจีนได้ตกลงให้ การช่วยเหลือแก่ลาวมากกว่า 185 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับใช้ในการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน Infrastructure เช่น การก่อสร้างสนามบินนานาชาติแห่งใหม่ที่หลวงพระบาง การวางแนวสายส่งไฟฟ้าไปยังเขตชนบท การจัดซื้อจัดหาอุปกรณ์ในการตรวจสินค้านำเข้าและส่งออก ทั้งก็ยังได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจร่วม MO ว่าด้วยการขนส่งสินค้าและโดยสารระหว่างด่านชายแดนบ่อเต็นในแขวงหลวงน้ำทากับด่านบ่อหานในเขตสิบสองปันนา มณฑลยูนนานของจีนอีกด้วย!

แต่ ที่ถือว่าเป็นสิ่งที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้นำลาวทั้งในด้าน เศรษฐกิจ การเมือง และความมั่นคงแห่งชาติได้อย่างครบครันที่สุดนั้นก็คือการพัฒนาระบบเส้นทาง รถไฟในลาวเพื่อเชื่อมต่อกับจีนและอาเซียน เพราะการมีเส้นทางรถไฟที่สามารถเชื่อมต่อจากภาคเหนือจรดภาคใต้ และจากตะวันออกไปยังตะวันตกนั้นย่อมถือเป็นสิ่งที่ตอบสนองต่อแผนการของ รัฐบาลลาวในการที่จะพัฒนาจากประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลหรือ Land Locked ไปสู่การเป็นศูนย์กลางของการเชื่อมต่อทางด้านคมนาคม-ขนส่งหรือที่เรียกว่า Land Linked ในลุ่มแม่น้ำโขงนั้นให้ได้อย่างเป็นรูปธรรม!

ทั้ง นี้โดยองค์การทางรถไฟแห่งชาติลาวและจีนจะจัดตั้งบริษัทขึ้นมาในรูปของการ ร่วมทุนเพื่อดำเนินธุรกิจร่วมกันในระยะยาว ส่วนเงินลงทุนและเทคนิคต่างๆ ที่จะนำมาใช้ในการก่อสร้างทางรถไฟ รวมถึงหัวจักรรถไฟและตู้โดยสารด้วยนั้นต่างก็จะมาจากฝ่ายจีนทั้งสิ้น!

โดย สำหรับการดำเนินงานในระยะแรกนี้ก็จะเป็นการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ และต่อจากนั้นก็จะเป็นการออกแบบเพื่อขออนุมัติจากรัฐบาลลาวและจีนต่อไป และถ้าหากว่าการดำเนินงานเป็นไปตามแผนการที่วางไว้ทุกประการก็จะทำให้ความ ร่วมมือระหว่างองค์การทางรถไฟแห่งชาติลาวกับจีนดังกล่าวนี้เกิดขึ้นเป็นจริง ได้ภายในปี 2017 เป็นอย่างช้า!!!

ส่วน เส้นทางรถไฟที่ทางการจีนได้ให้ความสำคัญมากที่สุดนั้น ก็คือเส้นทางที่เชื่อมต่อจากด่านบ่อเต็นในแขวงหลวงน้ำทาที่ติดต่อกับชายแดน จีนที่ด่านบ่อหานในเขตสิบสองปันนา มณฑลยูนนาน เรื่อยลงมาที่นครเวียงจันทน์-เมืองท่าแขกในแขวงคำม่วน แล้วเชื่อมต่อไปยังภาคกลางเวียดนามและภาคอีสานของไทยด้านจังหวัดนครพนมเพื่อเชื่อมต่อมายังกรุงเทพฯ-มาเลเซีย-สิงคโปร์หรือที่เรียกว่าเส้นทางรถไฟสายอาเซียน-จีนนั่นเอง!

แต่เนื่องจากว่าโครงการดังกล่าวนี้จะต้องใช้เงินทุนมากกว่า 4,000 ล้าน ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งรัฐบาลลาวย่อมไม่มีเงินทุนในมูลค่าที่ว่านี้อย่างแน่นอน จึงทำให้ต้องพึ่งพาการกู้ยืมจากสถาบันการเงินของรัฐบาลจีนเป็นด้านหลัก ซึ่งก็แน่นอนว่าสถาบันการเงินของรัฐบาลจีนเองย่อมจะไม่มีอะไรขัดข้องอยู่ แล้ว เพราะการสร้างทางรถไฟในลาวนั้นก็นับเป็นส่วนหนึ่งของแผนการมุ่งสู่ใต้ของ รัฐบาลจีนอยู่แล้ว

เพราะ ฉะนั้น ในเมื่อว่าทางการลาวถือว่าจีนเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ในการพัฒนาอย่างรอบ ด้านและยาวนานเช่นนี้ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใดที่ทางการจีนจะถือว่าลาวเป็นหุ้นส่วนทาง ยุทธศาสตร์ของตนเช่นเดียวกัน ซึ่งนั่นก็หมายถึงหลักประกันที่มั่นคงของกลุ่มทุนจีนในการที่จะหลั่งไหลเข้า ไปในลาวมากขึ้นอย่างไม่หยุดยั้งและครองอันดับ 1 ในลาวได้ตลอดไป...

ด้วย เหตุนี้ การที่รองประธานาธิบดีจีนได้เดินทางเยือนลาวอย่างเป็นทางการในครั้งล่าสุด นี้ จึงเป็นเสมือนการตอกลิ่มให้กับการเสริมสร้างความสัมพันธ์พิเศษกับลาวให้ยืน ยาวต่อไปด้วยเช่นกัน!

ส่วนผลประโยชน์ที่ลาวจะได้รับถ้าหากลาวสามารถเป็น Land Linked ได้ จริงนั้น ก็ไม่เพียงจะส่งผลดีต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจของลาวเท่านั้น แต่การที่สภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนลาวที่ได้รับการยกระดับให้ดีขึ้น ตามการพัฒนาทางเศรษฐกิจนั้น ก็ยังจะทำให้ประชาชนลาวมีความเชื่อมั่นและศรัทธาต่อการนำของพรรคฯ อันหมายถึงเสถียรภาพในทางการเมืองของพรรคฯเดียวในลาวตลอดไปด้วย!!!


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ไทย-ลาว สัมพันธ์กันมามีแต่อคติเข้าหากัน !!!
ชาติลาวเป็นสาขาหนึ่งของชาติอ้ายลาวหรือไท TAIชาวลาวได้ตั้งอาณาจักรขึ้นในดินแดนลานช้างตั้งแต่ต้นพุทธศตวรรษที่ 12 เรียกว่าอาณาจักรลานช้างหรือล้านช้าง
ในสมัยพระเจ้าฟ้างุ่มครองราชย์ในปี พ.ศ. 1893-1913 ลาวเจริญรุ่งเรืองมากและมีราชธานีอยู่ที่เมืองเชียงของ หลวงพระบาง อาณาเขตของลาวสมัยนั้นกว้างใหญ่ไพศาล ทิศเหนือได้แคว้นสิบสองปันนา สิบสองจุไทและเชียงขวาง ทิศใต้มีอาณาเขตติดต่อกับอาณาจักรเขมรและเทือกเขาอันนัม ทิศตะวันออกเฉียงใต้จรดอาณาจักรจำปา ส่วนทิศตะวันตกได้ที่ราบสูงโคราชและเชียงใหม่!!!
ลาวได้เจริญรุ่งเรืองอยู่จนถึง พ.ศ. 1971 จึงเริ่มเสื่อมลงลาวต้องแตกแยกออกเป็น 3 อาณาจักร คืออาณาจักรลานช้าง หลวงพระบาง อาณาจักรลานช้างเวียงจันทน์และอาณาจักรลานช้าง นครจำปาศักดิ์ เมืองเชียงใหม่ก็ได้แยกตัวตั้งเป็นรัฐอิสระจากลาวและแคว้นสิบสองจุไทกับ เชียงขวางหันไปสวามิภักดิ์ต่อเวียดนาม
การที่ลาวแตกแยกออกเป็น 3 อาณาจักร ทำให้ลาวอ่อนแอมาก หลังจากนั้นเป็นต้นมาลาวต้องตกเป็นประเทศราชของไทยสลับกับเวียดนามเป็นระยะ ๆ
ในต้นพุทธศตวรรษที่ 21 หรือรัชสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิของไทยซึ่งของลาวตรงกับรัชสมัยของพระเจ้า ไชยเชษฐาธิราช2091-2144 ไทยกับลาวได้ตกลงร่วมมือเป็นไมตรีต่อกันเพื่อต่อต้านการขยายตัวของพม่า ได้มีการสร้างพระธาตุศรีสองรัก ตั้งอยู่ที่อำเภอด่านซ้ายจังหวัดเลย ขึ้นเพื่อเป็นสักขีพยานในการเป็นพันธไมตรีต่อกันและจะช่วยเหลือกันและกัน เมื่อเกิดศึกสงคราม !
ในปี พ.ศ. 2155 รัชสมัยพระเจ้าเอกาทศรถของไทย ขุนนางไทยได้ขอความช่วยเหลือ ไปยัง กรุงล้านช้างให้ยกทัพ มาช่วยไทยปราบพวกทหารญี่ปุ่นที่ก่อการจลาจลในกรุงศรีอยุธยา ทัพกรุงล้านช้างได้ยกมาตั้งที่ลพบุรีเพื่อหวังผสมโรงยึดไทยในช่วงที่กำลัง วุ่นวายแต่กองทัพล้านช้างแตกพ่ายกลับไป หลังจากนั้นความสัมพันธ์ไทย-ลาวก็ขาดหายไป จนกระทั่งถึงสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรีเมื่อพระองค์ทรงกอบกู้เอกราชได้จากพม่า ก็ได้ส่งกองทัพไปตีเมืองเวียงจันทน์ในปี พ.ศ. 2321 เพื่อเป็นการแก้แค้นที่ลาวให้ความช่วยเหลือพม่าในการตีกรุงศรีอยุธยาจนกรุง แตกลาวได้ตกเป็นประเทศราชของไทย นับแต่นั้น!!!

ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 3 เจ้าอนุวงศ์ผู้ปกครองอาณาจักรเวียงจันทน์ได้คิดเอาใจออกห่างจากไทย เจ้าอนุวงศ์ได้ส่งเครื่องราชบรรณาการให้แก่จักรพรรดิเกีย ลอง แห่งเวียดนาม และต่อมาก็ยกทัพมาตีไทย 2369-2371 ไทย-ลาว ก็เลยต้องทำสงครามกัน ไทยยกกำลังออก ตีทัพของเจ้าอนุวงศ์แตกพ่ายไปและได้ติดตามไปยึดนครเวียงจันทน์อีกครั้งหนึ่ง เจ้าอนุวงศ์ต้องหนีไปพึ่งจักรพรรดิเวียดนาม พระเจ้าแผ่นดินไทยเขียนสาส์นไปยังจักรพรรดิเวียดนามขออย่าให้การสนับสนุน เจ้าอนุวงศ์ ในปี พ.ศ. 2372 เวียดนามก็ส่งตัวเจ้าอนุวงศ์กลับเวียงจันทน์ โดยมีทหารคุ้มกันมาเพียง 2 กองร้อย ในระหว่างทางใกล้เมืองเวียงจันทน์เจ้าน้อยแห่งเมืองเชียงขวางจับเจ้าอนุวงศ์ ได้และส่งตัวมายังกรุงเทพฯ เจ้าอนุวงศ์ได้สิ้นพระชนม์ในที่คุมขังในกรุงเทพฯ ในอีกสามปีต่อมา ทำให้เชื้อสายกษัตริย์ลาวนครเวียงจันทน์สิ้นสุดลงจากการลงโทษตัดหัวเจ็ดชั่วโคตร !!!
ไทยยกกำลังขึ้นไปตีนครเวียงจันทน์ครั้งนั้นได้ทำลายและเผานคร เวียงจันทน์ลงอย่างราบคาบและได้กวาดต้อนครอบครัวลาวพร้อมสิ่งของมีค่าลงมา ยังกรุงเทพฯ ทั้งนี้เพื่อเป็นการแก้แค้นและไม่ให้เป็นตัวอย่างแก่ประเทศราชอื่นๆสืบไป นอกจากนี้ไทยยังได้ยุบฐานะของเวียงจันทน์ลงเป็นเพียงหัวเมืองขึ้นของกรุง รัตนโกสินทร์ด้วย !
ไทยได้สร้างเมืองหนองคายบนฝั่งขวาของแม่น้ำโขงเพื่อให้เป็นศูนย์กลางการ ปกครองอาณาจักรเวียงจันทน์แทนนครเวียงจันทน์ เมืองหนองคายมีชัยภูมิสามารถป้องกันการโจมตีของเวียดนามได้อย่างดี ทำให้การกู้อิสรภาพของลาวเป็นไปได้ยาก !!!
อย่างไรก็ตามเวียดนาม สามารถขยายอิทธิพลเข้ามาในเชียงขวางและแคว้นสิบสองจุไทยได้สำเร็จในเวลาต่อ มา เพราะหลังจากเหตุการณ์เจ้าอนุวงศ์ถูกจับตัวส่งมาให้ไทยแล้ว เวียดนามก็ได้ส่ง กำลังเข้าตีเมืองเชียงขวางและจับเจ้าน้อยประหารชีวิต พร้อมกับผนวกเชียงขวางเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเวียดนาม ในขณะเดียวกับเจ้าผู้ครอบแคว้นสิบสองจุไทยได้ส่งเครื่องราชบรรณาการให้ทั้งไทยและเวียดนามพร้อมๆ กันเพื่อความอยู่รอดของตน ซึ่งทั้งสองกรณีนี้ไทยไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ ที่ต่อต้านเวียดนามเลย ไทยขอเพียงรักษาอาณาจักรทั้งสามคือ หลวงพระบาง เวียงจันทน์ และ นครจำปาศักดิ์ เอาไว้ในอำนาจโดยเด็ดขาดเท่านั้น !!!
กระทั่งฝรั่งเศสขยายอิทธิพลเข้ามาในอินโดจีน
ฝรั่งเศสเข้าครอบครองเวียดนามและในที่สุดก็ยึดเอาแคว้นสิบสองจุไทและดิน แดนลาวบนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงไปจากไทยในปี พ.ศ. 2431 และ 2436 ตามลำดับ ภายหลังไทยยังต้องสูญเสียดินแดนลาวบนฝั่งขวาแม่น้ำโขงรวมทั้งเมือง จำปาศักดิ์และเมืองมโนไพรอีกในปี พ.ศ. 2446 ซึ่งรวมดินแดนที่ไทยสูญเสียไปทั้งสิ้นถึง 292,500 ตารางกิโลเมตร
การเข้ามาของฝรั่งเศสมีผลทำให้การช่วงชิงอำนาจระหว่างไทยและเวียดนามเหนือแผ่นดินลาวเงียบหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์โดยปริยาย !
ปัญหาไทยกับเวียดนามเหนือลาว เริ่มกลับมาเป็นปัญหาใหม่อีกครั้งเมื่อโฮชิ มินห์พยายามที่จะทำการปลดแอกเวียดนามออกจากการปกครองของฝรั่งเศส โดยการร่วมมือกับกลุ่มขบวนการปลดแอกของลาวและเขมร ช่วงนั้นเป็นช่วงที่โฮชิมินห์ดำเนินการชี้นำการจัดตั้ง สหพันธ์อินโดจีน ขึ้นภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์อินโดจีนในปี พ.ศ. 2473-2493 โดยรวมกำลังขบวนการปลดปล่อยชาตินิยมของ 3 ชาติ อินโดจีนเข้าต่อสู้กับศัตรูร่วมเดียวกันคือฝรั่งเศส!
เวียดนามเปลี่ยนชื่อพรรคคอมมิวนิสต์อินโดจีนมาเป็นพรรคลาวดงLAO DONG PARTY ในช่วงปี 2494 และเปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่างขบวนพรรคคอมมิวนิสต์ของเวียดนามกับลาวและเขมร จากรูปแบบของ ผู้บังคับบัญชา-ผู้ใต้บังคับบัญชา มาเป็น แบบฉันท์พี่น้อง!!!
ต่อมาโฮชิมินห์ก็ประสบความสำเร็จสามารถนำพรรคคอมมิวนิสต์เข้าขับไล่ ฝรั่งเศสออกไป ได้ และได้ปกครองแผ่นดินตอนเหนือของเวียดนาม ทำให้ประเทศเวียดนามต้องแบ่งออกเป็นเหนือและใต้
เวียดนามเหนือในช่วงนั้น ประกาศสนับสนุนนโยบายเป็น กลางของลาว และ เขมรตามข้อตกลง เจนีวาปี 2497
แต่กระนั้นไทยและประเทศตะวันตกก็ยังคงไม่ไว้วางใจเวียดนามเหนือ และกล่าวหาว่าเวียดนามเหนือโดยการสนับสนุนของจีนและโซเวียตยังคงให้การสนับ สนุนแก่ขบวนการประเทศลาว และพรรคคอมมิวนิสต์เขมรอยู่โดยตลอด ไทยยังคงกล่าวหาว่าเวียดนามไม่ละทิ้งแนวความคิดเรื่องการจัดตั้งสหพันธ์อินโดจีน เพื่อหวังผลการครอบงำลาวและเขมร โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังที่ลาว กัมพูชาและเวียดนามเหนือผนวกเวียดนามใต้กลายเป็นระบอบสังคมนิยมภายใต้การนำ ของพรรคคอมมิวนิสต์ทั้ง 3 ชาติ ในปี 2518 แล้ว ไทยดูเหมือนจะหวาดระแวงความเป็น สหพันธ์อินโดจีนของเวียดนามลาวและเขมร อย่าง หนัก
ภายหลังการเปลี่ยนระบบการปกครองในปี 2518 นั้นในส่วนที่เกี่ยวกับลาว ลาวได้ให้เวียดนามตั้งกองกำลังทหารไว้ในลาวเป็นจำนวนถึง 30,000 คน ลาวมีความสัมพันธ์กับเวียดนามมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งในเดือนมิถุนายน 2520 ลาวก็ได้ทำสัญญามิตรภาพกับเวียดนาม โดยลาวยินยอมอย่างเป็นทางการให้เวียดนามคงทหารไว้ในลาว เพื่อช่วยทำการปราบปรามและรักษาความสงบภายใน โดยมีข้อตกลงว่าจะให้ความร่วมมือกันทุกรูปแบบในการต่อต้านการบ่อนทำลายของ ลัทธิจักรวรรดินิยมและของกองกำลังพวกปฏิการ หมายถึง ลาวกู้ชาติฝ่ายขวา ดังนั้นกำลังของเวียดนามในลาวจึงเพิ่มจาก 30,000 คน ในปี 2520 เป็น 50,000 คนในปี 2522 เพื่อช่วยเหลือลาวทำการรบกับพวกลาวขวาหรือ พวกขบวนการลาวกู้ชาติ ที่มีความสามารถพอสมควรโดยเฉพาะในช่วงที่จีนเข้ามาช่วยให้การสนับสนุนพวกลาวกู้ชาติ เหล่านี้ เมื่อจีนเกิดความขัดแย้งขึ้นกับเวียดนามช่วงปี 2521-2522 อันมาจากสาเหตุที่เวียดนามบุกกัมพูชาโค่นฝ่ายพอลพต ที่จีนสนับสนุนในเดือนธันวาคมปี 2521 และจีนทำสงครามสั่งสอนเวียดนามเป็นการตอบโต้ในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2522!!!
ลาวนั้นไม่มีทางเลือก นอกจากจะต้องประกาศตัวสนับสนุนเวียดนามซึ่งทำให้ลาวต้องขัดแย้งกับจีนไปด้วย!
การที่เวียดนามมีปัญหาขัดแย้งกับรัฐบาลพอลพตในกัมพูชาถึงขั้นต้องใช้ กำลังเข้าล้มล้างรัฐบาลพอลพตอย่างอุกอาจและการที่ลาวยังคงกองกำลังทหารอยู่ ในลาวต่อไป เป็นสาเหตุที่สำคัญ ที่ทำให้ผู้นำของไทยเชื่อว่า เวียดนามมีเจตจำนงที่จะครอบงำทั้งลาวและกัมพูชา ไม่ว่าจะภายใต้ชื่อสหพันธ์อินโดจีนหรือความสัมพันธ์พิเศษ ที่เวียดนามลาวและกัมพูชาของเวียดนามอ้างก็ตาม

พฤติกรรมของเวียดนามจากอดีตถึงปัจจุบัน ทำให้ผู้นำไทยแทบทุกยุคมีความหวาดระแวงและ ไม่ไว้วางใจเวียดนาม ไทยค่อนข้างจะปักใจเชื่อว่าลาวนั้นอยู่ภายใต้อิทธิพลของเวียดนามอย่างเต็ม ตัวแล้ว ผู้นำไทยมองว่าลาวไม่เป็นตัวของตัวเอง
เพราะฉะนั้นพฤติกรรมและเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดการกระทบกระทั่งตามพรมแดนไทย-ลาว ที่เกิดขึ้นมาหลายครั้งหลายหนนับตั้งแต่ลาวเปลี่ยนระบอบ เมื่อปี 2518 จนปัจจุบัน มักจะถูกเพ่งเล็งโดย ผู้นำไทยส่วนมากว่า เกิดจากการยุยงหรือยั่วยุของเวียดนามที่หวังผลจะให้ไทยและลาวแตกแยกกันหรือ อีกประการหนึ่งเกิดจากความปรารถนาของผู้นำลาวคอมมิวนิสต์เองที่มองไทยเป็นศัตรูคู่อริที่สร้างความเจ็บช้ำให้กับลาวตลอดประวัติศาสตร์!!!!

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

http://www.youtube.com/watch?v=jan79GzRL_8&feature=results_video&playnext=1&list=PL2B281E9C18C2F2BF

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

From: Bounliane Rajphoumy
To: laosnetworkroom@googlegroups.com
Sent: Monday, January 09, 2012 6:56 PM
Subject: Re: ເຈົ້າສີສະງ່າ ຍັງມີຊີວິດຢູ່


ດີໃຈແລ້ວ ທີ່ໄດ້ຮູ້ວ່າ ເຈົ້າສີສງ່າ ຍັງສບາຍດີ ຂໍສົ່ງພອນອັນປະເສີດ ເຖິງທ່ານເຈົ້າສີສງ່າແລະຄອບຄົວ
ຈົງປະສົບແຕ່ຄວາມສຸຂຄວາມເຈຣີນຕລອດໄປ...ພອນຈາກ ເພື່ອນ ມັຖະຍົມເກົ່າ ທີ່ ສວັນ/ວຽງຈັນ
ຫວັງວ່າ ທ່ານຄົງຈໍາໄດ້ ທ່ານ Beaudin ແລະຍາເອື້ອຍ ກອງມະນີ ພົມວິຫານໄດ້ໃສ່ຊື່ ໃຫ້ ຂພຈ ວ່າ :
" petit moineau" ເປັນຊື່ ລໍ້ຫລິ້ນ ເນາະ.....ຄິດຮອດ ອາດີດ ຫ້າຫົກສິບປີກ່ອນ ຫລັບຕາມີຄວາມສຸຂ
ໄປ ຊໍາຊາໄດ້ໄປຢູ່ໂລກໃໝ່......

ດວ້ຍຄວາມຄິດເຖິງແລະນັບຖືຮັກແພງສເມີ
ບຸນລຽນ ຣາຊພູມີ


From: Ath Dhatpa
To: "laosnetworkroom@googlegroups.com"
Sent: Monday, January 9, 2012 4:03 AM
Subject: Re: ເຈົ້າສີສະງ່າ ຍັງມີຊີວິດຢູ່


ຂໍອາໄພມານະທີ່ນີ້ ແລະຮູ້ສຶກມີຄວາມດີໃຈ ທີ່ຮູ້ວ່າ ເຈົ້າ ສີສງ່າ ນະຈຳປາສັກຍັງ
ມີຄວາມສະບາຍດີ.
ຂໍອວຍພອນອັນປະເສີດ ມາຍັງ ທ່ານເຈົ້າ ຈົ່ງມີແຕ່ຄວາມສຸກ ສຳເຣັດຜົນທຸກປະການດ້ວຍເທີ້ນ


ມິຕພາບ
ອາຕ
From: "chanthalavong@aol.com"
To: laosnetworkroom@googlegroups.com
Sent: Monday, 9 January 2012 10:31 PM
Subject: ເຈົ້າສີສະງ່າ ຍັງມີຊີວິດຢູ່


ແຈ້ງການດ່ວນ

ສະບາຍດີພີ່ນ້ອງຜູ້ຮັກຊາດທຸກໆທ່ານ
ມີຄົນຂ່າວຊ່າລືທີ່ວ່າ ເຈົ້າສີສະງ່າ ນະຈຳປາສັກ ໄດ້ເສັຍຊີວິດນັ້ນ ບໍ່ມີຈິງເດີ, ມື້ນີ້ຂ້າພະເຈົ້າລົມເພິ່ນທາງສະກາຍເພິ່ນ ຫົວຍິ້ມສະບາຍ.
ຂໍໃຫ້ທ່ານຜູ້ຮັກຊາດທຸກຄົນມີສະຕິຕໍ່ການອອກຂ່າວຂອງບາງຄົນທີ່ອອກຂ່າວບໍ່ມີຄວາມຈິງ ອັນເປັນການຢາກສ້າງເລື່ອງໃຫ້ລາວນອກສັບສົນແລ້ວ
ເສັຍເວລາ ເພາະເຂົາຢາກສະກັດກັ້ນຂະບວນການຕໍ່ສູ້ເພື່ອປະຊາທິປະໄຕໃນລາວ. ຂໍໃຫ້ນັກຕໍ່ສູ້ທັງຫາຍຈົ່ງຈຳແນກມິຕ ແລະ ສັດຕູໃຫ້ອອກ ຜູ້ໃດກຳລັງເຮັດການຕໍ່ສູ້ນັ້ນຄວນນັບຖືຜົນງານຂອງເຂົາເຈົ້າ, ຈົ່ງຢຸດຕິການຊອກຫາເລື່ອງໃສ່ນັກຕໍ່ສູ້ດ້ວຍກັນ ເພາະມັນຈະເປັນການຮັບໃຊ້ຝ່າຍ
ຜູ້ກຳອຳນາດໃນລາວໄປໃນຕົວ.

ແຈ້ງມາດ້ວຍຄວາມຫວັງດີເພື່ອຊາດລາວ

ບຸນທອນ ຈັນທະລາວົງ-ວີເຊີ

Can some body find out that Chao Sisa Nga NaChampassak has just died in Paris? He just comes back from Noumea.


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

Sabaidi


OUI Mr. BAUDIN est bien époux de Kongmany , soeur de Cai son car celle-ci était mon
professeur d'anglais. Mr. BAUDIN , lui, était directeur du collège de Thakhek.
Ya Mè DOC avait 2 filles, la première s'appelle Svanthong, mariée à un haut
fonctionnaire thailandais ( general Issraphong HOUNPHAKDY )


Hak phèng

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

http://www.youtube.com/watch?v=jan79GzRL_8&feature=results_video&playnext=1&list=PL2B281E9C18C2F2BF


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

อาร์ก้าดับชีพ สีสุก ไชยแสง หน.ขบวนการต่อต้านลาว!!!

เมื่อ เวลา 06.25 น.ของวันที่ 3 พ.ย.2546 พ.ต.อ.มานิต เชื้อวิวัฒน์ ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรอำเภอสิรินธร จงอุบลราชธานี ได้รับแจ้งมีคนถูกยิงตายที่บ้านเลขที่ ‎‎16/2 หมู่ที่ 6 บ้านประชาสมบูรณ์ ผัง 15ต.นิคมลำโดมน้อย อ.สิรินธร จึงรุดไปตรวจที่เกิดเหตุทราบชื่อคนตาย ตามบัตรประจำตัวประชาชนว่า นายณรงค์ สุวรรณบุปผา แต่มีชื่อจริงว่า ท้าวสีสุก ไชยแสง อายุ 41 ปี ซึ่งเป็นผู้นำในเหตุการณ์ การเรียกร้องประชาธิปไตย ที่บริเวณด่านวังเต่า เมืองโพนทอง แขวงจำปาสัก สปป.ลาว เมื่อวันที่ 3 ‎กรกฏาคม 2543 ซึ่งมีพื้นติดกับชายแดนด่านช่องเม็ก อำเภอสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี ‎ตามลำตัวมีบาดแผลถูกยิงด้วยกระสุนปืนอาร์ก้าจำนวน 4 นัด สำหรับคนร้ายเป็นชาย 2 ‎คน ขี่รถจักรยานยนต์แบบหญิง ไม่ทราบยี่ห้อและหมายเลขทะเบียน สวมหมวกไหมพรมคลุมหน้า ขับมาจอดหน้าบ้านผู้ตาย ซึ่งกำลังซ้อมชนไก่ เสียชีวิตเมื่อเวลา 06.20 น

ทางด้าน พล.ต.ต.เดชาวัต รามสมภพ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดอุบลราชธานี ‎กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ในระหว่างการสืบสวน ซึ่งการเคลื่อนไหวของขบวนการนี้มีทั้งคนไทย‎และคนลาว เข้าใจว่าอาจจะมีปัญหาการขัดแย้งภายในกลุ่ม ซึ่งการเสียชีวิตของนายสีสุก ‎อาจจะส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของขบวนการต่อต้านลาวอยู่บ้าง เพราะว่าเป็นปัญหาที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับขบวนการต่อต้านลาว ซึ่งเข้าใจว่าสมาชิกของขบวนการต่อต้านลาวยังคงมีอยู่ ทางเจ้าหน้าที่ไม่ว่าจะเป็นตำรวจและทางฝ่ายทหารกำลังติดตามข่าวเรื่องนี้ อยู่อย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้ขบวนการนี้ใช้ประเทศไทยเป็นจุดรวมพล ซึ่งจะเป็นผลกระทบกระเทือนระหว่างประเทศ คาดว่าการสืบสวนสอบสวนคงใช้พอสมควร เพราะการลงมือของคนร้ายมีการปกปิดหน้าตาและยานพาหนะที่ใช้ก็ไม่ได้ติดแผ่น ป้ายทะเบียน แต่เจ้าหน้าที่ก็จะพยายามเร่งรัดคดีนี้ให้เสร็จโดยเร็ว

สำหรับความคืบหน้าของคดีเหตุการณ์ที่ด่านวังเต่านั้น ทนายพฤทธิสิทธิ์ บุญทน ‎เปิดเผยว่า ในเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม ที่ผ่านมา ศาลจังหวัดอุบลราชธานีจะได้เปิดอ่านคำ‎พิพากษาของศาลอุทรณ์ กรณีเหตุการณ์ความไม่สงบที่ด่านวังเต่า 3 กรกฎาคม ปี2543 ‎ซึ่งเป็นคดีที่มีจำเลย 28 คนเป็นทั้งชาวไทยและชาวลาว ในข้อหา หลบหนีเข้าเมืองและมีอาวุธสงครามไว้ในครอบครอง ซึ่งศาลอุทรณ์ ได้ตัดสินยืนคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ‎ส่วนจะมีการฏีกาหรือไม่นั้นฝ่ายอัยการสูงสุดเป็นผู้รับรองฎีกา ซึ่งจะต้องรับรองฏีกาภายใน 1 เดือนนับจากศาลอ่านคำพิพากษา
ในขณะที่ปัจจุบันยังมีชาวลาวอีก 16 คนยังถูกจองจำอยู่ที่เรือนจำกลางพิเศษกรุงเทพมหานคร เนื่องจากทาง สปป.ลาว ได้ร้องขอให้ฝ่ายไทย ส่งตัวผู้ต้องหาชาวลาว ‎กลับไปดำเนินคดีที่สปป.ลาว ผู้ต้องหาทั้ง 16 คนจึงถูกดำเนินคดีส่งผู้ร้ายข้ามแดนอีกคดีหนึ่ง และศาลชั้นต้น ได้ยกฟ้องไปแล้ว ปัจจุบันคดีอยู่ระหว่างการอุทรณ์ ในขณะที่ผู้ต้องหาทั้งหมดได้ร้องขอไปยัง สำนักงาน UNHCR ที่กรุงเทพ เพื่อขอเป็นผู้อพยพลี้ภัยไปสู่ประเทศที่สาม ซึ่ง ก็ยังไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด เนื่องจากทางเจ้าหน้าที่UNHCR ‎ยังไม่สามารถดำเนินการใดๆได้ จนกว่าจะสิ้นสุดกระบวนการศาลของไทย!!!Black Saphire


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ลาวอเมริกากล่าวหารัฐบาล ทักษิณ ละเมิดศาลส่งผู้ต้องหาวังเต่ากลับประเทศ!!!




คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ยืนตามศาลชั้นต้นและไม่อนุญาตให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดน ชาวลาวในสหรัฐอเมริกาออกทีวีกล่าวหารัฐบาล ทักษิณ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ส่งตัวผู้ต้องหาคดีก่อความไม่สงบด่านวังเต่า ให้ทางการลาวทั้งที่ศาลไทยมีคำสั่งไม่ให้ส่งตัวกลับไปดำเนินคดีกลับตามคำขอ ของรัฐบาลลาว เนื่องจากเป็นนักโทษการเมือง!!!
เมื่อเร็วๆ นี้ นายแสง จิดดาลัย ผู้อำนวยการสถานีลาวทีวี ในลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา ให้สัมภาษณ์สถานีโทรทัศน์ลาวเทเลวิชั่น ในสหรัฐอเมริกา กล่าวหา รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ละเมิดอำนาจศาลกรณีส่งตัวผู้ต้องหาก่อความไม่สงบที่ด่านวังเต่า เมืองโพนทอง แขวงจำปาสัก ตรงข้ามจุดผ่านแดนถาวรช่องเม็ก อำเภอสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งหลบหนีเข้ามาเขตไทย และถูกเจ้าหน้าที่จับกุมดำเนินคดีตั้งแต่กรกฎาคม 2543 กลับให้ทางการลาว ในช่วงรัฐบาลทักษิณ ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ทางการลาวได้ขอตัวผู้ต้องหา แต่รัฐบาลไทยในขณะนั้นไม่ได้ส่งตัวกลับ และ 2 ปี ต่อมาศาลได้ตัดสินว่า คดีดังกล่าวเป็นคดีการเมือง ไม่สามารถส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้ แต่อยู่ๆรัฐบาลทักษิณก็จับมือกับรัฐบาลลาวแล้วส่งตัวผู้ต้องหาทั้ง 16 คน คืนให้กับรัฐบาลลาว ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องเพราะเป็นการทำตัวอยู่เหนือกฎหมาย!
ถ้าเป็นสหรัฐอเมริกา ยุโรป หรือประเทศที่เจริญ ถือว่า พ.ต.ท.ทักษิณทำไม่ถูกต้อง อยู่เหนือกฎหมายสามารถเอาผิดกับพ.ต.ท.ทักษิณได้ นายแสง กล่าวและว่า การกระทำดังกล่าวถือว่าไม่ชอบธรรม สำหรับประเทศทีปกครองในระบอบประชาธิปไตยและมีอธิปไตยเป็นของตัวเอง ถือเป็นความผิดที่ร้ายแรง
กรณีดังกล่าวรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ได้มีมติครม. เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2545 เพื่อยื่นคำร้องต่อศาลของส่งผู้ร้ายข้ามแดนตามคำขอของรัฐบาลลาว โดยในที่ประชุมครม. กระทรวงการต่างประเทศ รายงานว่า ได้แจ้งให้สำนักงานอัยการสูงสุด และกระทรวงมหาดไทยพิจารณาดำเนินการ ซึ่งพนักงานอัยการได้ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาขอให้ออกหมายจับบุคคลสัญชาติลาว รวม 16 คนยกเว้น นายสวง แสงสุระ ซึ่งเป็นเพียงผู้เดียวที่ยังต้องโทษจำคุกตามคำพิพากษาของศาลจังหวัด อุบลราชธานีอยู่ และจะพ้นโทษในเดือนพฤษภาคม 2546 โดยได้มีการรับตัวบุคคลสัญชาติลาวทั้ง 16 คน จากเรือนจำกลางอุบลราชธานีมาควบคุมตัวไว้ที่ศาลอาญากรุงเทพฯ และต่อมาพนักงานอัยการได้ยื่นคำร้องขอส่งผู้ร้ายข้ามแดนบุคคลสัญชาติลาว จำนวน 17 คน พร้อมเอกสารประกอบอันจำเป็นต่อศาลอาญา
ต่อมา ศาลอาญาได้มีคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ที่มีอัยการเป็นโจทก์ เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ.2546 ว่า การกระทำของจำเลย ไม่ใช่การกระทำผิดอาญาธรรมดา หากแต่เป็นความผิดในลักษณะในทางการเมืองตามที่จำเลยต่อสู้ กรณีต้องด้วยบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติส่งผู้ร้ายข้ามแดน พุทธศักราช 2472 มาตรา 13(3) ประกอบกับมาตรา 14 ฉะนั้น การที่จะอนุญาตให้ขังจำเลยไว้เพื่อส่งตัวข้ามแดนไปตามคำขอของรัฐบาล สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวจึงมิอาจกระทำได้ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยก คำร้องขอของโจทก์ปล่อยจำเลยไปนั้น ศาลอุทธรณ์เห็นด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น!!!
ทั้งนี้ เหตุการณ์การก่อความไม่สงบในฝั่งประเทศลาวครั้งนี้ เกิดขึ้นในปี พ.ศ.2543 บริเวณด่านวังเต่า เมืองโพนทอง แขวงจำปาสัก ตรงข้ามจุดผ่านแดนถาวรช่องเม็ก อำเภอสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งหลบหนีเข้ามาเขตไทยและถูกเจ้าหน้าที่จับกุมดำเนินคดีตั้งแต่กรกฎาคม 2543 ในจำนวนนี้เป็นคนไทย 11 คน ลาว 17 คน ผู้ต้องหาทั้งหมดได้รับโทษตามคำพิพากษาของศาลจังหวัดอุบลราชธานีไปแล้วในข้อ หาลักลอบเข้าเมือง และมีอาวุธสงครามในครอบครอง หลังจากพ้นโทษผู้ต้องหาที่เป็นชาวลาว 16 คนเสียชีวิต 1 คน ระหว่างถูกคุมขังทางการลาวได้ขอตัวกลับไปดำเนินคดีในสถานะผู้ร้ายข้ามแดนที่ทั้งสองประเทศลง นามให้สัตยาบันร่วมกัน ในการนี้ฝ่ายจำเลยที่เป็นชาวลาวได้คัดค้านคำร้องขอของทางการลาว ซึ่งศาลไทยพิจารณาเห็นว่ากลุ่มบุคคลเหล่านี้ดำเนินการเคลื่อนไหวทางการเมือง เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยจึงให้ยกฟ้องข้อกล่าวหาดังกล่าว และไม่ให้ส่งผู้ตัวข้ามแดนตามที่รัฐบาลลาวร้องขอ...
ในเวลาต่อมา ชาวลาวทั้ง 16 คนได้พยายามติดต่อขอลี้ภัยทางการเมืองในประเทศที่สามต่อองค์การสหประชาชาติ UNHCR มาตั้งแต่ปี 2545 แต่สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติไม่สามารถให้การคุ้มครองทาง กฎหมายแก่จำเลยได้ทันทีหลังจากถูกปล่อยตัวเมื่อธันวาคม 2546 ทั้งนี้เจ้าหน้าที่อ้างเหตุผลว่าเป็นเพราะกระทรวงต่างประเทศไทยมิได้ให้ความ ร่วมมือเพียงพอในการดำเนินเพื่อให้ UNHCR คุ้มครองบุคคลเหล่านี้ได้ทันเวลา...
จนกระทั่งสมัยรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของไทย กลับนำชาวลาวทั้ง 16 คน ส่งตัวให้กับทางการลาวผ่านด่านช่องเม็ก เมื่อ 4 กรกฎาคม 2547
และต่อมาศาลประชาชนแขวงจำปาสัก ประเทศลาว มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2547 ตัดสินให้พิพากษาจำคุกท้าวสวง แสงสุระ หัวหน้าชุดกำลังบุกยึด และพวกรวม 8 คน คนละ 12 ปี จำคุกท้าวคำ ไชยวงศ์ กับพวกรวม 6 คน คนละ 7 ปี และจำคุกท้าวแสง จำปา และท้าวสม ไชยวงศ์คนละ 2 ปี 6 เดือน!!!

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

Vietnam seeks stronger trade ties with Laos
18:09 08/01/2012

Vietnam will increase its trade and investment ties with Laos, aiming to raise two-way trade to US$1 billion in 2012 and US$2 billion in 2015, says Deputy Prime Minister Nguyen Xuan Phuc.

Mr Phuc made the commitment at a meeting with Lao Prime Minister Thongsing Thammavong in Vientiane on January 8.

Vietnam seeks stronger trade ties with Laos

Lao PM T. Thammavong welcomed Deputy PM Phuc (L) in Vientiane on January 8
He said bilateral trade was valued at US$636 million between January-November, 2011, a year-on-year increase of 48 percent, and it is estimated to hit US$700 million for the whole year.

According to Deputy PM Phuc, many Vietnamese businesses such as Hoang Anh Gia Lai Group, Golf Long Thanh Trade and Investment JSC, the Bank of Development and Investment of Vietnam, and Hoa Phat group have already operated successfully in Laos.

To date, Vietnamese businesses have invested more than US$3.5 billion in Laos, ranking second among foreign investors in the country.

Mr Phuc said the two countries have cooperated well in education, human resources training and transport infrastructure construction. They have also held a number of cultural exchanges and workshops on information technology and science and technology.

Both countries have agreed to enhance the implementation of joint statements and high-level agreements reached by their top leaders to welcome Vietnam-Laos Solidarity and Friendship Year 2012.

Many Vietnamese localities which do not border Laos, including Quang Ninh, Vinh Phuc, HCM City and Hanoi, have provided practical assistance to Lao provinces.

This represents the close-knit, long lasting and durable relationship between Vietnam and Laos, said Mr Phuc.

PM Thammavong welcomed Mr Phuc to the 34th session of the Vietnam-Laos Intergovernmental Committee for Economic, Cultural, Educational and Scientific and Technological Cooperation and said he believes that the results of the session will help raise bilateral ties to a new level in the near future.

The Lao government supports and creates the best possible conditions for Vietnamese businesses to operate in the country, said the PM.

He proposed organizing conferences on trade promotion and meetings between Lao leaders and Vietnamese businesses to iron out snags and facilitate their operations in Laos.

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

Politician Dek 9. Januar 13:04
ຂ້າພະເຈົ້າ ມີຄວາມເຫັນການເມືອງ ເປັນການສ່ວນຕົວ ຂ້ອຍມັກການວິພາກວິຈານນະເພາະມັນເປັນເຫມືອນແວ່ນແຍງໃຫ້ກັບຕົວເອງສິ່ງ
ໃດດີ ແລະສິ່ງໃດຄວນປັບປຸງ ຂ້າພະເຈົ້າວິຈານການເມືອງພຽງຕັ້ງກະທູ້ນ້ອຍໆ ໄກ້ຕົວເຮົາທີ່ເປັນຂ່າວກຳລັງເກິດຂຶ້ນ ມັນຈະອອກການເມືອງຫນ່ອຍຫນຶ່ງມີຄົນລາວບາງຄົນ ກໍອອກມາເວົ້!ໃຫ້ຂ້ອຍວ່າ ຂາຍຊາດ ຫລື ຫາວ່າ ເປັນຫາຂອງຊາດ ຫລື ກະທົບຄວາມຫມັ້ນຄົງ ລະຫວ່າງປະເທດ ,,,,,,,, ຂ້ອຍຢາກຫົວຈົນເເຂ້ວແຫ້ງກະທູ້ນ້ອຍໆສ່ຳນີ້ຍັງເວົ້າບໍ່ໄດ້ ນີ້ສະແດງວ່າ ຄົນລາວເຮົາປະເທດລາວເຮົາກຳລັງປ່ວຍເຂົ້າຂັ້ນໂຄມາຢ່າງຫນັກ ຄື ອ່ອນແອທາງດ້ານສະຕິປັນຍາປະຊາຊົນໂງ່ຈ້າລ່າຫລັງ ຫວັ່ນໄຫວຕາມໂຄສະນາຊ່ວນເຊື່ອຂອງຜູ້ປົກຄອງ ບໍ່ມີປັນຍາຄຸ່ນຄິດດ້ວຍຕົວເອງ ທຸກສິ່ງທຸກຢ່າງຕ້ອງເຈົ້ານາຍເປັນຜູ້ກຳຫນົດ ປະຊາຊົນຕ້ອງຢູ່ໃຕ້ພື້ນຕີນ ຂອງນັກການເມືອງ ເປັນຂີ້ຂ້າໃຫ້ເຈົ້ານາຍໄປຈົນຕາຍ ໂດຍບໍ່ໄດ້ຄິດວ່າຕົວເອງມີຄຸນຄ່າພໍ ເຂົາກໍ່ເປັນຄົນ ເຮົາກໍ່ເປັນຄົນ ເກິດມາໃນແຜ່ນດິນລາວເຫມືອນກັນ ຄືວິພາກວິຈານບໍ່ໄດ້ ຕ້ອງເປັນເທວະດາຢູ່ເຫນືອປະຊາຊົນຕີ້ ແລ້ວງົບປະມານ ພາສີເງິນເດືອນ ເຂົ້າທີ່ເຈົ້ານາຍຜູ້ປົກຄອງກິນບໍ່ແມ່ນ ມາຈາກປະຊາຊົນບໍ່ ໃນເມື່ອທຸກຄົບບໍ່ເວົ້າບໍ່ວິພາກວິຈານຈຶ່ງງ່າຍຕໍ່ການສໍ້ໂກງ ທໍລະຍົດຕໍ່ປະເທດແລະປະຊາຊົນນັ້ນແຫລະ ດັ່ງນັ້ນຕ້ອງມີຄວາມກ້າທີ່ຈະທັກທ້ວງ ຜູ້ປົກຄອງທີ່ມັນບໍ່ດີໂກງຊາດພາສີປະຊາຊົນ ກະຊາກຫນ້າກາກໃຫ້ຜູ້ຄົນທົ່ວໄປໄດ້ເຫັນ ເພາະບ້ານເຮົາບໍ່ມີຝ່າຍກວດສອບ ສື່ກໍ່ເປັນແຕ່ກະບອກສຽງຂອງລັດ ແລ້ວຈະໄປຫວັງພຶ່ງພາໃຜໄດ້ ຜູ້ປົກຄອງກໍ່ຍັງມີຄວາມໂລບ ຄວາມໂກດ ຄວາມຫລົງ ເປັນຫຍັງຄືວິພາກວິຈານບໍ່ໄດ້ ຂະຫນາດພະພຸທທະເຈົ້າ ຕັດສະຣູ້ແລ້ວ ກໍ່ັຍັງບໍ່ປິດກັ້ນການວິພາກວິຈານຈາກປະຊາຊົນ ຍ້ອນຜູ້ປົກຄອງບ້ານເຮົາຄວບຄຸມແນວຄິດ ແລະການສະແດງອອກບໍ່ໃຫ້ຄິດແນວອື່ນນອກຈາກເສີຍແຕ່ເຂົາຈະກຳຫນົດໃຫ້ ປະເທດຊາດຈຶ່ງມີແຕ່ຄົນໂງ່ຈ້າ ຕົກເປັນເມືອງຂຶ້ນປະເທດອື່ນ ພັດທະນາບໍ່ທັນຂາວໂລກເຂົາ ມີແຕ່ໃຫ້ປະເທດອື່ນໄປຂຸດເອົາຊັບໃນດິນສິນໃນນ້ຳ ຫອບໄປພັດທະນາເສິມຄວາມລ່ຳຮວຍໃຫ້ບ້ານເຂົາ ສ່ວນຄົນລາວກໍ່ເປັນໄດ້ແຕ່ລູກຈ້າງກຳມະກອນຂີ້ຂ້າຫນ້າດຳ ຫລັງສູ່ຟ້າຫນ້າສູ່ດິນ ກ່ອນສິເວົ້າແບບນີ້ເຄີຍໄດ້ລົມຄົນງານໃນໂຮງແຮມເປັນອັນດັບຕົ້ນໆຂອງວຽງຈັນ ມັນເປັນຜູ້ບໍລິຫານຝ່າຍພະນັກງານ ເຮົາສົງໄສຖາມມັນກົງໆ ເຂົາຄືບໍ່ເອົາຄົນລາວເຮັດ ມັນບອກວ່າເຈົ້າຂອງທີ່ເປັນຄົນມາເລ ປະກາດຮັບສະມັກໄປຫລາຍຄັ້ງແຕ່ບໍ່ມີໃຜມີຄຸນສົມບັດພໍທີ່ຈະເຮັດໄດ້ເລຍໄປຈ້າງຄົນຕ່າງປະເທດມາເຮັດແທນ ນີ້ແຫລະ ວຽກງານທີ່ດີໆຄົນລາວເຮັດບໍ່ໄດ້ເນື່ອງມະຫາວິທະຍາໄລ ຜະລິດນັກສຶກສາບໍ່ມີຄຸນນະພາບ ແລະມີເພື່ອນຄົນທີ່ເຮັດວຽກກັບລັດມັນບອກວ່າ ໄປເຮັດວຽກແມ່ນໄປລົມກັນ ລໍໃຫ້ຫມົດຊົ່ວໂມງແລ້ວກັບບ້ານ ຫມົດເດືອນກໍຮັບເງິນເດືອນບາງວັນບໍ່ມີງານຫຍັງເຮັດເລຍ ນີ້ແຫລະຄວາມໂຄ່ມ່າອາການຫນັກຂອງປະເທດລາວ

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ไม่รุ้นะว่า วู้ดดี้ คิดยังงัย ที่เชิญ จตุพร และสุริยใส มาออกรายการ หรือว่าเพื่อลบภาพที่ผ่าน ๆ มา กลัวประชาชนเข้าใจผิดว่า ไม่ฝักใฝ่ ในระบอบประชาธิปไตย
ก็เลยจัดเวทีนี้ขึ้นมา ถ้าเป็นอย่างที่คิดนะ จตุพรนะใช่ แต่ไอ้ใสนะ มันหลุดโผไปนานแล้ว หลุดไปพร้อม ๆ กะลิ้มโกเต๊ก ลูกพี่มันนั่นละ
เสียดายเวลาของ จตุพร จริง ๆ


----- Forwarded Message -----
From: จันทร์ทิมา สาร์นสินธุ
To: tsro@googlegroups.com
Sent: Sunday, January 8, 2012 4:30 AM
Subject: Re: [TSRO:18397]


อันที่จริงวูดดี้เชิญบักใสมาเทียบชั้นกับคุณตู่ ก็นับว่าให้เกียรติมันเกินพอเเล้วนะ แต่ยังมีข่าวว่าพวกสลิ่มโกรธบักใสเป็นฝืนเป็นไฟ ทั้งทึีพวกคนเสื้อแดงเห็นเป็นเรื่องจิ๊บๆ ของเด็กคนหนึ่งกำลังหาทางวนเวียนเลี่ยงตีกรรเชียงอยากออกมาจากพรรคมาร แต่.. เป็นไปได้ยากคนแบบนี้จะออกมาจากขุมนรกได้ ไม่ให้ค่าและเครดิตมันหรอก จมอยู่ในปลักต่อไปเถอะบักใส


เมื่อ 6 มกราคม 2555, 5:49, Sittipong Patitas เขียนว่า:

ผมไม่เคยให้คะแนนกับคนที่ชื่อ สุริยะไส และกลุ่มพันธมิตรเลย
เพราะความโกหกหลอกลวงให้คนเข้าใจหลงผิด
พอความจริงปรากฎก็ตอบกันแบบหน้าด้านๆว่าจบไปแล้วไม่พูดอีกแล้ว
บัดนี้คนส่วนใหญ่รู้กันดีว่าอะไรมันเป็นอะไร
ผมไม่ให้ค่ากับคนพวกนี้และกล่มที่ให้การสนับสนุน

เมื่อ 5/1/2555, คำสิงห์ นกพึ่งพุ่ม เขียนว่า:
> รายการของวุ๊ดดี้ มีแขกรับเชิญคือคุณจตุพร กับ คุณสุริยไส
> วู๊ดดี้สัมภาษทั้งสองฝ่าย โอ้ย...โครต...
> สุริยะใสจะเน้นที่พรรคเพื่อไทย
> ว่าจะอยู่ได้นานแค่ไหนขึ้นอยู่ที่พรรคจะทำตัวแบบไหนอ่ะ
> รู้สึกว่าจงเกียดจงชังคุณทักษิณมากกว่านะเนียะ ไม่รู้ว่าให้โอกาส พท
> ทำงานหรือรอช่องว่างที่จะเสียบหรือเปล่าเนียะ
> แล้วมันยังจะให้ พท ตัดทอนบางข้อที่หาเสียงไว้ อีก ทั้งๆที่ปชชต้องการจึงเลือก
> พท มา อย่างนี้สุริยไสทำงานเพื่อ
> ปกป้องผลประโยชน์ให้ใครหรือเปล่าเนียะ รับงานคอยค้านอยู่ตลอด
> ทำไมสุริยะไสจึงเอาผลประโยชน์ของคนส่วนน้อย
> ไปแลกกับชีวิตประชาชนนะเนียะ
> ไม่อยากคิดว่าสุริยไสเป็นคนไม่รู้จักว่าอะไรผิดอะไรถูกน่ะ
> ระดับนี้ต้องรู้และเข้าใจดีอยู่แล้ว
> ว่าอะไรผิดอะไรถูก แต่ไม่ยอมรับความจริงมากกว่า คือเจตนาไม่ดีต่อปชช
>
> คุณจุตุพรฉลาดมาก พูดว่าต้องทำตามนโยบายที่หาเสียงไว้ให้ได้
> และนโยบายที่ประกาศนั้น ปชช ก็ต้องการเสียด้วย
> แน่นอนไม่มีผลเสียต่อปชชแม้แต่น้อย มีแต่จะสร้างความเจริญและความ
> หวังให้แก่ปชชทั้งนั้น ถึงไม่มากเท่ากับประเทศที่เขาเจริญแล้วก็จริงอยู่
> อย่างน้อยคนไทยส่วนใหญ่ก็ต้องการ
>
> พูดตามตรงเถอะค่ะอยากรู้และเข้าใจเหตุผลของสุริยไสจริงๆ ว่าเพราะอะไร
> มีอะไรที่ไม่ดีไม่ชอบในกลุ่มของคุณทักษิณหรือไม่
> อยากให้เขาพูดหรือเขียนให้ปชชได้รับรู้ และโต้ตอบ หรือสร้างคำถามได้จังเลย

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

http://www.youtube.com/watch?v=tx8MRvOTkk4&feature=email&email=comment_reply_received

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

หลวงตาชู...09-01-2011
ตอน สภาวะการปัจจุบัน พท รบ ปชป เสื้อแดงและพธม ใครได้เปรียบเสียเปรียบ


http://www.4shared.com/mp3/Af4tof6d/chupong-usa2012-01-09.html
http://www.mediafire.com/?rsw7nmk55n335bq


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ທ່ານລາວພີ່ນ້ອງ ທີນັບຖື


ການຕໍ່ສູ້ ປະຊາທິປະໄຕໃນລາວ ຂອງກຸ່ມ ຂຕປລ ແຮງດົນໄປເທົ່າໃດ ບົດຮຽນແຮງ
ເພິ່ມຂຶ້ນ ດັ່ງນັ້ນ ພວກນັກຮັກຊາດ ທີ່ບໍ່ໄດ້ສັງກັດພັກໃຫຍ່ ຕ້ອງໄດ້ກຸ້ມຕົນເອງເພິ່ງ
ຕົນເອງ ແລະ ຕ້ອງໄດ້ຮັກແພງກັນຫລາຍກວ່າເກົາ.


ປັດຈຸບັນນີ້ເຮົາຕ້ອງໄດ້ ກຸ້ມຕົນເອງ ເພິ່ງຕົນເອງ ແລະ ທຳຫນ້າທີ່ໃຫ້ດີທີ່ສຸດ.


ການເດີນທາງໄປລາວ, ໄປໄທ, ໄປວຽດນາມ ແລະ ໄປຈີນ ເພື່ອທ່ອງທ່ຽວນັ້ນ
ເປັນສິ່ງທີ່ ນັກຕໍ່ສູ້ ບໍ່ຄວນກະທຳ. ເຖິງແມ່ນວ່າໄດ້ເຊົາເຮັດການຕໍ່ສູ້ແລ້ວກໍຕາມ
ເພາະຊື່ ແລະ ນາມສະກຸນມັນຍັງ ຢູ່ໃນ ຈໍ ຂອງຄົນບໍ່ດີຢູ່.


ນັບຖື
ຕ. ຣາສິກາ


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

Dear Sirs,
ຖ້າພໍເປັນໄປໄດ້ ຂໍໃຫ້ທ່ານປັບປຸງໃບຫນ້າຂອງເວັບໃຊນີ້ ໃຫ້ດີຂື້ນແນ່ຈັກຫນ່ອຍໄດ້ບໍ່ ?
ສຳຫລັບເນື້ອຫາສາລະວີທຍຸສຽງເສຣີຊົນນັ້ນ ບໍ່ມີບ່ອນຕ້ອງຕິເດີ ...ສນັບສນຸນເດິ.
ນັບຖື,
ຂີ້ຫມ້ຽງ

www.siengserixonlao.com


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

Greeting all,

Come on people!!! Can we all just get along and move on with a better thing!! I think this is not necessary to accuse each other for whatever the reason maybe!!! As a leader, you should be able to withstand the noise, accusation, and whatever the opposition will do to you, right ?? What are some lessons learned from the past leadership so that we do not make the same mistakes!!!
As I can see and hear from this forum.... There's much more lessons need to be learn and share among our Lao people.
By criticizing and mocking each other, does it really make you abetter person or a community leader??? I guess you already know the answer, right? How can we move thing forward if you still living in the past??? Why is it o.k. for you to do your way and not someone else???? I believe "RESPECT" is a two way street and definitely not a one way street!!! I am not quite sure why khon Lao love to fight among themselves and make a negative criticism against one another.

Anyway, have a wonderful new year and good luck to everyone to continue to do their job and serving Lao people and community taht tehy live in. May we all stay focus and do what is best for the great common cause!!! Last but not least, may 2012 bring much more joys, prosperity, longivity, happiness, and sucess to each everyone of you and yours!!!

Hakphaeng,
Antoine Keodara


Lanxang Lao eternity Paltalk

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 


http://www.youtube.com/watch?v=jan79GzRL_8&feature=results_video&playnext=1&list=PL2B281E9C18C2F2BF
เสวนา "เมื่อความจริง(และนิยาย)โดนดำเนินคดีในประเทศไทยยุคกษัตริย์นิยมล้นเกิน"


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

พวกเราชาวนักคิดนักสู้เพื่อประชาธิปไตย มองดูการกระทำของพวกมารหัวขนพวกนี้อย่างน่าสมเพทมากันตลอดเวลา นึกอยากจะดูน้ำหน้าพวกมันตลอดเวลาว่าความคิดและอุดมการณ์แบบพวกมันจะดึงมวลชนหรือทำให้คนคล้อยตามไปได้สักกี่น้ำ กี่กระทำการยิ่งน่าขยะแขยงในความคิด มาถึงบัดนี้ พวกมันเพียงแต่อ้าปาก พวกเราก็เห็นลิ้นไก่เห็นใส้เห็นพุงมันกี่ขดๆ เห็นหมด ว่าแบบนั้นไหมเจ้าค่ะ อิอิ


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

บางกอกโพสต์รายงาน "8 ราชนิกูล" ส่งจม.แนะรบ.ปรับปรุงแก้ไขม.112 "ม.ร.ว.ภวรี" ปฏิเสธไม่ได้ร่วมลงชื่อ

วันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2555 เวลา 16:30:00 น.

Share231





หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ฉบับประจำวันที่ 12 มกราคม 2555 รายงานว่า ราชนิกูลกลุ่มหนึ่งได้ออกมาเรียกร้องให้มีการปรับปรุงแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 หรือกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ


บางกอกโพสต์ระบุว่า ราชนิกูลผู้มีชื่อเสียงจำนวน 8 คน ได้แก่ หม่อม ราชวงศ์สายสวัสดี สวัสดิวัตน์ (ธิดาในหม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท สวัสดิวัตน์ หรือ ท่านชิ้น - มติชนออนไลน์), หม่อมราชวงศ์สายสิงห์ ศิริบุตร (ธิดาในหม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท สวัสดิวัตน์ - มติชนออนไลน์), หม่อมราชวงศ์นริศรา จักรพงษ์ (ธิดาในพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ - มติชนออนไลน์), นายวรพจน์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา (อดีตเอกอัครราชทูต - มติชนออนไลน์), พลเอก หม่อมราชวงศ์กฤษต กฤดากร, หม่อมราชวงศ์ภวรี สุชีวะ (รัชนี), หม่อมราชวงศ์โอภาส กาญจนะวิชัย และนายสุเมธ ชุมสาย ณ อยุธยา ได้ลงนามในจดหมายที่ส่งไปถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อวันเสาร์ที่ 7 มกราคม ซึ่งมีเนื้อหาเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีดำเนินการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายมาตรา ดังกล่าว


จดหมายที่ส่งไปถึงนายกรัฐมนตรีมีเนื้อหาระบุว่า จำนวนคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพได้เพิ่มขึ้นอย่างสำคัญในช่วงเวลา 7 ปี จากจำนวน 0 คดี ในปี พ.ศ.2545 มาเป็น 165 คดี ในปี พ.ศ.2552 ซึ่งข่าวคราวเกี่ยวกับคดีความเหล่านั้นได้ถูกรายงานไปทั่วโลก และส่งผลกระทบอย่างรุนแรงมากขึ้นต่อสถาบันพระมหากษัตริย์


จดหมายของราชนิกูลกลุ่มนี้ยังได้อ้างถึงพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ.2548 ซึ่งทรงมีพระราชกระแสรับสั่งว่าการลงโทษจับกุมคุมขังบุคคลผู้วิพากษ์วิจารณ์ สถาบันนั้น มีแต่จะก่อปัญหาให้แก่พระองค์เอง ("แต่ อย่างไรก็ตาม เข้าคุกแล้ว ถ้าเป็นการละเมิดพระมหากษัตริย์ พระมหากษัตริย์เองเดือดร้อน เดือดร้อนหลายทาง ทางหนึ่งต่างประเทศเขาบอกว่าเมืองไทยนี่พูดวิจารณ์พระมหากษัตริย์ไม่ได้ ว่าวิจารณ์ไม่ได้ก็เข้าคุก มีที่เข้าคุก เดือดร้อนพระมหากษัตริย์" - พระราชดำรัส 4 ธันวาคม 2548)


"นับแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระ ราชดำรัสดังกล่าว มีรัฐบาลหลายชุดหมุนเวียนกันเข้ามาบริหารประเทศ แต่ไม่มีรัฐบาลชุดใดเลยที่จะริเริ่มดำเนินการแก้ไขกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุ ภาพ รวมทั้งรัฐบาลชุดปัจจุบัน" จดหมายที่ส่งถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ระบุ


"เมื่อครั้งที่รัฐบาลจัดกิจกรรมเฉลิมพระ เกียรติเนื่องในวโรกาสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระชนมายุครบ 7 รอบ ในปี พ.ศ.2554 รัฐบาลควรใช้โอกาสนั้น ทำความเข้าใจในพระราชประสงค์ของในหลวงต่อประเด็นดังกล่าวด้วย" นายสุเมธ หนึ่งในผู้ร่วมลงชื่อในจดหมายกล่าวและว่า ราชนิกูลกลุ่มนี้ได้พบปะกันในช่วงสิ้นปี 2554 เพื่อร่วมครุ่นคิดในประเด็นว่าด้วย "การ บังคับใช้กฎหมายอาญามาตรา 112 ในทางที่ผิดซึ่งเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และผลกระทบของการบังคับใช้กฎหมายเช่นนั้นที่มีต่อประเทศไทย ทั้งภายในไทยเองและภายนอกประเทศ"


"ที่สำคัญสุดเหนือสิ่งอื่นใด พวกเราต้องการให้มีการคำนึงถึงข้อเท็จจริงที่ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเองก็ทรงวิพากษ์วิจารณ์กฎหมายมาตราดังกล่าว" นายสุเมธ ให้สัมภาษณ์


อย่างไรก็ตาม ขณะที่ราชนิกูลกลุ่มนี้ออกมาเสนอให้รัฐบาลปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกฎหมายหมิ่น พระบรมเดชานุภาพ แต่กลับไม่มีการระบุอย่างเด่นชัดว่าเนื้อหาของกฎหมายในส่วนใดที่ควรได้รับ การแก้ไข


"พวกเราไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญทางด้านกฎหมาย เราคิดว่านี่เป็นหน้าที่ของรัฐบาลซึ่งต้องแสวงหาหนทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น" นายสุเมธกล่าวและว่า เป็น หน้าที่ของรัฐบาลชุดนี้ที่จะทำการปกป้องสถาบัน และในกรณีนี้ ยังถือเป็นการเอาใจใส่ต่อความห่วงใยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สังคมไทยกำลังแตกแยก ประชาชนแบ่งออกเป็นฝักฝ่ายอย่างสุดขั้ว รัฐบาลจึงควรให้ความสนใจกับคำแนะนำของในหลวง ก่อนจะดำเนินมาตรการอื่นใด



ขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวในวันที่ 12 มกราคมว่า ยังไม่ได้รับจดหมายจากราชนิกูลกลุ่มนี้



ล่าสุด ช่วงเย็นวันที่ 12 ม.ค. ผู้สื่อข่าว "ข่าวสด" โทรศัพท์สอบถามข้อเท็จจริงจาก หม่อมราชวงศ์ภวรี สุชีวะ (รัชนี) ธิดา ม.จ.ภีศเดช รัชนี หนึ่งในราชนิกุลที่มีชื่ออยู่ในข่าวดังกล่าว ได้รับคำตอบว่า ไม่ทราบเรื่องจดหมายดังกล่าว ไม่เคยมีการลงชื่อเกี่ยวกับกฏหมายตามที่เป็นข่าวใดๆ ทั้งสิ้น และไม่ได้มีความคิดแบบนั้น ไม่สบายใจอย่างหนักกับข่าวที่เกิดขึ้น อยากจะมุดแผ่นดินหนี เราเป็นประชาชนคนหนึ่งที่ไม่ได้อยู่ในการเคลื่อนไหวใดๆ ไม่ได้ต้องการเป็นข่าวและสร้างกระแส เราเป็นลูกพ่อคนหนึ่งที่ทำงานถวายอย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ตาม ถ้าเราจะลุกขึ้นโวยวายจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ ขออยู่เฉยๆ โดยไม่ร้อนตัวดีกว่า ทั้งนี้ เราไม่ได้มีความรู้เรื่องกฏหมาย ซึ่งเรื่องดัวกล่าวมีความลึกลับซับซ้อนเกินกว่าที่จะมาแก้ตัว ส่วนคนอื่นๆ ที่มีรายชื่ออยู่ด้วยไม่ทราบ


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 


เสื่อม 'ค่ายหนังโป๊' อุกอาจ อ้างเป็นแอร์ไทย หยามใช้ 'สุวรรณภูมิ' เป็นฉากสะเด่า!! (คลิปวิดีโอ)

บริษัท ทำหนังโป๊ 'อุกอาจ' หยามหนัก เซตฉากสุวรรณภูมิสนามบินสัญลักษณ์ของประเทศไทยในหนังลามก อึ้งแอร์สาวไทยเล่นหนังเอวี จี้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบว่าของจริงหรือปลอมด่วน...!

แม้จะไม่ ใช่ครั้งแรกที่เมืองไทยถูกใช้เป็นฉากในการผลิตหนังโป๊ แต่ครั้งนี้โจ๋งครึ่มกว่า และก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักหน่วงหลังจากมีคนร้องเรียนมากมายเกี่ยวกับ ภาพยนตร์โป๊จากต่างประเทศ ยึดเอาสนามบินสุวรรณภูมิเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวคาวๆ ในครั้งนี้ ว่าเป็นการหยามเกียรติคนไทย ยังมีการตั้งข้อสงสัยเรื่องระบบป้องกันภัยที่ไร้การตรวจสอบ ทำให้ภาพลักษณ์สนามบินสุวรรณภูมิ สนามบินของประเทศไทยเสียหายไปทั่วโลก

อีก ทั้ง ยังมีข้อถกเถียงถึงความเหมาะสมเรื่องการใช้สาวไทยพูดไทยฉะฉานใส่ยูนิฟอร์ม ของสายการบินชื่อดังมีผ้าพันคอที่บินระหว่างประเทศว่าที่เป็นแอร์จริงๆ และถูกล่อลวงไปเล่นหนังโป๊...? เพราะมีทีท่าถูกหลอกและไม่สมยอม ทันทีที่หนังโป๊เรื่องนี้ ถูกปล่อยออกมาในตลาดมืด


ไทย รัฐออนไลน์ลงพื้นที่ล่อซื้อแผ่นหนังเรื่องนี้ ผู้ค้าแผ่นลามกที่คลองถม บอกว่าเป็นหนังที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในอินเทอร์เน็ตจนคนต้องปั๊มมา เป็นแผ่นขาย วันหนึ่ง (แผงเดียว) ขายได้หลายร้อยแผ่นเรียกว่าแทบจะปั๊มแผ่นไม่ทัน

หนังโป๊เรื่องนี้ มีความยาว 2 ชั่วโมง เริ่มฉากแรกด้วยการถ่ายบรรยากาศภายในสนามบินสุวรรณภูมิอย่างชัดเจนหลากหลาย มุม จากนั้นกล้องก็หันไปจับภาพหญิงสาวหน้าตาดีแต่งกายเหมือนกับแอร์โฮสเตสสายการ บินชื่อดังที่บินระหว่างประเทศมีผ้าพันคอ ลากกระเป๋าเดินทางทำเสมือนว่าเพิ่งลงจากเครื่องบิน จากนั้นภาพก็ตัดมาที่แอร์โฮสเตสสาวสวยคนดังกล่าวกำลังสนทนาเชิงแนะนำตัวกับ ใครบางคน โดยมีการแปลเป็นภาษาญี่ปุ่นอยู่ที่ข้างจอ

แอร์โฮสเตสสาว : ตอน นี้ฉันทำงานอยู่บริษัทสายการบินได้ 2 ปีแล้วค่ะ ดิฉันจบจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง จึงได้ทำงานกับบริษัทที่ดี และก็ได้รับตำแหน่งที่ดีด้วย ช่วงนี้ดิฉันได้ไปทัวร์ที่ยุโรปบ่อยมากที่สุดค่ะ ส่วนมากจะชอบของมียี่ห้อและก็ชอบงานศิลปะด้วยค่ะ คิดว่าถ้าได้ไปอยู่ที่เมืองยุโรป คิดว่าน่าจะดีมากๆ ค่ะ!!

แอร์โฮสเตสสาว : พูดเรื่องแฟน มีหลายๆ เรื่องที่ทำให้กลุ้มใจมากๆ ค่ะ..!!!

หลัง จากพูดคุยเสร็จสรรพแอร์โฮสเตสสาวจึงเดินลากกระเป๋าท่ามกลางฝูงชนที่สนามบิน สุวรรณภูมิแล้วก็มีผู้ชายญี่ปุ่นเดินเข้ามาถามพร้อมกับพาตัวเธอไปแบบไม่ค่อย สมยอมสักเท่าไหร่ ภาพก็ตัดมา หญิงสาวอยู่ในรถยนต์โดยมีหนุ่มญี่ปุ่นหน้าตาดุดันนั่งประกบอยู่ข้างๆ พร้อมกับทำการลวนลาม แต่หญิงสาวก็ปัดป้อง แลัวถามตลอดว่า

“จะทำ อะไร จะพาไปไหน พร้อมกับทำสีหน้าไม่พอใจอย่างมาก” โดยมีรถยนต์อีกหนึ่งคันตามบันทึกภาพอยู่ ในหนังมีการถ่ายภาพด้านข้างบ่งบอกว่าเป็นถนนสุขุมวิท จนกระทั่งตัดภาพมาที่ห้องพัก โดยหญิงสาวถามตลอดว่า พามาทำอะไร จู่ๆ ก็มีชายหนุ่มอีกคนร่างกายกำยำเข้ารวบและจับเธอโยนลงบนโซฟา


หลังจากนั้นกิจกามแบบไม่สมยอมก็เริ่มขึ้น พร้อมกับมีช่างกล้องถ่ายภาพนิ่งกันเสียงชัตเตอร์ดังสนั่นก็เริ่มต้น...
เมื่อ ไทยรัฐออนไลน์สอบถามไปยัง พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ถึงกรณีนี้ว่า หากแอร์โฮสเตสสาวไทยที่อยู่ในหนังโป๊เรื่องนี้ถูกบังคับให้เล่นหนัง ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ต้องตรวจสอบ แต่หากเป็นการจัดฉากขึ้นมาก็มีความผิดฐานรวมกันผลิตสื่อลามกออกมาจำหน่าย
"ว่า กันตามจริง ตามสถิติที่มีการเดินทางของค่ายหนังลามกจากต่างประเทศมาแอบถ่ายทำในประเทศ ไทยนั้นที่ผ่านมาถือว่าน้อยมาก ส่วนใหญ่จะลักลอบทำกันแบบกองโจร ส่งผลทำให้ตามจับยากมาก ที่ผ่านมาก็ได้ประชาชนแจ้งเบาะแสเนื่องจากรับไม่ได้กับเรื่องเหล่านี้ แต่อย่างไรก็แล้วแต่หากหนังลามกเรืองนี้มีการจงใจใช้ถ่ายประเทศไทยและทำให้ สัญลักษณ์ของประเทศเสื่อมเสีย ก็ต้องเจอคดีที่หนักคือลบหลู่ดูหมิ่นวัฒนธรรมอันดีงาม แต่ในกรณีนี้เข้าใจว่าเป็นหนังออกมาจำหน่ายแล้วเราก็จะไปสืบเสาะต้นตอว่าขาย ที่ไหนบ้าง ทำให้ส่อให้เกิดความเสื่อมเสียหรือเปล่าถ้าเสื่อมเสียเราก็ต้องทำเรื่องไป ยังประเทศเจ้าของหนังนั้นๆ ซึ่งเรื่องนี้กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงวัฒนธรรม ต้องไปประสานงานจัดการ หรือหากลงเว็บไซต์เราจะประสานกระทรวงไอซีทีบล็อกแจ้งไปยังบริษัทให้บริการ เว็บไซต์ขออย่าเอาลงมันผิดขนบธรรมเนียมประเพณีของเราแต่อย่างไรก็ต้องขอดู รายละเอียดก่อน”

ทั้งนี้ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) กล่าวทิ้งท้ายด้วยว่าอยากจะประชาสัมพันธ์ประชาชนว่าถ้าเห็นเรื่องราวแบบนี้ ให้แจ้งมาเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อจัดการไม่ให้ชาวต่างชาติทำเรื่องไม่ดีงามนี้ ออกไปสู่สาธารณะ
ที่สุดแล้วไม่ว่าผลสรุปหนังเรื่องนี้จะเป็นการเซต ขึ้นมาหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ การจงใจเอาฉากหลังเป็นสนามบินสุวรรณภูมิ สัญลักษณ์ของประเทศไทย การที่เอาผู้หญิงไทยแต่งตัวเป็นแอร์โฮสเตสจะจริงหรือไม่จริง มันก็เป็นสัญญาณเตือนว่าเมืองไทยอาจจะกลายเป็นศูนย์กลางของการสร้างหนังโป๊ ระดับโลกก็ได้ ที่สำคัญมันสะท้อนการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และ ระบบของสนามบินระดับชาติยังไร้ประสิทธิภาพอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง
ดูวีดิโอคลิป

รู้ไว้ใช่ว่า - ย้อนประวัติข่าวหนังโป๊ที่มาถ่ายทำในเมืองไทยแล้วโดนจับได้


-วัน ที่ 6 ก.ย. 2549 บุกทลายกองถ่ายหนังโป๊แดนปลาดิบริมชายหาดพัทยา ใกล้กับวัด รวบผู้กำกับหนัง นักแสดง คนไทยร่วมเป็นพระเอก มีการก่อสร้างที่พักแบบชั่วคราวเป็นกระต๊อบไม้ไผ่ มุงหลังคาใบจาก สร้างเรียงรายติดกัน 3 หลัง โดยตำรวจได้เข้าไปตรวจสอบถึงตะลึงตาค้าง เมื่อพบว่าภายในกระต๊อบมีหญิงสาวเอเชียกับหนุ่มคนไทยกำลังแสดงการพลอดรักมี เพศสัมพันธ์อย่างสุดมันส์ โดยมีตากล้องคอยบันทึกเทปโทรทัศน์อยู่ข้างๆ หลังจากที่ตำรวจได้เห็นภาพดังกล่าว โดยสามารถรวบนักแสดง ผู้กำกับ ตากล้อง ช่างไฟ และผู้ช่วยกองถ่าย ได้ทั้งสิ้น 11 คน ทราบ ชื่อ คือ นายทาเคชิ มัตซิโอ๊ะ อายุ 58 ปี นายโยชิฮิโก๊ะ เทราต๊ะ อายุ 32 ปี นายไคโซะ วาทานาเบ๊ะ อายุ 55 ปี นายมาซายู กิ สุว่ะ อายุ 37 ปี นายนากามูระ เรียวตะ อายุ 24 นางสาวอายามิ มิสุโมโต๊ะ อายุ 20 ปี นางสาวโทโมเอะ โกคิตะ อายุ 21 ปี ซึ่งเป็นชาวญี่ปุ่น อีกทั้งมีคนไทยคือนายอ๊อด สังข์นุช อายุ 32 ปี อยู่บ้านเลขที่ 30 ม.2 ต.นาเกลือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี นายประชา สวัสดี อายุ 17 ปี อยู่บ้านเลขที่ 42/11 ม.12 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี และ นายแสน พลรักษ์ษา อายุ 50 ปี อยู่บ้านเลขที่ 47 ม.6 ต.โคกสง่า อ.พล จ.ขอนแก่น

-วันที่ 20 พ.ค. 2550 บุกทลายสตูดิโอหนังโป๊กลางกรุง ตำรวจนครบาลยกกำลังเข้าทลายสตูดิโอถ่ายทำหนังโป๊ภายในบ้านเดี่ยวซอยลาดพร้าว 94 เขตวังทองหลาง กทม. พบนายแบบ-นางแบบกำลังแสดงหนังสดให้บันทึกภาพลงวีซีดี ขายย่านคลองถมและส่งไปฮ่องกง ตร.บุกทลายถ่ายซีดีโป๊กลางกรุง เผยเปิดเป็นสตูดิโอหรูอยู่ในบ้านเดี่ยวชั้นเดียว ซอยลาดพร้าว 94 ระหว่างตรวจค้นพบจะจะ นักแสดงชาย-หญิงกำลังเริงรักกันอย่างถึงพริกถึงขิงหน้ากล้องถ่ายทำ รวบได้ทั้งทีมทั้งผู้กำกับฯ นักแสดง ตากล้อง ช่างแต่งหน้าทำผม รวมทั้งเจ้าของบ้าน สารภาพคนฮ่องกงเป็นนายทุน ให้เอเย่นต์ย่านคลองถมปั๊มซีดีขายทั่วประเทศ-ฮ่องกง พร้อมตรวจยึดอุปกรณ์การถ่ายทำต่างๆ อาทิ แผ่นการ์ด อวัยวะเพศชายเทียม หนังสือลามกต่างๆ

- วันที่ 12 มิ.ย. 2550 ปดส.นำกำลังรวบทีมถ่ายหนังโป๊ คาอพาร์ตเมนต์หรู ย่านบางนา พบนักแสดงชาย-หญิงกำลังร่วมเพศอย่างโจ๋งครึ่ม ยึดอุปกรณ์ถ่ายทำเพียบ ตร.ระบุเป็นเครือข่าย "โบเว่น จอห์น กิลล์เบิร์ต" เฒ่าอเมริกันที่ถูกจับกุมเมื่อปีที่แล้ว ภายในห้องพักเลขที่ A4B ชั้นที่ 4 อาคารทอมสันเรสซิเดนท์ ซอยบางนาตราด 4 ถนนบางนา-ตราด แขวงและเขตบางนา พบชายหญิงจำนวน 5 คน กำลังร่วมเพศและบันทึกภาพยนตร์กันอย่างโจ๋งครึ่ม เมื่อทั้งหมดเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ถึงกับหน้าถอดสี ทำอะไรไม่ถูก เจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัวไว้ได้ทั้งหมด ประกอบด้วย นายโจ มาคอส เปอร์ไลล่า อายุ 23 ปี นายมอริเคน อายุ 25 ปี นายฟิลลิปเป้ เค โอริเวร่า อายุ 29 ปี ทั้ง 3 คนเป็นชาวบราซิล ส่วนผู้หญิงอีก 2 คน คือ นางเทอเรซ ซิต้า อีดาเดส อายุ 25 ปี ชาวฟิลิปปินส์ และนายวิทยา เมฆวิลัย อายุ 25 ปี สาวประเภทสองชาวไทย พร้อมของกลางกล้องถ่ายวีดิโอ 1 ตัว กล้องถ่ายภาพนิ่ง 1 ตัว ชุดไฟสตูดิโอ 1 ชุด เจลหล่อลื่น 1 หลอด และถุงยางอนามัยอีกจำนวนหลายกล่อง



-วันที่ 1 ก.พ. 2551 ตำรวจเมืองพัทยาบุกทลายสตูดิโอถ่ายหนังโป๊ ตะลึงเจอห้องดัดแปลงเป็นสถานที่ถ่ายหนังเอ็กซ์สุดหรู อุปกรณ์ถ่ายทำครบครัน มีเจลเสพสมพร้อมสรรพ รวบหนุ่มเมืองน้ำหอม สวมบทพระเอกในหนังลีลายั่วยวนโจ๋งครึ่มเกินบรรยาย เครือข่ายเดียวกับหนุ่มผู้ดีผู้ต้องหาคดีถ่ายทำหนังเอ็กซ์ เผยแพร่ทางเว็บไซต์ เสนอขายเซ็กซ์ทัวร์ฉาวไปทั่วโลก เข้าจับกุมนายแจ๊คครูซ เบกู อายุ 42 ปี สัญชาติฝรั่งเศส ที่ห้องพักหมายเลข 215 จอมเทียนฮิลล์ รีสอร์ต เลขที่ 357/16 ถนนชายหาดจอมเทียน หมู่ 12 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ผู้ต้องหาร่วมขบวนการทำธุรกิจถ่ายหนังลามกอนาจาร และยังเป็นผู้จัดหาหญิงสาว เพื่อค้าประเวณีผ่านทางเว็บไซต์ จากการเข้าตรวจค้นภายในห้องพัก พบว่าดัดแปลงเป็นสตูดิโอถ่ายทำหนังเอ็กซ์ สุดหรู มีอุปกรณ์จัดฉากการแสดง ไฟแสงสี อย่างครบครัน มีเตียงนอนขนาดใหญ่ พร้อมทั้งอุปกรณ์ใช้ในการร่วมเพศ อาทิ เจลหล่อลื่น และชุดหนังเซ็กซี่จำนวนมาก อีกทั้งมีอุปกรณ์ในการตัดต่อภาพ

-วันที่ 8 เม.ย. 2553 พดส.ภาค 2 บุกจับ หนุ่มมะกันถ่ายหนังโป๊คู่สาวไทย เผยแพร่เว็บไซต์ขายทั่วโลก ตามค้นบ้านพักกลางเมืองพัทยาพบของกลางอุปกรณ์ประกอบฉากหนังครบชุด-ยาเสพติด และอาวุธปืนเถื่อนตำรวจเข้าจับกุมนายแอนโทนี่ อายุ 40 ปี สัญชาติอเมริกัน ผู้ต้องหาในคดีลวงหญิงสาวชาวไทยมาถ่ายทำวีดิโอโป๊เปลือยเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ ทางอินเทอร์เน็ต ขณะนอนหลับอยู่ในห้องพักหมายเลข 312 ชั้น 3 สแปนิชคอนโดมิเนียม ริมถนนสุขุมวิท หมู่ 9 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ตรวจค้นในห้องพักพบของกลางกล้องวีดิโอ ยี่ห้อโซนี่ 1 ตัว กล้องถ่ายภาพนิ่ง 2 ตัว คอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ 1 เครื่อง กล้องวีดิโอเว็บแคม 1 ตัว อวัยวะเพศชายเทียม เสื้อผ้า-อุปกรณ์ประกอบฉาก ม้วนวีดิโอภายในมีภาพหญิงสาวชาวไทยกำลังร่วมเพศกับชายชาวต่างชาติจำนวนหลาย ม้วน กัญชาแห้ง 2 ห่อเล็ก ฝิ่นดิบ 1 ก้อน และอาวุธปืนขนาด .38 1 กระบอก พร้อมกระสุนขนาดเดียวกันอีก 10 นัด.


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ไท(คน)อีสาน หรือ ลาว!!!
ไท(คน)อีสาน หรือ ลาว!!!
ไท(คน)อีสาน หรือ ลาว!!!

ในบรรดากลุ่มชาติพันธุ์ทั้งหลาย พวกลาวนับได้ว่าเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุด มีการเคลื่อนย้ายไปตั้งหลักแหล่งทำมาหากินในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศ การเติบโตของกลุ่มคนลาวเริ่มต้นในสมัยรัชกาลที่ 4 จากบันทึกของบาทหลวงปาลเลอกัวร์สังฆราชศาสนาคริสต์คาทอลิกในประเทศไทยสมัย นั้นบันทึกว่ามีประชากรทั้งหมดในประเทศสยามประมาณ 6 ล้านคนเป็นคนสยาม และลาว 3 ล้านคน คนจีน 1 ล้าน 5 แสนคน การอพยพของกลุ่มคนลาวมาจากการถูกกวาดต้อนเนื่องจากสงครามเมื่อครั้งสยามเสีย กรุงศรีอยุธยาแก่พม่าตั้งแต่ พ.ศ. 2310 ทำให้กลุ่มคนลาวถูกกวาดต้อนมาเป็นพลเมืองของสยาม สมัยกรุงธนบุรีจนถึงสมัยรัชกาลที่ 5 นั้น เกือบทั้งหมดมาจากการกวาดต้อนเป็นเชลยสมบูรณ์รวมเป็นพลเมือง มีที่มาจากเขตเมืองใหญ่ ๆ 2 เมือง คือ เมืองเวียงจันทน์และเมืองหลวงพระบาง!!!

กลุ่มชาติพันธุ์ลาวกับการตั้งถิ่นฐานในสยาม ในราชสำนักสยามสมัยรัชกาลที่ 5 มีการเรียกขานกลุ่มชาติพันธุ์ลาวตามการตั้งถิ่นฐานและลักษณะทางรูปร่าง เช่น เรียกคนในแคว้นล้านนาว่า ลาวพุงดำ โดยคนกลุ่มนี้จะมีประเพณีการสักร่างกายของตนตั้งแต่พุงลงมาถึงหัวเข่าเป็น สิ่งกำหนดเพื่อให้แตกต่างไปจากคนในแคว้นล้านนา แคว้นล้านช้างที่ไม่มีประเพณีในการสักพุง จึงถูกเรียกว่า ลาวพุงขาว
นอกจากนี้ พบว่า ผู้คนเบื้องล่างที่เป็นประชาชนโดยทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นไทยสยาม หรือคนลาว, คนมอญ, คนเขมร, มักเรียกชื่อตามที่มา หรือไม่ก็ตามชาติพันธุ์ของคนเหล่านี้เป็นสำคัญ เช่น=
ลาวพวน คือ พวกที่ถูกวาดต้อน เทครัวมาจากเมืองพวนในแคว้นหัวพันทั้งหก.
ลาวโซ่ง หรือผู้ไท หรือไทดำ ที่มาจากแคว้นสิบสองจุไท.
ลาวหลวงพระบาง ที่มาจากเมืองหลวงพระบาง ลาวครั้งหรือลาวภูคังที่มาจากแถบภูคังในเขตหรือหลวงพระบาง และลาวเวียงที่มาจากเมืองเวียงจันทน์ในประเทศลาว และเรียกลาวจากล้านนาในลักษณะรวม ๆ ว่า ลาวยวน ซึ่งหมายถึงแคว้นโยนกในแอ่งเชียงรายที่มีเมืองเชียงแสนและเมืองเชียงรายเป็นเมืองสำคัญ.
ลาวอีสาน=Western Lanxang
การกระจายการตั้งถิ่นฐานของคนลาวในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย อาจกล่าวได้ว่าในระยะเริ่มแรกตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้นลงมา คนลาวจะกระจายกันอยู่ในบริเวณที่เรียกว่า “เขตสะสม” ก่อน คือ แถวริมฝั่งแม่น้ำโขงตั้งแต่จังหวัดเลย, หนองคาย, อุดรธานี ,สกลนคร ,จนถึงนครพนม, ซึ่งในระยะเวลานั้นจัดว่าอยู่เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรล้านช้าง ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่า ดินแดนลุ่มแม่น้ำโขงและแม่น้ำชี ซึ่งเป็นเขตอีสานกลาง และอีสานเหนือเป็นท้องถิ่นที่ชาวลาวตั้งบ้านกระจัดกระจายกันอยู่มานานแล้ว การตั้งถิ่นฐานของกลุ่มชาติพันธุ์ลาวในสมัยก่อนพุทธศตวรรษที่ 18 – 19
ตามหลักฐานทางโบราณคดี ชุมชนลาวมีการตั้งหลักแหล่งจากชุมชนที่เคยเป็นบ้านเป็นเมืองมาก่อนสมัยพุทธ ศตวรรษที่ 18 - 19 พบว่า แหล่งที่อยู่อาศัย ณ.ที่ใดมีศาสนสถานอยู่แล้ว เช่น กู่หรือเนินดิน ที่มีเสมาหินปัก จะมีการดัดแปลงศาสนสถานนั้นให้เป็นวัด ในทางพุทธศาสนาสถานที่คนลาวนับถืออยู่ และในหลายๆท้องที่ได้มีการสร้างพระสถูปเจดีย์ หรือ “ธาตุ” ขึ้นมาบูชา
แหล่งชุมชนที่ได้รับการปรับปรุงให้เป็นบ้านเมือง และมีการบูรณะหรือสร้างศาสนสถานขึ้น ที่ควรแก่การศึกษาในด้านประวัติศาสตร์ทางวัฒนธรรมของภาคอีสาน ได้แก่
บริเวณเมืองเวียงคุกในเขตจังหวัดหนองคาย และที่ตั้งวัดพระธาตุบังพวนปัจจุบันมีซากวัดและพระสถูปเจดีย์รูปแบบต่าง ๆ ที่เป็นรูปแบบทางสถาปัตยกรรม และศิลปกรรมของศิลปะล้านช้าง
พระธาตุพนม พระธาตุเรณูนคร ในเขตจังหวัดนครพนม.
พระธาตุเชิงชุม พระธาตุนารายณ์เจงเวง ในเขตจังหวัดสกลนคร.
เมืองหนองหานน้อย ในเขตอำเภอหนองหาน และพระธาตุโพนทองในเขตจังหวัดอุดรธานี.
วิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ไทลาว:
ตัวอักษรไทลาว กลุ่มชาติพันธุ์ไทลาวสืบทอดวัฒนธรรมกลุ่มแม่น้ำโขงมาตั้งแต่โบราณ มีตัวอักษรของกลุ่มตนเองใช้มาตั้งแต่สมัยอยุธยา และอาจร่วมสมัยสุโขทัย ตัวอักษรที่ใช้มี 2 แบบ คือ อักษรไทน้อย และอักษรไทธรรม ตัวอักษรน้อยเป็นอักษรสุโขทัยแบบหนึ่ง ส่วนอักษรตัวธรรมเป็นอักษรที่ได้ต้นแบบมาจากอักษรมอญโบราณคล้ายตัวอักษรตัว เมืองของภาคเหนือ นอกจากการมีตัวอักษรเป็นของตนเองแล้ว กลุ่มไทลาวสามารถสร้างสมององค์ความรู้โดยผ่านการถ่ายทอดเป็นคำบอกเล่านิทาน ในวรรณกรรมท้องถิ่นของตนเองได้ เช่น นิทานเรื่องสินไซ,จำปาสี่ต้น,ท้าวกำกาดำ,นางผมหอม, ขูลูนางอั้ว, ท้าวผาแดงนางไอ่, เป็นต้น.
การตั้งหมู่บ้านของกลุ่มไทลาว:
จะพบว่ามีการตั้งหมูบ้านตามโนนหรือโคก โดยยึดทำเลเพื่อการทำนาได้เป็นสำคัญ ท้องทุ่งนาชาวไทลาวจึงเป็นนาตีนทุ่ง คือ บริเวณรอบ ๆ หมู่บ้านจะมีที่ราบลุ่มมีหนองน้ำ หรือลำน้ำเล็ก ๆ เป็นภูมินิเวศน์ของวิถีชีวิตข้าวปลาและชุมชนหมู่บ้านของไทลาวจะตั้งไม่ห่าง ไกลป่าละเมาะสาธารณประโยชน์หรือป่าบุ่งป่าทาม หรือป่าโคก ป่าดอน ซึ่งเป็นป่าเพื่อการหาอยู่หากินเพื่อนำสัตว์ไปเลี้ยง เช่น วัว ควาย ไปเลี้ยง รวมทั้งเป็นซุปเปอร์มาเก็ตเพื่อเก็บของป่า หาสัตว์ป่าของชาวไทลาวได้ทุกฤดูกาล
ดังนั้น ความสัมพันธ์ของชาวบ้าน ชุมชนกับป่าและธรรมชาติแวดล้อม ทำให้กลุ่มไทลาวมีสถาบันของหมู่บ้านซึ่งเป็นสถาบันเก่าแก่ดั้งเดิม คือ วัด ศาลปู่ตา พระภิกษุตามคติของคนไทลาวคือผู้นำทางวิญญาณ เป็นผู้นำทางกิจประเพณีโดยไม่เลือกว่าเป็นเรื่องของพุทธ หรือความเชื่อเรื่องผี โดยเชื่อมโยงความสัมพันธ์กับสถาบันของหมู่บ้าน คือ ศาลปู่ตา หรือตูบปู่ตา ซึ่งจะตั้งทางเข้าหมู่บ้าน ซึ่งเป็นดอนที่ยื่นออกมาจากเขตหมู่บ้าน.
ประเพณี และระบบความเชื่อ:
สังคมคนไทลาว เป็นสังคมที่มีลายอักษรรู้หนังสือ นับถือพระพุทธศาสนา มีขนบธรรมเนียม และจารีตประเพณีของความเป็นเมืองอยู่ก่อนแล้ว คนไทลาวจึงใช้การนับถือพระพุทธศาสนา และการนับถือผีเป็นแกนกลางของระบบประเพณี พิธีกรรม สามารถสร้างความสมดุลในระบบความเชื่อทั้งสอง ทำให้เกิดการดำรงชีวิตที่ราบรื่น และมั่นคงมีจิตใจที่ดีกว่าชนชาติอื่น ๆ...
คนไทลาวในภาคอีสานจะนับถือผีบ้าน หรือเรียกว่าผีปู่ตา หรือผีตาปู่ ซึ่งชุมชนบ้านไทลาวต้องมีศาลปู่ตา ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในบริเวณใดบริเวณหนึ่งภายในหรือใกล้กับหมู่บ้าน มักเป็นบริเวณที่แยกจากเขตเรือนและมีต้นไม้ใหญ่ปกคลุม แสดงเป็นเขตเฉพาะที่ใครจะมาหักโค่นต้นไม้ไม่ได้จนมักมีผู้กล่าวว่าศาลผีปู่ ตาเป็นสิ่งที่ช่วยอนุรักษ์ป่าไม้ไว้ได้เหมือนกัน ศาลปู่ตาเป็นศาลของผีบ้าน มีเจ้าจ้ำหรือหมอจ้ำเป็นผู้ที่ติดต่อวิญญาณ ณ บริเวณศาลปู่ตา ศาลปู่ตาจึงเป็นผีบรรพบุรุษของคนในบ้านที่เวลามีการโยกย้ายถิ่นฐาน ผู้คนในบ้านต้องพามาด้วยเพื่อคอยปกป้องคุ้มครองมักมีการเซ่นไหว้ประจำปีโดย ผ่านเจ้าจ้ำหรือหมอจ้ำเป็นผู้นำประกอบพิธีกรรมเป็นเสมือนการบอกกล่าวในยาม ที่มีความเดือดร้อนเกิดขึ้น เช่น ก่อนทำนาจะต้องมีการบอกกล่าว หรือเรียกว่าเลี้ยงผีตาแฮก เป็นต้น อาจกล่าวได้ว่าผีปู่ตา คือผีผู้ดูแลและให้ความร่มเย็นเป็นสุขแก่ผู้คนในหมู่บ้าน แต่หากคนไม่อยู่ในจารีตประเพณีที่ดีงามแล้วจึงเป็นการละเมิดผีละเมิดกฎของ ชุมชน และอาจถูกผีปู่ตาลงโทษให้เกิดความเดือดร้อน และความวิบัตินานาประการแก่ผู้คนในชุมชนได้
การสร้างบ้านเรือนของชาวบ้านไทลาว ในบริเวณแอ่งสกลนคร พบว่า บ้านเรือนของไทลาวจะเป็นบ้านเรือนเพื่ออยู่อาศัย จึงไม่ได้ประณีตบรรจงสร้างมากกว่า บ้านของไทลาวที่มีฐานะปานกลางจะมีการสร้างบ้านเรือนที่เป็นเอกลักษณ์ คือ เป็นบ้านเรือนขนาด 2 ห้องนอน คือ มีห้องส้วม ซึ่งหมายถึงห้องของลูกสาวและหอของลูกสาว และหอเปิง หมายถึง ห้องของหัวหน้าครอบครัว และมีหิ้งผีบรรพบุรุษอยู่ที่มุมห้องหรือแจห้อง บางครั้งจะเรียกห้องนี้ว่าห้องฮักษา นอกจากนี้ยังมีส่วนที่เป็นบริเวณชาน จะติดกลับครัวที่มีขนาดเล็ก เป็นส่วนใหญ่ มีใต้ถุนสูง เพื่อใช้เป็นลานทอผ้า เก็บเครื่องมือทำนา และคอกวัว - ควาย ส่วนเล้าข้าวจะตั้งอยู่ติด ๆ กับตัวบ้าน ขนาดของเล้าจะบ่งบอกถึงฐานะของเจ้าของบ้านหลังนั้น ๆ เล้าข้าวของไทลาวจะนิยมทำด้วยไม้ที่ทนต่อการกินของปลวก เช่น ไม้แดง ไม้เต็ง เป็นต้น
อาหารของชาวไทลาว: จะรับประทานข้าวเหนียวเป็นหลัก อาหารของชาวไทลาว คือ อาหารเครื่องจิ้ม เช่น แจ่วบอง ป่นนานาชนิด เช่น ป่นเขียด ป่นกบ ป่นปลา เป็นต้น ในงานเทศกาลสำคัญของชาวไทลาวจะมีอาหารพิเศษ เช่น ลาบหมู ลาบไก่ ลาบปลา ลาบวัว ก้อยกุ้ง ก้อยเนื้อ ก้อยหอย เนื้อวัว – เนื้อควายย่าง แกงต่าง ๆ ของชาวไทลาวจึงเรียกว่า อ่อม ส่วนอาหารหลักประจำวันคือส้มตำมะละกอ.

การละเล่นเครื่องดนตรี: โดยส่วนมากพบว่า ชาวไทลาวเป็นกลุ่มคนที่รักสนุก จิตใจร่าเริง อาจด้วยความทุกข์ลำบากของสภาพแวดล้อมที่ฝนแล้ง น้ำท่วม หนาวจัด ในบางฤดูกาลที่ผันแปรตลอด ทำให้ชีวิตของชาวไทลาวต้องอาศัยการละเล่นที่สนุกสนานสอดแทรกในชีวิตตลอด เสมือนกับการหาทางออกที่รื่นรมย์ให้กับชีวิต ชาวไทลาวจะมีการร้องลำในแบบหมอลำเซิ้ง โดยใช้เครื่องดนตรีประกอบที่สำคัญคือ แคน พิณ กลอง นอกจากนั้นยังมีความบันเทิงอีกแบบ คือ หนังปะโมทัย หรือหนังตะลุง กำลังจะสูญหายไปกับบรรพบุรุษที่เล่นหนังปะโมทัย เพราะการขาดคนรุ่นใหม่สืบทอดนั่นเอง
พิธีกินดอง: คนไทลาวที่เป็นหนุ่มสาวจะมีพิธีสำคัญในชีวิตการเลือกคู่ครอง และเข้าสู่พิธีแต่งงาน หรือพิธีกินดองหนุ่มสาวไทลาวจะค่อนข้างได้รับอิสระจากพ่อแม่ในการเลือกคู่ ครอง คือ พ่อแม่จะไม่ค่อยเคร่งครัดในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างหนุ่มสาวไทลาวจะ ตระหนักถึงคำสอนของพ่อแม่ในเรื่องการผิดผี หรือการเกรงกลัวผีบรรพบุรุษไม่กล้าที่จะประพฤติล่วงประเพณี หรือเรียกว่าผิดผีฮีตบ้านคองเมือง
เครื่องแต่งกาย: ของกลุ่มไทลาวในสมัยอดีต ผู้หญิงจะนุ่งผ้าซิ่นยาวปิดเข่า จะตกแต่งชายผ้าซิ่น เรียกว่า ตีนซิ่น ซึ่งนิยมตีนซิ่นสีน้ำเงินเข้ม สีหม้อดินแทรกทางลงสีขาว ปกติใช้ผ้าฝ้าย หากเป็นพิธีการจะใช้ผ้าไหม เสื้อแขนกระบอกเกล้าผมมวยสูง หากมีอายุแล้วฝ่ายหญิงจะเกล้าผมมวยต่ำไว้ที่ท้ายทอย ห่มสไบทับหรือเรียกว่าผ้าเบี่ยงหรือห่มเบี่ยง ส่วนฝ่ายชายจะนุ่งกางเกงเรียกตามภาษาถิ่นว่า โซ่ง เป็นกางเกงยาวเหนือเข่าหรือเสมอเข่า เสื้อคอกลม ผ่าหน้าติดกระดุม แขนกระบวก ผ้าขาวม้าคาดเอว บางครั้งจะนุ่งโสร่งผ้าไหม ซึ่งมักจะเป็นงานพิธีการจะนิยมสวมใส่ผ้าไหม

ประเพณี: จะเปิดโอกาสให้หนุ่มสาวได้ร่วมกิจกรรมด้วยกันเสมอ ที่สำคัญคือการลงข่วง คือในช่วงเวลากลางคืน หนุ่ม ๆ จะมาช่วยสาว ๆ ปั่นฝ้าย และเกี้ยวพาราสีกันได้ในงานบุญประเพณีต่างๆ เช่น จัดที่วัด จะเปิดโอกาสได้พบปะพูดคุยกัน หากชอบพอกันก็จะตามกันไปเยี่ยมเยือนกันที่บ้านฝ่ายหญิง และสัมพันธ์ต่อเนื่องกันจนชอบพอกัน ซึ่งจะอยู่ในสายตาของพ่อแม่ตลอดจนถึงขั้นรักชอบพอ และจะสู่ขอกันในพิธีกินดองต่อไป
การกินดอง: เป็นการเลี้ยงในพิธีแต่งงานที่จัดเป็นพิธีใหญ่ คือ ฝ่ายชายและฝ่ายหญิงจะเป็นผู้ที่อยู่ในครอบครัวที่มีฐานะ มีหน้ามีตาของหมู่บ้าน ฝ่ายหญิงสาวจะรู้ว่าพ่อแม่ของตนเองเป็นผู้ที่ชาวบ้านนับถือ เมื่อสมัครใจรักกับหนุ่มคนไหนจะไม่ยินยอมให้ฝ่ายชายมาซูน แตะต้อง เพราะถือว่าเป็นการไม่รักษาหน้าพ่อ แม่ ญาติพี่น้อง ดังนั้น ฝ่ายหญิงสาวจะให้ฝ่ายชายมาสู่ขอตามประเพณีการสู่ขอเพื่อแต่งงาน เรียกว่า โอม หรือ โอมสาว
พิธีโอม การสู่ขอ: จะเริ่มต้นเมื่อฝ่ายชายส่งแม่สื่อหรือแม่ล่ามไปทาบทามความสมัครใจจากฝ่าย หญิง โดยแม่สื่อจะไต่ถามและบอกข่าวว่า บุตรชายบ้านนั้นต้องการจะมาโอมบุตรสาว โดยพ่อแม่จะเรียกบุตรสาวมาถามความสมัครใจ หากฝ่ายหญิงสมัครใจก็จะทำพิธีโอม โดยแม่สื่อจะปรึกษากับฝ่ายผู้ใหญ่ของฝ่ายสาวเรื่องการกำหนดทำพิธีโอม ถึงวันกำหนดทำพิธีโอมกัน เจ้าโคตรฝ่ายชาย เจ้าโคตรคือบุคคลที่เป็นผู้ใหญ่หรือผู้อาวุธโสของตระกูล จะเป็นเฒ่าแก่จัดพานหมาก 4 คำ หรือเรียกว่าขันหมาก กับเงิน 3 บาท ไปบ้านเจ้าสาว บิดา มารดา ญาติพี่น้องต้อนรับเจ้าโคตรฝ่ายชายที่เป็นเฒ่าแก่มาสู่ขอ (หรือมาโอม) ตามสมควร เมื่อทั้งสองฝ่ายได้นั่งตามสมควรแล้ว เฒ่าแก่ฝ่ายชายจะยกพานหมาก 4 คำ มีผ้าขาวปิดไว้ ให้บิดามารดาของฝ่ายสาวกิน และรับเงิน 2 บาทที่อยู่ในพานนั้นด้วย เงินนี้เรียกว่า เงินไขปากคอ การรับเงินแสดงว่าฝ่ายสาวตกลงใจแล้ว หากไม่ตกลงฝ่ายสาวจะส่งเงิน 3 บาทคืน ครั้นเมื่อพิธีโอมเสร็จแล้วทั้งสองฝ่ายจะปรึกษาค่าสินสอดกัน เรียกว่า คาดค่าดอง และต่อมาจึงทำพิธีแต่งงานตามกำหนดเวลาฤกษ์ดีของเจ้าโคต!!!

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ທ່ານ specom ທີ່ນັບຖື


ເຫັນແຕ່ ຮູບຢູ່ ທູບ, ໄທບໍ່ຢາກຕຳນິບໍ່ຄື ບໍ່ເຫັນມີໃນຫນັງສືພິມ ຫລື ວ່າລົງຂ່າວ ພໍຄືຯ.​ ຢ້ານວ່າ ສົ່ງມາໃຫ້ ໄທນ້ອຍໂພດ ເລີຍທຳທ່າວ່າ ໂຕເອງເປັນຄົນດີ.​ ນາຍຫນ້າ ກໍ່ແມ່ນ ຄົນໄທ ຈຳນ່າຍ ກໍແມ່ນ
ຄົນໄທ ຂາຍຢາເສບຕິດ ກໍ່ແມ່ນຄົນໄທ ເສບຢາກໍແມ່ນຄົນໄທ.


ຄົນລາວກໍ່ມີສ່ວນ ໂດຍບໍ່ຣິສັດ ຜຣິດຢາຝິ່ນ ຂອງພັກ ແລະ ລັດ, ປູກຢາຝິ່ນ ແມ່ນລາວ, ຜລິດເປັນຢາເສບຕິດ ໂດຍບໍ່ຣິສັດ ໄກສອນ ແລະ ຄຳໄຕ, ສົ່ງໄປໄທກໍ່ແມ່ນ ພນັກງານຂອງລັດ.
ຍ້ອນດັ່ງນັ້ນ ລາວຈະລຸດພົ້ນຈາກປະເທດທີ່ທຸກ ມາເປັນປະເທດທີ່ຮັ່ງມີຢາເສບຕິດ.


ຮັກແພງ
ຕັນ
ເບິ່ງຄວາມ ອົງອາດຂອງພນັກງານລັດ ສປປລ ຄ້າຢາເສດຕິດ ໂດຍໃຊ້ພາຫະນະຂອງອົງການຊ່ວຍເຫືລອລາວ


http://www.youtube.com/watch?v=8D-ptU-Es3w&feature=player_embedded


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ไทยจะมีวิกฤตคนชราจริงหรือ?



โดย ใจ อึ๊งภากรณ์



พวกนักการเมืองฝ่ายทุน และนักวิชาการฝ่ายขวาจากสำนักเสรีนิยมกลไกตลาด (neoliberal) ในตะวันตก พูดมานานว่าในประเทศพัฒนามี “วิกฤตคนชรา” เพื่อให้ความชอบธรรมกับการตัดสวัสดิการบำเหน็จบำนาญ และบังคับให้คนงานทำงานนานขึ้นก่อนเกษียน ข้ออ้างเท็จของพวกนี้คือการที่คนชรามีอายุยืนนานขึ้น และการที่สัดส่วนคนในวัยทำงาน เมื่อเทียบกับคนเกษียนมีมากขึ้น



ตอนนี้ในไทยดร.สราวุธ ไพฑูรย์พงษ์ และดร.มัทนา พนานิรามัย จากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI)[1] “เตือน” ว่าคนทำงานในปัจจุบัน จะต้อง “ทำใจยอมรับการทำงานที่ยาวนานขึ้น” รวมทั้งต้องเก็บออมให้เพียงพอต่อการใช้ตลอดชีวิตเมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ พร้อมกันนั้นมีการกล่าวว่า ในไทยในปี๒๕๕๒ มีสัดส่วนวัยแรงงานที่สามารถเกื้อหนุนการดูแลผู้สูงอายุได้โดยเฉลี่ย วัยแรงงาน 4 คนต่อผู้สูงอายุ 1 คน แต่ในอีก 30 ปีข้างหน้าจะเปลี่ยนเป็นวัยแรงงาน 1.6 คนต่อการดูแลผู้สูงอายุ 1 คน



ทางออกของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยนี้ คือ “ควรดำเนินการให้มีการบริโภคอย่างฉลาดและลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น ส่งเสริมให้มีรายได้จากการทำงานเพิ่มขึ้น โดยส่งเสริมให้ทำงานในระบบมากขึ้นและได้รับการคุ้มครองแรงงานเพื่อให้ผู้สูงอายุมีงานทำ มีรายได้ และมีการส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งทุนต่าง ๆ เพิ่มขึ้น รวมทั้งส่งเสริมการออมเพื่อชราภาพมากขึ้น”



ซึ่งทั้งหมดที่ TDRI เสนอมานี้ เป็นการโยนภาระให้คนจน ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ในไทย ต้องดูแลตนเอง ทำงานนานขึ้น และต้องใช้แนวเศรษฐกิจพอเพียง เพราะมีการมองว่าคนธรรมดาในปัจจุบันยากจนเพราะใช้จ่าย “ฟุ่มเฟือย”



สรุปแล้วไม่มีการพิจารณาภาพรวมของสังคมไทย และข้อถกเถียงต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ในแวดวงวิชาการระดับโลกเลย นักวิชาการฝ่ายขวาไทยเสนอแนวคิดของตนเหมือนกับว่าเป็น “ข้อมูลวิทยาศาสตร์” ตามเคย



ในภาพรวม สิ่งที่นักวิชาการ TDRI จงใจมองข้ามคือ คนส่วนใหญ่ที่ทำงานในประเทศไทย ได้รับค่าตอบแทนน้อยเกินไป เพราะมูลค่าส่วนใหญ่ที่เขาร่วมกันผลิต ไม่ว่าจะในภาคอุตสาหกรรม ภาคเกษตร หรือภาคบริการ กลับตกอยู่ในมือของคนส่วนน้อยที่เป็นนายทุน นักการเมือง และอภิสิทธิ์ชนที่ไม่เคยทำงานเลย นี่คือสาเหตุที่ในปี ๒๕๕๒ คนรวยที่สุดในไทย 20% ครอบครอง 59% ของทรัพย์สินทั้งหมด ในขณะที่คนจนที่สุด 20% ครองแค่ 3.9%[2] และดัชนีวัดความเหลื่อมล้ำ (Gini Coefficient) ของไทยสูงกว่าประเทศจีนและประเทศอินเดีย คือสูงถึง 0.54 เมื่อเทียบกับจีน 0.42 และอินเดีย 0.37[3] พูดง่ายๆ คนส่วนใหญ่ที่ทำงานในประเทศไทยสร้างเศรษฐกิจให้เจริญ แต่ไม่ได้ผลตอบแทนอย่างเป็นธรรม แล้วพอพ้นวัยทำงานก็ถูกนายทุนทอดทิ้งไปเลย มันเป็นสถานการณ์ที่ขัดกับศีลธรรมพื้นฐานโดยสิ้นเชิง และในสถานการณ์แบบนี้ TDRI เสนอให้คนจนออมเพิ่มผ่านการลดค่าใช้จ่าย เพราะสำนักวิชาการฝ่ายขวานี้ ปฏิเสธมาตรการทุกชนิดที่จะกระจายความร่ำรวยอย่างเป็นธรรมไปสู่พลเมืองทุกคน



นอกจากนี้มีประเด็นรายละเอียดสำคัญๆ หลายประเด็นที่นักวิชาการจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยนี้ ปิดหูปิดตา ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ไม่ยอมพิจารณา ดังนี้คือ



1. ไม่มีการยอมรับความจริงทางเศรษฐกิจว่าใน 30-50 ปีข้างหน้าจะมีการพัฒนาประสิทธิภาพการทำงานในประเทศไทย ซึ่งจะเพิ่มความสามารถของคนในวัยทำงานที่จะดูแลคนชรา นอกจากนี้ในทุกประเทศการชะลอของอัตราเกิดที่ทำให้สัดส่วนคนชราเพิ่มขึ้นเป็นปรากฏการณ์ชั่วคราวเท่านั้น เพราะในที่สุดสัดส่วนนั้นจะคงที่และไม่เปลี่ยนอีก อย่างเช่นในกรณีอังกฤษซึ่งมีคนชรา 20% เหมือนกับ 20ปี ก่อน และที่สำคัญอีกคือในประเทศที่อัตราการเกิดตกต่ำกว่าอัตราการตายเป็นเวลานาน การขาดแรงงานแก้ได้โดยการเปิดพรมแดนต้อนรับคนงานจากที่อื่นได้ ประเทศไทยก็ไม่ต่าง



2. แทนที่จะเสนอว่าในสังคมไทยควรมีการเพิ่มเงินเดือนอย่างเป็นระบบ เพื่อให้คนสามารถออมได้ และจ่ายค่าประกันสังคม และเพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำมหาศาลระหว่างนายทุนคนรวยกับประชาชนส่วนใหญ่ พวกนักวิชาการสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย เสนอว่าคนธรรมดาควร “ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น” และ “รู้จักออม” หรือไม่ก็ควรมีงานทำ “ในระบบ” แต่จริงๆ แล้วในประเทศไทยควรมีการเพิ่มระดับค่าจ้างขั้นต่ำไปสู่ปีละ 10,000 บาทเป็นอย่างน้อย และควรมีการจำกัดระดับรายได้ของเศรษฐีผู้ที่มีรายสูง ผ่านการเก็บภาษี Super Tax อย่างที่อาจารย์ปรีดีเคยเสนอ



แน่นอนพวกเสรีนิยมจะค้านว่า การเพิ่มรายได้ให้คนทำงานและการเก็บภาษีสูงจากเศรษฐีจะทำลาย “แรงจูงใจในการลงทุน” ของคนรวย แต่ตรรกะเสรีนิยมนี้ คือการเสนอว่าระบบเศรษฐกิจอยู่ในมือ “โจรโลภมาก” ที่เราต้องเอาใจเสมอ และ “เราไม่มีทางเลือกอื่น”



3. นักวิชาการ TDRI ไม่มีการนำตัวเลขมูลค่าทั้งปวงที่คนงานไทยสร้างขึ้นในระบบเศรษฐกิจ มาเปรียบเทียบกับรายได้และสวัสดิการอันน้อยนิดของเขา ไม่มีการพิจารณาตัวเลขงบประมาณทหาร และงบประมาณพิธีกรรมต่างๆ ของอภิสิทธิ์ชน เพราะถ้าทำอย่างนั้นเราจะเห็นว่าในสังคมไทย มูลค่าที่คนส่วนใหญ่ผลิตขึ้นด้วยการทำงาน กลับถูกใช้โดยคนอื่นในทางที่ผิด และยิ่งกว่านั้นคนที่พยายามพูดเรื่องแบบนี้จะถูกขู่ว่าเป็นพวก “ล้มเจ้าไม่เคารพกองทัพ” เป็นต้น





สถานการณ์สากล

ในระดับสากล ก่อนที่จะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลกปีค.ศ. 2008 นักวิชาการและนักการเมืองเสรีนิยมเสนอว่าคนชราทั่วไปในสังคม “เป็นภาระ” ถึงขั้นวิกฤต ความคิดนี้นอกจากจะไม่ระลึกถึงบุญคุณที่เราควรจะมีต่อคนทำงานรุ่นก่อน ที่สร้างเศรษฐกิจเราให้เจริญแล้ว ยังเป็นความเชื่อเท็จที่เสนอไปเพื่อเพิ่มอัตรากำไรให้บริษัทและกลุ่มทุน เพราะพวกนี้กำลังเสนอว่าบำเหน็จบำนาญของคนชรา “แพงเกินไป” ในยุโรปความเชื่อนี้นำไปสู่การยืดเวลาทำงาน มีการพยายามขยายอายุเกษียนถึง 65 หรือ 67 มีการเรียกเก็บเงินสมทบเพิ่ม และมีการกดระดับสวัสดิการอีกด้วย



“วิกฤตของกองทุนบำเหน็จบำนาญ” ที่นักการเมืองและนักวิชาการเสรีนิยมพูดถึง ไม่ได้มาจากการที่มีคนชรามากเกินไปแต่อย่างใด แต่มาจากการที่รัฐบาลและบริษัทลดงบประมาณที่ควรใช้ในการสนับสนุนกองทุนดังกล่าว และไม่ยอมเก็บภาษีในอัตราเดิมสมัยที่เริ่มสร้างรัฐสวัสดิการ เป้าหมายคือการเพิ่มอัตรากำไรโดยทั่วไป



ประเด็นเรื่องคนชราเป็นประเด็นที่เกี่ยวกับการแบ่งมูลค่าในสังคมที่คนทำงานสร้างขึ้นมาแต่แรก บำเหน็จบำนาญเป็นเงินเดือนที่รอจ่ายหลังเกษียน ไม่ใช่เงินของรัฐหรือนายทุน แนวคิดเสรีนิยมต้องการจะรุกสู้เพื่อให้ฝ่ายนายทุนได้ส่วนแบ่งมากขึ้นจากคนทำงาน ผลเห็นชัดที่สุดในสหรัฐอเมริกาเพราะระดับรายได้ของคนธรรมดาในสหรัฐในปีค.ศ. 1993 แย่ลงกว่า 20ปี ก่อนและคนงานสหรัฐส่วนใหญ่ต้องทำงานเพิ่มอีกหลายวันต่อปี ในขณะเดียวกันสัดส่วนมูลค่าการผลิตที่ตกกับผู้บริหารและเจ้าของทุนมีการเพิ่มขึ้นมหาศาล



ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจโลกที่เริ่มในปีค.ศ. 2008 รัฐบาลตะวันตกหลายแห่ง ผลักดันแนวเสรีนิยมและเสนอว่าคนงานทุกคนต้องทำงานนานขึ้นก่อนเกษียน มีการเสนอว่าทุกคนต้อง “ทำใจ” ยอมรับการตัดบำเหน็จบำนาญ และต้องพร้อมจะจ่ายเงินสมทบบำเหน็จบำนาญสูงขึ้น ข้อแก้ตัวใหม่ที่รัฐบาลเหล่านี้ใช้คือปัญหาหนี้สินของรัฐ แต่เขาไม่ซื่อสัตย์พอที่จะยอมรับว่าหนี้ภาครัฐมาจากการอุ้มธนาคารที่ล้มละลายจากการปั่นหุ้นในตลาดเสรี ดังนั้นพวกนี้พร้อมจะให้คนธรรมดาแบกรับภาระวิกฤตที่นายธนาคารและนายทุนสร้างแต่แรก ในขณะเดียวกันพวกนายทุนและนักการเมืองก็ขยันดูแลตนเอง โดยรับประกันว่าพวกเขาจะได้บำเหน็จบำนาญหลายร้อยเท่าคนธรรมดาเมื่อตนเองเกษียน นี่คือสาเหตุที่เกิดการประท้วงนัดหยุดงานของสหภาพแรงงานในหลายประเทศ



ทางออกในการแก้ปัญหาที่ดีกว่าข้อเสนอของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย



1. ประเทศไทยต้องสร้างรัฐสวัสดิการ ที่มีระบบประกันสังคมถ้วนหน้าสำหรับวัยชรา เพื่อให้คนเกษียนมีชีวิตอยู่ได้ด้วยศักดิ์ศรี โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาคนในครอบครัว หรือพึ่งตนเองท่ามกลางความยากจน



2.ต้องมีการปรับเพิ่มค่าแรงอย่างมาก เพื่อให้พอเพียงสำหรับประชาชนทุกคน และเพื่อให้ทุกคนสามารถออมและจ่ายเงินสมทบทุนประกันสังคมได้อีกด้วย ซึ่งหมายความว่าเราต้องร่วมรณรงค์ให้สหภาพแรงงานมีเสรีภาพ อำนาจต่อรอง และความมั่นคงมากขึ้น



3. ต้องมีการสร้างงานในระบบที่มั่นคง ผ่านมาตรการของรัฐ โดยเฉพาะหลังน้ำท่วม



4. ต้องมีการเก็บภาษีจากคนรวย และกลุ่มทุน พร้อมกับตัดงบประมาณทหาร เพื่อช่วยกระจายรายได้และสร้างการมีส่วนร่วม และประชาธิปไตย





สิ่งเหล่านี้เราทำได้ เพราะสังคมอื่นก็ทำได้ แต่ถ้าจะทำ เราต้องร่วมกันผนึกขบวนการประชาธิปไตยกับขบวนการที่สร้างความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจ และส่วนสำคัญของขบวนการนี้ต้องเป็นสหภาพแรงงาน



ประเทศไทยจะไม่มีวิกฤตคนชราในอนาคต แต่ตอนนี้มีวิกฤตของความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองต่างหาก



--------------------------------------------------------------------------------

[1] ดู ประชาไท 21 ธันวาคม 2011 www.prachatai.com/journal/2011/12/38415

[2] Wolfram Mathematica 2011.

[3] The Economist 20 July 2011 และธนาคารโลก



--
ใจ อึ๊งภากรณ์
+44(0)7817034432
http://redthaisocialist.com/



__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

เสาร์เช้า ๙ ทันบอด ประจำวันที่ 14-01-55

http://www.mediafire...g6gll89e61jj4te

http://www.2shared.c...__14-01-55.html

http://www.4shared.c...__14-01-55.html


www.siengserixonlao.com


Seeds of Democracy ประจำวันที่ 13-01-55 เขาคอยคิดเข่นฆ่ารอล่าล้าง เรากลับวางใจกราบทราบภัยไหม


http://www.mediafire.com/?5af649v8bb1gp5r
http://www.4shared.com/mp3/sv75MRRP/Seeds_of_Democracy__13-01-55__.html

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 


ตร.ปิดสำนวนปล้นบ้าน "ปลัดสุพจน์" ผกก.วังทองหลางเผย "คดีแปลก" เจอครั้งแรกในชีวิต!!!

วันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2555 เวลา 21:30:00 น.ມະຕິຊົນ ລາວປົ້ນເຈັກ


พ.ต.อ.ธวัช




พ.ต.อ.ธวัช วงศ์สง่า ผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาลวังทองหลาง เปิดเผยความคืบหน้าคดีคนร้ายปล้นบ้านนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม ว่า การสอบสวนคาดจะสรุปสำนวนภายในสัปดาห์หน้า ใช้เวลาเกือบ 3 เดือน ตั้งแต่เหตุเกิดเมื่อค่ำวันที่ 12 พฤศจิกายน 2554 จนถึงขณะนี้ในการรวบรวมพยานหลักฐาน พยานบุคคล พยานทางนิติวิทยาศาสตร์ ที่เชื่อมโยงจนสามารถนำตัวผู้ต้องหาไปเสนอฟ้องต่อพนักงานอัยการ สัปดาห์หน้าคงเรียบร้อย


ทั้งนี้ มีผู้ต้องหาในสำนวนคดีที่จะถูกฟ้องทั้งหมด 9 คน ยังเหลือที่ออกหมายจับเรียบร้อยแล้วยังติดตามตัวอยู่อีก 3 คน สำหรับหลักทรัพย์ของผู้เสียหายนั้นปลัดสุพจน์ยืนยันว่ามี 5 ล้านบาทเศษ ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง คงเป็นเรื่องของพนักงานสอบสวนที่จะรวบรวมพยานหลักฐานต่อไปว่าจะเข้าข่ายให้ การเป็นเท็จหรือไม่ ตอนนี้ทางตำรวจยังรอผลการสอบสวนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต แห่งชาติ(ป.ป.ช.)และคณะกรรมการป้องกันการปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.)เรื่องของ จำนวนเงินว่าเป็นของใคร มีที่มาที่ไปอย่างไร


"แต่ทางตำรวจไม่จำเป็นต้องรอ เพราะสามารถแจ้งความดำเนินคดีได้ ถ้าได้หลักฐานปรากฎชัดว่าท่านให้การเท็จ ตอนนี้เป็นเรื่องที่ผู้เสียหายยืนยันกับพนักงานสอบสวนว่าเงินเสียหายไปเท่า นี้ เราคงไม่ทำอะไรตรงนั้นได้ เพราะเป็นสิทธิ์ที่จะให้การ ก็ต้องรับฟัง เว้นว่ามีหลักฐานอื่นที่ชัดเจนว่าเงินเหล่านี้เป็นของใคร ถ้าไม่ใช่ ท่านก็เข้าข่ายที่จะให้การเท็จได้"


พ.ต.อ.ธวัช กล่าวว่า เงินของกลางที่ยึดได้จากผู้ต้องหาทั้งหมดมี 18 ล้าน โดยจำนวนเงินที่ผู้เสียหายให้การขัดกันกับจำนวนเงินที่ตามยึดมาได้ไม่มีผล ต่อรูปคดี แต่คดีแบบนี้ไม่ค่อยเคยเจอเท่าไหร่ลักษณะที่ผู้เสียหายให้การเรื่องจำนวน เงินที่น้อยกว่าที่ตำรวจยึดจากคนร้ายได้ ส่วนมากจะเป็นเรื่องที่ตำรวจยึดเงินมาไม่ครบ ซึ่งเป็นเรื่องปรกติที่คนร้ายอาจจะเอาไปใช้ เอาไปซุกซ่อน หรือยังไม่พูดความจริง ขอยืนยันว่าไม่มีผลอะไรต่อรูปคดี เพราะข้อหาที่ตำรวจแจ้งคือร่วมกันปล้นทรัพย์ ส่วนเรื่องจำนวนเงินเป็นเรื่องรายละเอียดที่ต้องรวบรวมไว้เป็นของกลาง แต่ถ้าไม่มีของใครก็จะตกเป็นของแผ่นดินต่อไป


"ในส่วนของท่านปลัดสุพจน์ยืนยันชัดเจนว่าเงินท่านมีแค่ 5 ล้าน เราคงไม่ไปคาดคั้นอะไรท่านได้มากกว่านี้ ก็เป็นสิทธิ์ของท่าน แต่ตำรวจต้องพยายามหาพยานแวดล้อม ยอมรับว่าค่อนข้างจะยากเหมือนกัน เพราะคนที่จะรู้คือตัวท่านปลัด คนใกล้ชิดท่าน แม่บ้าน คนในที่ทำงาน นี่คือความยากของการทำงาน เช่น เราถามแต่ท่านไม่อยากจะพูดในสิ่งที่เราอยากรู้มากนัก"


พ.ต.อ.ธวัช กล่าวว่าเรื่องการตามที่มาของเงินนั้นทาง ป.ป.ช.ดำเนินการไปแล้ว ส่วนกรณีที่เงินไม่ตรงกันนั้น ต้องว่ากันตามพยานหลักฐาน ยืนยันว่าตำรวจทำงานอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีไปทำอะไรนอกเหนือจากพยานหลักฐานที่รวบรวมได้


"ผมยืนยันว่าไม่มีแน่นอนที่ตำรวจจะไปเพิ่มเงินหรือไปทำอะไรที่ไม่ถูก ต้อง หรือสร้างประเด็น สร้างกระแสเพื่อไปปรักปรำ แต่มุ่งเพื่อนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ สำหรับผู้ต้องหาที่จับได้นั้นประสงค์ต่อทรัพย์แน่นอน เจตนาที่จะไปปล้นเงิน เป็นการกระทำผิดอาญา นอกเหนือจากนั้นอาจจะมองเรื่องการเมือง ความเชื่อมโยงเรื่องการทุจริตไหม ก็เป็นเรื่องที่สังคมอยากจะทราบ อยากจะรู้ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรก็คงต้องรอ ป.ป.ช.ซึ่งเมื่อวานได้นัดแจ้งรับทราบข้อกล่าวหาร่ำรวยผิดปรกติแล้ว ทางป.ป.ช.ก็คงมีหลักฐานว่าเงินนั้นมีที่มาที่ไปอย่างไร เป็นเรื่องที่ท่านปลัดต้องชี้แจงในรายละเอียดของจำนวนเงิน ส่วนเราก็คงสรุปสำนวนให้อัยการคดีปล้นทรัพย์"


ส่วนกรณีที่มีคนมองว่าตำรวจเชื่อโจรมากกว่าผู้เสียหาย พ.ต.อ.ธวัช กล่าวว่า อย่าพูดคำว่าเชื่อ ในส่วนของผู้ต้องหานั้นตามกฎหมายจะให้การอย่างไรก็ได้ แต่ไม่ใช่ว่าตำรวจจะเชื่อเลย แต่ต้องรวบรวมหลักฐานแวดล้อมอื่นๆ ประกอบด้วย เช่น พยานบุคคล การตามไปยึดเจอเงินมา และผู้ต้องหาก็รับสารภาพ ไปวางแผนกันที่ไหน เราไปตรวจสอบก็มีหลักฐานว่ามาพักจริง ไม่ได้อุปโลกน์กันขึ้นมา ไม่ใช่พูดกันลอยๆ ขอให้มั่นใจคดีนี้โปร่งใสตรงไปตรงมา รวมทั้งเงินของกลางยังอยู่ครบ เฝ้าระวังอย่างดี


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

การพูดเอาดีเข้าตัว เอาชั่วใส่คนอื่น ดูเหมือนว่ายังคงเป็นแนวทางอันเหนียวแน่นที่พรรคประชาธิปัตย์ในยุคที่มี “มาร์ค แอนด์ เดอะ แก๊งค์”ดูแลนั้น นิยมชมชอบเป็นอย่างมาก
ไม่น่าเชื่อเลยว่า ความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้ง เพราะประชาชนเบื่อหน่ายการดีแต่พูด ทำงานไม่เป็น หรือพอจนแต้มขึ้นมาก็จะพูดเอาดีเข้าตัว โยนผิดโยนชั่วไปให้คนอื่นนั้น ไม่ได้ทำให้เกิดอาการรู้สึกตัวเกิดขึ้นกับบรรดานักพูดกลุ่มนี้เลย
แม้ขนาดว่าคนเก่าคนแก่ในพรรคพยายามที่จะสะกิดเตือนก็ไม่มีการสนใจรับฟัง เพราะแม้ปากจะอ้างให้ดูหรูดูดีเข้าตัวว่า จะเล่นการเมืองอย่างสร้างสรรค์ แต่ในความเป็นจริงกลับเป็นคนละเรื่อง
ตัวอย่างล่าสุดที่เห้นได้ชัดก็คือ กรณีการที่จะต้องหาทางแก้ไขปัญหาหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน จำนวน 1.14 ล้านล้านบาท
ซึ่งเรื่องนี้คนในวงการสถาบันการเงิน คนในธนาคารแห่งประเทศไทย คนในกระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวกับหนี้ก้อนนี้ ล้วนรู้ดีถึงที่มาที่ไปว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร!
ที่สำคัญลึกๆแล้วใครเป็นคนที่ปล่อยปละละเลย จนต้องเกิดปัญหากับระบบสถาบันการเงินขึ้นมา จนสุดท้ายจึงต้องมีการตั้งกองทุนฟื้นฟูฯขึ้นมารับภาระ
ในช่วงรัฐบาลของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อปี 2540 ธนาคารแห่งประเทศไทย ผิดพลาดในการที่เข้าไปปกป้องค่าเงินบาทจากการโจมตีของ จอร์จ โซรอส จนทำให้ประเทศชาติถังแตก เงินกองทุนสำรองระหว่างประเทศเหลือสุทธิเพียง 7 พันล้านเหรียญ
สุดท้ายประเทศไทยต้องตกอยู่ภายใต้การกำกับของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ทำให้นายธารินทร์ นิมมานเหมินท์ รัฐมนตรีคลังในขณะนั้น ซึ่งอยู่ภายใต้รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งมีนายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นคนลงนามสั่งปิดสถาบันการเงิน 56 แห่ง โดยไม่มีมาตรการรองรับที่ครบถ้วน ทำให้สถาบันการเงินและธนาคารทรุดกันไปทั้งระบบ!

จนต้องมีการตั้งกองทุนฟื้นฟูขึ้นมาอุ้ม และกลายเป็นภาระหนี้ที่เป็น”มรดกบาป”ที่ตกทอดมาถึงทุกวันนี้….
เรื่องนี้นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการแบงก์ชาติคนปัจจุบัน นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รัฐมนตรีคลังคนปัจจุบัน ทั้งคู่เคยเป็นอดีตลูกหม้อแบงก์ชาติย่อมจะต้องรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี!
รวมทั้งนายกรณ์ จาติกวณิช คนที่ใฝ่ฝันว่าจะขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์แทนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เพื่อที่จะได้มีโอกาสขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีสักครั้งหนึ่งในชีวิตนั้น ก็ย่อมจะต้องรู้เรื่องดี
เพราะญาติของนายกรณ์ คือนายปิ่น จักกะพาก ที่ต้องหนีคดีไปอยู่อังกฤษก็เพราะการล้มของอาณาจักรเอก ที่เกิดจากความผิดพลาดในการควบคุมดูแลสถาบันการเงินของแบงก์ชาติ จนกลายเป็นวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540
สถาบันการเงินล้มกันระนาว ปิดฉากอาณาจักรเอกด้วย ฉะนั้นนายกรณ์ย่อมควรจะต้องรู้ชัดและจำได้ดี
ซึ่งแน่นอนว่า กูรูเศรษฐกิจระดับแถวหน้าของเมืองไทยอย่าง ดร.วีรพงษ์ รามางกูร หรือ ดร.โกร่ง ที่ผ่านประสบการณ์และได้เห็นวิกฤตครั้งแล้วครั้งเล่าที่เกิดขึ้นกับเศรษฐกิจไทย และรู้ดีว่าเกิดขึ้นเพราะฝีมือใค?
มารอบนี้เมื่อมาเจอการพยายามเบี่ยงเบนข้อเท็จจริงในเรื่องหนี้กองทุนฟื้นฟูฯจำนวนมหาศาล ของทางผู้บริหารแบงก์ชาติยุคปัจจุบัน ก็เลยเกิดอาการทนไม่ได้ และสวนหมัดเตือนสติเพื่อให้รู้ว่า....
ตลอดเวลาที่ผ่านมา แบงก์ชาติอย่าคิดว่าทำอะไรไว้แล้วคนจะไม่รู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลงานเลวร้ายในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง 2540 ซึ่งถือเป็นตราบาปของแบงก์ชาติครั้งสำคัญก็ว่าได้
ดร.โกร่ง ได้มีการพูดเอาไว้ชัดเจนมาโดยตลอดในเรื่องแบงก์ชาติ ปลายปีที่ผ่านมาก็มีการไปพูดทาง Money Channel ว่า...
ต้องยอมรับ ที่ผ่านมาแบงก์ชาติได้โยนภาระให้กับประชาชน ผู้เสียภาษีเป็นอย่างมาก จากการบริหารงานที่ผิดพลาดของแบงก์ชาติ การเข้าไปโอบอุ้มสถาบันการเงินของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ซึ่งสร้างภาระหนี้มากมายให้กับประเทศ และเป็นภาระการชดใช้ของกระทรวงการคลัง
“ที่ผ่านมาแบงก์ชาติสร้างวิกฤติมาเป็นระยะๆ ที่จริงเราไว้ใจแบงก์ชาติไม่ได้ ทุกสิบปีที่ผ่านมา แบงก์ชาติจะสร้างความเสียเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจ แต่ไปว่าฝ่ายการเมืองสร้างความฉิบหายให้กับประเทศ ทั้งที่ตนเองคนทำให้เกิดความฉิบหาย”
นี่คือคำพูดที่ ดร.วีระพงษ์ รามางกูร พูดตรงไปตรงมาเอาไว้ในวันนั้น…!!
แต่แทนที่ธนาคารแห่งประเทศไทยหรือแบงก์ชาติจะรู้สึกตัว และพัฒนาตัวเองขึ้นมาบ้าง กลับยังคงเส้นคงวากับการเรียกร้องอิสระ ไม่ต้องการให้กระทรวงการคลังหรือการเมืองเข้ามาแทรกแซง ทั้งๆที่การเข้ามาแทรกแซงนั้นจะเป็นการเข้าไปเพื่อการแก้ไขปัญหาก็ตาม
เพราะจริงๆแล้วในเรื่องของการที่จะต้องแก้ไขหนี้ของกองทุนฟื้นฟูฯนั้น เป็นเรื่องที่ทำกันมาระยะหนึ่งก่อนหน้ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แล้ว สำนักบริหารหนี้ของกระทรวงการคลังรู้ดีถึงดีลนี้ ตั้งแต่ตอนที่นางพรรณี สถาวโรดม เป็นผู้อำนวยการแล้ว และเมื่อประชาธิปัตย์พลิกขั้วการเมืองเข้ามาเป็นรัฐบาล นายกรณ์ เข้ามาเป็นรัฐมนตรีคลัง นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารหนี้ในขณะนั้นก็เป็นคนทำเรื่องการแก้ไขหนี้กองทุนฟื้นฟูฯให้นายกรณ์แล้วด้วย
แม้แต่นายจักรกฤศฎิ์ พาราพันธกุล ผู้อำนวยการสำนักบริหารหนี้คนปัจจุบัน ซึ่งขณะนั้นเป็นรองผู้อำนวยการ ก็เป็นคนที่ทำแผนในเรื่องการแก้ไขหนี้กองทุนฟื้นฟูฯนี้ด้วย
เพราะนายกรณ์ กระทรวงคลัง และแบงก์ชาติ รู้ดีว่าไม่แก้ไขไม่ได้ เนื่องจากกองทุนฟื้นฟูฯกำลังจะสิ้นสุดอายุลง แต่หนี้ไม่ได้สิ้นสุดเพราะแบงก์ชาติปลดหนี้ก้อนนี้ไม่ได้ แถมที่ผ่านมาหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ ตั้งแต่สมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย บริหารประเทศในปี 2541 ถึงรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีการนำงบประมาณของชาติซึ่งมาจากภาษีอากรของประชาชนมาจ่ายดอกเบี้ยให้ปีละประมาณ 65,000 ล้านบาท
รวมเป็นเงินที่จ่ายดอกเบี้ยไปแล้วทั้งสิ้นกว่า 600,000 ล้านบาทแล้ว โดยที่เงินต้นที่แบงก์ชาติต้องเป็นผู้ใช้หนี้พบว่ากว่า 13 ปีที่ผ่านมา เงินต้นลดลงไปเพียง 300,000 ล้านบาทเท่านั้น
กลายเป็นว่าหนี้กองทุนฟื้นฟูฯเป็นหนี้ที่ประชาชนต้องชดใช้อย่างไม่มีที่สิ้นสุดเช่นนั้นหรือ??
บางกอก ทูเดย์ ขอเตือนความทรงจำสังคม เตือนความทรงจำคนแบงก์ชาติ ว่าจำกันไม่ได้จริงๆหรือว่าหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ ที่ปัจจุบันมียอดคงค้างจำนวน 1.14 ล้านล้านบาทนั้น เป็นหนี้ที่เกิดจากการที่รัฐบาลนายชวน โดยนายธารินทร์ ลงนามปิดสถาบันการเงิน จนเกิดหนี้จำนวนนี้ขึ้นมาโดยที่ประชาชนไม่ได้เป็นผู้ก่อ!!
ถ้าตอนนั้นแบงก์ชาติไม่ได้ทำอะไรอิสระ แอบฝืนไปสู้ค่าเงินบาท จนขาดทุนเกือบ 800,000 ล้านบาท เงินทุนสำรองแทบหมดหน้าตัก สุดท้ายต้องปิดสถาบันการเงิน 56 แห่ง แต่ก็เอาไม่อยู่ ต้องให้รัฐบาลนายชวนช่วยโดยการขออำนาจแก้กฎหมายกองทุนฟื้นฟู กลายเป็นขาดทุนซ้ำอีก
จากนั้นก็ให้ ปรส.นำเอาทรัพย์สินสถาบันการเงินออกประมูลขาย โดยห้ามไม่ให้ลูกหนี้ประมูล แต่กลับเอาไปประเคนประมูลให้ต่างชาติเข้ามาเก็บของถูก แล้วไปฟันกำไรขายคืนให้ลูกหนี้ตามเดิม จนในที่สุดก็ขาดทุนรวมเป็นล้านล้านบาท
ผลงานของแบงก์ชาติในยุครัฐบาลนายชวน หลีกภัย ที่มีนายธารินทร์ นิมมานเหมินทร์ เป็นรัฐมนตรีคลัง น่าจะเป็นสิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์จำได้ดีไม่ใช่หรือ??? แม้ว่าจะไม่อยากพูดถึงโดยเฉพาะกรณีของ ปรส. ที่ถูกเรียกเป็นการขายชาติ-เป็นการปล้นชาตินั้น จำได้หรือไม่?
ตอนนั้นแม้แต่ สนธิ ลิ้มทองกุล ในนามปากกา พายัพ วนาสุวรรณ ก็ออกมาจวกเรื่อง ปรส. ออกมากะเทาะเปลือก..ธารินทร์ อย่างหนัก ในขณะที่ประชาธิปัตย์ดูเหมือนจะภาวนาให้เรื่องคดี ปรส.ขาดอายุความเสียที
แต่ความจริงก็คือความจริง ว่านี่คือต้นตอของหนี้สิน 1.14 ล้านล้านบาท ที่ประชาธิปัตย์ และแบงก์ชาติ พยายามบอกว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์กำลังจะสร้างปัญหา
ทั้งๆที่นี่คือความพยายามที่จะยุติปัญหาการที่ต้องเอาเงินภาษีของประชาชนมาอุดมาโป๊ะนานกว่า 13 ปีเข้าไปแล้วนั่นเอง
จึงไม่แปลกที่ ดร.วีรพงษ์จะทนไม่ได้ จนต้องออกทีวีแฉให้ประชาชนรู้ว่าอะไรเป็นอะไร โดยเฉพาะเรื่องหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ ซึ่งเป็นกองทุนหนึ่งในธปท. ผู้ว่าการธปท. เป็นผู้จัดตั้ง ผู้จัดการกองทุนก็เป็นเจ้าหน้าที่ธนาคาร กรรมการส่วนมากก็มาจากหน่วยราชการและของธปท.
แต่กลายเป็นว่าหนี้จะให้เป็นภาระกับรัฐบาล ซึ่งก็กลายเป็นข้อจำกัดต่อการทำโครงการทั้งหลาย อาทิ โครงการฟลัดเวย์ สร้างเขื่อน ก็ทำไม่ได้ เพราะยอดหนี้สาธารณะค้ำคออยู่ เนื่องจากตั้งไว้ไม่ให้เกิน 50 เปอร์เซ็นต์ ใช้งบประมาณรายจ่ายทั้งต้นทั้งดอกไม่ให้เกิน 15 เปอร์เซ็นต์ เหลืออีก 30 กว่าเปอร์เซ็นต์จะเอาไปทำอะไรได้
บัดนี้ ธปท.เข้มแข็งแล้ว มีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศเป็นอันดับที่ 17 ของโลก มีเงินสดอยู่ในมือ 3 ล้านล้านบาท แต่ก็บริหารขาดทุนหมด ทั้งๆ ที่มีอำนาจอยู่ในมือ ทำให้หนี้กลายเป็นหนี้ตลอดกาลอวสาน จึงกลายเป็นข้อจำกัดที่ทำให้เราไม่สามารถสร้างประเทศได้ ติดขัดวินัยการคลังอยู่ ทั้งที่ไม่ใช่รัฐบาลทำกลับมาโยนให้
ตอนนี้ธปท.เข้มแข็งแล้วต้องขอคืนไป เราจะได้กลับมาพัฒนาประเทศและสร้างอนาคตของชาติต่อไป
“สังคมไทยไว้ใจ ธปท. แต่ไม่ไว้ใจรมว.คลัง และนักการเมือง ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาเป็นฝีมือธปท.ทั้งสิ้น ถ้าปิดประตู ไม่ให้รมว.คลังทำกำไรได้ แบงก์ชาติก็เป็นรัฐอิสระร้อยเปอร์เซ็นต์แทน และชอบพูดให้สังคมไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีซึ่งขัดกับหลักประชาธิปไตย เพราะคณะรัฐมนตรีและนักการเมืองมาจากประชาชน ส่วนแบงก์ชาติไม่ได้มาจากประชาชนเลยแต่กลับมาพูดไม่ให้ไว้วางใจนักการเมือง จึงควรเปิดประตูไว้บ้างไม่ใช่ปิดประตูตายเลย”
ที่สำคัญ ดร.วีรพงษ์ยืนยันว่า เรื่องนี้เป็นอำนาจของธปท.ที่ต้องไปดูแล เราไม่อยากไปแตะต้อง หากธปท. ไม่ทำอะไรเลย หนี้ก้อนดังกล่าวของกองทุนฟื้นฟูฯ คงเป็นหนี้ไปตลอดกาลอวสาน กินแต่เงินภาษีประชาชนไปเรื่อยๆ ถ้าจะต่อว่าต้องต่อว่าธปท.
นี่คือความจริงที่สังคมต้องฟังกันด้วยเหตุผลและข้อเท็จจริง จึงจะรู้ว่า ดร.วีรพงษ์พูดบนพื้นฐานของผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน
ในขณะที่นายประสารนั้น แน่นอนว่าในฐานะผู้ว่าแบงก์ชาติก็ย่อมต้องปกป้องแบงก์ชาติเป็นหลัก แต่สำคัญที่สุดนายประสารเป็นคนเก่ง มีความสามารถและฉลาดพอที่จะรู้ว่า หนี้กองทุนฟื้นฟูฯนั้นเป็นภาระก้อนโต ที่หากเลี่ยงได้ งอแงไม่ยอมรับได้ก็ต้องหาทางเลี่ยงให้ถึงที่สุดไว้ก่อน ซึ่งก็ถือเป็นปกติของมนุษย์เรา
แต่ที่หลายคนไม่เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกรณีปัญหาหนี้กองทุนฟื้นฟูฯในครั้งนี้ก็คือ ท่าทีของนายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รัฐมนตรีคลัง ที่ดูเหมือนว่าจะเอนๆไปทางแบงก์ชาติมากกว่าทางรัฐบาล ทั้งๆที่นายธีระชัย ถือเป็นหนึ่งในรัฐมนตรีส้มหล่น ที่ได้มานั่งเก้าอี้สำคัญ ได้โอกาสโชว์ฝีมือในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นมีคนที่อยู่ในข่ายเป็นแคนดิเดตรัฐมนตรีคลังไม่น้อย
แต่นายธีระชัยก็ได้เป็นคนที่เข้าวินในที่สุด ส้มหล่นใส่จนเท้าบวม ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายคนอิจฉาอยู่แล้ว แต่ทำไมจึงไม่รีบแสดงฝีมือโชว์ผลงาน จนทำให้เวลานี้นายธีระชัยกลายเป็น 1 ในรัฐมนตรี ที่ถูกจับตามองว่าหากมีการปรับครม. ก็มีสิทธิ์ที่จะหลุดโผได้
จริงๆแล้วแค่นายธีระชัย ขานรับเป็นวงเดียวกันเนื้อเดียวกันกับการทำงานของรัฐบาล ร้องเพลงประสานเสียงกันไป ก็จะไม่ถูกตั้งคำถามแล้ว แต่กลับเลือกที่จะร้องเพลงเดี่ยว เลือกที่จะแหกคีย์ จึงทำให้ภาพที่ออกมากลายเป็นที่น่าหวาดเสียวสำหรับตัวนายธีระชัยเอง
นายธีระชัยแค่จดจำว่าครั้งวิกฤตต้มยำกุ้ง รูปภาพหน้าของนายธีระชัยเป็นคนหนึ่งที่ถูกคนชั้นกลางที่บาดเจ็บจากวิกฤตเศรษฐกิจ เอาไปทำเป้าปาลูกดอกหาเงินแถวๆทองหล่อ สุขุมวิท
และนายธีระชัย เป็นคนหนึ่งที่ไม่สามารถจะนั่งทำงานที่แบงก์ชาติได้หลังวิกฤต จึงต้องขยับขยายย้ายมา
นั่งที่ กลต. แทน สิ่งเหล่านี้นายธีระชัยน่าที่จะยังจดจำได้ และรู้ดีว่าที่ผ่านมาแบงก์ชาติทำอะไร และรับ
ผิดชอบกับผลงานเพียงใด
จริงๆในฐานะรัฐมนตรีคลัง นายธีระชัยน่าจะรู้ดีว่า แบงก์ชาตินั้นไม่ควรเป็นอิสระชนิดสุดขั้วอย่างที่ผ่านๆมา แต่ควรจะต้องให้มีการตรวจสอบได้ ให้คานอำนาจได้
เพราะไม่เช่นนั้นคนที่จะแย่จะพังจากเรื่องนี้จะเป็นนายธีระชัยเองนั่นแหละ...ขอเตือน!อย่าได้อยู่ด้วยความประมาท ในโลกของการเมืองที่”ธีรชัย”ยังไม่คุ้นนัก มันมีอะไรที่เหนือกว่าซับซ้อนกว่าสิ่งที่รัฐมนตรีคลังละอ่อนคนนี้คิด! จากนี้ไม่นานท่านอาจถึงเวลา”เก็บฉาก”!!
เราสะกิดเตือนแล้วนะ!


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

LAO PDR ศูนย์ปล้นปลีงล า ว ( ศ ป ป ล ) ศูนย์กลางการค้ายาเสพติดในลุ่มน้ำโขง!!!
LAO PDR ศูนย์ปล้นปลีงล า ว ( ศ ป ป ล ) ศูนย์กลางการค้ายาเสพติดในลุ่มน้ำโขง!!!
LAO PDR ศูนย์ปล้นปลีงล า ว ( ศ ป ป ล ) ศูนย์กลางการค้ายาเสพติดในลุ่มน้ำโขง!!!
LAO PDR ศูนย์ปล้นปลีงล า ว ( ศ ป ป ล ) ศูนย์กลางการค้ายาเสพติดในลุ่มน้ำโขง!!!

ลาวเป็นประเทศในลุ่มแม่น้ำโขงที่ถูกเอ่ยถึงในรายงานประจำปี 2007 ว่าด้วยสถานการณ์ยาเสพติดในโลก ซึ่งได้จัดทำขึ้นโดยกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกาและนำออกเผยแพร่ต่อนานาชาติในวันที่ 17 กันยายน ที่ผ่านมาโดยได้ ระบุว่าทั้งพม่าและลาวเป็นประเทศที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯเห็นว่าล้มเหลวในการ กระทำ การอย่างใดๆที่เป็นการต่อต้านและปราบปรามยาเสพติด

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พม่านั้นโดนวิพากษ์วิจารณ์หนักกว่าลาว เพราะถูกระบุถึงซ้ำแล้วซ้ำเล่าในรายงานดังกล่าวนี้ว่าเป็น 1 ใน 2 ประเทศ (พม่ากับเวเนซูเอล่า) ที่ไม่ได้ให้ความร่วมมืออันดีกับสหรัฐฯในการปราบปรามยาเสพติดเลย

กล่าวคือพม่าเป็นประเทศที่ผลิตยาบ้า (Methamphetamine) มากที่สุดในเอเชียและยิ่งนับวันก็ยิ่งจะทำการผลิตยาเสพติดประเภทนี้เพิ่ม ขึ้นเรื่อยๆ โดยถึงแม้ว่าผลผลิตฝิ่นในพม่าจะลดลงอย่างต่อเนื่องก็ตาม แต่การเพิ่มผลผลิตยาบ้านี้ก็หาได้รับความสนใจในอันที่จะสกัดกั้นและปราบปราม จากรัฐบาลทหารพม่าอย่างเท่าที่ควรนั่นเอง

อย่าง ไรก็ตาม ถ้าหากจะใช้ผลผลิตฝิ่นในพม่าเป็นดัชนีเพื่อชี้วัดถึงสถานการณ์ที่เกี่ยวกับ ยาเสพติดเหมือนในช่วงก่อนหน้านี้ก็อาจจะกล่าวได้ว่าสถานการณ์ในพม่านั้นดี ขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีมานี้ เพราะพื้นที่ปลูกฝิ่นได้ลดลงจาก 130,000 เฮกตาร์ ในปี 1998 เหลือเพียง 21,000 เฮกตาร์เท่านั้นในปี 2006 ซึ่งคิดเป็นพื้นที่ปลูกฝิ่นที่ลดลงถึง 83% เลยทีเดียว

โดยเขตที่มีการลดพื้นที่ปลูกฝิ่นลงอย่างมีนัยสำคัญนั้นก็คือเขตยึดครองของกลุ่มว้า ซึ่งทำให้ผลผลิตฝิ่นของพม่าตกต่ำลงมาเป็นอันดับ 2 ของ โลกรองจากอัฟกานิสถานแต่สิ่งที่ทำให้พม่ายังคงติดบัญชีผู้ผลิตยาเสพติดราย สำคัญที่สุดของโลกอยู่ในทุกวันนี้ก็คือยาบ้า ซึ่งผลิตมากจนจะมีการเปลี่ยนชื่อสามเหลี่ยมทองคำไปเป็นสามเหลี่ยมยาไอซ์ Ice Triangle อยู่แล้ว

ทั้ง นี้ก็เพราะว่ายาไอซ์ ซึ่งเป็นยาสังเคราะห์จากเคมีกลุ่มเดียวกับยาบ้านั้น นับวันก็ยิ่งจะมีการผลิตออกจากเขตสามเหลี่ยมทองคำมากขึ้นทุกทีนั่นเอง

ส่วน ลาวนั้น แม้ว่ารายงานของสหรัฐฯจะจัดให้อยู่ในกลุ่มที่ไม่ได้แสดงอะไรที่เป็นรูปธรรม ในการปราบปรามยาเสพติดก็ตาม แต่ทางการสหรัฐฯ ก็ยังถือว่ารัฐบาลลาวนั้นได้ให้ความร่วมมือกับสหรัฐฯและนานาชาติเป็นอย่างดี ในการลดผลผลิตฝิ่นลงได้อย่างมากเมื่อเปรียบเทียบกับในอดีต

สถานการณ์ฝิ่นในลาวนั้นเหมือนกับพม่าในระยะ 10 ปีมานี้ กล่าวก็คือพื้นที่ปลูกฝิ่นได้ลดลงจากมากกว่า 42,000 เฮกตาร์ในปี 1989 ก็เหลือเพียง 3,000 เฮกตาร์เท่านั้นในปี 2006 หรือคิดเป็นพื้นที่ปลูกฝิ่นที่ลดลงมากกว่า 90% เลย ทีเดียวอันเป็นผลโดยตรง จากการรณรงค์ของรัฐบาลลาวเพื่อให้ประชาชนลาวเลิกปลูกฝิ่นอย่างสิ้นเชิง ซึ่งทางการลาวได้เริ่มดำเนินการนับตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา และได้ประกาศให้ลาวเป็นประเทศที่ ปลอดจากการปลูกฝิ่นอย่างเป็นทางการในต้นปี 2006 ที่ผ่านมา

แต่ ลาวก็เผชิญกับปัญหาคล้ายๆกับพม่า กล่าวคือถึงแม้ว่าจะกดดันให้ประชาชนลดหรือเลิกจากการปลูกฝิ่นได้อย่างมากก็ ตาม แต่ยาเสพติดจากสารสังเคราะห์ประเภทยาบ้ากลับเข้ามาแทนที่และได้แพร่ระบาด อย่างกว้างขวางในกลุ่มเยาวชนลาว

โดย เฉพาะอย่างยิ่งในเขตนครเวียงจันทน์ ก็ปรากฏว่ามีการค้าและใช้ยาเสพติดกันในหมู่เยาวชนลาวมากขึ้นทุกขณะๆ ถึงกับทำให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติไทย (ปปส.) ต้องออกมาเสนอรายงานในระยะเดียวกันนี้ว่านครเวียงจันทน์ ได้กลายเป็นศูนย์กลางการซื้อขายยาบ้าในลุ่มแม่น้ำโขงไปเสียแล้ว

ทั้ง นี้ก็เนื่องจากว่าการที่ลาวเป็นประเทศที่สามารถเชื่อมต่อการคมนาคมทางบกกับ ทุกประเทศในลุ่มแม่น้ำโขงด้วยกันได้ในทุกทิศทุกทางนั้นก็ได้กลายเป็นเส้นทาง เชื่อม โยงให้กับบรรดานักค้ายาเสพติดด้วยเช่นกัน โดยยาเสพติดที่ผลิตในพม่าและสารเคมีตั้งต้นสำหรับแปรรูปยาเสพติดที่มีแหล่ง จากจีนนั้นต่างก็ได้อาศัยเส้นทางในลาวทั้งสิ้น

รายงานของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯได้ชี้อย่างเป็นการเฉพาะเจาะจงว่าการเชื่อมต่อเส้นทางสายกรุงเทพฯ-คุนหมิงและการเปิดใช้สะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 2 ระหว่างไทย-ลาวที่มุกดาหาร-สะ หวันนะเขตนั้นก็มีส่วนอย่างสำคัญในการเสริมสร้างให้ลาวมีสถานภาพเป็นประเทศ ทางผ่านยาเสพติด ซึ่งท้าทายกับความสามารถของรัฐบาลลาวในการสกัดกั้นและปราบปรามเป็นอย่างยิ่ง

สำหรับในกัมพูชานั้นก็กำลังตกอยู่ในสภาวะของการเผชิญศึกถึง 2 ด้าน ซึ่งก็คือ กัมพูชามีสถานะเป็นทั้งประเทศที่รองรับยาเสพติดและเป็นทางผ่านของการลักลอบ ขน ส่งยาเสพติด (ยาบ้า) ซึ่งมีต้นทางมาจากพม่าผ่านลาวเข้าไปในกัมพูชาแล้วถูกส่งต่อไปยังเวียดนามและ ประเทศอื่นๆต่อไป

ทั้งนี้โดยรายงานของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ประเมินว่าในแต่ละวันนั้นจะมียาบ้าทะลักเข้าไปในกัมพูชามากกว่า 150,000 เม็ด และยาบ้าในจำนวนนี้ก็จะตอบสนองให้กับนักเสพย์ในกรุงพนมเปญถึง 50,000 เม็ดต่อวันเป็นอย่างน้อย

ยิ่ง ไปกว่านั้น กลุ่มนักค้ายาเสพติดข้ามชาติยังได้เริ่มหันไปใช้พื้นที่ในเขตกัมพูชาเป็น แหล่งผลิตยาบ้าแล้ว โดยจากการรายงานของสำนักงานป้องกันและปราบปรามยา เสพติดของรัฐบาลกัมพูชาเอง ก็ได้ระบุอย่างชัดเจนว่า พื้นที่ในภาคตะวันตกเฉียงเหนือและตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ ซึ่งเป็นเขตติดต่อชายแดนกับไทยและเวียดนามนั้นมี โรงงานผลิตยาบ้าเคลื่อนที่แล้วในเวลานี้

นอก จากนี้ ก็มีรายงานว่ากัมพูชาทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการค้ายาเสพติดราคาแพงสำหรับคน รวย (เช่นยาไอซ์และโคเคน) โดยเชื่อมโยงกับกลุ่มนักค้ายาเสพติดในไทย สิงคโปร์และมาเลเซียเป็นส่วนใหญ่ โดยยาเสพติดสำหรับพวกคนรวยนี้จะขนส่งกันทางเครื่องบิน เพราะเป็นยาเสพติดที่ไม่ได้ผลิตในภูมิภาคนี้

แต่ ถึงกระนั้น กัญชาก็ยังนับเป็นพืชเสพติดที่ยังคงมีการปลูกกันอย่างเป็นล่ำเป็นสันอยู่ใน กัมพูชาถึงขนาดที่มีรายงานระบุอย่างชัดเจนว่าหน่วยทหารของทางการกัมพูชา นั่นเองที่มีบทบาทอย่างสำคัญทั้งในการปลูกและขนส่งกัญชาไปสู่นักเสพย์ทั้งใน กัมพูชาและต่างประเทศ

ส่วน เวียดนามนั้นก็เป็นประเทศที่มีรายงานการจับกุมนักค้ายาเสพติดบ่อยที่สุดและ มากที่สุดในลุ่มแม่น้ำโขงแห่งนี้ก็ว่าได้ เพราะในแต่ละสัปดาห์นั้นจะต้องมีรายงานที่เกี่ยวกับการจับกุมนักค้ายาเสพติด เกิดขึ้นเป็นประจำ และผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมมากที่สุดก็คือชาวเวียดนามที่เดินทางมาจากต่าง ประเทศ ที่เรียกว่าเวียดเกี่ยว Vietkieu ซึ่งส่วน มากจะเดินทางมาเพื่อขนเฮโรอีนจากเวียดนามไปยังประเทศออสเตรเลีย

แน่นอนว่าเวียดนามมีแหล่งผลิตยาเสพติดประเภทเฮโรอีนไม่มากนัก เพราะผล ผลิตฝิ่นในเวียดนามคิดเป็นสัดส่วนเพียง 1% ของผลผลิตฝิ่นทั้งหมดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เท่านั้น ด้วยเหตุนี้ยาเสพติดส่วนใหญ่ในเวียดนามจึงต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งในที่นี้ก็คือการนำเข้ามาจากเขตสามเหลี่ยมทองคำโดยผ่านลาวและกัมพูชา นั่นเอง!!!



--------------------------------------------------------------------------------
Date: Fri, 13 Jan 2012 05:54:47 -0800
From: ath_dhatpa@yahoo.com
Subject: ຈະຮ່ວມກັບ ນັກຕໍ່ສູ້ ທີ່ເຮັດແທ້ທຳຈິງ ຈົນກວ່າສະພາບການລາວຈະດີຂຶ້ນກວ່ານີ້
To: laosnetworkroom@googlegroups.com


ທ່ານ ຄຳໄມ ທີ່ນັບຖື


ການທີ່ ຜູ້ນຳ ຂາຍຢາຜິດ ຢາບ້າ ໃຫ້ປະຊາຊົນ ຊາວຫນຸ່ມ ນີ້ ບໍ່ມີປະເທດໃດໃນໂລກເຂົາເຮັດກັນ
ຄວາມຮັກຊາດ ແມ່ນບໍ່ມີ ຈັກດີ້ ຄົງຈະສືບຕໍ່ ເຈຕະນາຣົມ ຂອງ ໄກສອນ ດັບສູນເຊື້ອຊາດລາວ ເພື່ອວຽດນາມຈະຍຶດເອົາລາວໂດຍງ່າຍດາຍ.


ຂ້າພະເຈົ້າ ບໍ່ເຫັນດີ ນຳການກະທຳ ຂອງຜູ້ນຳລາວແບບນີ້ ແລະ ກໍຈະຮ່ວມກັບ ນັກຕໍ່ສູ້ ທຸກຄົນ ທີ່ເຮັດແທ້ທຳຈິງ ຈົນກວ່າສະພາບການລາວຈະດີຂຶ້ນກວ່ານີ້.


ມິຕພາບ
ອາຕ



--------------------------------------------------------------------------------
From: "khammaithammavo@centurytel.net"
To: laosnetworkroom@googlegroups.com
Sent: Friday, 13 January 2012 2:11 PM
Subject: Re: າ



ມັນຈະມີບັນຫາໄຫຽ່ຕໍ່ໄປຢູ່ລາວ ການຄ້າຢາບ້າ ແກວກັບໃທມັນເວົ້າກັນຫຍັງລາວບໍ່ຮູ້,ໄດ້ມາລົງທືນພຣີດຢ່າບ້າ ແລະສານພີດເຄມີຕ່າງໆ ເພື່ອມາຂ້າຄົນລາວ,ໄຫ້ຄົນລາວຕີດຢາບ້າ ແລະຢາສັ່ງກີນແລ້ວເຈັບທອງຕາຽໃສ້ຂາດ ບໍ່ມີເງີນປົວ ຕາຽຢ່າງກະທັນຫັນ ພວກຊາວນຸ່ມນ້ຽ ນັກຮ້ອງນັກລຳແລະຮູ້ເທົ່າບໍ່ການຖືກເຂົາຫລອກ.. ຣະວັງເຫັນມານີ້ຕາຽໄປຫຼາຽຄົນແລ້ວ.ແມ່ນກຸ່ມເຊື້ອສາຽໄກສອນແກວນີ້ເອງ ດັ່ງຕຳຣວດໄທຍ ວ່າມານັ້ນ ຄືອ່ານໃນ ໜສ, ພົມວີຫານ ສົ່ງມາ ພັກຣັຖປົກຄອງລາວບໍ່ໄດ້ດອກ ມີແຕ່ເຮັດໄຫ້ບ້ານເມືອງສູນເສັຽ ເພາະເຂົາເຫັນແກ່ເງີນແສນໄທ່ ບໍ່ເຫັນແກ່ໄພ່ແສນເມືອງ. ດ້ວຽຄວາມຮັກແພງພີ້ນ້ອງລາວທຸກໆທ່ານ ໂຊກດີ Best regards,
paxathipatai Lao freedom
Quoting "specom2009@comcast.net" :
Watch this video and give comments
  
Best Regards,

specom

http://www.youtube.com/watch?v=8D-ptU-Es3w&feature=player_embedded


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 



http://www.liberianobserver.com/index.php/columns/item/199-liberia-among-top-5-countries-giving-farmland-to-foreigners

Laos Among Top 5 Countries Giving Farmland to Foreigners

* ທ່ານ ທີ່ຮັກຊາດທັງຫລາຍ


ລາວກໍເປັນປະເທດນຶ່ງ ທີ່ມີຊື່ສຽງ ໃນການຂາຍດິນໃຫ້ ຊາວຕ່າງຊາດ ແຕ່ມັນຕ່າງກັນຢູ່ບ່ອນວ່າ ປະເທດອື່ນບໍ່ມີ ຄວາມສົນໃຈຈະຮຸບ
ຫລື ຍຶດເອົາາ ປະເທດເຫລົ່ານັ້ນ.
ສ່ວນລາວ ເຮົານີ້ ມັນຕ່າງກັບປະເທດອື່ນ ເພາະຈີນ ແລະ ວຽດ ຕຽມຈະ ຍຶດເອົາລາວໄປເປັນເມືອງຂຶ້ນຢູ່ຕລອດເວລາ ດັ່ງນັ້ນການຄຸມດ້ານເສຖກິດ
ຂອງລາວຈຶ່ງເປັນຍຸທສາດອັນສຳຄັນຂອງເຂົາເຈົ້າ.


ຮັກແພງ


ຕັນ
www.actmedia.eu www.actmedia.eu

Liberia is one of the top 5 countries in the world whose farmland are under the control of foreign concessionaires, according to a report made by Grain, a non-governmental organization supporting small farms. The other countries include Laos, Paraguay, Sierra Leone, Indonesia and Romania. At world level, most target countries for farming land purchases made by foreign companies or citizens are in Africa or South America but investors do not avoid Australia, eastern Europe or South-East Asia as well.


Foreigners own more than 1% of farming areas in Africa in 20 out of the 56 countries of the continent. In Liberia foreign companies control 67% of the farming land, which is 200,000 hectares. In Sierra Leone, 15% of the land is leased on a long term or is owned by foreign companies. The same situation can be found in South America, in countries like Paraguay or Uruguay, where foreigners own a quarter of farming lands.

Romania ranks first among European countries for the percentage of farming land owned by foreign companies. In the local market, foreign investors own 7% of the farming land, which is 700,000 hectares. In the Czech Republic, non-residents own 4%, while in Ukraine investors own 3%. Foreigners hold in Romania farming land worth 1.5 billion euro for 700,000 ha of land, according to data of the Ministry of Agriculture and Rural Development and an average price of 2,000 euro/ha.

Investors exploit land in Romania by means of local companies. Foreign citizens cannot purchase land unless they have stable residence in Romania or buy as a juridical person.

Cereal traders, big multinational companies in the food industry, banks and investment and pension funds are among the most active investors in farming land. On the background of the economic crisis investors considered that placement in land is safer than placements in shares, bonds or precious metals.

According to Liberian law, only Liberian citizens or qualified foreigners can own land. Foreign companies investing in agriculture in Liberia may sign a long-term lease, renewable for the life of their investment.


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

http://www.youtube.com/watch?v=hAMtsY8tWmg&feature=player_embedded

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ທ່ານ ດຣ ບົວຣອຍ ແລະ ທ່ານ ພຍາສີທັດ ທີ່ນັບຖື.


ທ່ານພີ່ນ້ອງລາວທີ່ນັບຖື.


ການທີ່ພວກທ່ານເຮັດວຽກການຕໍ່ສູ້ ເພື່ອປະຊາທິປະໄຕໃນລາວນີ້ ບໍ່ໄດ້ຫມາຍຄວາມວ່າຈະຜຸກຂາດເຮັດກຸ່ມນຶ້ງກຸ່ມດຽວ
ເທົ່ານັ້ນ ແມ່ນບໍ?
ໃນເມື່ອ ສອງກຸ່ມໃຫ່ຽ ມີຈຸດປະສົງແນວແນ່ ວ່າຈະເຮັດເພື່ອຊາດກໍຄວນຈະດຳເນີນງານໂລດ. ຢ່າສູ່ຄິດວ່າການອອກຄວາມ ເຫັນເປັນການຄັດກັນ ເພາະ ມັນເປັນການແຈ້ງເຈຕະນາ ຂອງຕົນອອກໃຫ້ສັງຄົມລາວນອກຮູ້.


ການທີ່ ທ່ານ ດຣ ບົວຣອຍ ໄດ້ປະກາດວ່າ GPNUE ຈະ ຮ້ອງຮຽນ ນຳສານໂລກ ກ່ຽວກັບການຂ້າລ້າງຊົນເຜົ່າ
ກໍຂໍໃຫ້ຕັ້ງໃຈ ແລະ ເລັ່ງຮີບຕິດຕາມ ນຳ ຣຖບ ປະເທດມະຫາອຳນາດ ເພື່ອການສນັບສນູນ. ຫລາຍຄົນກໍແຫງນຫນ້າລໍຟັງຂ່າວ ກ່ຽວກັບ ເຣື່ອງນີ້ ຢູ່ທຸກວັນເວລາ ແລະ ພ້ອມທີ່ຈະສນັບສນູນ. ຫວັງວ່າຄົງຈະໄດ້ຮັບຂ່າວດີ. ໃນໂລກມີ້ມີຄົນຮັກຊາດລາວຫລາຍທີ່ສຸດ ຮອດຍາມມາເຂົາເຈົ້າກໍສນັບສນູນໂລດ. ຖ້າຫາກວ່າເຂົາບໍ່ຊ່ວຍກໍຢາກໃຫ້ທ່ານແຈ້ງໃຫ້ຟັງ ເຊັ່ນກັນ ເພື່ອຈະບໍ່ໄດ້ ຄອຍເກີ້.


ການທີ່ ທ່ານ ຜູ້ອາວຸໂສ ສີທັດ ສິດທິບຸນ ແຈ້ງການມານີ້ ແມ່ນດີທີ່ສຸດ ຖືວ່າເປັນການ ປ່ຽນແປງ ( Reform ) ການຈັດຕັ້ງ
ຣຖບ ພຣະຣາຊອານາຈັກລາວ ແມ່ນເຮັດໂລດ ນັດມື້ປະຊຸມ ເຊີນໄປໂລດ ມີຄົນມາຮ່ວມເທົ່າໃດກໍເອົາເທົ່ານັ້ນ ຢ່າລືມສົ່ງ
ໃບແຈ້ງຂ່າວ ສາມສະບັບໄປຍັງ ຄື: ເລຂາທິການ ໃຫຍ່ສະຫະປະຊາຊາດ. ປະທານກອງປະຊຸຸມ ສຫປຊຊ ຄັ້ງທີ້ 66 ແລະ
ປະທານສະພາ ຢູຣົບ. ເນື້ຶອໃນຢ່າສູ່ໃຫ້ກາຍ 1 ຫນ້າເຈັ້ຽ ເວົ້າກ່ຽວກັບການປອງດອງຊາດ ແລະບັນຫາທົ່ວໄປ.
ຖ້າຫາກການຈັດຕັ້ງສາກົລ 3 ສະຖາບັນບໍ່ທັກທ້ວງ ແປວ່າ ເພິ່ນລໍຟັງ ຈິດໃຈ ກອງປະຊຸມ ສ່ວນເນຶ້ອໃນນັ້ນ ທາງສາກົລ ຈະຮູ້ກອ່ນພວກທ່ານລາຍງານເປັນທາງການໄປຫາ ເຮັດຫັຽງຕ້ອງເປີດເຜີຍ ແລະເຮັດດ້ວຍຄວາມຈິງໃຈ.


ຂ້າພະເຈົ້າ ສນັບສນູນ ທຸກການຕໍ່ສູ້ ໃນລາວ ຈະແມ່ນໃຕ້ດິນ, ເທິງດິນ, ເທິງອາກາດ ຖືກຕ້ອງຕາມກົດຫມາຍ ຫລື ບໍ່ ?
ຂໍໃຫ້ແມ່ນການປ້ອງກັນ ປະຊາຊົນຈາກການທຳລາຍ ຂອງ ຣຖບ ຜະເດັດການ ກໍມີຄວາມດີໃຈແລ້ວ.


ນັບຖື
ຕ. ຣາສິກາ
K

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ເລ້ຫຼ່ຽມນີ້ ແມ່ນ ເພື່ອໃຫ້ຄວາມສດວກແກ່ເຈັກ,ແກວ,ໄທຽ໌.......ສ່ວນຄວາມ
ເວົ້າວ່າ"ລາວນອກ"ບໍ່ໄດ້ມີ ໃນກົດໝາຍດັ່ງກ່າວທີ່ ຈະອອກມາ..................
(ໂບຮານເພິ່ນວ່າ : ໄປເສິກແມ່ນໄປຂ້າ,ໄປຄ້າແມ່ນໄປຕົວະ,ໄປເວົ້າການເມືອງ
ແມ່ນໄປຫຼິ້ນການພນັນ ຂັນຕໍ່ ໃຜມີທຶນຫລາຍແລະຂີ້ຫຼັກເກ່ງແມ່ນຊະນະ)
ເມຣິກາ ຖືຄວາມຊື່ ຖືກແກວບ້ຽວ ສັນຍາ ຕ່າງໆ ເລີຽປລາໃຊໃຫ້ແກວຂີ້ຫິດ...

ເຊີນທົບທວນຄືນ ປະຈຸບັນ ພົລເມືອງລາວມີ ເຖິງ 6 ລ້ານ...ອີກປີໜຶ່ງຂ້າງໜ້າ
ຈະມີເຖິງ 9 ລ້ານ ຕຽມໃວ້ປ່ອນບັດຢ່າງເສລີ ຮ່ວມກັບ ລາວນອກ......555555
ເພາະສນັ້ນຢ່າຢາກໄດ້ເລີຽ ການເລືອກຕັ້ງເສຣີ : ສິ່ງທີ່ເຮົາຢາກໄດ້ຄວນຈະແມ່ນ
ຢ່າງອື່ນ ມາກ່ອນການເລືອກຕັ້ງ.....ຄິດໃໝ່ເບິ່ງ........??????????........??????


From: Toum Rasika
To: Networkroom
Sent: Sunday, January 15, 2012 5:21 AM
Subject: Re: ລາວກຽມນິຕິກໍາຕ່າງໆໄວ້ ເພື່ອອໍານວຍ ຄວາມສະດວກ ໃຫ້ຄົນບໍ່ມີສັນຊາດ ກາຍເປັນຄົນລາວ



ທ່ານ ລາວພີ່ນ້ອງທີ່ນັບຖື,


“ ນາຍົກລັດຖະມົນຕີກໍໄດ້ລົງນາມຢ່າງເປັນທາງ ການແລ້ວ ເມື່ອວັນທີ 13 ທັນວາ ທີ່ຜ່ານມາ ກໍຄືດໍາລັດວ່າດ້ວຍ
ການດໍາລົງຊີວິດຢູ່ ສປປ ລາວ ຢ່າງຖາວອນຂອງຄົນຕ່າງປະເທດ, ຄົນເຊື້ອຊາດລາວ ແລະ ຄົນບໍ່ມີສັນຊາດ ໂດຍໃຫ້
ມີຜົນບັງຄັບໃຊ້ນັບຈາກວັນລົງນາມດັ່ງກ່າວ ເປັນຕົ້ນໄປ. ”


ແນວລາວເອົາຫລຽນໃຫ້ ລາວນອກ ເພື່ອຊ່ວຍກົບເກື່ອນ ໃຫ້ ຣຖບ ລາວຜະເດັດການ ອານຸຍາດ ໃຫ້ ຄົນບໍ່ມີສັນຊາດ
ຄື ຊາວວຽດນາມ ແລະ ຊາວຈີນ ຢູ່ລາວ ໄດ້ຢ່າງຖືກຕ້ອງຕາມກົດຫມາຍໃຫມ່


ຜົນລາວນອກໄດ້ສິດຄືຢູ່ຕໍ່ ຮອດ 90 ວັນ ແລະ ກາຍນັ້ນ ແມ່ນເສັຽຄ່າທຳນຽມ ວັນ $ 1.00 ເທົ່ານັ້ນ.
ສ່ວນ ຈີນ ແລະ ວຽດນາມ ກໍຈະຖືກພິຈາຣະນາພ້ຶອມກັນ ຄືມີສິດເປັນສັນຊາດລາວໂດຍອັຕໂນມັດ.


ພວກສນັບສນູນແນວລາວ ກໍມີປັນຍາຄິດໄດ້ເອງຢູ່ບໍ້ ບາງຄົນກໍເປັນຄົນມີຄວາມຮູ້ ສູງ ຖືກແນວລາວ
ນ້ຳສ້າງນ້ອຍຕົ້ມແລ້ວຕົ້ມອີກ. ດຽວນີ້ເຂົາເຈົ້າເລົ່ານັ້ນ ກໍຍັງວ່າດີ ອັນຢາສັ່ງ ນີ້ຫລາຍປະເພດ ກິນແລ້ວ
ກາຍເປັນຄົນຫມົດຄວາມຄິດກໍມີ, ກິນແລ້ວກັບມາຕາຍຢູ່ຕ່າງປະເທດກໍມີ, ກິນແລ້ວຕາຍຢູ່ກັບທີ່ກໍມີ.


ນັບຖື
ຕຸ້ມ.



To: toum.rasika@yahoo.com
Sent: Sunday, 15 January 2012 10:44 AM
Subject: ລາວກຽມນິຕິກໍາຕ່າງໆໄວ້ ເພື່ອອໍານວຍ ຄວາມສະດວກ ໃຫ້ຄົນລາວໃນຕ່າງປະເທດ ໄດ້ກັບຄືນໄປຊ່ວຍ ສ້າງສາຊາດ



01-12-2012
ລາວກຽມນິຕິກໍາຕ່າງໆໄວ້ ເພື່ອອໍານວຍ ຄວາມສະດວກ ໃຫ້ຄົນລາວໃນຕ່າງປະເທດ ໄດ້ກັບຄືນໄປຊ່ວຍ ສ້າງສາຊາດ
ຄະນະຜູ້ຕາງໜ້າຂອງຄົນລາວໃນຕ່າງປະເທດຮັບປາກວ່າ ຈະປະກອບສ່ວນໃນການ ພັດທະນາລາວ ໃນຂະນະທີ່ທາງການລາວເອງ ກໍກໍາລັງເລັ່ງກະກຽມນິຕິກໍາຕ່າງໆໄວ້ ເພື່ອອຳນວຍຄວາມສະດວກ.
ລາຍງານໂດຍ ຊົງຣິດ ໂພນເງິນ | ບາງກອກຮູບຈາກ: Songrit Pongern
ຄົນລາວໃນຕ່າງປະເທດຈໍານວນນຶ່ງ ທີ່ໄດ້ເດີນທາງໄປຊົມງານມະຫະກໍາຊີເກມສ໌ ຢູ່ລາວ ໃນເດືອນທັນວາ 2009 ຖ່າຍຮູບຮ່ວມກັບອະດີດນາຍົກລັດຖະມົນຕີລາວ ທ່ານ ບົວສອນ ບຸບຜາວັນ (ກາງ)

ຄະນະຜູ້ຕາງໜ້າຂອງຄົນລາວຈາກຝຣັ່ງ ແລະສະຫະລັດອາເມຣິກາ ຢືນຢັນໃນໂອກາດ
ທີ່ຢ້ຽມຄໍານັບ ແລະພົບປະເຈລະຈາກັບທ່ານຕົງ ເຢີເທາະ, ຮອງປະທານແນວລາວສ້າງ
ຊາດ ເມື່ອບໍ່ດົນມານີ້ຢູ່ນະຄອນຫຼວງວຽງຈັນວ່າ ພວກຕົນຈະປະກອບສ່ວນເຂົ້າໃນການ
ພັດທະນາປະເທດລາວ ໃຫ້ຈະເລີນກ້າວໜ້າຢ່າງເທົ່າທຽມກັບນາໆຊາດໃຫ້ໄດ້ໃນທຸກໆ
ດ້ານ.
ຫາກແຕ່ຖະແຫຼງການດັ່ງກ່າວນີ້ໄດ້ເນັ້ນຢ້ຳວ່າ ການທີ່ຈະເຮັດໃຫ້ຄົນລາວໃນຕ່າງປະເທດ
ສາມາດທີ່ຈະປະກອບສ່ວນເຂົ້າໃນການພັດທະນາລາວໄດ້ ໃນພາກຕົວຈິງນັ້ນ ກໍມີຄວາມ
ຈຳເປັນຢ່າງຍິ່ງ ທີ່ຈະຕ້ອງມີການສ້າງເງື່ອນໄຂອຳນວຍຄວາມສະດວກໃນຫຼາຍໆດ້ານ ໄວ້
ຮັບຮອງ ແລະຄະນະຜູ້ແທນຕາງໜ້າຂອງຄົນລາວຈາກຝຣັ່ງ ແລະສະຫະລັດອາເມຣິກາ
ກໍຄາດຫວັງວ່າ ທາງການລາວ ຈະສ້າງເງື່ອນໄຂອຳນວຍຄວາມສະດວກເຫຼົ່ານັ້ນໄດ້ ຢ່າງ
ເປັນຮູບປະທຳໃນໝໍ່ໆນີ້.

Songrit Pongern
ຜູ້ຕາງໜ້າຄົນລາວຈາກຝຣັ່ງ ແລະສະຫະລັດອາເມຣິກາຈໍານວນນຶ່ງ ຖ່າຍຮູບຮ່ວມກັບທ່ານ ຕົງ ເຢີເທາະ (ຢືນຢູ່ກາງ), ຮອງປະທານ ແນວລາວສ້າງຊາດ ໃນໂອກາດທີ່ພົບປະເຈລະຈາກັບທ່ານໃນ ເດືອນທັນວາ 2011 ຜ່ານມານີ້ສ່ວນທາງດ້ານທ່ານ ຫຼີ ບຸນຄໍ້າ
ຫົວໜ້າກົມພົວພັນຄົນເຊື້ອຊາດ
ລາວ ຢູ່ໃນຕ່າງປະເທດ ໜ່ວຍ
ງານທີ່ຖືກຈັດຕັ້ງຂຶ້ນໃໝ່ໃນກະ
ຊວງການຕ່າງປະເທດຂອງລາວ
ໄດ້ຖະແຫຼງຢືນຢັນວ່າ ຄະນະ
ກໍາມະການແຫ່ງຊາດເພື່ອການ
ພົວພັນຄົນເຊື້ອຊາດລາວຢູ່ຕ່າງ
ປະເທດ ໄດ້ມີການພິຈາລະນາ
ປັບປຸງ ເພື່ອເຮັດໃຫ້ການດໍາ
ເນີນການພັດທະນາມາດຕະການ
ຕ່າງໆ ມີປະສິດທິຜົນຫລາຍຂຶ້ນ
ໂດຍຈະໃຫ້ຄວາມສໍາຄັນເປັນພິ
ເສດ ຕໍ່ການພັດທະນາປັບປຸງມາດຕະການໃຫ້ເປັນມາດຕະການທີ່ຖາວອນໃນ 4 ດ້ານດ້ວຍ
ກັນ ດັ່ງທີ່ທ່ານ ຫຼີ ບຸນຄໍ້າ ໄດ້ຊີ້ແຈງໃນຕອນນຶ່ງວ່າ:
“ວຽກສໍາຄັນຂອງຄະນະກໍາມະການອັນນຶ່ງນີ້ ແມ່ນເວົ້າເຖິງເລື່ອງການຂໍຍົກເວັ້ນ
ຄ່າທໍານຽມວີຊ່າ ທີ່ປະຕິບັດຕໍ່ ຄົນເຊື້ອຊາດລາວຢູ່ຕ່າງປະເທດ, ອັນທີ່ສອງ ກໍ ແມ່ນຄົ້ນຄວ້າເຖິງເລື່ອງອອກນະໂຍບາຍ ເພື່ອໃຫ້ກໍາມະສິດນໍາໃຊ້ທີ່ດິນ, ອັນ
ທີ່ສາມ ກໍ່ແມ່ນເວົ້າເຖິງການຂໍມາຢູ່ໃນລາວ ຢ່າງຖາວອນ ແລະອັນທີ 4 ກໍ່ແມ່ນ
ເລື່ອງການຂໍອະນຸຍາດແຕ່ງດອງ ແຕ່ວ່າກໍ່ຍັງບໍ່ທັນສະຫຼຸບກັນໄດ້ ໃນເລື່ອງຂັ້ນ
ຕອນຕ່າງໆ. ”
ກ່ອນໜ້ານີ້ ກົມກົງສູນຂອງລາວກໍໄດ້ຍົກເວັ້ນຄ່າທໍານຽມ VISA ໃຫ້ກັບຄົນລາວ ໃນຕ່າງ
ປະເທດທຸກຄົນ ທີ່ຕ້ອງການທີ່ຈະເດີນທາງກັບມາຢ້ຽມຢາມປະເທດລາວ ນັບຈາກວັນທີ
1 ມັງກອນ 2011 ເປັນຕົ້ນໄປມາແລ້ວ ຊຶ່ງກໍຄືການຍົກເວັ້ນທໍານຽມວິຊ່າໃຫ້ແກ່ຄົນລາວ
ໃນຕ່າງປະເທດ ທີ່ມີອາຍຸຕັ້ງແຕ່ 65 ປີຂຶ້ນໄປ ແລະ ມີອາຍຸ ຕໍ່າກວ່າ 15 ປີ ຫລື ເປັນຄົນ
ພິການທາງຮ່າງກາຍ ຫຼື ພິການທາງສະໝອງ ທີ່ຕ້ອງການກັບຄືນມາຢ້ຽມຢາມ ແລະມາ
ພັກຢູ່ໃນລາວບໍ່ເກີນ 90 ວັນ ແລະ ເມື່ອຄົບກໍານົດດັ່ງກ່າວແລ້ວ ກໍຍັງຈະສາມາດທີ່ຈະຂໍຕໍ່
ວິຊ່າໄດ້ອີກ ໂດຍບໍ່ຕ້ອງເສຍຄ່າວິຊ່າແຕ່ຢ່າງໃດອີກດ້ວຍ.
ສ່ວນຄົນລາວໃນຕ່າງປະເທດທີ່ບໍ່ຢູ່ໃນກຸ່ມດັ່ງກ່າວນັ້ນ ທາງການລາວອະນຸຍາດໃຫ້ຢູ່ໃນ
ລາວໄດ້ບໍ່ເກີນ 60 ວັນ ເມື່ອຄົບກໍານົດການອະນຸຍາດດັ່ງກ່າວນັ້ນ ກໍສາມາດທີ່ຈະຕໍ່ວິຊາ
ໄດ້ເຊັ່ນດຽວກັນ ຫາກແຕ່ວ່າ ຈະບໍ່ໄດ້ຮັບການຍົກເວັ້ນຄ່າວິຊາໃນການຂໍຕໍ່ວິຊານີ້ ໂດຍຈະ
ຕ້ອງເສຍຄ່າທໍານຽມໃນອັດຕາ 1 ໂດລາຕໍ່ມື້ ຊຶ່ງຕໍ່າກວ່າ ອັດຕາປົກກະຕິ ທີ່ເກັບໃນອັດ
ຕາ 2 ໂດລາ ຕໍ່ມື້ນັ້ນເອງ.
ນອກຈາກນີ້ ນິຕິກໍາທີ່ສໍາຄັນອັນໜຶ່ງທີ່ທາງການກະຊວງການຕ່າງປະເທດຂອງລາວ ໄດ້
ດໍາເນີນການສໍາເລັດ ຮຽບຮ້ອຍແລ້ວ ແລະນາຍົກລັດຖະມົນຕີກໍໄດ້ລົງນາມຢ່າງເປັນທາງ
ການແລ້ວ ເມື່ອວັນທີ 13 ທັນວາ ທີ່ຜ່ານມາ ກໍຄືດໍາລັດວ່າດ້ວຍການດໍາລົງຊີວິດຢູ່ ສປປ
ລາວ ຢ່າງຖາວອນຂອງຄົນຕ່າງປະເທດ, ຄົນເຊື້ອຊາດລາວ ແລະຄົນບໍ່ມີສັນຊາດ ໂດຍໃຫ້
ມີຜົນບັງຄັບໃຊ້ນັບຈາກວັນລົງນາມດັ່ງກ່າວ ເປັນຕົ້ນໄປ.

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ต่างชาติดาหน้าขุด เหมืองแร่ลาวสู่ยุคเฟื่องสุดๆ!!!
ไม่เพียงจะมีแหล่งทองคำ-ทองแดงอยู่หลายแห่งสปป.ลาวยังมีแหล่งแร่บอกไซต์เกรดดีและ
กำลังเป็นที่หมายตาของต่างชาติ ที่ต่างก็มุ่งเข้าไปขุดสินแร่ที่ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตอลูมิเนียมที่ต้องใช้ใน
อุตสาหกรรมหลายแขนง
นักลงทุนจากจีน เวียดนาม มาเลเซีย อังกฤษ รวมทั้งไทยและญี่ปุ่นกำลังเคลื่อนไหวคึกสำรวจแหล่งแร่บอกไซต์
ในแขวงจำปาสัก เซกองและอัตตะปือ ทางตอนใต้ของลาว ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นแหล่งบอกไซต์ขนาดใหญ่ถึง 1 ใน 3 ของ
โลก ธนาคารโลกเคยรายงานว่าสินแร่ที่นั่นอาจจะมีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์
ตามรายงานของสำนักข่าวสารปะเทดลาวประธานบริษัทมิตซุย (เอเชีย-แปซิฟิก) ได้เข้าเยี่ยมคำนับ
นายกรัฐมนตรีลาวบัวสอน บุบผาวัน ในสัปดาห์กลางเดือน มิ.ย.นี้ในโอกาสไปร่วมประชุมความร่วมมือลาว-ญี่ปุ่นใน
นครเวียงจันทน์สัปดาห์เดียวกัน
บริษัทจากญี่ปุ่นได้ร่วมกันกับบริษัทริโอตินโตอัลคาน (Rio Tinto Alcan) ซึ่งในปัจจุบันเป็นผู้ค้าอะลูมิเนียมราย
ใหญ่ที่สุดของโลกกำลังศึกษาความเป็นไปได้ของเหมืองบอกไซต์ในภาคใต้ของลาว โดยเชื่อว่าสามารถหลอมเป็นแร่
อะลูมิเนียมได้ 1.5-2 ล้านตันต่อปี มูลค่า 1,800-2,000 ล้านดอลลาร์
ในเดือน ก.ค. 2549 ใต้ลงไปบริษัทร่วมพัฒนาอุตสาหกรรมเซกอง (Sekong Industry Development Company)
จากการร่วมทุนระหว่างเวียดนามและลาว ก็กำลังสำรวจ-ขุดค้นแร่อลูมิเนียมในพื้นที่สัมปทานกว่า 2,400 ไร่
ต่อมาในเดือน ธ.ค.ลาวได้อนุมัติให้บริษัทเอเชีย อีโคโนมิค แอนด์ เทคนิคัล คอร์ป (Asia Economic and
Technical Corporation) จากมณฑลหยุนหนัน และบริษัทหังโจจินเจียง กรุ๊ป (Hangzhou Jinjiang Group) เข้าสำรวจ
บอกไซต์ คลุมพื้นที่ 555 ตารางกิโลเมตร ในเขตเมืองปากช่อง แขวงจำปาสัก โดยจะใช้เวลาสำรวจและออกแบบรวม
36 เดือน คาดว่าเงินลงทุนนับร้อยล้านดอลลาร์
ตามตัวเลขในปลายปี 2459 ปัจจุบันกิจการเหมืองแร่นับ 100 โครงการกำลังดำเนินอยู่ในลาวมูลค่าโครงการ
ประมาณ 400 ล้านดอลลาร์ แต่ในปี 2550 และปีนี้ทางการได้อนุมัติเหมืองแร่อีกหลายโครงการทำให้มูลค่าเพิ่มขึ้นอีก
หลายร้อยล้านดอลลาร์
ล่าสุดในเดือน พ.ย.2550 บริษัทซิโนลาว อะลูมิเนียม คอร์ปอเรชั่น จำกัด (Sino Lao Aluminum Corporation)
หรือ SLACO ของกลุ่มผู้ลงทุนไทย ลาวและจีนที่มีบริษัทอิตาเลียนไทยดีเวล๊อปเมนต์จำกัด (มหาชน) รวมอยู่ด้วย ได้
ประกาศเริ่มการสำรวจศึกษาโครงการเหมืองบอกไซต์ในพื้นที่ 150 ตร.กม. ในเขตเมืองปากซอง แขวงจำปาสัก กับอีก
31 ตร.กม.ในเขตเมืองสะหนามไซ แขวงอัตตะปือที่อยู่ติดกัน
สัปดาห์ที่แล้วบริษัทจากรัสเซียแห่งหนึ่งได้แสดงความตั้งใจต่อรัฐบาลลาวจะเข้าลงทุนสำรวจและขุดค้นแร่
สังกะสีในแขวงเซกองภาคใต้ของลาว
เมื่อปีที่แล้วลาวได้อนุมัติให้บริษัทผาแดงอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) จากไทย ซึ่งเป็นผู้ประกอบการเหมืองแร่
สังกะสี และโรงงานผลิตโลหะสังกะสีรายเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ให้เข้าสำรวจแร่ในพื้นที่ 800 ตร.กม.ใน
เมืองกาสี แขวงเวียงจันทน์!!!

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ທ່ານ ລຸງຈອນ ທີ່ນັບຖື


ການທີ່ຈະອອກຄວາມເຫັນນີ້ ບໍ່ໄດ້ຫມາຍ ຄວາມວ່າ ຂ້າພະເຈົ້າ ເປັນຄົນມີຄວາມຮູ້ ແຕ່ວ່າແມ່ນ ຕາມທັສນະສ່ວນຕົວ ເທົ່ານັ້ນ ແລະ ກໍບໍ່ໄດ້ເປັນຄົນອຽງຊ້າຍເຊັ່ນກັນ.


ພາຍຫລັງທ່ານຜູ້ເຖົ້າ ຣະບອບຜະເດັດການ ໄດ້ລົ້ມຫາຍຕາຍໄປ ທີ່ລະຄົນ ສອງຄົນ ດ້ວຍໂຣກ ສະຣາແດ່, ດ້ວຍຢາສັ່່ງແດ່
ຈຶ່ງເຮັດມີບາງສະພາບ ມີການປ່ຽນແປງ ເຊັ່ນ ລູກເຕົ້າເຂົາເຈົ້າ ທີ່ມີຄວາມຮູ້ ຈາກປະເທດຈະເຣີນແດ່ ຄວາມຣະແວດ
ຣະວັງ ຕໍ່ລູກເຕົ້າ ຂອງຜູ້ນຳ ຄົນອື່ນຯ ການຍາດແຍ່ງ ອຳນາດກັນ ແດ່ ຈື່ງເຮັດໃຫ້ການສໍ້ຣາຊ ເບົາບາງລົງ.
ອີກຢ່າງນຶ່ງກໍໄດ້ຮັບຄວາມກົດດັນ ຈາກ ທະນາຄານໂລກແດ່ ແລະ ຈາກ ປະຊາຊາດສາກົລແດ່ ແລະ ຈາກປະຊາຊົນລາວ
ຢູ່ຕາມຈອກແຈແຄຮົ້ວ ແລະ ທາງເວທີການຕໍ່ສູ້ຕ່າງຯ ນຳອີກ.


ການປ່ຽນແປງເລົ່ານີ້ ຈຶ່ງເກີດມີຂຶ້ນບ້າງເລັກບ້າງນ້ອຍ ແລະ ບາງ ແນວທາງມີການປ່ຽນແປງນ້ອຍນຶ່ງເຊັ່ນກັນ.​


ນັບຖື
ຕ. ຣາສິກາ




2012/1/19 Jonh Anouvong

ໃນສາຍຕາ ຂພຈ ບໍ່ໄດ້ເຫັນມີສິ່ງໃດ ໄດ້ມີການປ່ຽນແປງ ແມ່ນແຕ່ນ້ອຽດຽວ ທີ່ພໍຈະມອງເຫັນຊ່ອງທາງ
ໃຫ້ ປຊຊ ໄດ້ມືນຕາອ້າປາກໄດ້....ແມ່ນແຕ່ໂຄງການຢຶດ ທີ່ດິນທໍາມາຫາກິນ ຂອງ ປຊຊ ບ້ານທາຕຫຼວງ
ທີ່ງຽບໄປຫຼາຍເດືອນແລ້ວ ເຂົາກໍດຶງຄືນມາອີກ...ເຂົາໄດ້ປ່ຽນ ແຕ່ຕົວຜູ້ນໍາບາງຄົນ ຍ້ອນວ່າ ພວກເກົ່າ
ຫລາຍຄົນ ມັນກໍ່ຕາຍຮ່າຕາຍຫູງ ລົງນາຣົກໄປແລ້ວ...ເຖິງຈະມີຜູ້ໃໝ່ຂຶ້ນມາແທນ ແຕ່ ທິດທາງ ແລະ
ແນວທາງ ມັນຍັງແມ່ນອັນດຽວຄືເກົ່າ...ຈຶ່ງຂໍຄວາມກະຈ່າງແຈ້ງນ້ອຍໜຶ່ງແດ່ ພໍເປັນບົດຮຽນ ເພຶ່ອຝຶກ
ຝົນສມອງຕື່ມ....

ດ້ວຽຄວາມເຄົາຣົພນັບຖືຮັກແພງ
ຈ ອ


From: Toum Rasika
To: Networkroom
Sent: Wednesday, January 18, 2012 9:05 PM
Subject: ຍອມຮັບວ່າມີການປ່ຽນແປງຣະບົບຜູ້ນຳໃນລາວນ້ອຍນຶ່ງ



ທ່ານ ພີ່ນ້ອງລາວທີ່ນັບຖື


ຫລັງຈາກກາຍຕາຍ ຂອງໄກສອນແລ້ວ ລູກຊາຍກໍເຂົ້າເປັນ ຄນະພັກ ແລະ ລົງພື້ນຖານເປັນ ຄນະແຂວງ
ແລ້ວ ເລື່ຶອນຂຶ້ນມາເປັນ ຮອງປະທານສະພາ ແລ້ວ ກໍຈະກ້າວເປັນປະທານສະພາ ແລະ ຈະກາຍຂຶ້ນໄປເປັນ
ປະທານປະເທດ ຕລອດຊີວິດ ແຕ່ເຮັດຕ່າງກັບເກົາຫລີເຫນືອນ້ອຍນຶ່ງ ໄຊສົມພອນ ພົມວິຫອຍ ຮອງ ປທ ສະພາ ພົນຕຣີ ສັນຍາລັກ ພົມວີຫິ ຣມຕ ຊ່ວຍປ້ອງກັນ ປທ ສັນຕິພາບ ພົມວີໂຄຍ ຣມຕ ຂ່ວຍການ ເງີນ ແລະ ບັກຜີຫ່າ ວົງສວັນ ພົມວີຄວາຍ ອະດິດທູກລາວແດງ ທີ່ ໂມສກູ ເຮັດທາງອ້ອມ.
ຄິມ ຈົງ ອຸນ ສືບຕໍ່ໂດຍກົງ.


ໄຊສົມພອນ ພົມວິຫານ ຈະກາຍເປັນເຈົ້າຊີວິດລາວຄົນໃຫມ່.



ວິທີປ້ອງກັນ ລາວນອກຕ້ອງຮັກແພງກັນ ຢ່າມັກຜິດກັນ ຕ້ອງຊ່ວຍກັນທັບມ້າງ
ນະໂຍບາຍຜະເດັດການ ແລະ ເຫັນແກ່ຕົວ.


ນັບຖື
ຕ. ຣາສິກາ




Little has changed in Laos' one-party political system and its rulers are trying to emulate the market-based authoritarianism of China and Vietnam with pro-business reforms, with some success. ลิตเติ้ลมีการเปลี่ยนแปลงในระบบการเมืองลาว'หนึ่งของบุคคลและผู้ปกครองที่มีความพยายามที่จะเลียนแบบอำนาจตามตลาดของจีนและเวียดนามมีการปฏิรูป Pro ธุรกิจกับความสำเร็จบางอย่าง The once fragile economy has grown an average 7.9 percent a year since 2006. เศรษฐกิจที่เปราะบางครั้งมีการเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 7.9 ต่อปีตั้งแต่ปี 2006

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ທ່ານ bluemax ທີ່ນັບຖື


ຂອບໃຈທີ່ ໃຫ້ລາຍຣະອຽດ, ດັ່ງນັ້ນ ທ. ໄຊສົມພອນ ແລະ ທ. ສັນຍາຮັກ ກໍແມ່ນ ວຽດນາມ 100%
ການຕໍ່ສູ້ປະຊາທິປະໄຕໃນລາວ ຈະຕ້ອງທັບມ້າງ ຄົນຈຳພວກນີ້ ເຊັ່ນກັນ.


ຂໍພຽງແຕ່ລາວນອກ ບໍ່ທຳລາຍກັນ ແລະ ຊ່ວຍກັນປ້ອງກັນ ປຊຊ ໃນເວລາຈຳເປັນ ເທົ່ານັ້ນກໍພຽງພໍແລ້ວ.
ສ່ວນຈະໄປຊີ້ນຳ ປຊຊ ລາວຢູ່ໃນ ເຮັດຫັ້ນເຮັດນີ້ ນັ້ນ ບໍ່ຕ້ອງເຮັດກໍໄດ້. ເພາະ ຖ້າເຮັດແລ້ວ ທຳໃຫ້ ເສັຽຄວາມລັບ,
ຕາຍ ແມ່ນຄົນລາວໃນຕາຍ. ເພາະທຸກອົງການຈັດຕັ້ງລາວນອກ ແນວລາວ ປະກອບຄົນເຂົາໄວ້ນຳຫມົດແລ້ວ.


ນັບຖື
ຕ. ຣາສິກາ



--------------------------------------------------------------------------------
From: blue max
To: "laosnetworkroom@googlegroups.com"
Sent: Thursday, 19 January 2012 4:59 PM
Subject: Re: ຍອມຮັບວ່າມີການປ່ຽນແປງຣະບົບຜູ້ນຳໃນລາວນ້ອຍນຶ່ງ



ໄກສອນບໍ່ສາມາດມີລູກຄືງໆໄດ້ ໃນສມັຍນັ້ນໃສ່ຊື່່ປອມວ່າ ນາຍຮ້ອຍບູດດີ ຈາກບ້ານທ່າບໍ່ ມາເອົານາງທອງຫວິນ ແຖບແຄມນ້ຳງື່ມ ໄຊສົມພອນ ແລະ ສັນຍາຮັກ ເປັນ ລູກລ້ຽງ ແລະບໍ່ມີທາງຈະດຳເນີນ ການເມືອງຂອງລາວໄດ້ ທັງທີ່ ວຽດນາມພຍາຍາມ ຫນູນຫລັງ ທ້າວສົມສວັດ ທອງລູນ ແລະພັຄພວກ ທາງເຫນືອ ຈະບໍ່ຍອມເດັດຂາດ

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

APPEASEMENT TOWARD LAOS
WEDNESDAY, MAY 4, 2011


Relatives and supporters of three Americans jailed and tortured in Laos are appealing to the Obama administration to put high-level pressure on the communist government for their release.

However, one of the leaders of the campaign for their freedom suspects that President Obama might ignore their plea, as he seeks better relations with the Southeast Asian nation despite its brutal human rights record.

When they heard that Secretary of State Hillary Rodham Clinton sent greetings on behalf of Mr. Obama on the Laotian new year earlier this month, “we were appalled,” said Philip Smith, director of the Center for Public Policy Analysis in Washington.

He added that the new year’s message, which also expressed hopes for expanded bilateral military relations, makes him worry that the White House is drifting toward “total appeasement of a military dictatorship.”

Mr. Smith joined a coalition of organizations representing Laotian-Americans and Laotian Hmong refugees in writing to Mr. Obama and Mrs. Clinton to seek “higher diplomatic” attention to the plight of the three naturalized U.S. citizens of Hmong descent.

The three Hmong-Americans have been “interrogated, beaten and tortured, according to eyewitness and multiple sources,” Mr. Smith said.

Congshineng Yang, 34, Hakit Yang, 24, and Trillion Yunhaison, 44, visited Laos with valid tourist visas in July 2007. Laotian soldiers and secret police arrested them the next month in northeastern Laos.

“They were arrested without charges and for unknown reasons,” Mr. Smith said.

The secret police later moved the three Americans to Lao’s notorious Phonthong Prison in the capital, Vientiane. Their families believe the three are now being held in a secret military prison in the northeast of the country.

Mr. Smith said the families initially appealed to Ravic Huso, the U.S. ambassador to Laos at the time, and urged him to raise a diplomatic protest to the foreign ministry.

“He did almost nothing,” Mr. Smith said.

Mr. Huso assigned the case to a consular officer, who confirmed the arrests, Mr. Smith said.

“We wants answers now …,” said Shen Xiong, a spokeswoman for the families and the wife of Hakit Yang. The three Hmong-Americans had relocated from Laos to Minnesota, where their families still live.

The State Department cited a privacy act that restricts what they can say about Americans imprisoned abroad.

“We are unable to confirm claims that U.S. citizens were ever or still are in the custody of the Lao government,” an official said.

The Laotian Embassy declined to respond to an e-mail request for comment.

The State Department’s latest human rights report calls Laos “an authoritarian one-party state” where prison conditions are “harsh and, at times, life threatening.”

The Hmong people have long been the target of repression by Laotian communists because they sided with royalist forces, organized by the CIA, in the Laotian civil war, which ended in 1975.

The same day that a top Chinese official praised U.S. Ambassador Jon Huntsman as a friend of China, the outgoing envoy denounced the communist government for imprisoning a prominent artist.

“It is very sad that the Chinese government has seen a need to silence one of its most innovative and illustrious citizens,” Mr. Huntsman wrote in an introduction to a Time magazine profile on Ai Weiwei.

The artist, also an outspoken government critic, was included among Time’s 100 most influential people last week.

On the day of the April 21 publication, Chinese Vice President Xi Jinping expressed his regret that Mr. Huntsman will resign from his position later this month.

“You are an old friend of the Chinese people,” Mr. Xi said.

Mr. Huntsman, a former Republican government of Utah, is considering seeking the GOP nomination to challenge President Obama, who appointed him ambassador in 2009.

Call Embassy Row at 202/636-3297 or e-mailjmorrison@washingtontimes.com

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

Xufcgb.png [666x556px] ฝากรูป
image.ohozaa.com

__________________
« First  <  Page 8  >   Last »  sorted by
 
Quick Reply

Please log in to post quick replies.



Create your own FREE Forum
Report Abuse
Powered by ActiveBoard