ລາວໂຮມລາວ ເພື່ອປະຊາທິປະໄຕ

Members Login
Username 
 
Password 
    Remember Me  
Post Info TOPIC: ພວກຜູ້ນຳລາວຂາຍຊາດ ຂາຍແຜ່ນດິນ
Anonymous

Date:
RE: ພວກຜູ້ນຳລາວຂາຍຊາດ ຂາຍແຜ່ນດິນ
Permalink   
 


ของแซ่บอีสาน : อักษรอีสาน (ไทยน้อย) V.1

http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=Sl8Vc1xpzcA

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

หนังเรื่องทองปาน สะท้อนให้เราได้เห็นวิถีชีวิตที่หาดูยากแล้วในปัจจุบัน เท่าที่เห็นนักแสดงน่าจะมี ส.ศิวะรักษ์และหงา คาราวานร่วมด้วยไม่แน่ใจ เป็นภาพสะท้อนการตัดสินใจการบริหารการพัฒนาประเทศโดยระบบราชการ แม้จะมีการสัมนาร่วมแสดงความคิดเห็นจากหลายฝ่าย แต่ดูเหมือนจะเป็นเพียงรูปแบบเท่านั้นอำนาจการตัดสินใจที่แท้จริงก็คือจากเบื้องบนสู่เบื้องล่าง จากชนชั้นนำสู่รากหญ้า และเหตุผลความต้องการของสองฝ่ายคือระหว่างประชาชนกับรัฐบาลมักจะตรงข้ามกัน บทสรุปก็คือประชาชนต้องเชื่อฟังรัฐตามระเบียบ

นี่เด้อคุณยอดนี่กะเบิ่งแล่วออนซอนหลายจ้า http://www.youtube.com/watch?v=584G0SvW6lc ของแซ่บ
ลาว : อักษรลาวV.1

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ทนาย อานนท์ ว่าความให้อากง แพ้หมดรูป แต่ยังว่าโง่ทันทียังไม่ได้ ต้องดูคำพิพากษา คดีอาญา ไม่มีหลักฐานแน่ชัดต้องยกประโยชน์ให้จำเลย ศาลไทยเน่าไปทั่วโลก เป็นครั้งแรกที่กระทรวงการต่างประเทศต้องออกหนังสือชี้แจง งามหน้าไหมละ///////////////// ที่ผมออกมาพูดนี่ผมมีเหตุผลซิครับ ผมมีเหตุผลที่กล้าพูดใด้เลย แต่ผมไม่ต้องการเอาออกมาพูดที่นี่ คุณต้องการทราพส่งเมลมาหาผมผ่าน นปช กลางแล้วผมจะอธิบายไห้คุณฟังครับ

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

Matichon Group : ศูนย์อบรมอาชีพและธุรกิจมติชน สำนักพิมพ์มติชน เส้นทางเศรษฐี เทคโนโลยีชาวบ้าน ศิลปวัฒนธรรม มติชนสุดสัปดาห์ ประชาชาติธุรกิจ ข่าวสด
| อ่านข่าวบนมือถือ |
หน้าแรก การเมือง บันเทิงและศิลปวัฒนธรรม" กีฬา ในประเทศ ต่างประเทศ เศรษฐกิจ ไลฟ์สไตล์ วันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2554
บันเทิงเทศ บันเทิงเอเชีย บันเทิงไทย ศิลปะวัฒนธรรม พิงค์สเกิร์ต เซาะเปีย กีฬาต่างประเทศ กีฬาในประเทศ การศึกษา คุณภาพสังคม ยุติธรรม-อาชญากรรม ภูมิภาค การเงิน-การคลัง ตลาดทุน พาณิชย์-เกษตร-การตลาด สื่อสารและคมนาคม อุตสาหกรรม-พลังงาน พร็อพเพอตี้ อาหาร-ท่องเที่ยว สุขภาพและความงาม รถยนต์ เทคโนโลยี

ลาว"สั่งแบน"เสก"-ทำลายวัฒนธรรม ปปส.ยินดีรับเป็นพรีเซ็นเตอร์วันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2554 เวลา 11:17:16 น.

Share3




ข่าวสด 26 ธันวาคม 2554




ผู้บริหารแกรมมี่แฉ"เสก โล โซ" เคยโดนสั่งยกเลิกคอนเสิร์ต ที่ประเทศลาวแกรมมี่แฉเอง รองเลขาฯ ป.ป.ส.เผยร็อก เกอร์หนุ่มยังไม่ติดต่อขอรับการบำบัดยา เสพติด ขีดเส้นให้มาแสดงตนถึง 29 ธ.ค.นี้ หากสมัครใจจริงจะให้เป็นพรีเซ็นเตอร์เชิญชวนคนหลงผิดเข้าคอร์สเลิกยาของป.ป.ส. ′เสก′ยังอารมณ์ดี โพสต์รูปตัวเองเก๊กท่าเสยผมขึ้นเฟซบุ๊กทักทายแฟนคลับ





จากกรณี ′เสก โลโซ′ หรือ นายเสกสรร ศุขพิมาย นักร้องเพลงร็อกชื่อดัง ตกเป็นข่าวครึกโครมหลังมีพฤติกรรมพัวพันกับยาเสพติด จนค่ายแกรมมี่ต้นสังกัดต้องฉีกสัญญาทิ้ง ต่อมาสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ทำหนังสือ เชิญตัวร็อกเกอร์ดังมาให้ข้อมูลโดยขีดเส้นให้เข้าพบภายในวันที่ 29 ธ.ค. มิเช่นนั้นจะให้ตำรวจออกหมายเรียกและหมายจับกุมตามลำดับ ขณะเดียวกันปัญหาครอบครัวระหว่าง ′กานต์′วิภากร ศุขพิมาย อดีตภรรยา ยังหาข้อยุติไม่ได้ ตามข่าวที่เสนอไปแล้วนั้น





ความคืบหน้าเมื่อวันที่ 25 ธ.ค. นายกริช ทอมมัส ผู้บริหารค่ายแกรมมี่ กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีของนักร้องหนุ่ม ′เสก โลโซ′ ว่า ตอนนี้แกรมมี่ไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้อง เพราะสัญญาของเรากับเสกถูกยกเลิกไปแล้ว เป็นเรื่องที่หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องจะต้องดำเนินการต่อไป ที่ผ่านมาเสกก็ยังไม่ได้ติดต่อเข้ามาเลย ผู้สื่อข่าวถามว่าหากเสกได้รับการบำบัดยาเสพติดจะมีโอกาสร่วมงานกันอีกครั้งหรือไม่ นายกริชกล่าวว่า เป็นไปได้ เขาก็เป็นคนมีฝีมือ หาก 2 ปีได้รับการบำบัดจนหายดีแล้วเรายินดีร่วมงานกันได้ ยังให้โอกาสเสกเข้ามาพูดคุยกัน





เมื่อถามว่าก่อนหน้านี้มีข่าวว่าเสกไปเปิดการแสดงที่นครเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว แล้วถูกสั่งให้เลิกเล่นกลางเวทีเพราะมีอาการเมายาและสั่งห้ามเข้าประเทศจริงหรือไม่ นายกริชกล่าวว่าตนได้รับรายงานมาว่าเขาให้เลิกเล่นจริง งานนั้นเสกเป็นคนรับเอง ทีมงานบอกแต่เพียงว่าเขาไปสูบบุหรี่และถอดเสื้อบนเวทีขณะแสดง ทำให้เจ้าหน้าที่กระทรวงวัฒนธรรมของลาวต้องสั่งหยุดแสดง ส่วนอื่นๆตนไม่ทราบ แต่ว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นนานแล้ว น่าจะเป็นช่วงที่เขาป่วยใหม่ๆ





วันเดียวกัน นายณรงค์ รัตนานุกูล รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) เผยความคืบหน้าการเชิญ ′เสก โลโซ′ มาพบเจ้าหน้าที่ป.ป.ส.ว่า ยังไม่ได้ติดต่อว่าจะเข้าพบเจ้าหน้าที่ป.ป.ส.วันใด มีเพียงคนใกล้ชิดยืนยันว่าจะมาเข้ารับการบำบัดฟื้นฟูตามหมายเรียกของป.ป.ส. โดยเป็นผู้สมัครใจเข้ารับการบำบัดตนเท่านั้น อยากให้เสกและคนใกล้ชิดไม่ต้องกังวลหรือกลัวว่าจะกลายเป็นผู้กระทำผิด ป.ป.ส.ถือว่ากลุ่มคนเหล่านี้ไม่ใช่อาชญากร เป็นผู้ป่วยที่ต้องได้รับการรักษา ส่วนระยะเวลาหรือโปรแกรมการบำบัดเป็นหน้าที่ของกระทรวงสาธารณสุขที่จะเข้ามารับช่วงต่อ แต่ละคนใช้ระยะเวลาไม่เท่ากัน แล้วแต่ใครติดมากติดน้อย สำหรับสถานที่บำบัดอาจใช้สถาบันธัญญารักษ์





นายณรงค์กล่าวว่า หากเสกยินดีรับเป็นพรีเซ็นเตอร์เพื่อเชิญชวนให้ผู้เสพสมัครใจเข้าโครงการสมัครใจบำบัดตามเป้าหมายของ ป.ป.ส.จะเป็นเรื่องที่น่ายินดีมาก เพราะเป็นบุคคลมีชื่อเสียง เป็นต้นแบบของเยาวชน ส่วนการสืบสวนขยายเครือข่ายยาเสพติดจากผู้เสพเป็นคนละส่วนกัน ยังไม่พูดถึงตอนนี้ ที่สำคัญการให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่เป็นเรื่องสมัครใจ ไม่ใช่การบังคับ แม้เจ้าหน้าที่จะไม่ได้ข้อมูลจากเสกแต่ก็สามารถทำงานสืบสวนได้ ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ

"ไม่ต้องกลัวว่าเจ้าหน้าที่จะคาดคั้นหาข้อมูลเรื่องเครือข่ายยา เพราะเป็นคนละส่วน เป้าหมายของป.ป.ส.ต้องการให้ผู้เสพซึ่ง เป็นผู้ป่วยเข้ารับการบำบัดรักษาอย่างถูกต้องถูกวิธี แต่หากใครอยากให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ก็ยินดี ผมเชื่อว่าตอนนี้เสกอาจขอเวลาคิดอะไรสักหน่อย ซึ่งเป็นสิทธิของ เสก เพราะมีระยะเวลาถึงวันที่ 29 ธ.ค. หากพร้อมจะมาวันไหนป.ป.ส.ก็พร้อม" นาย ณรงค์กล่าว



ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โครงการนำผู้เสพยาเสพติดเข้าสู่กระบวนการบำบัดนั้น รัฐบาลตั้งเป้าภายในปี 2555 จะนำผู้เสพยาเสพติดเข้าสู่กระบวนการบำบัดให้ได้ 400,000 คน ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มบังคับบำบัด กลุ่มสมัครบำบัดยังมียอดความสมัครใจค่อนข้างน้อย





วันเดียวกัน เวลา 12.00 น. นางวิภากร ศุขพิมาย หรือ ′กานต์′ อดีตภรรยา ′เสก โลโซ′ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กว่า "Merry x mas รอแซนต้าตั้งแต่เมื่อคืนแล้วเนี่ย แต่จะรออีกคืนนี้" ต่อมาช่วงเย็น ′เสก′ โพสต์ภาพลงเฟซบุ๊กด้วยชุดเสื้อคอกลมสีดำ พร้อมเอามือเสยผมลักษณะเก๊กท่า และเขียนข้อความใต้ภาพว่า "ยืนแอ็คแล้วก็เก็กท่าท้างวัน^_^ ใครมีบริษัทดีๆ แล้วก็แค่รวมเสร็จก็จัดจำหน่าย พี่คิดว่าเวิร์คเรยสส์ละ"




__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 


ใครฆ่าพระเจ้าตาก ยอด กษัตริย์ ชาตินักรบ
จากเรื่องราวต่างๆ หลายแงมุมมอง....จากหนังสือต่างๆ แหลงข้อมูลต่างๆ.....ผมจะหยิบยกมาเสนอใน มุมมองต่างๆ
มาบอกเล่าสู่กันฟังนะครับ ถ้าข้อมูลบางส่วนผิดประการใดก็ขออภัยไว้ ณ...ที่นี้ด้วยนะครับ ขอความกรุณาอ่านและวิจารณ์เฉพาะ
ในเชิงของประวัติศาสตร์นะครับ
ก่อนอื่นผมขอเล่าเรื่อง จุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ ก่อนเล็กน้อยนะครับเพื่อให้ได้เนื้อหาที่สมบูรณ์ครับ
พระเจ้าตากสิน บุตรชาวจีน บิดาชื่อนายไหฮอง บรรดาศักดิ์ขุนพัฒน์ นายอากรบ่อนเบี้ย
กับคนลาวชิ่อนกเอี้ยง (page.20 : Chinese Society in Thailand . An Analytical History. By Skinner G.William. Ithaca New York.Cornell Universty Press 1957 :459 pages)ซึ่งในภายหลังได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น “สมเด็จกรมพระพิทักษ์-
เทพามาตย์“ พระเจ้าตากประสูติในวันอาทิตย์ ปีขาล (๑๗ เมษายน ๒๒๗๗) เล่ากันว่า
ตอนเกิดนั้นมีนิมิตรเกิดขึ้นเป็นฝนตกฟ้าผ่า พอท่านอายุครบ ๓ วัน มีดันงูเหลือมตัวใหญ่
เลื้อยอยู่รอบ ๆ เปล บิดาของท่านก็กลัวว่าจะเป็นลางร้าย จึงนำไปฝากให้เป็นบุตร
บุญธรรมของเจ้าพระยาจักรีในสมัยนั้น ต่อมาไม่นานนักเจ้าพระยาจักรีเกิดร่ำรวยมีแต่
โชคลาภมงคลเข้ามา ท่านจึงตั้งชื่อให้ลูกบุญธรรมคนนี้ว่า”สิน” ซึ่งแปลว่า “เงินทอง”

เมื่ออายุ ๕ ขวบ ได้เรียนกับพระอาจารย์ทองดี วัดโกษาวาส มีเพื่อนสนิทบวชเณรอยู่
ด้วยกัน ๒ คนคือ ทองด้วง และบุนนาค ซึ่งต่อมา ”ทองด้วง” ก็ขึ้นเสวยราชย์เป็น ร.๑
ในราชวงศ์จักรี ในขณะที่ “บุนนาค” เป็นมหาดเล็กหุ้มแพร นายฉลองไนยนาถ และ
ได้เป็น เจ้าพระยามหาเสนาบดี ต้นตระกูลบุนนาค หลังจากที่พระเจ้าตากสินได้สู่
สวรรคตแล้ว

คราวนี้ผมจะพาพวกเราลองย้อนกลับไปในช่วงก่อนที่พระเจ้าตากจะถูกทำรัฐประหาร
เพื่อเตรียมปูพื้นไว้ก่อนว่า มีอะไรบ้างที่ดูเหมือนจะเป็นการบิดเบือน

เหตุการณ์ทางการเมืองในช่วงปลายรัชสมัยของพระเจ้าตากนั้นเต็มไปด้วยความวุ่นวาย
มีความสับสนในข้อมูล มีการบิดเบือนโดยใช้การบอกเล่าผ่านทางนวนิยายก็หลายหน
ซึ่งผมไม่ให้ความสำคัญกับข้อความในนวนิยายพวกนี้ ที่มักอ้างเอกสารทางประวัติศาสตร์
เพื่อโน้มน้าวผู้อ่านให้เชื่อถือ ตัวอย่างเช่น นวนิยายชื่อ “ผู้อยู่เหนือเงื่อนไข” ของ
สุภา ศิริมานนท์ ใช้นามปากกาว่า ษี บ้านกุ่ม เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๖ ที่อ้างถึงเอกสารสมุดข่อย
ที่ตกทอดในตระกูลสุนทรโรหิต และสืบทอดมาถึงหลวงสุภาเทพ (โต สุนทรโรหิต) บิดา
ของจินดา ศิริมานนท์ ซึ่งต่อมาก็ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้เก็บรักษาสมุดข่อยที่ว่านี้ไว้

ในเรื่องของ “ผู้อยู่เหนือเงื่อนไข” นี้ ได้สร้างความเชื่ออย่างนึงในกลุ่มผู้อ่านว่าพระเจ้าตาก
ไม่ได้สวรรคตจากการประหารชีวิตที่วัดอรุณ แต่ทรงได้รับความช่วยเหลือจากภิกษุ
๕ รูปและทรงประทับเรือพาย พร้อมด้วยฝีพาย ๔ คน ออกมาจากกรุงธนบุรี เพื่อไปประทับ
เรือใบของ "คุณพัด" หรือ เจ้าพระยาพัฒน์ ผู้ครองเมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นพี่เขย
ของคุณเล็กและคุณฉิม พระชายาในสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ที่ทอดสมอรออยู่ที่ตำบล
ปากลัด หรือ พระประแดง ในปัจจุบัน เพื่อทรงหลบหนีไปเมืองนครศรีธรรมราช และ
ได้บอกเล่าเอาไว้ว่า ภิกษุทั้ง ๕ นั้น ที่จริงแล้วก็คือพระสหายเก่าตั้งแต่ครั้งอุปสมบทที่
วัดโกษาวาส เมื่อ พ.ศ. ๒๒๙๗ ในช่วงกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย มีชื่อว่า "สิงห์ขาม"หรือ
แกละดำ, "ปางทราย" หรือ แกละขาว, "สีเหล็ก" หรือ เอกจิโตภิกขุ, "หินขาบ" หรือ
แกละแดง และคนสุดท้ายคือ "หลวงอาสาศึก" หรือ บุญคง ซึ่งท่านสุดท้ายนี้ไม่ได้
เดินทางกลับมาด้วย เนื่องจากได้เสียสละปลอมตัวเป็นพระองค์อยู่ในที่คุมขัง และยอมถูก
สำเร็จโทษแทนสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ผมคิดว่าทั้งหมดที่ถูกพรรณาในนวนิยาย “ผู้อยู่เหนือเงื่อนไข” นั้น ออกจะเกินจริงไป
เหตุเพราะพระเจ้ากรุงธนบุรีนั้นทรงถูกพระยาสรรค์ก่อการรัฐประหารยึดอำนาจ และ
นำตัวพระองค์ไปคุมขังไว้ แต่การประหารพระองค์นั้นไม่ได้เกิดขึ้นจากน้ำมือพระยาสรรค์
แต่กลับเกิดขึ้นหลังจากที่เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก หรือ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ฯ
ได้เสวยราชสมบัติแล้ว ซึ่งผมไม่เชื่อว่าจะเกิดการเปลี่ยนตัวนักโทษได้ง่าย ๆ เนื่องจาก
การกลับคืนสู่พระนครและการปราบกบฏพระยาสรรค์นั้น ไม่ได้ทำเพื่อถวายคืนพระยศ
และถวายพระราชอำนาจคืนแก่พระเจ้ากรุงธนบุรี แต่เป็นการทำเพื่อการเข้าสู่ราชบัลลังก์
ของพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ฯ ซึ่งแน่นอนว่าการคุมขังพระเจ้ากรุงธนบุรีในคุกหลวงนั้น
ย่อมต้องแข็งแรงรัดกุม และผมเชื่อแน่นอนว่า เรื่องที่เล่าสู่กันฟังว่าพระเจ้าตากทรง
เตี๊ยมกับเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก สร้างเรื่องเพื่อหลบปัญหาหนี้สิน ๖ หมื่นตำลึงกับจีน
จนนำไปสู่การสลับตัวนักโทษประหารและการหลบหนีของพระเจ้าตากนั้น ไม่น่าจะเป็น
ไปได้ เหตุเพราะหลังจากพระเจ้าตากได้สู่สวรรคตแล้ว ทั้งโอรสและธิดาของพระเจ้าตาก
๒๙ พระองค์ที่ทรงพระเจริญวัยก็ถูกจับปลงพระชนม์หมด ที่ยังทรงพระเยาว์และเจ้าหญิง
ก็ถูกถอดพระยศออก แล้วเรียกว่าหม่อมเหมือนกันทุกพระองค์ (ในช่วงแรกมีคนเสนอให้
นำไปทำเรือล่มเพื่อให้หมดสิ้นวงศ์ด้วซ้ำ แต่พระพุทธยอดฟ้า ฯ ทรงห้ามไว้) แม้จนกระทั่ง
สมเด็จพระราชินีและสมเด็จพระน้านาง ก็ถูกถอดพระยศจนหมดสิ้น จะมียกเว้นก็แต่เพียง
“เจ้าฟ้าเหม็น”ซึ่งเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าตากสิน ซึ่งเกิดจากเจ้าจอมฉิมใหญ่ ซึ่งเป็น
พระราชธิดาของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ทำให้เจ้าฟ้าเหม็นเป็นทั้งโอรสของ
พระเจ้าตากและเป็นพระนัดดาหรือหลานตาของ ร.๑ จึงรอดจากการถูกประหารในขณะนั้น
แต่เมื่อสิ้น ร.๑ ได้เพียง ๓ วัน "เจ้าฟ้าเหม็น" ก็ถูกปลงพระชนม์ในข้อหากบฏ เนื่องจาก
มีอีกาบินคาบข่าวการกบฏมาตกในท้องพระโรง ... ???

นอกจากนี้ ทหารเสือคู่พระทัยและข้าราชบริพารที่ซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าตากสินอีกร้อยกว่าชีวิต
ต่างก็ถูกโทษประหารด้วยเช่นกัน อย่างเช่น เจ้าพระยานครราชสีมา (ต้นสกุลกาญจนา),
พระยารามัญวงศ์ (ต้นสกุลศรีเพ็ญ), พระยาพิชัยดาบ หัก (ทองดี ต้นสกุลวิชัยขัทคะ และ
พิชัยกุล) เป็นต้น ต่างก็ถูกฝังเรียงรายใกล้พระศพสมเด็จพระเจ้าตากสินนั้นเอง

จากพฤติกรรมต่าง ๆ ที่ผมเล่าให้ฟังนี้ ผมเชื่อว่ามีการล้างตระกูลเกิดขึ้นจริงและไม่น่าที่จะ
มีเรื่องของการยอมให้มีการเปลี่ยนตัวพระเจ้าตากออกมาจากคุก เพื่อหลบหนีไปบวชอยู่
ที่นครศรีธรรมราชตามที่มีผู้เล่าทิ้งความเชื่อเอาไว้ และผมยังเชื่ออีกว่าบรรดาเรื่องราว
ทั้งในนวนิยายของ ษี บ้านกุ่ม ก็ดี หรือเรื่อง “ใครฆ่าพระเจ้ากรุงธน” ของหลวงวิจิตร ฯ
ก็ดี รวมทั้งพงศาวดารไทยอีกหลายฉบับที่มีการชำระหลังจากรัชสมัยของ ร.๑ ก็ดีมีความ
พยายามที่จะทำให้เรื่องราวข้อเท็จจริงในอดีตนั้นดูเบาลง และเป็นภาพที่ดีขึ้นสำหรับการ
กำเนิดราชวงศ์ใหม่หลังจากสิ้นสุดรัชสมัยของพระเจ้ากรุงธนบุรี

เป็นอย่างไรบ้างครับท่านผู้อ่าน.. คราวนี้เราจะมาดูข้อมูลจากแหล่งที่มาต่างๆครับ
เป็นอย่างไรบ้างครับ...ท่านผู้อ่าน ตอนนี้ผมขอพักเรื่องไว้นิดหนึ่งนะครับ คราวนี้เรามาดูจากแหล่งข้อมูลต่างๆ
จากหนังสือต่างๆ ที่ได้เขียนไว้ครับ
บรรดาเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ของชาติ มีบางเหตุการณ์ที่ยังหาข้อสรุปที่ชัดเจนไม่ได้ ทำให้มีการตีความ และนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้นใหม่อยู่เป ็นระยะ

ดังเช่นเหตุการณ์สวรรคตของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี (พระเจ้าตากสิน) พระปฐมบรมราชกษัตริย์แห่งกรุงธนบุรี ในปี พ.ศ.2325

แม้เหตุการณ์ในวันนั้นจะผ่าน มา 226 ปี หากคำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้กลับแตกต่างกันไป มีการนำเสนอเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้ากรุงธนบุรี หลายต่อหลายครั้ง เมื่อมีเอกสาร หรือการตีความใหม่เกิดขึ้น

สำหรับนิตยสาร "ศิลปวัฒนธรรม" นำเสนอบทความเกี่ยวกับสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีมาเป็น ระยะ เช่น บทความชื่อ "ชำแหละแผนยึดกรุงธนบุรี" ของ ปรามินทร์ เครือทอง ที่กล่าวถึงเหตุการณ์ช่วงกรุงธนบุรีแตกไว้โดยละเอียด

ตั้งแต่ การเกิดรัฐประหารขึ้นในกัมพูชาซึ่งอยู่ในอำนาจของกรุ งธนบุรีในขณะนั้นซึ่งเป็นเวลา 1 ปี ก่อนกรุงธนบุรีแตก บรรยากาศทางการเมืองที่มีกลุ่มต่างๆ ก่อตัวขึ้น จนถึง 24 ชั่วโมงสุดท้ายของกรุงธนบุรี และ 24 ชั่วโมงแรกของกรุงรัตนโกสินทร์ ตลอดจนพระราชดำรัสสุดท้ายของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ที่บันทึกในพระราชพงศาวดารกรุงกัมพูชา ให้ชวนคิดว่า

"กูวิตกแต่ศัตรูมาแต่ประเทศเมืองไกล แต่เดี๋ยวนี้ไซ้ลูกหลานของกูเอง ว่ากูคิดเปนบ้าเปนบอแล้วดังนี้ จะให้พ่อบวชก็ดี ฤาจะใส่ตรวนพ่อก็ดี พ่อจะยอมรับทำตามใจลูกบังคับทั้งสิ้น" (ศิลปวัฒนธรรม เดือนเมษายน พ.ศ.2550)


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

หรือบทความชื่อ "ความเปลี่ยนแปลงในการเขียนประวัติศาสตร์ และการให้ความหมายต่อกรณี "สัญญาวิปลาส" ของพระเจ้าตากสิน" ผลงานการค้นคว้าข้อมูลของ ศิริวรรณ ลาภสมบูรนานนท์ (ศิลปวัฒนธรรม เดือนกันยายน พ.ศ.2550) ตั้งข้อสังเกตว่า

"พระราชประวัติของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีหรือ "พระเจ้าตากสิน" เป็นที่เคลือบแคลงเสมอมาโดยเฉพาะในช่วงปลายรัชกาล ในพระราชพงศาวดารฉบับต่างๆ ทั้งที่เขียนขึ้นร่วมสมัยและฉบับที่ชำระใหม่ภายหลัง ได้กล่าวถึงวาระสุดท้ายของพระเจ้าตากสินไว้ว่า

ทรงถูกสำเร็จโทษอันเนื่องมาจากว่าทรงมีพระสติฟั่นเฟื อนจนถึงแก่ "สัญญาวิปลาส" จนเป็นภัยต่อพระพุทธศาสนาและไม่อาจปกครองบ้านเมืองรว มทั้งอาณาประชาราษฎร์ให้เกิดความสงบสุขร่มเย็นได้

...คำอธิบายนี้ได้กลายเป็นแม่แบบคำอธิบายอย่าง "เป็นทางการ" ซึ่งได้รับการผลิตซ้ำ (reproduction) อย่างสม่ำเสมอ ทั้งจากการพิมพ์เผยแพร่พระราชพงศาวดารและจดหมายเหตุต่างๆ..."
และกล่าวถึงพระราชพงศาวดารสมัยกรุงธนบุรี 4 ฉบับ คือ 1.ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) 2.ฉบับบริติชมิวเซียม 3.ฉบับหมอบรัดเลย์ และ 4.ฉบับพระราชหัตถเลขา ซึ่งมีลักษณะที่แตกต่างกันคือ

"พระราชพงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) และฉบับบริติชมิวเซียม เป็นพระราชพงศาวดารที่ชำระขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ตอน ต้น จึงยังคงข้อความถวายพระเกียรติพระเจ้าตากสินด้วยราชา ศัพท์หรือคำยกย่องในบุญญาบารมีอยู่มาก...และคงลักษณะ ยกย่องอย่างนั้นจนถึงช่วงปลายรัชกาลที่มีการรวบรัดตัดความ

ส่วนพระราชพงศาวดารฉบับหมอบรัดเลย์และฉบับพระราช หัตถ เลขา ซึ่งชำระขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่ห ัว ไม่ได้ให้ความยกย่องแก่พระเจ้าตากสิน...ยิ่งในช่วงปล ายรัชกาลยิ่งลดทอนพระเกียรติของพระเจ้าตากสินในฐานะพ ระมหากษัตริย์ลงอีก..."

เพื่อชี้ให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในการเขียนประวัติ และการให้ความหมายต่อกรณี "สัญญาวิปลาส" ของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีที่เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพสังคม

และในเดือนพฤษภาคม พศ2551 นิตยสารศิลปวัฒนธรรม นำเสนอบทความเกี่ยวกับสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีอีกครั ้ง ปรามินทร์ เครือทอง กลับมาชวนท่านผู้อ่านคิดต่อเนื่องถึงเหตุการณ์ปลายแผ ่นดินสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี หากคราวนี้สมรภูมิเป็นพื้นที่ในพงศาวดาร พื้นที่สำหรับสร้างความชอบธรรม ในบทความชื่อ "แฉ" แผนใช้พงศาวดารยึดกรุงธนบุรี "ซ้ำ" ที่ว่า

"การทำรัฐประหารเปลี่ยนแผ่นดินจากกรุงธนบุรีไปสู่กรุง รัตนโกสินทร์ สำเร็จราบคาบในคราวเดียวหรือจะให้ละเอียดกว่านั้นคือ ศึกกลางเมืองยึดกรุงธนบุรีสำเร็จเด็ดขาดด้วยเวลาเพีย ง 7 ชั่วโมง และตลอดรัชสมัยรัชกาลที่ 1 ก็ไม่มีแรงปฏิกิริยาใดๆ จากกลุ่มอำนาจเก่าหรือฝ่ายพระเจ้าตากเลย... แต่งานปราบปรามกรุงธนบุรียังมิได้ลุล่วงไปอย่างสมบูร ณ์แท้ดังที่ทราบกัน ยังคงมีสิ่งที่ต้องชำระสะสางกันอีกเพื่อให้กรุงรัตนโ กสินทร์มีความสง่างามประดุจรัตนชาติซึ่งไร้ตำหนิรอยร ้าว

13 ปี หลังจากการปราบดาภิเษกเปลี่ยนแผ่นดิน การยึดกรุงธนบุรีได้เกิดขึ้นอีกครั้ง ซึ่งกระทำโดยปราศจากการใช้กำลังและความรุนแรง แต่เป็นการยึดกรุงธนบุรีโดยใช้ "พระราชพงศาวดาร" เป็นอาวุธ

โดยเฉพาะพระราชพงศาวดารกรุงธนบุรีในช่วงปลายรัชกาล นับตั้งแต่เค้าลางแห่งการรัฐประหารเริ่มเกิดขึ้น โครงสร้างของเนื้อความในพระราชพงศาวดารก็วิบัติผันแป รไปตามเหตุการณ์ เพื่อสนับสนุนให้เนื้อเรื่องตอนฉากจลาจลในพระนคร เป็นไปอย่างสมเหตุสมผลและสมควรแก่การเปลี่ยนแปลงทางก ารเมือง"

ถึงตรงนี้ขอเชิญท่านผู้อ่านร่วมกันค้นหา "ความจริง" เกี่ยวกับ "เวลา" เกิดเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งซ่อนเร้นอยู่ในพงศาวดาร พยายามชี้ให้เห็น ส่วนคำตอบจะเป็นเช่นไร กรุณาตรวจสอบใน "ศิลปวัฒนธรรม" เดือนพฤษภาคมนี้ แล้วท่านจะพบว่า
พงศาวดารพูดถึง "ยุคเข็ญ" ปลายกรุงธนบุรีได้เสียงดังฟังชัดแค่ไหน !!!


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

หรือบทความชื่อ "ความเปลี่ยนแปลงในการเขียนประวัติศาสตร์ และการให้ความหมายต่อกรณี "สัญญาวิปลาส" ของพระเจ้าตากสิน" ผลงานการค้นคว้าข้อมูลของ ศิริวรรณ ลาภสมบูรนานนท์ (ศิลปวัฒนธรรม เดือนกันยายน พ.ศ.2550) ตั้งข้อสังเกตว่า

"พระราชประวัติของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีหรือ "พระเจ้าตากสิน" เป็นที่เคลือบแคลงเสมอมาโดยเฉพาะในช่วงปลายรัชกาล ในพระราชพงศาวดารฉบับต่างๆ ทั้งที่เขียนขึ้นร่วมสมัยและฉบับที่ชำระใหม่ภายหลัง ได้กล่าวถึงวาระสุดท้ายของพระเจ้าตากสินไว้ว่า

ทรงถูกสำเร็จโทษอันเนื่องมาจากว่าทรงมีพระสติฟั่นเฟื อนจนถึงแก่ "สัญญาวิปลาส" จนเป็นภัยต่อพระพุทธศาสนาและไม่อาจปกครองบ้านเมืองรว มทั้งอาณาประชาราษฎร์ให้เกิดความสงบสุขร่มเย็นได้

...คำอธิบายนี้ได้กลายเป็นแม่แบบคำอธิบายอย่าง "เป็นทางการ" ซึ่งได้รับการผลิตซ้ำ (reproduction) อย่างสม่ำเสมอ ทั้งจากการพิมพ์เผยแพร่พระราชพงศาวดารและจดหมายเหตุต่างๆ..."
และกล่าวถึงพระราชพงศาวดารสมัยกรุงธนบุรี 4 ฉบับ คือ 1.ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) 2.ฉบับบริติชมิวเซียม 3.ฉบับหมอบรัดเลย์ และ 4.ฉบับพระราชหัตถเลขา ซึ่งมีลักษณะที่แตกต่างกันคือ

"พระราชพงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) และฉบับบริติชมิวเซียม เป็นพระราชพงศาวดารที่ชำระขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ตอน ต้น จึงยังคงข้อความถวายพระเกียรติพระเจ้าตากสินด้วยราชา ศัพท์หรือคำยกย่องในบุญญาบารมีอยู่มาก...และคงลักษณะ ยกย่องอย่างนั้นจนถึงช่วงปลายรัชกาลที่มีการรวบรัดตัดความ

ส่วนพระราชพงศาวดารฉบับหมอบรัดเลย์และฉบับพระราช หัตถ เลขา ซึ่งชำระขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่ห ัว ไม่ได้ให้ความยกย่องแก่พระเจ้าตากสิน...ยิ่งในช่วงปล ายรัชกาลยิ่งลดทอนพระเกียรติของพระเจ้าตากสินในฐานะพ ระมหากษัตริย์ลงอีก..."

เพื่อชี้ให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในการเขียนประวัติ และการให้ความหมายต่อกรณี "สัญญาวิปลาส" ของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีที่เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพสังคม

และในเดือนพฤษภาคม พศ2551 นิตยสารศิลปวัฒนธรรม นำเสนอบทความเกี่ยวกับสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีอีกครั ้ง ปรามินทร์ เครือทอง กลับมาชวนท่านผู้อ่านคิดต่อเนื่องถึงเหตุการณ์ปลายแผ ่นดินสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี หากคราวนี้สมรภูมิเป็นพื้นที่ในพงศาวดาร พื้นที่สำหรับสร้างความชอบธรรม ในบทความชื่อ "แฉ" แผนใช้พงศาวดารยึดกรุงธนบุรี "ซ้ำ" ที่ว่า

"การทำรัฐประหารเปลี่ยนแผ่นดินจากกรุงธนบุรีไปสู่กรุง รัตนโกสินทร์ สำเร็จราบคาบในคราวเดียวหรือจะให้ละเอียดกว่านั้นคือ ศึกกลางเมืองยึดกรุงธนบุรีสำเร็จเด็ดขาดด้วยเวลาเพีย ง 7 ชั่วโมง และตลอดรัชสมัยรัชกาลที่ 1 ก็ไม่มีแรงปฏิกิริยาใดๆ จากกลุ่มอำนาจเก่าหรือฝ่ายพระเจ้าตากเลย... แต่งานปราบปรามกรุงธนบุรียังมิได้ลุล่วงไปอย่างสมบูร ณ์แท้ดังที่ทราบกัน ยังคงมีสิ่งที่ต้องชำระสะสางกันอีกเพื่อให้กรุงรัตนโ กสินทร์มีความสง่างามประดุจรัตนชาติซึ่งไร้ตำหนิรอยร ้าว

13 ปี หลังจากการปราบดาภิเษกเปลี่ยนแผ่นดิน การยึดกรุงธนบุรีได้เกิดขึ้นอีกครั้ง ซึ่งกระทำโดยปราศจากการใช้กำลังและความรุนแรง แต่เป็นการยึดกรุงธนบุรีโดยใช้ "พระราชพงศาวดาร" เป็นอาวุธ

โดยเฉพาะพระราชพงศาวดารกรุงธนบุรีในช่วงปลายรัชกาล นับตั้งแต่เค้าลางแห่งการรัฐประหารเริ่มเกิดขึ้น โครงสร้างของเนื้อความในพระราชพงศาวดารก็วิบัติผันแป รไปตามเหตุการณ์ เพื่อสนับสนุนให้เนื้อเรื่องตอนฉากจลาจลในพระนคร เป็นไปอย่างสมเหตุสมผลและสมควรแก่การเปลี่ยนแปลงทางก ารเมือง"

ถึงตรงนี้ขอเชิญท่านผู้อ่านร่วมกันค้นหา "ความจริง" เกี่ยวกับ "เวลา" เกิดเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งซ่อนเร้นอยู่ในพงศาวดาร พยายามชี้ให้เห็น ส่วนคำตอบจะเป็นเช่นไร กรุณาตรวจสอบใน "ศิลปวัฒนธรรม" เดือนพฤษภาคมนี้ แล้วท่านจะพบว่า
พงศาวดารพูดถึง "ยุคเข็ญ" ปลายกรุงธนบุรีได้เสียงดังฟังชัดแค่ไหน !!!


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

หรือบทความชื่อ "ความเปลี่ยนแปลงในการเขียนประวัติศาสตร์ และการให้ความหมายต่อกรณี "สัญญาวิปลาส" ของพระเจ้าตากสิน" ผลงานการค้นคว้าข้อมูลของ ศิริวรรณ ลาภสมบูรนานนท์ (ศิลปวัฒนธรรม เดือนกันยายน พ.ศ.2550) ตั้งข้อสังเกตว่า

"พระราชประวัติของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีหรือ "พระเจ้าตากสิน" เป็นที่เคลือบแคลงเสมอมาโดยเฉพาะในช่วงปลายรัชกาล ในพระราชพงศาวดารฉบับต่างๆ ทั้งที่เขียนขึ้นร่วมสมัยและฉบับที่ชำระใหม่ภายหลัง ได้กล่าวถึงวาระสุดท้ายของพระเจ้าตากสินไว้ว่า

ทรงถูกสำเร็จโทษอันเนื่องมาจากว่าทรงมีพระสติฟั่นเฟื อนจนถึงแก่ "สัญญาวิปลาส" จนเป็นภัยต่อพระพุทธศาสนาและไม่อาจปกครองบ้านเมืองรว มทั้งอาณาประชาราษฎร์ให้เกิดความสงบสุขร่มเย็นได้

...คำอธิบายนี้ได้กลายเป็นแม่แบบคำอธิบายอย่าง "เป็นทางการ" ซึ่งได้รับการผลิตซ้ำ (reproduction) อย่างสม่ำเสมอ ทั้งจากการพิมพ์เผยแพร่พระราชพงศาวดารและจดหมายเหตุต่างๆ..."
และกล่าวถึงพระราชพงศาวดารสมัยกรุงธนบุรี 4 ฉบับ คือ 1.ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) 2.ฉบับบริติชมิวเซียม 3.ฉบับหมอบรัดเลย์ และ 4.ฉบับพระราชหัตถเลขา ซึ่งมีลักษณะที่แตกต่างกันคือ

"พระราชพงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) และฉบับบริติชมิวเซียม เป็นพระราชพงศาวดารที่ชำระขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ตอน ต้น จึงยังคงข้อความถวายพระเกียรติพระเจ้าตากสินด้วยราชา ศัพท์หรือคำยกย่องในบุญญาบารมีอยู่มาก...และคงลักษณะ ยกย่องอย่างนั้นจนถึงช่วงปลายรัชกาลที่มีการรวบรัดตัดความ

ส่วนพระราชพงศาวดารฉบับหมอบรัดเลย์และฉบับพระราช หัตถ เลขา ซึ่งชำระขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่ห ัว ไม่ได้ให้ความยกย่องแก่พระเจ้าตากสิน...ยิ่งในช่วงปล ายรัชกาลยิ่งลดทอนพระเกียรติของพระเจ้าตากสินในฐานะพ ระมหากษัตริย์ลงอีก..."

เพื่อชี้ให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในการเขียนประวัติ และการให้ความหมายต่อกรณี "สัญญาวิปลาส" ของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีที่เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพสังคม

และในเดือนพฤษภาคม พศ2551 นิตยสารศิลปวัฒนธรรม นำเสนอบทความเกี่ยวกับสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีอีกครั ้ง ปรามินทร์ เครือทอง กลับมาชวนท่านผู้อ่านคิดต่อเนื่องถึงเหตุการณ์ปลายแผ ่นดินสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี หากคราวนี้สมรภูมิเป็นพื้นที่ในพงศาวดาร พื้นที่สำหรับสร้างความชอบธรรม ในบทความชื่อ "แฉ" แผนใช้พงศาวดารยึดกรุงธนบุรี "ซ้ำ" ที่ว่า

"การทำรัฐประหารเปลี่ยนแผ่นดินจากกรุงธนบุรีไปสู่กรุง รัตนโกสินทร์ สำเร็จราบคาบในคราวเดียวหรือจะให้ละเอียดกว่านั้นคือ ศึกกลางเมืองยึดกรุงธนบุรีสำเร็จเด็ดขาดด้วยเวลาเพีย ง 7 ชั่วโมง และตลอดรัชสมัยรัชกาลที่ 1 ก็ไม่มีแรงปฏิกิริยาใดๆ จากกลุ่มอำนาจเก่าหรือฝ่ายพระเจ้าตากเลย... แต่งานปราบปรามกรุงธนบุรียังมิได้ลุล่วงไปอย่างสมบูร ณ์แท้ดังที่ทราบกัน ยังคงมีสิ่งที่ต้องชำระสะสางกันอีกเพื่อให้กรุงรัตนโ กสินทร์มีความสง่างามประดุจรัตนชาติซึ่งไร้ตำหนิรอยร ้าว

13 ปี หลังจากการปราบดาภิเษกเปลี่ยนแผ่นดิน การยึดกรุงธนบุรีได้เกิดขึ้นอีกครั้ง ซึ่งกระทำโดยปราศจากการใช้กำลังและความรุนแรง แต่เป็นการยึดกรุงธนบุรีโดยใช้ "พระราชพงศาวดาร" เป็นอาวุธ

โดยเฉพาะพระราชพงศาวดารกรุงธนบุรีในช่วงปลายรัชกาล นับตั้งแต่เค้าลางแห่งการรัฐประหารเริ่มเกิดขึ้น โครงสร้างของเนื้อความในพระราชพงศาวดารก็วิบัติผันแป รไปตามเหตุการณ์ เพื่อสนับสนุนให้เนื้อเรื่องตอนฉากจลาจลในพระนคร เป็นไปอย่างสมเหตุสมผลและสมควรแก่การเปลี่ยนแปลงทางก ารเมือง"

ถึงตรงนี้ขอเชิญท่านผู้อ่านร่วมกันค้นหา "ความจริง" เกี่ยวกับ "เวลา" เกิดเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งซ่อนเร้นอยู่ในพงศาวดาร พยายามชี้ให้เห็น ส่วนคำตอบจะเป็นเช่นไร กรุณาตรวจสอบใน "ศิลปวัฒนธรรม" เดือนพฤษภาคมนี้ แล้วท่านจะพบว่า
พงศาวดารพูดถึง "ยุคเข็ญ" ปลายกรุงธนบุรีได้เสียงดังฟังชัดแค่ไหน !!!


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

"แล้วจึงให้เชิญเสด็จพระบรมศพพระที่นั่งสุริยาศน์อัมรินทร์แห่แหนมา ณ โพธิ์สามต้น
ถวายพระเพลิง” นอกจากนี้ยังกล่าวถึงพระบรมวงศานุวงศ์ในพ่อเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ
ไว้ตอนนึงว่า "จึงให้รับบุราณขัตติยวงศาซึ่งได้ความลำบากกับทั้งพระบรมวงศ์ลงมาทะนุ
บำรุงไว้ ณ เมืองธนบุรี" ซึ่งเหตุที่ต้องอพยพอย่างนี้ก็เพราะในขณะนั้น บริเวณแถบ
โพธิ์สามต้นและกรุงเก่ายังเป็นเขตอิทธิพลของชุมชนมอญ เกรงว่าจะไม่ปลอดภัย
ต่อพระราชวงศ์ รวมทั้งสภาพของเมืองนั้นก็ทรุดโทรมอย่างหนัก มีแต่ทรากปรักพัง
ยากแก่การซ่อมแซม จึงดำริว่าจะอพยพลงไปตั้งมั่นอยู่ที่ธนบุรี

ในความเห็นส่วนตัวของผมนั้น ผมค่อนข้างเห็นชัดว่าพระเจ้าตากนั้นไม่ทรงลืมที่จะต้องภักดี
ต่อแผ่นดินอโยธยาและทรงพยายามที่จะรักษาสัตยวาจา รักษานโยบายการกู้คืนราชธานี
อยุธยาอย่างมั่นคงอย่างที่เคยประกาศไว้เมื่อครั้งเริ่มก่อตั้งชุมนุมพระยาตาก บุรุษอย่างนี้
สมแล้วที่จะทรงเป็นมหาราชของแผ่นดิน

ด้านนโยบายทางการปกครองของพระเจ้าตากนั้น จะทรงเน้นให้ผู้นำชุมชนหรือชุมนุมที่
ผ่านเส้นทางนั้นปกครองกันเองโดยไม่ทรงแต่งตั้งคนจากส่วนกลางไปปกครองถ้าไม่จำเป็น
วิธีนี้ค่อนข้างต่างจากสมัยอยุธยาที่มักจะส่งเชื่อพระวงศ์ให้ขึ้นไปปกครองหัวเมือง หรือ
ไม่ก็พยายามดองเขยดองสะใภ้ให้เป็นทองแผ่นเดียวกันกับเจ้าผู้ครองนครเดิม

อาจจะด้วยเหตุผลที่ว่าพระเจ้าตากเองก็อยู่ในภาวะจำยอมเนื่องจากกรุงธนบุรีเองก็ไม่ได้มี
กำลังมากพอขนาดที่จะไปควบคุมหัวเมืองได้ในยามที่กระด้างกระเดื่อง จึงใช้นโยบาย
แบบที่ว่านี้เพื่อลดความขัดแย้งระหว่างศูนย์กับหัวเมืองในปกครอง ซึ่งกลับเป็นผลดี
แก่กรุงธนบุรีเอง อย่างน้อยก็กว่า ๑๕ ปี

เป็นอย่างไรบ้างครับคงอ่านกันเหนื่อยแย่เลย เนื้อเรื่องเริ่มสนุกเข้มขนขึ้นแล้วสิครับ..
ต่อจากนี้เราจะมาดูเรื่องการขยายดินแดนของพระองค์ท่านนะครับ....
เราจะมาดูกันว่าหลังจากที่พระเจ้าตากได้ทรงกอบกู้บ้านเมืองจากอิทธิพลของ
พม่าได้สำเร็จแล้วนั้น พระองค์ทรงดำเนินการรวบรวมชาติให้เป็นปึกแผ่นกันอย่างไร

พระเจ้าตากซึ่งต่อไปนี้ผมจะขอเรียกท่านว่า “พระเจ้ากรุงธนบุรี” ทรงใช้เวลาอยู่ ๓ ปี
คือตั้งแต่ พ.ศ. ๒๓๑๑ จนถึง พ.ศ. ๒๓๑๓ ในการปราบชุมนุมต่าง ๆ เพื่อการรวมชาติ
ชุมนุมแรกที่ไปปราบ คือ ชุมนุมพิษณุโลก เหตุเพราะอยู่ไม่ไกลจากกรุงธนบุรีและ
สะดวกในการเตรียมไพร่พลเสบียงกรังและการเดินทัพ แต่ตีไม่สำเร็จ จึงได้เปลี่ยนแผนใหม่
โดยเริ่มตีตั้งแต่ชุมนุมเล็ก ๆ ไปหาใหญ่อย่างที่แอ๊ด คาราบาว แต่งเพลงไว้ ชุมนุมเจ้าพิมาย
เป็นอันดับแรก ตามมาด้วยชุมนุมเจ้านครศรีธรรมราช และชุมนุมเจ้าฝาง ตามลำดับ
ผมจะขอสรุปเหตุการณ์ในการเข้าตีชุมนุมต่าง ๆ โดยสั้น ๆ อย่างนี้

การเข้าปราบชุมนุมเจ้าพิษณุโลก

เกิดขึ้น ภายหลังศึกบางกุ้งใน พ.ศ. ๒๓๑๑ พระเจ้ากรุงธนบุรีโปรดให้ยกทัพไปปราบ
ชุมนุมเจ้าพิษณุโลก เจ้าพิษณุโลกได้ให้หลวงโกษา ฯ คุมทหารมาตั้งรับที่ตำบลเกยชัย
อยู่ในแขวงเมืองนครสวรรค์ แต่ปรากฏว่าพระเจ้ากรุงธนบุรีถูกปืนที่พระชงฆ์(เข่า)ทรงเจ็บ
จึงต้องยกทัพกลับ แต่กลับมีเรื่องประหลาดเกิขึ้นคือเจ้าพิษณุโลกเห็นพระเจ้ากรุงธนบุรี
สู้ไม่ได้ เลยคิดตั้งตัวเป็นใหญ่สถาปนาตัวเองเป็นกษัตริย์ เป็นได้อยู่ ๗ วัน ดันเกิดฝี
ขึ้นที่ลำคอเสียชีวิตไป ชุมนุมพิษณุโลกก็ถึงคราวอ่อนแอลงจนในที่สุดต้องเสียเมืองให้แก่
เจ้าพระฝาง พวกราษฎรก็ได้หนีเข้ามายังกรุงธนบุรี กลายเป็นการเพิ่มขึ้นทั้งกำลังผู้คน
และอาวุธที่ชาวพิษณุโลกได้นำติดตัวมาด้วย
การปราบชุมนุมเจ้าพิมาย

ในปีเดียวกันกับการเข้าตีเมืองพิษณุโลกคือ พ.ศ. ๒๓๑๑ พระเจ้ากรุงธนบุรียกทัพไปตี
เมืองนคาราชสีมาเพื่อจะปราบเจ้าพิมาย โปรดให้พระมหามนตรีและพระราชวรินทร์
คุมกองทัพไปเปิดแนวรบที่ด่านกระโทก พระเจ้ากรุงธนบุรีเสด็จยกทัพหลวงรบข้าศึกที่
ด่านจอหอ(อันนี้คงคุ้นกันดีนะครับ) กองทัพทั้งสองได้ชัยชนะจนเด็ดขาด นับได้ว่า
เป็นครั้งแรกของการขยายอาณาเขตอาณาจักรธนบุรีขึ้นไปจนถึงนครราชสีมา

เจ้าพิมายพยายามหลบหนี แต่กรมการเมืองนครราชสีมาจับตัวไว้ได้และนำมาถวาย
พระเจ้ากรุงธนบุรี ซึ่งในครั้งแรกนั้นพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงคิดว่าจะชุบเลี้ยงเอาไว้
แต่กรมหมื่นเทพพิพิธเจ้าชุมนุมพิมายแสดงความกระด้างกระเดื่องไม่อ่อนน้อม ก็เลยโดน
ประหารชีวิตไป หลังจากศึกพิมายแล้ว ทรงโปรดให้พระราชวรินทร์เลื่อนบรรดาศักดิ์
ขึ้นเป็น พระยาอภัยรณฤทธิ์ (พระพุทธยอดฟ้า ฯ) และพระมหามนตรีได้เลื่อนขึ้นเป็นพระยา
อนุชิตราชา (พระอนุชา ของพระพุทธยอดฟ้า ฯ)

การปราบชุมนุมเจ้านครศรีธรรมราช

๑ ปีถัดจากที่ได้ชัยชนะจากชุมนุมเจ้าพิมาย คือ ใน พ.ศ. ๒๓๑๒ ได้ทรงโปรดให้แต่ง
เจ้าพระยาจักรีเป็นแม่ทัพยกลงไปตีชุมนุมเจ้านคร ซึ่งพระปลัด (หนู) ผู้รั้งตำแหน่งเป็น
เจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ได้ตั้งตัวขึ้นเป็นเจ้าที่เมืองนครศรีธรรมราช ปรากฏว่าทัพของ
พระยาจักรีมีความแตกแยกไม่ลงรอยกันเอง จึงทำการตีชุมนุมเจ้านคร ฯ ไม่สำเร็จ
ร้อนถึงพระเจ้ากรุงธนบุรีซึ่งทรงหายจากการบาดเจ็บที่พิษณุโลกแล้ว ต้องเสด็จยกกองทัพ
ลงไปเอง ทรงยกกองทัพเรือไปตีได้เมืองนครศรีธรรมราช ส่วนพระยานครฯ หนีไป
อยู่ที่รัฐปัตตานี พระยาตานีศรีสุลต่านได้จับตัวมาถวาย ซึ่งพระเจ้ากรุงธนบุรี ทรง
ให้ชุบเลี้ยงไว้ แล้วแต่งตั้งพระหลานเธอเจ้านราสุริยสงศ์ลงไปครองเมืองนคร ฯ แทน
หลังจากที่พระหลานเธอ ฯ ได้ถึงแก่พิลาลัย เจ้าพระยานคร ฯ จึงได้เป็นเจ้าเมืองนคร
และทรงยกฐานะให้เป็นเจ้าประเทศราช

ฝ่ายพระยาจักรีหลังจากมีปัญหากับความปรองดองภายในกองทัพจนเป็นเหตุให้ต้อง
พ่ายต่อกองกำลังของเจ้านคร ฯ ในครั้งแรกนั้น ก็ได้รับพระบรมราชโองการให้นำทัพขึ้นไป
ตีเขมรเพื่อเป็นการไถ่โทษ

ปราบชุมนุมเจ้าพระฝาง

ถัดจากการปราบชุมนุมนครศรีธรรมราช ๑ ปีเช่นกัน พระ เจ้ากรุงธนบุรีทรงเห็นว่า
เจ้าพระฝาง ซึ่งเดิมก็คือพระสังฆราชาในเมืองสวางคบุรี ได้ตั้งตัวขึ้นเป็นใหญ่ทั้ง ๆ ที่
ยังครองผ้าเหลืองเป็นพระภิกษุอยู่นั้นมีอิทธิพลมากทางเหนือ จึงเสด็จยกทัพไปปราบเอง
โดยทรงเลื่อนพระยาอนุชิตราชา หรืออดีตนายบุญมา พระอนุชาของพระพุทธยอดฟ้า ฯ
เป็น ”พระยายมราช” ทำหน้าที่สมุหนายก รักษาพระนครด้วยความไว้วางพระทัย (จำตรงนี้
เอาไว้นะครับ) พระเจ้ากรุงธนบุรีตีหัวเมืองรายทางได้มาตลอดเส้นทาง และแวะตีเมือง
พิษณุโลกโจทก์เก่า ซึ่งขณะนั้นขึ้นเป็นบริวารของชุมนุมเจ้าพระฝาง ดับแค้นแผลปืน
ได้สำเร็จ แล้วเลยไปตีสวางคบุรี เจ้าพระฝางหนีไปหลบอยู่กับพม่าที่เชียงใหม่
พระเจ้ากรุงธนบุรีก็ได้ประทับอยู่ที่นั่นเพื่อจัดระเบียบการปกครองเสียใหม่จนสิ้นฤดูฝน
รวบรวมผู้คนที่อพยพมาหลบภัยให้กลับไปอาศัยทำมาหากินในถิ่นเดิมของตัว ทรงตั้ง
ข้าราชการซึ่งมีความดีความชอบในราชการ โปรดให้เลื่อนพระยายมราชให้ เป็น
เจ้าพระยาสุรสีห์พิณุวาธิราช สำเร็จราชการเมืองพิษณุโลก และทรงแต่งตั้งพระยา
อภัยรณฤทธิ์ ซึ่งต่อมาก็คือ พระพุทธยอดฟ้า ฯ ขึ้นเป็นพระยายมราชแทน

เมื่อจัดการเมืองเหนือเรียบร้อยแล้วก็เสด็จกลับกรุงธนบุรี ซึ่งจากการรบในครั้งนี้ขอบ
ขัณฑสีมาของราชอาณาจักรธนบุรีทางทิศเหนือก็ได้ขยายไปจนจรดถึงเมืองเชียงใหม่
นอกจากการเข้าปราบชุมนุมต่าง ๆ แล้ว พระเจ้ากรุงธนบุรียังได้พยายามขยายอาณาเขต
ของสยามออกไปเพื่อที่จะให้ได้แผ่นดินกลับมาเทียบเท่ากับอาณาเขตในสมัยอยุธยา
ซึ่งผมเองก็ไม่อยากจะเชื่อว่า ภายในเวลาเพียง ๑๐ ปี พระเจ้ากรุงธนบุรีและกองทัพ
ของพระองค์สามารถขยายอาณาเขตออกไปครอบคลุมได้อย่างนั้นจริง ๆ
เอาหละเรามาสรุปให้กระชับขึ้นอีกนิดหนึ่งนะครับ
พ.ศ. ๒๓๑๒ พระเจ้ากรุงธนบุรี โปรดให้ พระยาอภัยรณฤทธิ์ (พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก)
ยกทัพไปตีเขมร, ให้พระยาโกษา ยกทัพไปตีปราจีน, พระยาอภัยรณฤทธิ์ประสบชัยชนะ
ตีเสียมราฐได้สำเร็จครับ ส่วน พระยาโกษาก็ตีเมืองพระตะบองได้เช่นเดียวกัน แต่ก็มี
เหตุให้พระยาอภัยรณฤทธิ์ต้องยกทัพกลับเสียก่อนที่จะรุกคืบต่อไปในดินแดนเขมร
เพราะได้ข่าวว่า พระเจ้ากรุงธนบุรี ยกทัพไปตีนครธรรมราช และสวรรคต ซึ่งกลายเป็น
ข่าวลวง



__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

พ.ศ. ๒๓๑๔ หลังจากที่พระเจ้ากรุงธนบุรีตีเขมรได้แล้ว ก็ให้นักองรามาธิบดีขึ้น เป็น
สมเด็จพระรามาธิราช ครองเขมร และให้เจ้าพระยาจักรี (พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก)
อยู่ช่วยราชการจนเรียบร้อย ฝ่ายพม่าก็ยกทัพมารักษาเมืองเชียงใหม่ไว้ซึ่งขณะนั้น
เชียงใหม่ยังคงตกเป็นของพม่าอยู่ และดันทะลึ่งเข้ามาตีเมืองพิชัยถึงสองครั้ง แต่ทว่า
ถูกทัพเมืองพิชัยตีแตกกลับไปทั้งสองครั้ง ในการรบครั้งที่ ๒ พระยาพิชัยถือดาบสองมือ
ออกไปต่อสู้จนดาบหักไปข้างหนึ่ง จึงไดัรับสมญานามว่า " พระยาพิชัยดาบหัก "เป็น
ต้นมาตั้งแต่นั้น

พ.ศ. ๒๓๑๗ พระเจ้ากรุงธนบุรีเข้าตีเมืองเชียงใหม่จนได้ เมื่อตีได้แล้วทรงสั่งให้
เจ้าพระยาจักรีช่วยจัดการให้เรียบร้อย แล้วจึงเสด็จกลับ ในระยะนั้นมอญจากเมือง
เมาะตะมะได้หนีการรุกรานของพม่าเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารจากหลายทางด้วยกัน
พม่าก็ส่งกองกำลังตามเข้ามาทุกทางเช่นกัน แตก็ถูกตีแตกกลับไปทุกครั้ง

พ.ศ. ๒๓๑๘ อะแซหวุ่นกี้ ยกทัพใหญ่มาล้อมเมืองพิษณุโลก เจ้าพระยาจักรี รักษาเมืองได้
๑๐ เดือน อาหารหมดจึงต้องตีฝ่าข้าศึกออกมาภายนอก พอดีกับ พระเจ้ามังระ
กษัตริย์พม่าได้สวรรคตลง อะแซหวุ่นกี้แม่ทัพพม่าจึงต้องยกทัพกลับไป ซึ่งครั้งนี้แหละ
ครับ ที่เกิดเรื่องเล่าเกี่ยวกับการที่อะแซหวุ่นกี้ขอดูตัวเจ้าพระยาจักรี (ซึ่งนักวิชาการหลาย
ท่านตั้งข้อสังเกตุว่าอาจจะเป็นเรื่องที่ถูกแต่งเติมขึ้นมาในภายหลัง)

พ.ศ. ๒๓๒๐ เจ้าพระยาจักรีและเจ้าพระยาสุรสีห์ ยกทัพไปปราบพระยานางรอง
ที่เอาใจออกห่างไปขึ้นกับเมืองจำปาศักดิ์หรืออาณาจักรลาวนั่นเอง ซึ่งสามารถตีได้ทั้ง
เมืองจำปาศักดิ์, สีทันดร และอัตปือ รวมทั้งหัวเมืองต่าง ๆ ทั้งหมดในภาคนั้น

พ.ศ. ๒๓๒๑ พระวอ - พระตา บุตรเจ้าปางคำ แห่งเมืองหนองบัวลุ่มภู เป็นเสนาบดี
พระเจ้าสิริบุญสาร กรุงศรีสัตนาคนหุต หนีเข้า มาพึ่งพระบรมโพธิสมภารเพื่อหลบภัย
การเมืองเพราะไม่ถูกกับเจ้าผู้ครองในอาณาจักรลานช้าง และถูกกองทัพเวียงจันทน์
ตามปราบปราม จึงโปรดให้ เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก (พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก)
กับ เจ้าพระยาสุรสีห์ ยกทัพไปช่วย สยามจึงได้อาณาจักรลานช้างทั้งหมด และทรง
อาราธนา พระแก้วมรกต และพระบาง มาจากเมืองเวียงจันทน์ด้วย
พ.ศ. ๒๓๒๒ พระแก้วมรกต มาถึงกรุงธนบุรี

พ.ศ. ๒๓๒๓ เขมรเกิดจลาจลเนื่องจากคนในราชสำนักญวณ ก่อการกบฏในญวณ
แต่ไม่สำเร็จ จึงอพยพยกพลเข้ามาตั้งฐานที่มั่นในเขมร และทำการปล้นสะดมจาก
ชาวบ้าน เพื่อสั่งสมกองกำลังหวังที่จะกลับไปปฏิบัติการอีกครั้งในประเทศญวณ
พระเจ้ากรุงธนบุรีจึงทรงโปรดให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกยกทัพขึ้นไปปราบ
แต่ไปไม่ถึงพนมเปญเพราะเกิดจลาจลและกบฏพระยาสรรค์ในกรุงธนบุรี ต้องยก
ทัพกลับเข้าพระนคร จนเป็นต้นเรื่องของการจับกุมตัวและสำเร็จโทษพระเจ้ากรุงธนบุรี
ในเวลาอีก ๒๘ วันถัดมาหลังจากทัพของ เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกกลับเข้าสู่กรุงธนบุรี

ข้อมูลจาก ปรามินทร์ เครือทอง
ข้อมูลจาก ท่าน มหาชำร่วย แห่งบ้านราชดำเนินครับ
ขอบคุณครับ
เอาแหละ เรามาดูยอดทะหารของพระองค์ท่านดีกว่าครับว่ามีใครบ้าง.....
การที่พระองค์ท่านทรงรอดพ้นจากการถูกประหารนั้น เป็นการช่วยเหลือจากเจ้าพระยาสุรสีห์-เจ้าศิริรจจา(ชายา) วางแผนช่วยเหลือกับท่านเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช(หนู) โดยให้ทหารจากวังหน้า 4 นาย พายเรือเล็กพาพระองค์ไปส่งขึ้นเรือใหญ่ที่ปากแม่น้ำเจ้าพระยา(สมุทรปราการใน ปัจจุบัน) และให้นำทหารที่มีรูปร่างใกล้เคียงกับพระองค์ท่านไปจองจำไว้แทนโดยในตอนเช้า วันประหาร(6/4/2325) เจ้าพระยาสุรสีห์ ทรงวางแผนให้นำถุงผ้าแดงคลุมศีรษะออกมาเพื่อป้องกันมิให้ผู้อื่นทราบถึง เรื่องการเปลี่ยนตัวครับ
ส่วนบรรดาทหารที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นทหารเสือพระ เจ้าตาก หรือเหล่าทหารเอกนั้นมีทั้งสิ้น 7 นาย โดย 6 นายได้ติดตามพระองค์มาแต่ครั้งยกทัพออกจากวัดพิไชย ส่วนอีก 1 นายนั้น ได้มาช่วยในศึกตีเมืองจันทบูรและเป็นบุคคลที่ได้ช่วยเหลือพระองค์ในหลายๆ เรื่องตั้งแต่เรื่องช่วยดูแลครอบครัวของพระองค์ โดยก่อนพระองค์จะยกทัพออกจากกรุงศรี ก็ได้ช่วยพระองค์พาครอบครัวไปส่งที่อัมพวาเพื่อให้พระองค์จะได้มิต้องทรง กังวลพระทัย ครั้นพม่ายกทัพบุกใกล้ถึงอัมพวาทหารเสือท่านนี้ ก็ยังได้พาครอบครัวของพระองค์ไปหลบซ่อนอยู่ในถ้ำเขาหลวง เมืองเพชรบุรี และพอทราบข่าวว่าพระองค์บุกเมืองจันทบูรได้แล้ว ก็ยังได้พาครอบครัวของพระองค์มาส่งที่เมืองจันทบูรอีกด้วยครับ.(ทหารเสือ ท่านนี้คือเจ้าพระยาสุรสห์คัรบ)
รายนามของเหล่าทหารเสือขององค์สมเด็จพระเจ้าตากสิน มีดังต่อไปนี้ครับ
1.พระเชียงเงิน ได้เป็นพระยาสุโขทัย ครองเมืองสุโขทัย ถึงอนิจกรรมราวปี 2320
2.หลวงพรหมเสนา
3.หลวงราชเสนา
4.ขุนหาญศึก(อภัยภักดี)
5.หมื่นราชเสน่หา
6.หลวงพิไชยอาสา ได้เป็นพระยาพิไชย ครองเมืองพิไชย(อุตรดิตถ์ ในปัจจุบัน)
7.พระยายมราช ได้เป็นเจ้าพระยาสุรสีห์พิษณุวาธิราช ครองเมืองพิษณุโลก ทิวงคตปี 2346
โดย 5 ท่านแรกได้เสียชีวิตในระหว่างช่วงศึกสงครามก่อนปี 2325 ส่วนอีก 2 ท่านได้มีชีวิตอยู่จนถึงวัยชราภาพ โดยท่านพระยาพิไชยได้ไปอยู่กับพระองค์ท่านที่เขาขุนพนมจวบจนวาระสุดท้ายครับ
ครา่วนี้เรามาดูเรื่องเล่าของชาว นครศรีธรรมราชครับ
ส่วนเมืองนครศรีธรรมราชมีตำนานเล่ากันว่า เมื่อสิ้นรัชกาลแล้ว สมเด็จพระเจ้าตากสินได้หลบมาบวชและพำนักอยู่ที่นครศรีธรรมราช ที่ประทับได้แก่ ที่อำเภอลานสกา และที่อำเภอเมือง ปัจจุบันเล่ากันว่า ที่อำเภอลานสกาเป็นที่ซึ่งพระองค์ได้แวะพักระหว่างที่เสด็จมายังเมืองนครฯ ส่วนที่ประทับถาวรก็คือ วัดเขาขุนพนม ในเขตอำเภอเมือง

นอกจากนี้ เรื่องเล่ากันในหมู่สมาชิกตระกูล "ณ นคร" บางกลุ่มในปัจจุบัน บอกว่าหลังจากที่พระเจ้าตากสินทรงผนวชที่วัดเขาขุนพนมระยะหนึ่งแล้ว ก็ได้ประชวรด้วยพระโรคอย่างหนึ่ง จึงจำเป็นต้องทรงลาผนวช แล้วเสด็จไปประทับอยู่ในจวนของเจ้าพระยานคร (น้อย) ในสมัยรัชกาลที่ ๓

มีการอ้างด้วยว่า เมื่อพระเจ้ากรุงธนบุรีเสด็จสวรรคตแล้ว ได้มีใบบอกเข้าไปแจ้งรัฐบาลในกรุงเทพฯ ว่า "ท่านข้างใน" สิ้นแล้ว ส่วนพระบรมศพนั้นก็ได้ไปตั้งทำการพระเมรุที่ชายทะเลแห่งหนึ่งในจังหวัด นครศรีธรรมราช

ทั้งนี้ มีการอ้างถึง "หลักฐาน" เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือของเรื่องนี้อีกว่า ที่วัดแจ้งและวัดประดู่ซึ่งมีเก๋งไว้อัฐิของเจ้านคร (หนู) หม่อมทองเหนี่ยวชายา และของเจ้าพระยานคร (น้อย) นั้น มีศิลาจารึกภาษาจีนอยู่ ๓-๔ หลัก หนึ่งในนี้มีผู้อ้างว่า มีข้อความกล่าวถึงว่าเป็นหลุมศพของ "ผู้เป็นใหญ่แซ่เจิ้ง" เนื่องจากพระบิดาของสมเด็จพระเจ้าตากสิน "แซ่เจิ้ง"

สมเด็จพระเจ้าตากสินจึงทรงใช้ "แซ่เจิ้ง" ด้วย สำเนียงแต้จิ๋วเรียก "แต้" เรื่องนี้เป็นความจริงเพราะมีหลักฐานชั้นต้นยืนยันจำนวนมาก รวมทั้งพระราชสาส์นของพระเจ้าตากสินที่ทรงมีถึงพระเจ้ากรุงจีนก็ใช้ "แซ่เจิ้ง"

เอาเป็นว่าผมเล่าเรื่องที่ได้ยินมาตามสำนวนของผมก็แล้วกัน ผมจะจับความตอนที่พระยาจักรีได้เมืองแล้วพระยาพิชัยดาบหักที่ยกทัพตามลงมา ตั้งแต่ได้ข่าวว่ากรุงธนบุรีถูกทัพกบฎล้อมแต่ก็สายไปแล้วได้พบว่าพระเจ้าตาก ถูกพระยา จักรีสั่งประหารเรียบร้อยก่อนหน้าไปหลายวัน พระยาพิชัยดาบหักโกรธมากไสช้างเข้าเมืองมาร้องเรียกให้พระยาจักรีออกมาคุย กัน

พระยาจักรีตอนนั้นเป็นกษัตริย์แล้วได้ออกมากับน้องชายที่เป็น พระราชวังบวร ได้พบกับสหายเก่าร่วมรบพระยาพิชัยดาบหักร้องท้าทายว่าเอ็งอยากเป็นกษัตริย์ ถึงกับฆ่าท่านใหญ่เลยหรือวะ เอ็งมารบกับข้าดีกว่าข้าก็อยากเป็นด้วยเหมือนกัน พระยาจักรีร้องตอบไปว่าใครบอกว่าข้าฆ่าท่านใหญ่วะเอ็งลงมาจากช้างมาดูดีกว่า ว่าท่านใหญ่มีชีวิตหรือเปล่า

เมื่อพระเจ้าตากได้พบกับพระยาพิชัยที่เป็นทั้งสหายและลูกน้องเก่าก็พูดคุย เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง พูดถึงความจำเป็นในการหลอกเมืองจีนเรื่องบ้าแล้วโดนประหารเพื่อล้างหนี้ มหาศาลในการกู้เงินมาทำนุบำรุงบ้านเมือง พิชัยอยู่กับพระยาจักรีในที่ลับก็พูดกันประสาเพื่อนร่วมรบแก่เก่าก่อนว่า ให้รับราชการร่วมกัน เล่นละครบทนี้ต่อ พระยาพิชัยก็ประกาศว่า ไม่ยอมเป็น ข้าสองเจ้า บ่าวสองนาย

ความจริงก็เพื่อนกันแต่พระยาพิชัยทำใจไม่ได้ พระยาจักรีก็สั่งฆ่าพระยาพิชัย แต่พระยาพิชัยไม่ตายเป็นละครอีกบทของพระยาพิชัย มีนักโทษประหารชีวิตตายแทนพระยาพิชัย ตัวจริงก็เปลี่ยนเป็นชื่ออื่นแล้วไปอยู่ที่อื่นใช้ชีวิตแบบสงบ

ตกคืนนั้นพระเจ้าตากก็นั่งคานหามออกไปจากวังในกลาดึกคืนนั้น นั่งเรือลงไปนครศรีธรรมราชกับลูกชาย เข้าจำพรรษาที่ลานสกานอกเมืองนครฯ ส่วนลูกชายก็ไปนั่งเมืองนครฯ เป็นเจ้าเมือง ท่านไม่ได้ไปเพียงท่านกับลูกชาย มีพระสนมที่ติดตามไปดูแลท่านอีกคนหนึ่ง และทหารเสือพระเจ้าตากเชื้อสายจีนร้อยแซ่ ตั้งแต่สมัยกู้บ้านเมืองจากพม่า ได้ติดตามท่านไปสมทบด้วยอีกประมาณ 500 คน เพื่อรักษาท่านเอาไว้ไม่ให้ใครตามมารบกวนท่านอีก

ทหารเสือพระเจ้าตากเหล่านี้ได้สร้างที่จำพรรษาให้ท่านบนยอดเขาขุนพนม ถาวรวัตถุที่หลงเหลือเห็นในตอนนี้ เป็นศิลปะจีนทั้งถ้วยชามจีนบนฝาผนังและลายพระพุทธบาทแบบจีนในวัด ทั้งมีการอ้างว่าพระยาน้อยเจ้าเมืองนคร คือลูกของท่านกับหม่อมปราง

อีกทั้งเจ้าชุมนุมนครฯเป็นเจ้าชุมนุมเดียวที่พระเจ้าตากไว้ชีวิต เมื่อครั้งรวบรวมประเทศเข้าตีชุมนุมนครฯ อีกทั้งยังถวายลูกสาวเจ้าเมืองนครฯ เข้าดองเป็นสนมภายหลังอีกด้วย

ลักษณะที่ตั้งของ "เขาขุนพนม" ที่อยู่ในชัยภูมิที่เหมาะสมในการป้องกันภัยของพระองค์ ความผูกพันต่อเจ้าชุมนุมเมืองนครทีมีความเกี่ยวดอง ในลักษณะพ่อตากับลูกเขย

ในหลายเหตุผลที่ยกมาเป็นพยานหลักฐาน หรือเป็นสมมุติฐานที่เชื่อได้ หรือยังว่านครศรีธรรมราช และเขาขุนพนมก็คือสถานที่มีความเหมาะสม เป็นฐานที่มั่นในการหลบภัยทางด้านการเมือง ที่ไว้ใจได้มากที่สุดของพระเจ้าตากสิน ถือว่าเป็นหนึ่งในความเชื่อว่าพระเจ้าตากสิน สิ้นพระชนม์ที่เมืองนครฯ ของชาวนครเองที่เล่าขานมาหลายชั่วรุ่นคน
วันนี้ผมเล่าเรื่องพระเจ้าตากอย่างมีความสุขมาก อยากให้เรื่องจริงเป็นอย่างนั้นจริงๆ ผมอยากให้ท่านมีชีวิตรอดใช้ชีวิตในสมณะเพศที่เขาขุนพนม

อีกเรื่องเล่าหนึ่งจาก พงศาวดาร ฉบับนายหยง ครับ ขณะที่ปรีดา ศรีชลาลัย กล่าวถึงวาระสุดท้ายของพระเจ้าตากสินฯ ไว้ในบทความเรื่อง"ปีสุดท้ายของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช" ในนิตยสารศิลปวัฒนธรรม ปีที่ 3 ฉบับที่ 2 ประจำเดือนธันวาคม 2524 ว่า

"สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชถูกปลงพระชนม์ ณ พระวิหารที่ประทับในวัดแจ้ง (คือวัดอรุณราชวราราม ปัจจุบันนี้) รวมวันตั้งแต่เสด็จออกทรงผนวชจนถึงวันถูกปลงพระชนม์ เป็น 28 วัน

โหรจดไว้ว่าดับขันธ์ ไม่ใช้คำว่าสิ้นพระชนม์ หรือสวรรคต ก็เพื่อยืนยันว่า พระองค์ท่านถูกปลงพระชนม์ทั้งที่ทรงเพศเป็นพระภิกษุ จึงใช้คำว่าดับขันธ์ เพื่อให้เข้าใจว่ามิได้สวรรคตเมื่อลาผนวชออกมา ความจริงพระองค์ดำรงสมณเพศจนตลอดพระชนม์ชีพ

เมื่อการปลงพระชนม์เสร็จเรียบร้อยแล้ว เชิญพระศพไปฝังไว้ที่วัดอินทาราม บางยี่เรือ ใกล้ตลาดพลู คลองบางหลวง (เวลานั้นยังเรียกวัดบางยี่เรือ)"

บรรดาศพข้าราชการที่จงรักภักดีในพระองค์ มีเจ้าพระยานครราชสีมา (บุญคง ต้นสกุลกาญจนาคม) พระยาสรรค์ (บรรพบุรุษสกุลแพ่งสภา) พระยารามัญวงศ์ (ต้นสกุลศรีเพ็ญ) พระยาพิชัยดาบหัก (ทองดี ต้นสกุลวิชัยขัทคะ และพิชัยกุล) เป็นต้น จำนวนมากกว่า 50 นาย ก็ถูกฝังเรียงรายใกล้พระศพสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชนั้น

ฝ่ายพระราชวงศ์ของพระเจ้าตากสินที่ยังเหลือ ถ้าเป็นเจ้าชายชั้นทรงพระเจริญวัยก็ถูกจับปลงพระชนม์หมด เอาไว้แต่ที่ทรงพระเยาว์ และเจ้าหญิง ถอดพระยศออกแล้วเรียกว่าหม่อม เหมือนกันทุกพระองค์ แม้จนกระทั่งสมเด็จพระราชินี และสมเด็จพระน้านาง เป็นการถอดอย่างที่ไม่เคยมีมา

ฝ่ายเจ้าพระยาอินทวงศา อัครมหาเสนาธิบดีฝ่ายกลาโหม ขณะนั้นตั้งวังปราบบัญชาการทัพอยู่ที่ปากพระ ใกล้เมืองถลาง ทราบว่าสมเด็จพระเจ้าตากสินฯถูกปลงพระชนม์แล้ว ก็ฆ่าตัวตายตามเสด็จ เพราะไม่ยอมเป็นข้าคนอื่น

ส่วนความเกี่ยวข้องกับญวนตามสัญญาลับ ไทยต้องช่วยญวนต่อรบกับพวกราชวงศ์เล้ (ที่เรียกพวกกบฎไตเซิน) 2 ครั้ง และช่วยอาวุธยุทธภัณฑ์อีกนับไม่ถ้วน ผลสุดท้ายเมื่อญวนกลับตั้งราชวงศ์องเชียงสือสำเร็จ มีอำนาจใหญ่โตขึ้น ไทยต้องเสียเมืองพุทไธมาศแก่ญวน

(ดูพงศาวดาร ฉบับนายหยง แปล เล่ม 2 หน้า 394, 419)
อีกเรื่องเล่าครับ ทรงวางพระทัยในเพื่อนผู้ใกล้ชิด จึงเป็นเช่นนี้แล... พระองค์ทรงวางพระทัยในผู้ใกล้ชิด มิได้ทรงระแวงเหตุร้ายที่ถูกวางแผนไว้นานกว่าขวบปี การภายใน ให้ นายบุนนาค, หลวงสุระ,หลวงชะนะ เป็นผู้ยุยงตัวสำคัญ ซึ่งแอบขึ้นไปตั้งทำการ ยุยงที่กรุงเก่า

การภายนอกให้ เขมร และ ญวน ตีโอบแม่ทัพใหญ่(คือขุนอิน) จับตัวขุนอินฯสำเร็จโทษเสียที่นอกเมือง ยกทัพหัวเมืองจากสามทางเข้าโอบตี ยึดเมืองหลวงไว้

สัญญาลับการกบฏที่มีต่อเขมร และญวนคือการส่งกำลังตอบแทนสองครั้ง และคำสัญญา ไม่กำหราบ เจ้าเขมร ให้ย่อยยับดังคำสั่งเหนือหัว พระองค์ทรงวางพระทัย เพราะสิ่งที่สั่งไว้ก่อนทรงผนวช ล้วนส่งคุณต่อลูกหลานเจ้าพระยาจักรี โดยไม่คาดคิดว่ามีผู้มักใหญ่ใฝ่สูง คิดยึดอำนาจไปเป็นของตัว โดยศักดิ์ พระเจ้าตากคือลูกเขย เจ้าฟ้าเหม็น เป็นหลานตา ในเจ้าพระยาจักรี กรุงธนบุรี พระเจ้าตากคิกการณ์ไว้ มอบให้แก่ ขุนอินฯ มิได้ตั้งใจมอบให้แก่เจ้าฟ้าเหม็น ดังตำนาน คืออีกหนึ่งรอยร้าวฉานเจ็บแค้น

สุดท้าย เจ้าฟ้าเหม็น ต้องสิ้นใจ ภายใต้การโค้นล้มของ หลานชาย เจ้าพระยาจักรี (ร.3) หลังพระพุทธยอดฟ่าฯ สิ้นพระชมน์ 6 วัน

สรุป เรื่องวิปลาศ ไม่จริง ออกบวชเพราะถูกขอร้อง บังคับ ไม่จริง ถูกก่อกบฏ ยึดอำนาจ จริง

มีการก่อความไม่สงบ ยุยงปลุกปั่น จากอยุธยา มีหัวเมืองใหญ่ ยกเข้ามายึดเมืองหลวงโดยมิได้มีพระบรมราชานุญาต ข้ารายการภายใน ฝักใฝ่ในตัวสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกเข้าร่วม การยกทัพไปเขมร แล้วย้อนกลับ มีการวางแผนล่วงหน้า

การตีโอบทัพหลวง โดยทัพเขมร และญวนมีการส่งสัญญาลับต่างตอบแทนจริง ข้าราชการผู้มีสายเลือดนักรบ และซื้อสัตย์ ถูกกำจัดสิ้น ที่เหลือจึงอย่างที่ ประชาชนชาวไทยได้แลเห็น ล้วนสายเลือดดีดีทั้งนั้น...

เมื่อกลับกรุงเทพมหานครแล้ว พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ
ทรงรำลึกถึงผลงาน และความจงรักภักดีของพระยายมราช (แบน) จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งเป็น "เจ้าพระยาอภัยภูเบศร วิเศษสงคราม รามนรินทรบดี อภัยพิริยบรากรมพาหุ" เป็นเจ้าพระยาคนแรกของสกุลอภัยวงศ์
ได้ปกครองบ้านเมืองเขมรให้ผาสุกสวัสดีมาได้ ๑๒ ปี

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ทรงพระราชดำริว่าเจ้าพระยาอภัยภูเบศร (แบน) มีความชอบใหญ่หลวง ครั้นจะเรียกตัวกลับก็ไม่ควร แต่ครั้นจะให้รับราชการอยู่เขมรต่อไป ก็น่ากลัวจะเกิดเรื่องวิวาทบาดหมางกับนังองค์เอง อยู่ไปก็อาจจะระแวงกัน

ด้วยเหตุนี้ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ จึงทรงขอกันเมืองพระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณ มงคลบุรี และระสือ รวม ๕ เมือง ซึ่งอยู่ใกล้ชายแดนไทย มาขึ้นตรงต่อกรุงเทพมหานคร และโปรดฯ ให้เจ้าพระยาอภัยภูเบศร (แบน) มีสิทธิปกครองโดยเด็ดขาดถึงขนาดเก็บภาษีได้เอง

ตระกูลอภัยวงศ์จึงได้ปกครองเขตแดนนั้นสืบมาหลายชั่วอายุคน จนถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ ในยุคของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ชุ่ม) เป็นคนสุดท้าย ลูกหลานเหลนอภัยวงศ์หลายคนก็เกิดที่นั้น

เจ้าพระยาอภัยภูเบศร (แบน) เจ้าเมืองพระตะบองและดินแดนใกล้เคียง ได้ปกครองบ้านเมืองอยู่ ๑๖ ปี จึงถึงแก่อสัญกรรมเมื่อพุทธศักราช ๒๓๕๓ นำมาได้เท่านี้นี้ครับ สงสัยโดนแบนซะก่อน
เขียนโดย Kunginter inter

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

BAC THONGDOUANG BAC XAT SUA BURNED OUR CAPITAL VIENTIANE AND MASSACRED THE TCHEK PON LAO KING THAKSIN

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ສຸກສັນ ວັນປິໄຫ່ມ ທຸກທັ່ວຫ້ນາ
ປິ12 ຢ່າຍາກໄຮ້ ໃຫ້ສຸກສັນ
ໄຮ້ທຸກໂສກ ໄຮ້ໂຣກພັຍ ໃຫ້ມີດິ
ອິກມັ່ງມີ ສັບເງິນທອງ ກ້າວກອງໄກ
ເຮົາ ພ້ອມຂໍ ອ່ວຍພອນໃຫ້ ດ້ວຍໄຈຈິງ
ຂໍທຸກສີ່ງ ທີ່ຂໍນັ້ນ ທຸກທ່ານໄດ້
ປິໄຫ່ມນີ້ ເສຣິຊົນ ແລະ ພີ່ນ້ອງລາວ
ຄິດສິ່ງໃດ ແນວຄິດຊາດ ຕ້ານແນວລາວ
ຜະເດັດການ ຕັວການໄຫ່ຍ ໄປໄກແສນ
ຢ່ານອບແນບ ບີບນ້ຳຕາ ໃຫ້ລີງຮັກ
ນັ່ງຈົນຕາຍ ຕິດແທບບອດ ກອດອຳນາດ
ພາກັນລົງ ປົງອຳນາດ ເພາະຈິບຫາຍ
ເຫືມອນຄວາມຫວັງ ດັ່ງເຮົາຄິດ ໃນໄຈເອີຍ


ທິມງານ
www.siengserixonlao.com
ຂໍມອບໃຫ້ແຟນໆ ລາວໂຮມລາວດ້ວຍໄຈຈີງ

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 


ໄຮໂຊneoລາວ ມີແຕ່ລູກແຕ່ຫລານ ພວກໂຈນອອກຈາກຖ້ຳ ວຽງໄຊ ປິ 1975 ເຂົ້າມາວຽງ ສົ້ງຂາດຫ້ນາເສື້ອຂາດຫລັງ ໄສ່ແຕ່ເກິດປາອິຮຶ ຫາເງີນດົ້ງອັດນື່ງຕິດຕັວກະບໍ່ມິເຫັນສັງຄົມຜູດິ ນູ່ງສີ້ນໄຫມ ເຕະເຂົ້າຄຸກດອນທ້າຍດອນນາງທັງຫມົດເລີຍ
ເຫັນເຮຶອນງາມໆ ທີ່ຝ່າຍ ວຈ ສ້າງໄວ້ ປົ້ນຈີ້ເອົາແບບສຸດເຖື່ອນ ບໍ່ເຄີຍມີຍຸກໃດ ໃນປະວັດສາດໄຫ່ມໆ ຂອງ ລາວຈະເປັນເຊັ່ນນີ້
ເຄີ່ງ ສຕວ ຜ່ານໄປ ກັບພຽງໄດ້ແຕ່ແລ່ນນຳກົ້ນແກວແລະສຍາມຫລາກແຫລ້
ທັງໆ ພີ່ນ້ອງ ລາວກ່ວາ40 ລ້ານຄົນໃນ ປທທ ເຂົາເບື່ອແລ້ວ ສັງຄົມເເອົາລັດເອົາປຽບຂູດຮິດ ດູຖູກເຊື້ອຊາດລາວເຮົານິ້
ຝູຍ ກູອາຍຕາງ
ກ່ອນ75 ສັງຄົມລາວເຂົາແລ່ນຕາມຫລັງສັງຄົມຝຣັ່ງອັງກິດ ອມຣກ ຍີ່ປູ່ນ
ນີ້ຄືຄວາມກ້າວຫ້ນາຂອງສັງຄົມລາວແດງ ພາຍໄຕ້ການນຳພາຂອງຣາຊວົງ ຄມນ ຜດກ ຍາວນານ

http://pasalao.activeboard.com/t47000705/topic-47000705/?page=last#lastPostAnchor

Facebook :
Anourak Anourak Phiphikasa
Anourack Phiphaksa
http://www.facebook.com/#!/profile.php?id=100002868526558

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

6 ปี...สังหาร 20 ศพ นักฆ่าสองฝั่งโขง!!!
นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์บุกเข้ายึดด่านวังเตา เมืองโพนทอง แขวงจำปาสัก ล้มเหลว เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2543 ปรากฏว่าแกนนำขบวนการต่อต้านลาว (ขตล.) ที่ยังหลบหนีอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยถูกลอบสังหารไปแล้วกว่า 20 ศพ
คดีลอบสังหารแกนนำขบวนการต่อต้านลาว (ขตล.) ในภาคอีสานของไทยเกิดขึ้นเป็นระยะๆ และต่อเนื่อง หลังเกิดเหตุการณ์ พ.ท.สีสุก ไชยแสง หรือนายณรงค์ สุวรรณบุปผา วางแผนส่งกำลังพลติดอาวุธประมาณ 60 คน บุกเข้ายึดด่านวังเตา เมืองโพนทอง แขวงจำปาสัก ที่ตั้งอยู่ติดกับด่านช่องเม็ก อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี ช่วงเช้ามืดวันที่ 3 กรกฎาคม 2543 แต่แผนการล้มเหลว ครั้งนี้ผู้ร่วมขบวนการถูกสังหารทันที 6 ศพ ส่วนอีก 29 ราย วิ่งผ่านประตูด่านเข้าไทย และถูกทางการไทยจับดำเนินคดี
นับแต่ปี 2543 เป็นต้นมา แกนนำ ขตล.กว่า 20 ราย ถูกลอบสังหารแต่ก็ไม่มีความคืบหน้ามากนัก แต่คดีสังหาร ร.อ.สุกันต์ เดชะคำภู อดีตทหารลาวแกนนำ ขตล. อายุ 46 ปี และนางจันทร เดชะคำภู อายุ 38 ปี ภรรยา ในบ้านเลขที่ 275 หมู่ 5 บ้านคันเปือย ต.คำเขื่อนแก้ว อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม รายล่าสุด ทำให้คดีสังหารแกนนำ ขตล.ที่ผ่านมา ถูกขยายผลมากขึ้น
เมื่อผู้ต้องหา 2 ราย ให้การรับสารภาพ อ้างว่ารับแจ้งฆ่ารายละ 1 แสนบาท จนได้ฉายาว่า "นักฆ่าสองฝั่งโขง"
เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 25 พฤษภาคม พล.ต.ต.อัศวิน ขวัญเมือง รองผบช.ก.แถลงข่าวจับกุมนายอาทิตย์ หรือลม กลิ่นจันทร์ อายุ 25 ปี ชาว ต.พานพร้าว อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย และนายสุวัฒน์ สุทธัง ผู้ต้องคดีฆ่า ร.อ.สุกันและภรรยา เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม
รอง ผบช.ก.แถลงว่า วันที่ 11 พฤษภาคม 2549 เวลาประมาณ 23.30 น.นายอาทิตย์ร่วมกับนายสุวัฒน์และนายสมบัติ หรือแด๊ก เพิ่มปัญญา อายุ 25 ปี ฆ่านายสุกันต์ เดชะคำภู อดีตทหารลาว อายุ 46 ปี และนางจันทร เดชะคำภู อายุ 38 ปี ที่บ้านเลขที่ 275 หมู่ 5 บ้านคันเปือย ต.คำเขื่อนแก้ว อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี แต่วันรุ่งขึ้นตำรวจสามารถติดตามจับกุมนายสุวัฒน์ได้ และให้การซัดทอดว่า ร่วมกับนายอาทิตย์และนายสมบัติฆ่าอดีตทหารลาว
"ผู้ต้องหาสารภาพว่าร่วมกันสังหารคนลาว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นขบวนการต่อต้านลาว หรือ ขตล.มาแล้วรวม 17 ราย ในหลายพื้นที่ได้แก่ จ.อุบลราชธานี หนองคาย อุดรธานี และเลย นอกจากนี้ยังก่อเหตุที่ จ.มุกดาหาร และนครพนม รวมทั้งสังหารนายอนุวงศ์และนางอุไรวรรณ เศรษฐาธิราช ที่ศาลาแก้วกู่ ฆ่านายคำหยาด หรือ ร.อ.คำฝู ท้องที่ อ.ภูหลวง จ.เลย ฆ่านายบุญมี นาระนาด ท้องที่ อ.เมือง จ.อุดรธานี ผู้ต้องหาทั้งสองคนได้ฉายาว่านักฆ่าสองฝั่งโขง รับเงินค่าจ้างศพละ 1 แสนบาท"
จากการสืบสวนทางลับพบว่า นายอาทิตย์เรียนจบชั้น ม.6 โรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.หนองคาย เมื่ออายุ 14 ปี ถูกจับกุมข้อหาฆ่าคนตายพร้อมเพื่อนคู่หู คือ นายสมบัติ หรือแด๊ก เพิ่มปัญญา ถูกส่งเข้าสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดหนองคาย 4 ปี และเมื่ออายุย่างเข้า 19 ปี ก็เข้าสู่วงจรมือปืนรับจ้าง
ย้อนเหตุการณ์ไปเมื่อปี 2543 พ.ท.สีสุก ไชยแสง หรือนายณรงค์ สุวรรณบุปผา วางแผนส่งกำลังพลติดอาวุธประมาณ 60 คน บุกเข้าไปก่อกวนรัฐบาลลาว ด้วยการเข้าบุกยึดด่านวังเตา เมืองโพนทอง แขวงจำปาสัก ที่ตั้งอยู่ติดกับด่านช่องเม็ก อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี เช้ามืดวันที่ 3 กรกฎาคม แต่แผนการล้มเหลว ทำให้ผู้ร่วมขบวนการถูกสังหารทันที 6 ศพ อีก 29 ราย วิ่งผ่านประตูด่านเข้ามาประเทศไทย และถูกทางการไทยจับดำเนินคดี
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา คดีสังหารแกนนำ ขตล.ก็เกิดขึ้นทุกปี ไม่เคยมีเว้นวรรค !!!
รายแรก ท้าวภูเวียง คนร้ายนั่งเรือหางยาวใช้ปืนอาก้าบุกเข้าไปสังหารในบ้านพัก ที่บ้านคันท่าแพ ต.โขงเจียม อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี เมื่อกลางเดือนมิถุนายน 2544 ผ่านไป 1 เดือน ท้าวสง่าก็ถูกคนร้ายบุกยิงเสียชีวิต ที่บ้านเหล่าอินแปลง ต.ช่องเม็ก อ.สิรินธร และราวเดือนพฤศจิกายน คนร้ายใช้อาวุธปืน 11 มม.ยิงท้าวทองเสียชีวิต ที่บ้านสนามชัย อ.พิบูลมังสาหาร
ปี 2545 คนร้ายใช้อาวุธปืนยิงท้าวคำบอน ที่บ้านคำมันปลา อ.สิรินธร แต่ไม่เสียชีวิต หลังรักษาตัวจนหายดีก็หนีออกจากพื้นที่ และไม่ได้กลับมาอีกเลย
วันที่ 3 พฤศจิกายน 2546 พ.ท.สีสุก ไชยแสง หัวหน้าขบวนการต่อต้านลาวถูกคนร้ายใช้อาวุธสงครามชนิดอาก้ายิงเสียชีวิตใน หมู่บ้านประชาสมบูรณ์ ต.นิคมลำโดมน้อย อ.สิรินธร
เดือนธันวาคม 2546 นายอุดร หรือน้อย มั่นคง พ่อค้าขายผลไม้ในตลาดสด อ.เขมราฐ ที่ดูแลการโอนเงินระหว่างประเทศข้ามฝั่งจากประเทศไทยไปที่เมืองละครเพ็ง แขวงสาละวัน ประเทศลาว ถูกอุ้มตัวข้ามฝั่งไปคุมขังในประเทศลาว และเสียชีวิตในเวลาต่อมา
เดือนตุลาคม 2548 นายชูชาติ ฉิมฤทธิ์ หรือหลวงบริบูรณ์ อดีตนายทหารรัฐบาลลาวฝ่ายขวา ยศ "พ.อ." และเป็นนักเคลื่อนไหวกับ ร.อ.คำเผย สายกงจักร หลบเข้ามาอยู่ในประเทศไทยและถูกคนร้ายใช้อาวุธปืน.38 ยิงเสียชีวิตในบ้านพัก ที่บ้านนาอุดม อ.เมือง จ.อุบลราชธานี ส่วน ร.อ.คำเผย ได้เปลี่ยนชื่อเป็น "นายสุพรรณ" ไม่ทราบนามสกุล
แกนนำ ขตล.รายล่าสุด คือ ร.อ.สุกัน ที่สู้รบกับรัฐบาลลาวมาตั้งแต่อายุ 14 ปี หลบเข้ามาอยู่ในประเทศไทยก็ถูกฆ่าตายพร้อมนางจันทร ภรรยา ที่บ้านคำเปื่อย ต.คำเขื่อนแก้ว อ.สิรินธร
ส่วนผู้ต้องหาคดีบุกยึดด่านวังเตาที่เป็นคนลาว 16 คน ที่ถูกจับดำเนินคดีในประเทศลาว เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2547 ศาลประชาชนแห่งแขวงจำปาสัก ตัดสินจำคุกท้าวสวง แสงสุระ นักโทษการเมืองที่ร่วมกันบุกยึดด่านวังเตาและพวกรวม 8 คน คนละ 12 ปี จำคุกท้าวคำ ไชยวงศ์ กับพวกรวม 6 คน คนละ 7 ปี และจำคุกท้าวแสง จำปา กับท้าวสม ไชยวงศ์ คนละ 2 ปี 6 เดือน
ปัจจุบันมีแกนนำ ขตล.ที่ยังเคลื่อนไหวเหลืออยู่เพียง ร.อ.คำเผย สายกงจักร เท่านั้น
คำรับสารภาพของผู้ต้องหาที่ได้ฉายาว่า "นักฆ่าสองฝั่งโขง" ในคดีฆ่าแกนนำ ขตล.รายล่าสุด เป็นเพียงคำให้การที่ตำรวจต้องหาพยานหลักฐานเพื่อประกอบสำนวนส่งฟ้องศาล แต่คำรับสารภาพของผู้ต้องหา 2 รายนี้ ก็ถูกปฏิเสธจากนายยง จันทะลังสี โฆษกกระทรวงต่างประเทศลาว ว่า ไม่เป็นความจริง เพราะลาวมีกองกำลังไว้เพื่อป้องกันประเทศ ไม่เคยเข้าแทรกแซงประเทศอื่น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ลาวถือว่าเป็นเรื่องภายในของไทย แต่การจะกล่าวหาผู้ใดต้องมีหลักฐานที่ชัดเจน




นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์บุกเข้ายึดด่านวังเตา เมืองโพนทอง แขวงจำปาสัก ล้มเหลว เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2543 ปรากฏว่าแกนนำขบวนการต่อต้านลาว (ขตล.) ที่ยังหลบหนีอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยถูกลอบสังหารไปแล้วกว่า 20 ศพ
คดีลอบสังหารแกนนำขบวนการต่อต้านลาว (ขตล.) ในภาคอีสานของไทยเกิดขึ้นเป็นระยะๆ และต่อเนื่อง หลังเกิดเหตุการณ์ พ.ท.สีสุก ไชยแสง หรือนายณรงค์ สุวรรณบุปผา วางแผนส่งกำลังพลติดอาวุธประมาณ 60 คน บุกเข้ายึดด่านวังเตา เมืองโพนทอง แขวงจำปาสัก ที่ตั้งอยู่ติดกับด่านช่องเม็ก อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี ช่วงเช้ามืดวันที่ 3 กรกฎาคม 2543 แต่แผนการล้มเหลว ครั้งนี้ผู้ร่วมขบวนการถูกสังหารทันที 6 ศพ ส่วนอีก 29 ราย วิ่งผ่านประตูด่านเข้าไทย และถูกทางการไทยจับดำเนินคดี
นับแต่ปี 2543 เป็นต้นมา แกนนำ ขตล.กว่า 20 ราย ถูกลอบสังหารแต่ก็ไม่มีความคืบหน้ามากนัก แต่คดีสังหาร ร.อ.สุกันต์ เดชะคำภู อดีตทหารลาวแกนนำ ขตล. อายุ 46 ปี และนางจันทร เดชะคำภู อายุ 38 ปี ภรรยา ในบ้านเลขที่ 275 หมู่ 5 บ้านคันเปือย ต.คำเขื่อนแก้ว อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม รายล่าสุด ทำให้คดีสังหารแกนนำ ขตล.ที่ผ่านมา ถูกขยายผลมากขึ้น
เมื่อผู้ต้องหา 2 ราย ให้การรับสารภาพ อ้างว่ารับแจ้งฆ่ารายละ 1 แสนบาท จนได้ฉายาว่า "นักฆ่าสองฝั่งโขง"
เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 25 พฤษภาคม พล.ต.ต.อัศวิน ขวัญเมือง รองผบช.ก.แถลงข่าวจับกุมนายอาทิตย์ หรือลม กลิ่นจันทร์ อายุ 25 ปี ชาว ต.พานพร้าว อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย และนายสุวัฒน์ สุทธัง ผู้ต้องคดีฆ่า ร.อ.สุกันและภรรยา เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม
รอง ผบช.ก.แถลงว่า วันที่ 11 พฤษภาคม 2549 เวลาประมาณ 23.30 น.นายอาทิตย์ร่วมกับนายสุวัฒน์และนายสมบัติ หรือแด๊ก เพิ่มปัญญา อายุ 25 ปี ฆ่านายสุกันต์ เดชะคำภู อดีตทหารลาว อายุ 46 ปี และนางจันทร เดชะคำภู อายุ 38 ปี ที่บ้านเลขที่ 275 หมู่ 5 บ้านคันเปือย ต.คำเขื่อนแก้ว อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี แต่วันรุ่งขึ้นตำรวจสามารถติดตามจับกุมนายสุวัฒน์ได้ และให้การซัดทอดว่า ร่วมกับนายอาทิตย์และนายสมบัติฆ่าอดีตทหารลาว
"ผู้ต้องหาสารภาพว่าร่วมกันสังหารคนลาว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นขบวนการต่อต้านลาว หรือ ขตล.มาแล้วรวม 17 ราย ในหลายพื้นที่ได้แก่ จ.อุบลราชธานี หนองคาย อุดรธานี และเลย นอกจากนี้ยังก่อเหตุที่ จ.มุกดาหาร และนครพนม รวมทั้งสังหารนายอนุวงศ์และนางอุไรวรรณ เศรษฐาธิราช ที่ศาลาแก้วกู่ ฆ่านายคำหยาด หรือ ร.อ.คำฝู ท้องที่ อ.ภูหลวง จ.เลย ฆ่านายบุญมี นาระนาด ท้องที่ อ.เมือง จ.อุดรธานี ผู้ต้องหาทั้งสองคนได้ฉายาว่านักฆ่าสองฝั่งโขง รับเงินค่าจ้างศพละ 1 แสนบาท"
จากการสืบสวนทางลับพบว่า นายอาทิตย์เรียนจบชั้น ม.6 โรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.หนองคาย เมื่ออายุ 14 ปี ถูกจับกุมข้อหาฆ่าคนตายพร้อมเพื่อนคู่หู คือ นายสมบัติ หรือแด๊ก เพิ่มปัญญา ถูกส่งเข้าสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดหนองคาย 4 ปี และเมื่ออายุย่างเข้า 19 ปี ก็เข้าสู่วงจรมือปืนรับจ้าง
ย้อนเหตุการณ์ไปเมื่อปี 2543 พ.ท.สีสุก ไชยแสง หรือนายณรงค์ สุวรรณบุปผา วางแผนส่งกำลังพลติดอาวุธประมาณ 60 คน บุกเข้าไปก่อกวนรัฐบาลลาว ด้วยการเข้าบุกยึดด่านวังเตา เมืองโพนทอง แขวงจำปาสัก ที่ตั้งอยู่ติดกับด่านช่องเม็ก อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี เช้ามืดวันที่ 3 กรกฎาคม แต่แผนการล้มเหลว ทำให้ผู้ร่วมขบวนการถูกสังหารทันที 6 ศพ อีก 29 ราย วิ่งผ่านประตูด่านเข้ามาประเทศไทย และถูกทางการไทยจับดำเนินคดี
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา คดีสังหารแกนนำ ขตล.ก็เกิดขึ้นทุกปี ไม่เคยมีเว้นวรรค !!!
รายแรก ท้าวภูเวียง คนร้ายนั่งเรือหางยาวใช้ปืนอาก้าบุกเข้าไปสังหารในบ้านพัก ที่บ้านคันท่าแพ ต.โขงเจียม อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี เมื่อกลางเดือนมิถุนายน 2544 ผ่านไป 1 เดือน ท้าวสง่าก็ถูกคนร้ายบุกยิงเสียชีวิต ที่บ้านเหล่าอินแปลง ต.ช่องเม็ก อ.สิรินธร และราวเดือนพฤศจิกายน คนร้ายใช้อาวุธปืน 11 มม.ยิงท้าวทองเสียชีวิต ที่บ้านสนามชัย อ.พิบูลมังสาหาร
ปี 2545 คนร้ายใช้อาวุธปืนยิงท้าวคำบอน ที่บ้านคำมันปลา อ.สิรินธร แต่ไม่เสียชีวิต หลังรักษาตัวจนหายดีก็หนีออกจากพื้นที่ และไม่ได้กลับมาอีกเลย
วันที่ 3 พฤศจิกายน 2546 พ.ท.สีสุก ไชยแสง หัวหน้าขบวนการต่อต้านลาวถูกคนร้ายใช้อาวุธสงครามชนิดอาก้ายิงเสียชีวิตใน หมู่บ้านประชาสมบูรณ์ ต.นิคมลำโดมน้อย อ.สิรินธร
เดือนธันวาคม 2546 นายอุดร หรือน้อย มั่นคง พ่อค้าขายผลไม้ในตลาดสด อ.เขมราฐ ที่ดูแลการโอนเงินระหว่างประเทศข้ามฝั่งจากประเทศไทยไปที่เมืองละครเพ็ง แขวงสาละวัน ประเทศลาว ถูกอุ้มตัวข้ามฝั่งไปคุมขังในประเทศลาว และเสียชีวิตในเวลาต่อมา
เดือนตุลาคม 2548 นายชูชาติ ฉิมฤทธิ์ หรือหลวงบริบูรณ์ อดีตนายทหารรัฐบาลลาวฝ่ายขวา ยศ "พ.อ." และเป็นนักเคลื่อนไหวกับ ร.อ.คำเผย สายกงจักร หลบเข้ามาอยู่ในประเทศไทยและถูกคนร้ายใช้อาวุธปืน.38 ยิงเสียชีวิตในบ้านพัก ที่บ้านนาอุดม อ.เมือง จ.อุบลราชธานี ส่วน ร.อ.คำเผย ได้เปลี่ยนชื่อเป็น "นายสุพรรณ" ไม่ทราบนามสกุล
แกนนำ ขตล.รายล่าสุด คือ ร.อ.สุกัน ที่สู้รบกับรัฐบาลลาวมาตั้งแต่อายุ 14 ปี หลบเข้ามาอยู่ในประเทศไทยก็ถูกฆ่าตายพร้อมนางจันทร ภรรยา ที่บ้านคำเปื่อย ต.คำเขื่อนแก้ว อ.สิรินธร
ส่วนผู้ต้องหาคดีบุกยึดด่านวังเตาที่เป็นคนลาว 16 คน ที่ถูกจับดำเนินคดีในประเทศลาว เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2547 ศาลประชาชนแห่งแขวงจำปาสัก ตัดสินจำคุกท้าวสวง แสงสุระ นักโทษการเมืองที่ร่วมกันบุกยึดด่านวังเตาและพวกรวม 8 คน คนละ 12 ปี จำคุกท้าวคำ ไชยวงศ์ กับพวกรวม 6 คน คนละ 7 ปี และจำคุกท้าวแสง จำปา กับท้าวสม ไชยวงศ์ คนละ 2 ปี 6 เดือน
ปัจจุบันมีแกนนำ ขตล.ที่ยังเคลื่อนไหวเหลืออยู่เพียง ร.อ.คำเผย สายกงจักร เท่านั้น
คำรับสารภาพของผู้ต้องหาที่ได้ฉายาว่า "นักฆ่าสองฝั่งโขง" ในคดีฆ่าแกนนำ ขตล.รายล่าสุด เป็นเพียงคำให้การที่ตำรวจต้องหาพยานหลักฐานเพื่อประกอบสำนวนส่งฟ้องศาล แต่คำรับสารภาพของผู้ต้องหา 2 รายนี้ ก็ถูกปฏิเสธจากนายยง จันทะลังสี โฆษกกระทรวงต่างประเทศลาว ว่า ไม่เป็นความจริง เพราะลาวมีกองกำลังไว้เพื่อป้องกันประเทศ ไม่เคยเข้าแทรกแซงประเทศอื่น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ลาวถือว่าเป็นเรื่องภายในของไทย !!!

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

เรื่องของพวกสลิ่ม
เกิดมาก็หลายสิบปี ...

ที่ทำให้เราได้เห็นอะไรที่ไม่เคยได้เห็นมาตลอดทั้งชีวิตที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็น.......

1. ได้เห็น นายกหญิงคนแรกและอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย แต่กลับนำความฉิบหายมาให้กับประเทศมากที่สุด

2. ได้เห็น รถจอดเต็มแม่งทุกสะพานและทางด่วน เหลือทางวิ่งแค่ช่องเดียวทั่ว กทม

3. ได้เห็น ถุงทรายราคาแพงพอๆกับถุงข้าว

4. ได้เห็น มาม่า ปลากระป๋อง น้ำดื่ม แม่งหมดห้าง

5. ได้เห็น ไข่ไก่ที่โคตรแพงฟองละ 8 บาท และยังหาซื้อไม่ได้

6. ได้เห็น เซเว่นร้าง มีเหลือแต่พนักงานคิดเงิน

7. ได้เห็น shelf ที่ว่างเปล่าในโลตัส

8. ได้เห็น แม่งน้ำดื่มแพงกว่าน้ำมัน

9. ได้เห็น ของที่ทุกบ้านต้องมี คือ กระสอบทราย

10. ได้รู้ รสชาติของนำ้ดื่มจากคลองประปาผสมศพคนตายลอยคอ คละน้ำเน่า

11. ได้เห็น สันดานคนไทย vs นิสัยคนญี่ปุ่น เมื่อเจอวิกฤติ

12. ได้เห็น น้ำท่วมกทมและปริมณฑล แบบมิดหัวแบบตัวเป็นๆ

13. ได้เห็น คนถูกจระเข้กัดที่กลางเมืองหลักสี่

14. ได้เห็น คนพายเรือกลางถนน แล้วต้องปีนจากเรือขึ้นไปต่อรถไฟฟ้า

15. ได้เห็น ว่าทำไมเครื่องบินแม่งถึงเรียกว่าเรือบิน

16. ได้เห็น ที่ดอนกลับน้ำท่วมแต่แม่งที่หนอง(งูเห่า)น้ำไม่ท่วม

17. ได้เห็น ไอ้คนเตี้ยมันโคตรเก่งและโคตรเอี้ย มันสั่งได้ว่าให้น้ำมันท่วมหรือไม่ท่วมตรงไหนก็ได้

18. ได้เห็น ที่สุพรรณบุรีสูงกว่าภูเขา น้ำจะไม่ท่วมตลอดปีตลอดชาติ

19. ได้เห็น คนนั่งเก้าอี้หรือนั่งบนกล่องกระดาษก็ขี้ได้ด้วย

20. ได้เห็น รถก็ห่อเป็นของขวัญได้เหมือนกัน

21. ได้เห็น เรือพลาสติกราคาแพงเท่ารถมอเตอร์ไซค์

22. ได้เห็น ค่าเรือจ้างมหาโหดต้องควักจ่ายเป็นพัน

23. ได้เห็น คนแม่งต้องนั่งคุกเข่ากด ATM

24. ได้เห็น ความหมายของคำว่า "เอาอยู่" ก็คือ "ฉิบหาย ณ บัดดล"

25. ได้เห็น ของบริจาคกองเป็นภูเขาแต่ชาวบ้านยังไม่มีของกิน

26. ได้เห็น คนเลวชาติเอาของบริจาคไปใส่ชื่อเอี้ยๆของตัวเอง

27. ได้รู้ว่า ประเทศไทยมีเดือนที่ 13 คือพฤศจิกาคม

28. ได้เห็น อยุธยาเสียกรุงครั้งที่ 3 ในช่วงชีวิต

29. ได้เห็น นิคมอุตสาหกรรมแตก 7 นิคมแบบเละเทะ

30. ได้เห็น ตลาดน้ำที่แม่งใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ที่พุทธมณฑล 1 - 6

31. ได้เห็น คนตกงานเป็นล้านคนในพริบตา

32. ได้เห็น คนแก่ คนพิการ ต้องถูกหามลงเรืออย่างน่าสงสารและสมเพช

33. ได้เห็น หมาและแมวถูกทิ้งเป็นพันๆตัว

34. ได้เห็น ธนาคารใหญ่สีลมตั้งบังเกอร์สูง แม่งอย่างกับจะไปรบกับเขมรแดง

35. ได้เห็น พัทยาและหัวหินแทบระเบิดเต็มไปด้วยผู้อพยพ

36. ได้เห็น คนกลางมุ้งเป็นบ้านนอนเต็มสะพานลอย

37. ได้เห็น คนถูกไฟดูดตายเป็นร้อย

38. ได้เห็น วัดพระแก้ว วัดคู่บ้านคู่เมืองของประเทศไทย ถูกน้ำท่วม

39. ได้เห็น คนใช้แหจับปลากลางถนนวิภาวดี

40. ได้เห็น บ้านริมทะเลสาบเป็นแสนๆหลัง

41. ได้เห็น ครอบครัวกระเด็นกระดอน ปู่ย่าตายายไปอยู่ต่างจวฺ. พ่อแม่ไปอยู่โรงแรม. ลูกวัยรุ่นไปอยู่คอนโดเพื่อน, สัตว์เอาไปฝากเลี้ยง

42. ได้เห็น ปัญญาชนกรอกทราย

43. ได้เห็น ควายบริหารประเทศ

44. ได้เห็น ประจักษ์ตากับความหมายที่ว่านำ้ท่วมไม่กลัว แต่กลัวผู้นำโง่

45. ได้เห็น คนที่แม่งเป็นแต่ตัดริบบิ้น, ทาสี และยืนบีบน้ำตาก็เป็นนายกประเทศไทยได้

46. ได้เห็น นายกผมตั้ง ปากแดง แก้มชมพู แม่งสวยทุกวัน ไม่ว่าปชช.จะตกทุกข์ได้ยากยังไง

47. ได้เห็น ไอ้น้องน้ำมันโคตรเก่งเลย สอบเข้าได้ตั้งหลายมหาวิทยาลัย

48. ได้เห็น ทหาร 1 คนมีค่ามากกว่า ส.ส. ทั้งสภา แต่มีเงินเดือนไม่ถึง 10% ของส.ส. 1 คน

49. ได้ เห็น น้ำใจและความแน่วแน่ ของทหารแบบไม่เคยคิดสงสัย ว่าเค้าทำเพื่อใคร เพื่ออะไร ทั้งที่ โดน ส.ส. ของพวกที่นั่งด่าอยู่ทุกวัน... บลา บลา บลา!! #

และสุดท้าย

50. ได้เห็น นายกไทยหน้าด้านที่สุดในโลก ทำประเทศไทยฉิบหาย 9 แสนล้าน ยังหน้าด้านไม่ลาออกไป แต่กลับบีบน้ำตาให้คนสงสาร


ร" และพวกพ้อง

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
เรื่อง รวมการโกง ของทักษิณ...

--ก่อนหน้านี้ ทักษิณ ก็เป็นเหมือนคนปกติทั่วไ...ปที่อยากจะร่ำรวย....

--เริ่ม จากการอยากร่ำรวยทางลัด ยุคปฏิวัติ รสช สมัยสุนทร คงสมพงษ์....ทักษิณ ก็ให้เงินทหารที่ปฏิวัติ เพื่อแลก สัมปทานมือถือแบบง่ายๆ ... "ยัดเงิน ทหาร ไม่ต้องประมูลสัมปทานอย่างยุติธรรม ให้มันยุ่งยาก"

--หลังจากทักษิณ ได้สัมปทานรัฐฯ จากการยัดเงินใต้โต๊ะแล้ว ทักษิณก็เริ่มอยากปกป้องผลประโยชน์ตัวเอง เพราะการมีอำนาจเอง ก็คงดีกว่าการคอยพึ่งบารมีผู้มีอำนาจ นักการเมือง ข้าราชการที่คอยแต่จะรีดไถ่
--ทักษิณก็เลยโดดมาเล่นการเมือง เพื่อการมีอำนาจซะเองเลย


--เริ่ม ที่พรรคพลังธรรม ทำหน้าที่เป็นนายทุนให้พรรค เติบโตมาพร้อมๆกับ เจ้หน่อย ซึ่งสมัยนั้น ยังไม่ได้มีชื่อเสียงมากนัก ถือเป็นนักธุรกิจไฟแรง ที่ผันตัวเองมาเล่นการเมือง


--เมื่อทักษิณเล่นการเมืองมีอำนาจรัฐฯ อยู่ในมือแล้ว เป็นรองนายก แม้ไม่ถึงขั้นเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ก็เห็นช่องทางแห่งความร่ำรวย
--เริ่ม จากตัดลดงบประมาณต่างๆ ทำองค์กรโทรศัพท์ให้อ่อนแอ ขาดงบประมาณในการซ่อมแซมดูแล ใช้งานไม่ได้มากๆเข้า ก็เป็นการบีบประชาชน โดยทางอ้อมให้จำเป็น ต้องซื้อโทรศัพท์มือถือ เพราะยุคนั้นตู้โทรฯสาธารณะแทบจะใช้ไม่ได้ซักตู้
--พอทักษิณเล่นการเมือง ไปนานๆเข้า ก็เห็นว่าอำนาจรัฐมีประโยชน์ สร้างความร่ำรวยให้ได้มากมาย ความคิด... ก็เข้าครอบงำ จากนั้น..... ตามมาๆ

--ยุคนายก จิ๋ว ฟองสบู่แตก + ลดค่าเงินบาท ยุคนั้น ทักษิณ เป็นรองนายกรัฐมนตรี และเป็นหนึ่งในผู้ร่วมเสนอให้ ชวลิตลดค่าเงินบาท ซึ่งถือเป็นผู้รู้ข้อมูลภายในล่วงหน้า (insider) ....
--ทักษิณ ได้ใช้ข้อมูลนั้น ในการดำเนินการ ประกันค่าเงินของ ทรัพย์สินและบริษัท ในตระกูลของตนเองและพวกพ้องทั้งหมดไว้ แค่นั้นยังไม่พอ..


--ทักษิณ และพวกพ้องกลุ่มนายทุนใหญ่ ระดับชาติ ใช้กลยุทธการ "ไซฟ่อนเงิน" เพื่อความร่ำรวย และซ้ำเติมความหายนะของชาติ ให้มากขึ้นไปอีก เพรายิ่งไทยหายนะเท่าไหร่ ค่าเงินบาทไทยก็ยิ่งลดลงไปมากเท่านั้น ซึ่งก็คือ...
--ทักษิณและพวกพ้อง ใช้วิธี กู้เงินจากสถาบันการเงินต่างๆ ในประเทศให้ได้มากที่สุด แล้วนำไปแลกดอลล่าร์ไว้ เพราะรู้ข้อมูลล่วงหน้าว่า จะมีการประกาศลดค่าเงินบาท และเมื่อ ชวลิตลดค่าเงินบาทตามคำแนะนำของกลุ่มทักษิณ..
--ค่าเงิน จาก 25 บาทต่อ 1 ดอลล่าร์ ก็ดิ่งลงสู่หายนะ ในเวลาอันรวดเร็ว โดยต่ำสุดอยู่ที่ 58 บาท ต่อ 1 ดอลล่าร์ ....... ทักษิณ และพวกพ้อง ก็เอาดอลล่าร์กลับมาแลกคือเป็นเงินบาทไทย "กำไรทันทีเกิน เท่าตัว!!!!"
--ทฤษฏี ของ สสาร ง่ายๆ คือ สสารไม่มีวันหายไปจากโลก เหมือนเม็ดทรายในท้องทะเล แค่ ย้ายจากที่หนึ่ง ไปสู่อีกที่หนึ่งเท่านั้นเอง ความร่ำรวย และยากจนก็ไม่ต่างกัน...
--เมื่อทักษิณ และพวกพ้องมีกำไรจากการประกันค่าเงิน และ ไซฟ่อนเงินเป็นมูลค่ามหาศาลเกิน 100% คนที่ขาดทุนก็คือประชาชนคนไทย และ ธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งจริงๆก็เหมือนมีเงินในกระเป๋าเท่าเดิม แต่ค่าของเงินหายไปเกินครึ่ง!!!
--ทักษิณและพวก ร่ำรวยขึ้นเป็นเท่าตัว บนความยากจนลงๆ ของประชาชนทั้งประเทศ จากการลดค่าเงินบาทในครั้งนี้


--คราวนี้ทักษิณก็มีทุน กระสุนดินดำ ไว้ใช้ในการเล่นการเมืองเต็มตัวแล้วสิ.....


--ทักษิณ ก็เริ่มใช้เงินที่ได้มา ซื้อพรรคการเมืองต่างๆ กวาด สส.พรรคต่างๆเข้าพรรคของตัวเอง เพราะเวลาทักษิณจะออกกฏหมาย หรือเปลี่ยนแปลงกฏหมายอะไร จะได้มี สส.ลูกน้อง คอยยกมือโหวดผ่านร่างในสภา ให้กฏหมายผ่านง่ายๆ ตามแต่ใจที่ต้องการ
--หลังจากทักษิณกวาดต้อน ใช้เงินซื้อ สส.ที่ขายตัว มาเป็นลูกน้องคอยยกมือให้ในสภาแล้ว ก็เริ่มจัดการแก้กฏหมายต่างๆ เพื่อเอื้อประโยชน์ เพื่อสร้างความร่ำรวยให้ตัวเองก่อนเลย โดย...


--ทักษิณแก้กฏหมาย วิธีการจ่ายภาษีสัมปทานมือถือให้รัฐฯ โดยให้ บ. ตัวเองจ่ายน้อยลง ทำให้รัฐสูญเสียเงินรายได้ จากการจัดเก็บภาษีสัมปทานมือถือในทุกๆปี เป็นจำนวนเงินหลักหมื่นล้าน/ต่อปี...
--ผลจากการแก้กฏหมายดังกล่าว ......."รัฐฯจะสูญเสียรายได้ส่วนนี้ไปอีก นานแสนนาน"

--เป็น ไงละ...ก็ เพราะทักษิณคุมอำนาจรัฐฯไว้ในมือ แต่ในขณะเดียวกัน ครอบครัวของทักษิณ ก็ดันทำธุรกิจกับภาครัฐฯ ไปด้วย... แล้วคิดว่า ทักษิณจะอยากให้รัฐฯได้ประโยชน์มากกว่า หรือ อยากให้ครอบครัวตัวเองได้ประโยชน์ มากกว่าหละ
--แน่นอนเมื่อสัญญาถูกแก้ ให้ครอบครัวทักษิณจ่ายภาษีมือถือน้อยลง รัฐก็จะมีเงินรายได้เข้าคลังน้อยลง เงินที่จะนำไปใช้ในการบริหารประเทศ ช่วยเหลือคนจนก็จะน้อยลง ยิ่งช่วงนั้น ไทยประสบปัญหา ฟองสบู่แตก ด้วย เงินในคลังก็ยิ่งน้อยลง


--ที่นี้ ทักษิณอยากได้เงินเข้าคลังเยอะๆ เพราะทักษิณเป็นรัฐบาล จะได้เอาเงินไปใช้จ่ายโครงการต่างๆ เพื่อให้พวกพ้องโกงกิน แต่ไทยยังติดหนี้ IMF และยังมีเงินในคลังน้อยอยู่ แล้วทักษิณจะทำไงดีละ.... ตามมาๆๆ

--ทักษิณ ก็ขายสมบัติชาติไง เพราะพอขายแล้ว ชาติจะได้มีเงินเข้าคลังเยอะๆ ทักษิณและพวกพ้อง สส.จะได้เอาไปถลุง + โกงกินทุกโครงการให้สบายใจ


--โดยเริ่มจากขาย ปตท. ซึ่งเดิมที ปตท.เป็นรัฐวิสาหกิจ หรือเรียกง่ายๆว่า ธุรกิจของรัฐฯ 100%
--ซึ่ง หมายความว่า.."กำไร" จากการขายน้ำมัน /ปิโตรเคมี /อะโรเมติค /พาราไซรีน ฯลฯ ทุกอย่างทุกชนิด ทุกบาท ทุกสตางค์ ของ ปตท จะกลับเข้าคลัง ไปเป็นงบประมาณของรัฐฯ เพื่อนำเงินนั้น กลับมาบำรุงชาติ/ประชาชน แต่ทักษิณก็ขาย...
--ซึ่งนั้นหมายความว่า กำไรจาก ปตท ที่ รัฐฯเคยเก็บได้ทุกปี 100% เต็ม "ตลอดอายุประเทศไทย".... จะไม่ได้เท่าเดิมอีกแล้ว เพราะต้องเอากำไรของชาติ ไปแบ่งให้ผู้ถือหุ้นด้วย ประเทศไทยจะสูญเสียรายได้ในส่วนนี้ตลอดไป
--แถมทักษิณยังขาย ปตท. แบบโกงราคา สัดส่วนหุ้น ต่อหน่วยลงทุนด้วย!! งง มั้ย คืองี้....

--ปตท คือรัฐวิสาหกิจของประเทศ ประชาชนทุกคนเป็นเจ้าของ เราเลือก สส + นายก มาเป็น ผู้บริหารประเทศ หรือเรียกง่ายๆว่า ตัวแทน "ผู้จัดการมรดก"
--ทีนี้ เมื่อทักษิณเป็นรัฐบาล เป็นนายก เป็นผู้จัดการมรดกของชาติ ก็มีความคิดเอาทรัพย์สินของชาติ ไปขาย เพื่อให้มีเงินเข้าคลังเยอะๆ
--แทน ที่ทักษิณจะขายให้ได้กำไร หรือ อย่างน้อยเท่าทุน เพื่อให้ชาติได้เงินตามสมควร... แต่ทักษิณเอาสมบัติชาติไป.."ขายขาดทุน โดยให้ พวกพ้อง ญาติเป็นคนซื้อ"
--ทักษิณให้ญาติ และ พวกพ้อง สส.ของพรรค ซื้อสมบัติชาติ จนหมด และ ในราคา ต่ำกว่าต้นทุนหลายๆเท่า ดังตัวอย่างเช่น ประชาชน"คนแรก"ที่ไปรอต่อแถวซื้อหุ้น ปตท ตั้งแต่ตี 4 แค่กรอกใบสมัคร 1.14 นาที หุ้นก็หมดไปแล้ว...
--แต่ผู้ที่ได้มีสิทธซื้อ หุ้น เป็นจำนวนหลายล้านหุ้นต่อคน กลับเป็น คนในนามสกุล ที่เรารู้จักกันดีทั้งนั้น ทั้งๆที่ กฏหมาย ห้ามซื้อเกินคนละ 1 แสนหุ้น???
--แถม... ราคาหุ้น ที่พวกทักษิณได้มีสิทธิซื้อนั้น ต่ำกว่าราคาของความเป็นจริง หรือเรียกง่ายๆว่า ให้ญาติซื้อสมบัติชาติ ในราคาต่ำกว่าต้นทุนนั้นเอง
--ผล ที่ได้คือ พวกพ้อง ญาติร่ำรวย +ประชาชนไม่รับรู้ + ประเทศชาติ(พูดไม่ได้)ขาดทุน .......และยังมีเงินจากการขาย ปตท ครั้งนี้ เข้าคลังไปถลุง ซึ่ง..."น้อยกว่าที่ควรจะเป็น" อีกต่างหาก....เฮ้อ.
--นั้นคือ สาเหตุ ที่ราคาหุ้น PTT ณ.วันเปิดเข้าตลาดหลักทรัพย์ กับ วันนี้ ราคาสูงขึ้น เป็น 10 เท่าตัว.... กำไร 1000%
--สรุป ทักษิณบริหารสมบัติชาติ -- ชาติ (ประชาชน )ขาดทุนย่อยยับ -- ญาติ พวกพ้องมัน ร่ำรวย เพราะซื้อสมบัติของชาติต่ำกว่าทุน ...


--หน้าทีอีกอย่างของ ปตท คือ คอยถ่วงดุล + กดดัน + ควบคุมระดับราคาน้ำมันภายในประเทศ ไม่ให้แพงเกินจริง ซึ่ง...
--ว่า ง่ายๆก็คือ ถ้า ปตท ไม่ขึ้นราคาน้ำมันซะอย่าง แล้ว บ.น้ำมันข้ามชาติ เช่น เชล เอสโซ่ คาร์เทค จะขึ้นราคาน้ำมันมากแค่ไหนก็ตามใจ เพราะไม่มีใคร อยากไปเติมของแพง
--เมื่อ เป็นเช่นนั้น ถ้า ปตท พยายามกดดันราคาน้ำมันไว้ พวก บ.น้ำมันข้ามชาติทั้งหลาย ก็ไม่กล้าจะขึ้นราคาน้ำมันให้แพงเวอร์นัก เพราะ ประชาชนก็จะมีทางเลือกเติม ปตท ที่คิดราคาน้ำมันถูกกว่า
--ทีนี้ลองคิดตามนะ......


--ถ้า พวกทักษิณ เป็นรัฐบาล ควบคุมกลไกรัฐ ควบคุม ปตท.มีหน้าที่ คอยถ่วงดุล+กดดัน+ควบคุมระดับ ราคาน้ำมันภายในประเทศ ไม่ให้แพงเกินจริง.."แต่ขณะเดียวกัน พวกทักษิณ ก็ดันถือหุ้น ปตท ไปด้วย" ???
--นั้นหมายความว่า..."ถ้าปตท กำไรมาก พวกทักษิณก็จะกำไรมากๆด้วย !!!"
--แล้วทักษิณ และพวกพ้อง ซึ่งเป็นผู้ควบคุมกลไกรัฐฯ จะอยากทำให้น้ำมันแพงหรือถูกดีหละ....???
--เพราะ ถ้าทักษิณ ทำตามหน้าที่ โดยกดดันให้น้ำมันถูก ประชาชนก็จะได้ประโยชน์ ..แต่พวกทักษิณ ซึ่งถือหุ้น ปตท อยู่ ....."ก็จะกำไรน้อย"
--แต่ถ้า ทักษิณปล่อย ให้น้ำมันขึ้นๆแพงๆๆ ให้ประชาชนจ่ายค่าน้ำมันแพงๆเข้าไว้ โดยไม่คอยควบคุมกดดัน พวกทักษิณที่ถือหุ้น ปตท ก็จะได้กำไรเยอะตามไปด้วย!!


--จากการขาย ปตท พวกทักษิณ กำไร 3 เด้ง ...คือ
1 กำไรจากการได้ซื้อสมบัติชาติในราคาถูก
2 ปล่อยราคาน้ำมันขึ้นให้ประชาชน เติมน้ำมันแพง พวกทักษิณถือหุ้น ปตท ก็รวยไปด้วย
3 คลังมีเงินจากการขายสมบัติชาติ มาให้ถลุงเล่น
--นั้น คือเหตุผลที่ว่า น้ำมันทุกค่ายจับมือกันแพง จับมือกันขึ้นราคาไง จากยุคเชาวลิต 12-13 บาทต่อลิตร จน 45-48 บาทต่อลิตร และ... บ. ปตท กำไร ปีละเป็น แสนๆล้าน เยี่ยมมั้ย ไอ้ทักษิณ!!
--จากนั้น...รัฐบาลทักษิณ ก็ได้เงิน เข้ามาจากการขาย+โกง สมบัติชาติ เข้าคลัง... และ คลังก็มีเงินให้พวกทักษิณเอาไป ถลุงเล่นแล้ว... มาดูกันว่าทักษิณจะทำอะไรได้บ้าง ...


--ไทยมีเงินให้ถลุงแล้ว แต่ไทยก็ยังมีหนี้ IMF และเสียดอกเบี้ยอยู่ ทำไงดี ให้เอาเงินในคลังไปถลุงง่ายๆ โดยไม่โดน ฝ่ายค้านโจมตี และ ประชาชนด่า
--ทักษิณก็ปลดหนี้ IMF ไง จะได้ดูดี ไม่มีหนี้แล้ว เก่งด้วย
--กองทุน IMF เค้า ให้ค่อยๆผ่อน ค่อยๆเสียดอก แต่ ทักษิณ ดันจ่ายทั้งต้น ทั้งดอก ทั้งหมดเลยทีเดียว คนจะได้ว่าข้าเก่ง และเอาเงินไปทำอย่างอื่นได้ โดยไม่โดนประชาชนด่า แล้วมันไม่ดีตรงไหนช่ายมะ ..ดูนะ
--ต้น+ดอกเบี้ย ทุกปีอะ เค้าให้เราทะยอยจ่าย โดยคำนวนไว้แล้ว เหมือนคุณผ่อนบ้านอะ สมมุติผ่อนบ้านเดือนละ 5 หมื่น ผ่อน 20 ปี .. คำถามก็คือว่า
--"ค่าของเงิน" 5หมื่นในวันนี้ กับ "ค่าของเงิน" 5หมื่นใน อีก 20 ปีข้างหน้ามีค่าเท่ากันมั้ย ..คำตอบคือ...ไม่เท่าแน่ๆ
--ถ้า ให้จ่ายแบบปิดเงินต้น แล้ว ดอกมาคิดกันใหม่ก็ว่าไปอย่าง เหมือนเราจะ เทบ้าน เทต้น อะไรแบบนี้ แต่ถ้าต้องรวบยอด ทั้งต้นทั้งดอก ทั้งหมดจ่ายเลยวันนี้ "ค่อยๆผ่อนไปไม่ดีกว่าเหรอ" อีก 20 ปีข้างหน้า ถึงเราจะต้องจ่ายเท่าเดิม แต่ ค่าของเงินก็เปลี่ยนไป
--ก็เหมือนเราจ่ายจำนวนเงินเท่าเดิม แต่ค่าของเงินนั้นน้อยลง แต่รู้มั้ย ทักษิณทำเพื่ออะไร???


--คำ ตอบก็คือ ทักษิณต้องการให้ธนาคาร เอ็กซิมแบ้งค์ของรัฐ ปล่อยกู้พม่า ค่อนหมื่นล้าน โดยทักษิณตกลงกับพม่า ให้นำเงินก้อนนี้ "กลับมาซื้อสัมปทาน เครือค่ายโทรศัพท์ของตระกลูชินวัตร ไง" ....รัฐบาลมีเงินในคลังแล้วนิ รวยแล้ว..
--วิธีการก็ง่ายๆ ก็โอน 10% ให้นายพลเผด็จการพม่าใต้โต๊ะ อีก 90% เข้าบัญชีพจมานเลย เพราะกลัวพม่าโกง..แถมปล่อยกู้พม่า โดยคิดอัตราดอกเบี้ย ถูกแสนถูก ถูกกว่าที่ไทยกู้จาก IMF มากนัก
--สรุป ปลดหนี้ จ่ายรวบ ดอกเบี้ย IMF ที่แแพงกว่า มาปล่อยกู้พม่า ในดอกเบี้ยที่ถูกกว่า...เพื่อให้พม่า เอาเงินมาซื้อสัมปทาน มือถือ ของตระกูลตัวเอง
--หลัง จากนั้นก็เริ่ม อภิมหาโครงการโกง ต่างๆ เช่น โคล้านตัว กล้ายาง กองทุนหมู่บ้าน สนุกสนานกันเข้าไป ยกตัวอย่างเด่นๆ ดังต่อไปนี้....


--ดาวเทียมไทยคม เคยรู้กันมั้ย??
--ประเทศ แต่ละประเทศ ตามสนธิสัญญาสากล ทุกประเทศ มีสิทธิในการใช้วงจรดาวเทียม ซึ่งแต่ละประเทศได้จำนวนวงโคจร มากน้อยนั้นไม่เท่ากัน... ขึ้นกับสัดส่วนพื้นที่ของแต่ละประเทศ และปัจจัยต่างๆมากมาย
--ดาวเทียม 1 ดวง สามารถหารายได้ จำนวนมหาศาล จากมัน เพราะขีดความสามารถทางด้านการสือสาร ทุกชนิด แล้วมีโครงข่ายสูง.... ทักษิณ เลยจัดการประมูลให้เอกชน เป็นผู้ได้สัมปทาน???
--เงื่อนไข ผู้มีสิทธิเข้าประมูล คุณสมบัติ แต่ละข้อนั้น ทักษิณกำหนดเอง ตั้งข้อจำกัดในเงื่อนไข จนให้ บ. ของตัวเองได้ในที่สุด และกำกับท้ายว่า ผู้ชนะการประมูล ให้ยกเว้น+ลด ค่าสัมประทานให้กับรัฐฯ ให้น้อยกว่าที่ควรจะเป็นอีกด้วย !!!
--รัฐ สูญเสียรายได้ ที่ควรจะจัดเก็บเข้าคลังได้อีกปีละเป็น หมื่นล้าน...รายได้เข้าคลังจะน้อยลง กว่าที่ควรจะเป็นไปอีกหลายสิบปี...
--ผล จากการประมูลสัมปทานดาวเทียม ซึ่งมีได้เพียงดวงเดียวในประเทศไทย ดังกล่าว ......."รัฐฯจะสูญเสียรายได้ส่วนนี้ ไปอีกนานแสนนาน" อีกแล้ว...


--FTA
--เกษตรกร ทั้งหลาย คงไม่เข้าใจ ว่าทำไมทุกวันนี้ พืชผลทางการเกษตรถึงตกต่ำ ราคาถูกแสนถูก ถ้าอยากรู้ คุณต้องเข้าใจ คำว่า FTA ก่อนนะ มาดูกัน....
--เริ่มที่....
--"ยุคอดีต" ประเทศแต่ละประเทศ ไม่ได้มีการติดต่อการค้าสัมพันธ์กัน คนในประเทศ มีการเพราะปลูก พืชผล การผลิต ก็มักจะขายกันแต่ภายในประเทศ แน่นอนมันจะเกิดภาวะที่ว่า สินค้าบางอย่างมีปริมาณมากเกินไป แต่สินค้าบางอย่างก็ขาดแคลน
--"ยุคอดีต" สินค้าล้น มีปริมาณมากไปราคาก็จะถูก เพราะเกินความจำเป็น ส่วนสินค้าที่ขาดแคลน ราคาก็จะแพงโดด เพราะมีปริมาณความต้องการสูง เกิดความยากลำบากในการดำรงค์ชีวิต ของประชาชน
--ต่อมา.....

--"ยุค กลาง" มีการติดต่อ การค้าระหว่างประเทศ และเริ่มมีการนำสินค้า ที่มีปริมาณมากเกินไป "เหลือใช้" จากประเทศหนึ่ง ส่งไปค้าขายอีกประเทศหนึ่ง ที่มีความต้องการ หรือขาดแคลนสินค้านั้นๆ
--"ยุคกลาง" แน่นอนว่า...ถึงจะเป็นสินค้าขาดแคลน แต่สินค้าที่ขาดแคลนชนิดนั้นๆ ก็ยังมีประชาชนในประเทศ"บางส่วน" เป็นผู้ผลิตอยู่บ้าง ซึ่งอาจเป็นคนส่วนน้อยของประเทศ
--"ยุคกลาง" ดังนั้น การนำเข้ามาสินค้าที่ขาดแคลน เข้ามาขาย ก็จะกระทบคนกลุ่มน้อยในส่วนนี้ด้วย ด้วยเหตุนี้ รัฐจึงต้องใช้มาตราการ การตั้งกำแพงภาษี เพื่อช่วยเหลือคนกลุ่มน้อย ไม่ให้ถูกตัดราคาสินค้าจากประเทศอื่นๆ ที่ส่งสินค้าเหลือใช้เข้ามาขาย
--"ยุคกลาง" เพราะเมื่อภาษีสูง คนที่นำสินค้าที่มีปริมาณเกินความจำเป็น ของประเทศเค้า เข้ามาขายในประเทศเราก็จะมี ต้นทุนในการนำเข้าสูงตามไปด้วย จึงไม่สามารถขายตัดราคาสินค้า ของคนที่เพาะปลูกในประเทศได้
--สุดท้าย....

--"ยุคปัจจุบัน" เจตนารมณ์ของ FTA ก็ คือ ลดกำแพงภาษีนำเข้าสินค้าที่มีปริมาณมาก เกินความจำเป็นของแต่ละประเทศ เพื่อชดเชยความต้องการของประเทศ ที่ขาดแคลน และต้องการสินค้านั้นๆเหมือนกัน เพื่อให้เกิด "ดุลลภาพทางด้านการค้า"
--"ยุคปัจจุบัน" เมื่อเปิดเสรีการค้ามากขึ้น รัฐก็จะมีรายได้จากภาษี ของผู้ที่นำเข้าสินค้านั้นๆ มาขายภายในประเทศ ในสัดส่วนที่มากขึ้นตามไปด้วย และรัฐฯก็จะนำเงินภาษีที่ได้ไปอุดหนุ่น ไปช่วย เกษตรกร ที่ได้รับผลกระทบจาก สินค้าที่ถูกตัดราคาจากสินค้าที่นำเข้ามา



__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 


" นี่คือเจตนารมณ์ ของ FTA "

--แต่ ยุคทักษิณทำไงรู้มั้ยย ย ย ย
--คน ส่วนใหญ่ของประเทศไทยเรา เพาะปลูก ทำไร่ ทำสวน สินค้า พวกนี้จึงน่าเป็นสินค้าส่งออก เพราะเป็นสินค้าที่มีปริมาณมากในประเทศ แต่...
--ทักษิณตกลง FTA กับ จีน โดยยอมให้จีน นำพืชผลทางการเกษตรเข้ามาตีชาวไร่ ชาวสวนซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ในบ้านเรา เพื่อ...แลกกับการนำเข้า อะไหล่รถยนต์ ซึ่งเป็น บ.ของ พวกทักษิณ เอง ไปจีน
--ผลก็คือ บ.พวกทักษิณร่ำรวย ส่งสินค้าเข้าจีน ขายได้ถล่มทลาย แต่ เกษตรกร ชาวไร่ ชาวสวน ชาวนา ในประเทศ ตาย..เพราะถูก ผลไม้จีนตีตลาด ถูกจนเหลือเชื่อ เช่น มะม่วงเหลือ โลละ 10 บาท ฯลฯ


--สายการบิน
--ต่อมาก็เรื่องสายการบิน ทุกๆประเทศมีสายการบินประจำชาติ ประเทศไทยชื่อ การบินไทย และ เส้นทางการบินของสายการบินนั้นๆ บ้างก็มีขาดทุน บ้างก็มีกำไร เช่น
--กรุงเทพ ไป นิวยอร์ก กำไรทุกปี แต่ กรุงเทพไป.. อาจขาดทุน แต่สายการบินเป็นของรัฐ ยังไงก็ต้อง รองรับระบบพื้นฐานโลจิสติกของไทย ไม่ว่าจะกำไรหรือขาดทุน ก็ต้องบิน โดยหากเกิดการขาดทุน รัฐจะเป็นผู้ให้เงินสนับสนุน ชดเชยให้
--เมื่อ ทักษิณกุมอำนาจ การบริหารประเทศ ทักษิณก็ถือหุ้นใหญ่ สายการบิน แอร์เอเชีย จากนั้น ก็ง่ายนิดเดียว ยกเลิกเส้นทางการบินของรัฐที่มีกำไร ไปให้แอร์เอเชียบิน ...ส่วนอันไหนขาดทุน ให้ การบินไทยบินต่อไป .ให้รัฐจ่าย..
--แอร์เอเชียก็กำไรมโหฬาร ส่วนการบินไทย ก็ ... ตามมีตามเกิดไป .......นั้นหละ การโกงในเชิงนโยบาย


+++เมื่อ ทักษิณจัดการธุรกิจทุกอย่าง จนได้สัญญาสัมปทาน ผูกขาดกับรัฐ ไปอีกหลายนานแสนนาน แถมสัญญาที่ทำกับรัฐในทุกสัญญานั้น ทั้งได้เปรียบ เอาเปรียบ ลดภาษี ลดค่าสัมปทาน "จนเหมือนแทบจะเหมือนได้เปล่า.."
+++จาก นั้นทักษิณก็จัดการแก้กฏหมาย เพื่อให้สามารถขาย บริษัททั้งหมดให้กับต่างชาติ โดยบวกกำไรส่วนเพิ่ม ที่ทักษิณได้ทำสัญญาการเอาเปรียบรัฐ ต่างๆไว้ นั้นก็คือ...
+++กฎหมายขยายเพดานการถือหุ้น ของชาวต่างชาติ ในบริษัทโทรคมนาคมของประเทศ มีผลบังคับใช้วันที่ 21 มกราคม 2549
+++และ สองวันต่อมา ตระกูลชินวัตรและดามาพงศ์ ก็ขายหุ้นชินคอร์ป ให้กับบริษัทเทมาเส็ก แห่งประเทศสิงคโปร์ เป็นจำนวนเงิน 73,300 ล้านบาท
+++รวยขึ้นทันตาเห็น เดิมจาก 2หมื่นกว่าล้าน ขายทีเดียวได้เกิน 3 เท่า หรือกว่า 300%


+++"....... จริงๆทุกอย่างแทบจะผ่านพ้น ไปได้ด้วยดี เพราะถึงจะโกงยังไง สส.ตัวแทนประชาชนทุกคน ที่ทักษิณใช้เงินฟาดหัวซื้อไว้ ก็ยกมือโหวดกฏหมายต่างๆ ให้ผ่านร่าง พรบ. ได้อย่างถูกต้องตามกฏหมาย ใครก็เอาผิดทักษิณไม่ได้!!!!!!"


+++แต่ความโลภ และ หลงอำนาจ ของทักษิณ เลยทำให้ทักษิณชะล่าใจ ใช้อำนาจเอื้อหนุน ในการซื้อที่ดินรัชดา
+++เริ่ม ตั้งแต่การเปลี่ยนวงเงินมัดจำ การประมูลจาก 10 ล้าน เป็นเงินสด 100ล้าน ภายในวันเดียวเพื่อให้ ผู้ร่วมเข้าประมูลเตรียมเงินสดไม่ทัน
+++จากนั้นการประมูล ทางอินเตอร์เน็ต ก็ไม่พบผู้ร่วมประมูล ทั้งๆที่ บ. แลนด์แอนเฮ้า LPN ฯลฯ กว่า 7 ราย ก็เข้าร่วมประมูล แต่ทักษิณบอกเป็นการผิดพลาดทางด้านเทคนิค
+++แถม ทักษิณยัง ประกาศแก้ไขวันหยุดสิ้นปีของปีนั้นๆ เป็นวันทำการ เพื่อให้สามารถซื้อขายที่ดินแปลงนั้นได้ ก่อนสิ้นปี ก่อนที่จะมีการบังคับใช้กฏหมายการใหม่ ในปีถัดไปอีกด้วย
+++สรุปราคาการ ซื้อขาย จากเดิมที่ กองทุนฟื้นฟูซื้อมาที่ต้นทุนราคา 4889ล้านบาท .....แต่ทักษิณ ให้พจมาน ซื้อไปได้ในราคา 772 ล้านบาท .... ก็คิดเอาเองละกานนะ


+++เฮ้อ คนไทยบางคน ยังภูมิใจกับเศษเงินที่เขาให้มา แลกกับการโกงชาติไปมากมาย สัญญาต่างๆที่เขาทำไว้ เป็นสัญญาที่ผูกพันกับรัฐไปอีกนานแสนนาน
+++รัฐ จะสูญเสียเงิน ที่ควรจะเก็บภาษีต่างๆ ที่ควรได้ในทุกๆปี หายไปอีกปีละกว่าหลายหมื่นล้าน ทั้งยังเสียประโยชน์จากการดำเนินนโยบาย ที่มุ่มเน้นแต่การเอื้อประโยชน์ ให้พวกพ้อง ตลอดจนถึงการทุจริตเชิงนโยบาย รวมทั้งสิ้น ปีละเป็นแสนล้าน
+++เงินในคลังก็จะน้อยลง ไทยก็จะยากจน การพัฒนาก็จะน้อยลงกว่าที่ควรจะเป็น ไปอีกหลายสิบปี คนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือคนยากจน ที่รักทักษิณ ตามต่างจังหวัด ที่ต้องพึ่งพาสวัสดิ์การ จากรัฐตั้งแต่เกิดนั้นแหละ
+++.................


-+-ตลอด เวลาที่ผ่านมา ทักษิณ กุมอำนาจเสร็จเด็ดขาดทุกอย่าง ตั้งแต่ สส.ในสภา การแต่งตั้ง ผบ.ทหาร /ตำรวจ ข้าราชการประจำ จนถึงแก้ไขระบบผู้ว่าราชการจังหวัด ให้เป็นแบบ ผู้ว่า CEO ก็เป็นพวกของทักษิณทั้งนั้น
-+-ถ้า ทักษิณครองเมืองได้ ถึงมีผู้รู้ทันมากสักแค่ไหน ก็ขวางทักษิณไม่ได้ การที่ยุคสมัยนึงคนไทยรักเลือกทักษิณ เพราะไม่รู้ไม่เข้าใจในการทุจริต ในเชิงนโยบายของเขา
--------------" แล้วใครละ จะคอยขวางทางทักษิณ "......ไม่ให้ทักษิณแต่งตั้งเอา ญาติและพวกพ้อง คนชั่วมามีอำนาจ...เพื่อยึดอำนาจ ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดสมใจเขา-------------------


-+-ระบอบ ประชาธิปไตยเป็นสิ่งที่ดี แต่ประชาชน ต้องมีความรู้ แล้วการจะมีความรู้ได้ ต้องได้รับข้อมูลข่าวสารที่เพียงพอ ในการประกอบการตัดสินใจ เลือก สส. ตัวแทนประชาชน มารักษาไว้ซึ่งผลประโยชน์ของพวกเรา




พระบรมราโชวาท

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลเดชมหาราช

" คนดี "

ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี
ไม่มีใครจะทำให้คนทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด
การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุขเรียบร้อย
จึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี
หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมคนดีให้คนดี ได้ปกครองบ้านเมือง
และควบคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวาย

รักพ่อครับ


รบกวนฝากเพื่อนๆกด "แชร์"
เพื่อเผยแพร่สิ่งที่พวกตระกูล ชินวัตร ทำไว้กับประเทศไทย ให้คนทุกคนได้รับรู้นะครับ
ผมเชื่อว่าถ้าคนรักทักษิณได้อ่าน เค้าจะไม่อยากรักทักษิณอีกแล้วครับ
ขอบคุณเพื่อนๆทุกคนครับผมดูเพิ่มเติม


รูป ภาพละ 1 บทความนะครับผม ผมเชื่อว่าถ้าคนรักทักษิณได้อ่าน เค้าจะไม่อยากรักทักษิณอีกแล้วครับ รบกวนฝากเพื่อนๆกด "แชร์" เผยแพร่สิ่งที่พวกตระกูล ชินวัตร ทำไว้กับประเทศไทยให้คนทุกคนได้รับรู้นะครับ ขอบคุณเพื่อนๆทุกคนครับผม


โดย: คนไทย ร่วมต่อต้านการคอร์รัปชั่น ของ "ตระกูลชินวัตร" และพวกพ้อง

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ໄຮໂຊລາວນອກ ປທ ທີ່ ປາຣີສ ສັງສັງໃນງານໄປໄຫ່ມສາກົນ 2011 ພາຍໄຕ້ການອຸປຖັມຂອງເຈົ້າຟ້າຊາຍໂສຣີຍະວົງສຫ່ວາງແຫ່ງຣາຊວົງລາວ

http://www.laofr.net/?mid=56

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ลักษณะการปกครองแบบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์:
1. แนวความคิดของระบบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ คือ รัฐไม่เพียงแต่จะเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต แต่ยังมีอำนาจไปถึงการควบคุมสิทธิเสรีภาพ และวิถีการดำเนินชีวิตของประชาชนอีกด้วย
2. ที่มาของระบบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ได้มาจากแนวความคิดของ คาร์ลมาร์กซ์ เจ้าของ ลัทธิมาร์กซิสม์ Marxism
3. ประเทศแรกที่นำระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์เข้ามาใช้โดยปฎิวัติยึดอำนาจของ เจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 คือ เลนิน โดยสามารถเปลี่ยนแปลงการปกครองได้สำเร็จในปี ค.ศ. 1917
4. เลนินได้นำลัทธิมาร์กซิสม์มาปรับเป็นรูปแบบการปกครองระบอบคอมมิวนิสต์ในรัส เซีย ซึ่งต่อมาได้แพร่หลายไปยังประเทศต่างๆ โดยมีลักษณะที่สำคัญ ดังนี้:=
1. ใช้วิธีการรุนแรงในการยึดอำนาจ
2.เปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจโดยชี้ให้เห็นว่าลัทธิทุนนิยมมีข้อบกพร่องมากต้องการขจัดชนชั้นนายทุนโดยเปลี่ยนมาใช้ระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม
3. ยกเลิกกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของบุคคล
4. ให้รัฐเป็นเจ้าของเครื่องมือการผลิตและเป็นผู้ประกอบการ กำหนดแผนทางเศรษฐกิจ ส่วนประชาชนเป็นผู้ใช้แรงงาน
5.. จักตั้งพรรคคอมมิวนิสต์เพื่อเป็นแนวทางหน้าในการต่อสู้ พรรคคอมมิวนิสต์มีลักษณะเป็นกึ่งกองทัพ และเมื่อดำเนินการสำเร็จแล้วก็จัดเป็นพรรคเดียวที่มีอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ ทำหน้าที่กำหนดนโยบายทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมมาโดยตลอด
6.. มีการควบคุมสื่อมวลชนอย่างเคร่งครัดเพื่อมิให้ประชาชนรับเอาแนวคิดอื่นนอกจากลัทธิคอมมิวนิสต์




. ลักษณะการเมืองการปกครองของประเทศสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ มีดังนี้คือ:=
ก. มีทั้งรัฐประเภทรัฐเดี่ยวและรัฐรวม
ข. มีพรรคคอมมิวนิสต์เป็นแกนนำ มีองค์กรของพรรคทำหน้าที่อบรมและเผยแพร่มติและนโยบายของพรรค
ค. ประมุขของรัฐ ไม่ ว่าจะเป็นระบบประธานาธิบดีหรือระบบรัฐสภาจะอยู่ภายใต้การควบคุมของพรรค คอมมิวนิสต์ กรรมการของพรรคคอมมิวนิสต์โดยเฉพาะเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์เป็นผู้มีอำนาจ ที่แท้จริงในการปกครอง
ง. สมาชิกรัฐสภาเป็นบุคคลที่พรรคคอมมิวนิสต์เป็นผู้กลั่นกรองแล้วเสนอให้ประชาชนรับรอง!!!


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 



ถึงเวลาที่เราต้องสร้างวัฒนธรรมพลเมือง

โดย ใจ อึ๊งภากรณ์



เนื่องจากปีที่ผ่านมาเป็นปีแห่งความคลั่งในการใช้กฏหมายหมิ่นฯ 112 และเป็นปีแห่งการถกเถียงกันอย่างหนักในเรื่องนี้ เราควรเริ่มปี ๒๕๕๕ ด้วยการตั้งเป้าหมายเพื่อสร้าง “วัฒนธรรมพลเมือง” ในประเทศไทย

วัฒนธรรมพลเมืองเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งถ้าเราจะมีประชาธิปไตยและสิทธิเสรีภาพในโลกสมัยใหม่ เพราะวัฒนธรรมพลเมืองตั้งอยู่บนรากฐานความเสมอภาค สิทธิเสรีภาพ ความโปร่งใส และสิทธิในการตรวจสอบบุคคลสาธารณะ มันตรงข้ามกับ “วัฒนธรรมไทยเป็นทาส” ที่เต็มไปด้วยเผด็จการและการหมอบคลาน

ทั้งๆ ที่นักวิชาการ “เสรีนิยม” และคนที่อ้างว่าเป็นตัวแทน “ภาคประชาชน” ในไทยจำนวนมาก เคยชอบท่องสูตรเรื่องความสำคัญของประชาธิปไตย ความโปร่งใส เสรีภาพในการแสดงออก สิทธิในการเลือกผู้แทน และสิทธิในการตรวจสอบการทำงานของผู้ถือตำแหน่งสาธารณะ เพื่อให้มีการรับผิดชอบ ตามที่เคยชอบพูดกันถึง transparency กับ accountability ในสมัยร่างรัฐธรรมนูญปี ๔๐ แต่พอมาถึงยุครัฐประหาร ๑๙ กันยา และการใช้ความรุนแรงกับประชาชนที่ต้องการประชาธิปไตย และโดยเฉพาะการใช้กฏหมายหมิ่นฯ 112 เพื่อเป็นเครื่องมือทางการเมืองของอำมาตย์ ปรากฏว่านักวิชาการเสรีนิยมและคนที่อ้างว่าเป็นตัวแทน “ภาคประชาชน” เหล่านั้น ก็เพิกเฉยต่อสิ่งที่ตนเองเคยท่องมาในยุคก่อน

ที่แย่กว่านั้นคือพวกนี้เพิกเฉยต่อการอ้างอำนาจผูกขาดโดยอำมาตย์ในการกำหนด “วัฒนธรรมไทย” ตามแนวคิดไดโนเสายุคหินอีกด้วย ซึ่งเราก็เห็นตัวอย่างในรูปแบบการพูดของผบทบ.ประยุทธ์หรือสส.พรรคประชาธิปัตย์ในทำนองว่า การแก้หรือยกเลิกกฏหมายหมิ่นฯ 112 “ขัดกับวัฒนธรรมไทย” ซึ่งเป็นการเสนอว่าวัฒนธรรมไทยคือวัฒนธรรมแบบไพร่กับนาย ไม่ใช่วัฒนธรรมพลเมือง เขากำลังเสนอว่า “ความเป็นไทยคือความเป็นทาสสำหรับคนส่วนใหญ่” และมันเป็นการดูถูกเหยียดหยามการที่พลเมืองธรรมดาของไทยจำนวนมาก เคยต่อสู้และเสียสละเลือดเนื้ออย่างต่อเนื่องเพื่อประชาธิปไตยและสิทธิเสรีภาพ ไม่ว่าจะเป็น ๒๔๗๕ ๑๔ตุลา ๖ ตุลา สงครามของพคท. พฤษภา๓๕ หรือการเคลื่อนไหวของเสื้อแดงหลังรัฐประหาร ๑๙ กันยา

ในความเป็นจริง ไม่ว่านายพล นักการเมือง หรืออภิสิทธิ์ชนคนไหนจะหลงตนเองแค่ไหน แต่เขาหรือบุคคลอื่นที่อ้างตัวเป็นใหญ่ ไม่สามารถสร้างวัฒนธรรมได้ เพราะวัฒนธรรมมาจากความยินยอมและการร่วมปฏิบัติของคนจำนวนมาก ซึ่งแปลว่าไม่มีวัฒนธรรมเดียวในสังคมไทย มีแต่หลากหลายวัฒนธรรมที่แข่งกันเพื่อครองใจคน

วัฒนธรรมทาสที่ฝ่ายอำมาตย์อ้างว่าเป็น “วัฒนธรรมไทย” เป็นแค่วัฒนธรรมกดขี่ประชาชนของชนชั้นปกครองเท่านั้น วัฒนธรรมทาสนี้บังคับให้ประชาชนส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นเจ้าของประเทศ ต้องคลานกับพื้น เพื่อพิสูจน์ว่าตนเองเหมือนสัตว์และต่ำกว่ามนุษย์ แต่ในสังคมไทยวัฒนธรรมที่ตรงข้ามกับวัฒนธรรมทาสนี้คือวัฒนธรรมพลเมือง ที่คนธรรมดาเริ่มชื่นชมมากขึ้นทุกวัน

ปัญหาของ กฏหมายหมิ่นฯ 112 คือมันเป็นกฏหมายที่ตรงข้ามกับวัฒนธรรมพลเมืองโดยสิ้นเชิง เพราะเป็นการบังคับไม่ให้สังคมไทยมีประชาธิปไตย ความเสมอภาค ความโปร่งใส และการตรวจสอบผู้ถือตำแหน่งสาธารณะ

นอกจากนี้แล้วการปิดปากประชาชนที่เกิดขึ้นจากกฏหมายนี้ เปิดทางให้มีการใช้ความรุนแรงในการล้มประชาธิปไตย หรือในการเข่นฆ่าผู้ที่เรียกร้องประชาธิปไตยภายใต้ข้ออ้างของทหารว่ากำลัง “ปกป้องสถาบันเบื้องสูง”

กฏหมายหมิ่นฯ 112 เป็นการเปิดทางไปสู่สองมาตรฐานทางกฏหมายที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้อีกด้วย ลองดูว่าตอนนี้ใครในสังคมไทยติดคุกหรือติดคดีที่เกี่ยวข้องกับวิกฤตการเมืองปัจจุบันบ้าง มีแต่คนระดับล่างที่เป็นเสื้อแดง ในขณะที่นายพลและนักการเมืองที่สั่งฆ่าประชาชนลอยนวลหมด แต่มันยิ่งแย่กว่านั้นอีก เพราะไม่ต้องพูดถึงแค่คดีการเมือง เมื่อดูคดีฆาตกรรมส่วนตัวปัจเจก จะเห็นว่า “คนมีเส้น” มักหลีกเลี่ยงคุกได้อย่างสบาย และแม้แต่ในศาลไทย พวกผู้พิพากษาไม่มีจิตสำนึกประชาธิปไตยพอที่จะมองว่าต้องอ่านคำตัดสินคดีให้ผู้ต้องหาฟัง บางครั้งไม่ลงมาในศาลด้วย แค่ใช้โทรทัศน์วงจรปิด และผู้ต้องหามักจะถูกบังคับให้แต่งชุดนักโทษก่อนตัดสินคดี ซึ่งเป็นการละเมิดหลักว่าทุกคนต้องบริสุทธิ์ก่อนตัดสินคดี และความอยุติธรรมทั้งหมดนี้ปกป้องด้วยกฏหมายหมิ่นศาลแบบ 112 ที่ปิดปากประชาชนไม่ให้ตรวจสอบศาลได้

สรุปแล้ว ถ้าไม่มีวัฒนธรรมพลเมือง ที่มองว่าพลเมืองมีสิทธิ์เท่าเทียมกันในกระบวนการศาล และมีสิทธิ์ที่จะมีส่วนร่วมเต็มที่ในกระบวนการยุติธรรม จะไม่มีวันมีความยุติธรรมในสังคมไทยเลย

กฏหมายหมิ่นฯ 112 เป็นกฏหมายเผด็จการที่พยายามสร้างวัฒนธรรม “ไทยเป็นทาส” กฏหมายนี้สวนทางกับวัฒนธรรม “ไทยเป็นพลเมือง” ที่คนไทยจำนวนมากเริ่มชื่นชม

กฏหมายหมิ่นฯ 112 ไม่ใช่กฏหมายที่ปกป้องไม่ให้คน “ด่าในหลวง” คนที่เสนอแบบนี้เป็นคนโกหกสังคม เพราะกฏหมายหมิ่นฯ 112 เป็นกฏหมายที่ปกป้องทหาร และปกป้องชนชั้นปกครองไทยทั้งหมดต่างหาก กฏหมายอื่นที่พอจะปกป้องคนไทยทุกคนจากการถูกด่าหรือกล่าวหาเท็จ คือกฏหมายหมิ่นประมาทธรรมดา

กฏหมายหมิ่นฯ 112 ไม่ใช่กฏหมายที่ปิดปากไม่ให้เรา “พูดเรื่องในหลวง” ด้วย เพราะเป็นกฏหมายที่ปิดปากไม่ให้เราพูดคุยถกเถียงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างทหารเผด็จการกับสถาบันกษัตริย์ต่างหาก จนคนไทยจำนวนมากในยุคปัจจุบันหลงเชื่อคำโฆษณาอ้อมๆ ของทหาร และนักการเมือง ว่าประเทศไทยปกครองด้วยระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์

ประเทศไทยไม่ได้ปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่ปกครองด้วยระบบ “รัฐซ้อนรัฐบาล” ที่ทหาร ข้าราชการชั้นสูง นายทุน และนักการเมืองอาวุโส มีอำนาจนอกและเหนือรัฐธรรมนูญ พร้อมกันนั้นมีการแอบอ้างสร้างความชอบธรรมทั้งปวงจากสถาบันกษัตริย์ พร้อมกับปกป้องระบบรัฐซ้อนรัฐบาลด้วยกฏหมายหมิ่นฯ 112 เพราะทุกอย่างอ้างว่า “ทำไปเพื่อปกป้องสถาบันเบื้องสูง” ดังนั้นถ้าใครแย้งหรือตั้งคำถามกับระบบนี้จะ “ถือว่าผิด 112”

เราจะเห็นได้ว่าการตั้งคำถามกับการทำรัฐประหาร ๑๙ กันยา ว่าทำไมต้องแอบอ้างสถาบันกษัตริย์ ทำไมต้องผูกโบสีเหลืองบนปืนและเครื่องแบบทหาร หรือการตั้งคำถามว่าประมุขในระบบประชาธิปไตยควรปกป้องรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยหรือไม่ ซึ่งเป็นคำถามที่พลเมืองทุกคนควรมีส่วนร่วมในการถาม เพื่อความโปร่งใสและการรับผิดชอบ ล้วนแต่กลายเป็นคำถามที่ถูกอำมาตย์นิยามว่า “หมิ่น” ตามกฏหมายหมิ่นฯ 112

กฏหมายหมิ่นฯ 112 นำไปสู่การอ้างอภิสิทธิ์พิเศษของพวกนายพลในการฆ่าคนที่คิดต่างจากตนเองอีกด้วย เพราะมีการประโคมข่าวว่าพวกที่โดนยิงเป็นพวก “ล้มเจ้า”

ถ้าเรามีสิทธิ์สร้างความโปร่งใสเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างนายพลระดับสูงกับประมุข ผมมั่นใจว่าเราจะค้นพบว่าทหารไม่ได้รับใช้กษัตริย์ แต่รับใช้ตนเองมากกว่า นี่คือสาเหตุที่ทหารอยากปกป้องกฏหมายหมิ่นฯ 112 แบบสุดชีวิต

ถ้าเรามีสิทธิ์สร้างความโปร่งใสเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างนายพลระดับสูงกับประมุข ผมมั่นใจว่าเราจะพบว่าบุคคลในพระราชวังไม่ได้มีส่วนในการสั่งฆ่าประชาชนเมื่อปี ๒๕๕๓ แต่อย่างใด ทั้งๆ ที่คนไทยจำนวนมากในปัจจุบันเข้าใจว่า “เป็นคำสั่งจากวัง” ตรงกันข้ามเราจะพบความจริงว่าผู้สั่งฆ่าตัวจริงคือทหารและนักการเมือง แต่พวกนี้อยากจะใช้กฏหมายหมิ่นฯ 112 ในการหลีกเลี่ยงการถูกตรวจสอบ

ใครๆ ที่ไม่ตอแหลหรือไม่หลอกตนเองและผู้อื่น เข้าใจมานานแล้วว่าในประเทศประชาธิปไตย พลเมืองมีสิทธิ์ตรวจสอบประมุข เพราะประมุขเป็นผู้ถือตำแหน่งสาธารณะ นี่คือสาเหตุที่ประเทศต่างๆ ที่มีกษัตริย์ในยุโรปไม่มีการใช้กฏหมายหมิ่นฯ 112 ในทางปฏิบัติมานานแล้ว ในประเทศเหล่านี้พลเมืองมีสิทธิ์แลกเปลี่ยนอย่างเสรีด้วยว่า ประมุขควรเป็นกษัตริย์ที่สืบทอดสายเลือด หรือควรมาจากการเลือกตั้ง และในยุคนี้เราเห็นความเพี้ยนของระบบที่ให้ความสำคัญกับการสืบทอดสายเลือดในกรณีเกาหลีเหนือ ซึ่งน่าจะเป็นบทเรียนที่เรานำมาพิจารณาในไทยอีกด้วย

ในเมื่อกฏหมายหมิ่นฯ 112 ขัดกับวัฒนธรรมพลเมือง ขัดกับการสร้างความโปร่งใสและการตรวจสอบในระบบการเมืองสาธารณะ การเสนอให้ลดโทษ หรือการเสนอให้เลขาสำนักพระราชวังเป็นผู้ยินยอมให้มีการฟ้องแต่ฝ่ายเดียว จะเป็นเพียงการปกป้องระบบที่กีดกันเสรีภาพ ความโปร่งใส และการตรวจสอบเท่านั้น และเราคงเดาได้ว่าเลขาสำนักพระราชวังจะเป็นคนของทหารอีกด้วย

ข้อเสนอให้ “ปฏิรูป” กฏหมายหมิ่นฯ 112 ของคณิต ณ นคร ประธานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) เป็นเพียงการปกป้องกลุ่มที่เกาะกินกับระบบรัฐซ้อนรัฐบาล มันเป็นการปกป้องวัฒนธรรม “ไทยเป็นทาส” และเป็นแค่ปฏิกิริยาต่อกระแสวัฒนธรรมพลเมืองที่ต้องการให้ยกเลิกกฏหมายหมิ่นฯ 112 และปล่อยนักโทษการเมืองทุกคน และนักวิชาการ “เสรีนิยม” ที่คล้อยตามการ “ปฏิรูปเทียม” แบบนี้ ก็เพียงแต่คล้อยตามวัฒนธรรมไทยเป็นทาสเท่านั้นเอง

แค่ข้อเสนอที่ไม่แก้ปัญหา 112 ของ คอป. ก็ไม่ได้รับความชื่นชมจากรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่คนเสื้อแดงเลือกมา เพราะรัฐมนตรีเฉลิม อยู่บำรุง “ลั่น” ว่าจะคัดค้านแบบหัวชนฝา การแก้กฏหมายหมิ่นฯ 112 และด่าคนที่ต้องการสร้างสิทธิเสรีภาพว่า "ไอ้พวกนี้มันว่างงาน มาทำเรื่องไม่เป็นเรื่อง”

เราต้องถือว่าคำพูดของนายเฉลิมเป็นนโยบายของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เพราะไม่มีการออกมาวิจารณ์นายเฉลิมโดยนายกรัฐมนตรี และในรูปธรรมรัฐบาลนี้ยิ่งคลั่งในการใช้ 112 และกฏหมายคอมพิวเตอร์มากขึ้น

คนที่เคยหลอกตัวเองว่า “ต้องให้เวลากับรัฐบาลยิ่งลักษณ์” ด้วยข้ออ้างต่างๆ นาๆ เกี่ยวกับความใหม่ของรัฐบาล หรือปัญหาน้ำท่วม ถ้าพร้อมจะซื่อสัตย์ยอมรับความจริง คงต้องร่วมสรุปกับพวกเราว่ารัฐบาลพรรคเพื่อไทยทำข้อตกลงกับทหารเรียบร้อยแล้ว และจะทำทุกอย่างเพื่อหักหลังวีรชนเสื้อแดง ไม่ว่าจะในเรื่องการไม่ลงโทษนายประยุทธ์ นายอนุพงษ์ นายอภิสิทธิ์ หรือนายสุเทพ ในข้อหาฆ่าประชาชน หรือในเรื่องการทอดทิ้งคนเสื้อแดงที่ติดคุกอยู่ หรือในเรื่องข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์ และนอกเหนือจากนั้น สิ่งที่สำคัญพอๆ กันคือ แกนนำ “นปช. แดงทั้งแผ่นดิน” ก็พร้อมจะเผิกเฉยและปล่อยให้รัฐบาลหักหลังเสื้อแดง และปล่อยให้มีการสลายพลังของขบวนการเสื้อแดงจนไม่เหลืออะไร เพื่อให้ชนชั้นปกครองปรองดองกันเองและร่วมหากินบนสันหลังพลเมืองต่อไปในอนาคต

พวกเราที่อยากเห็นวัฒนธรรมพลเมืองเกิดขึ้นอย่างจริงจังในสังคม จะต้องจับมือกันและเคลื่อนไหว และจะต้องพร้อมที่จะสร้างหน่ออ่อนของขบวนการเสื้อแดงใหม่ เพราะแกนนำที่เคยประกาศว่าเป็น “ไพร่... พร้อมสู้กับอำมาตย์” ดูเหมือนจะหันมาส่งเสริมวัฒนธรรม “ไทยเป็นทาส” ไปเสียแล้ว





--
ใจ อึ๊งภากรณ์
+44(0)7817034432
http://redthaisocialist.com/



__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

มากกว่า ผู้นำที่มีความรอบรู้กว่า ผู้นำที่มีการใช้ข้อมูลมาวิเคราะห์ได้ดีกว่า มักเป็นที่ยอมรับ อีกทั้งเป็นที่เคารพเชื่อถือแก่ผู้ตาม.
3.กล้าเปลี่ยนแปลงหรือริเริ่มสิ่งใหม่ๆ ยุคสมัยปัจจุบันและยุคของโลกในอนาคต ผู้นำมักเป็นผู้ที่กล้าเปลี่ยนแปลง ผู้นำมักกล้าทดลอง ค้นคว้า สิ่งใหม่ๆ โลกยุคใหม่จึงเป็นยุคสมัยของ ผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลง.
4.กระตือรือร้น ผู้นำที่มีประสิทธิภาพ มักเป็นผู้นำที่มีความกระตือรือร้น กระฉับกระเฉง เดินไวกว่าคนปกติ ตามจิตวิทยา หากผู้นำมีความกระตือรือร้นในการทำงาน ผู้ตามมักจะมีความกระตือรือร้นด้วย ในทางกลับกัน หากว่าผู้นำมีความเฉยชา ผู้ตามก็มักจะทำงานด้วยความเฉยชา เช่นกัน.
5.มีความอดทน งานของผู้นำมักเป็นงานที่หนักกว่าผู้ตาม เนื่องจากต้องมีความรับผิดชอบต่องาน ต่อคนที่ทำงาน และต่อองค์กร ยิ่งเป็นองค์กรขนาดใหญ่ เช่น บริษัท , กระทรวง , หรือประเทศชาติ ก็ต้องรับภาระที่หนักหนาขึ้น หากว่าเราสังเกต ผู้นำระดับประเทศบางคนตอนขึ้นสู่ตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี ประธานาธิบดี มีใบหน้าที่หล่อ ดูดี มีสง่า แต่เมื่อดำรงตำแหน่งไปได้ไม่นาน หน้าตาที่เคยสง่า ดูดี กลับการเป็นใบหน้าที่ดู เคร่งเครียด จริงจัง ก็สืบเนื่องมาจาก ผู้นำระดับประเทศผู้นั้น ต้องแบกรับปัญหาต่างๆ มากมายและใช้ความคิดในการแก้ปัญหานั้นเอง.
6.การบังคับตนเองหรือการควบคุมตนเอง คนที่ต้องการเป็นผู้นำต้องมีสติในการควบคุมตนเอง ทั้งทางด้านจิตใจและร่างกาย เช่น บังคับตนเองไม่ให้แสดงออกต่อหน้าสาธารณะในการแสดงกิริยาอาการที่ไม่ดี โดยเฉพาะต่อหน้าสื่อมวลชน เนื่องจากผู้นำต้องเป็นเป้าสายตาต่อลูกน้องและคนทั่วไป.
7. การใช้ดุลพินิจและกล้าตัดสินใจ ผู้นำที่ดีต้องรู้จักใช้ดุลพินิจ อีกทั้งเมื่อมีปัญหาก็ต้องกล้าตัดสินใจ ถึงแม้จะตัดสินใจผิดพลาดไปบ้างก็ตาม แต่หากไม่กล้าตัดสินใจ ก็จะทำให้สถานการณ์นั้นๆ แย่ลงได้ ผู้นำจึงต้องเป็นนักวิเคราะห์ นักคิดที่ดีในการรู้จักมองปัญหาต่างๆ อีกทั้งต้องมีความเด็ดขาดเมื่อต้องตัดสินใจ เพื่อที่จะนำพาองค์กร ประเทศชาติ เดินหน้าต่อไป.
8.มีมนุษย์สัมพันธ์ ผู้นำที่ดีต้องเป็นคนมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี เนื่องจากผู้นำต้องทำงานกับคน หากผู้นำสามารถครองใจคนทำงานได้ ลูกน้องก็มักจะทำงานเต็มที่ การมีมนุษย์สัมพันธ์จะทำให้ผู้นำเป็นที่ เคารพรัก ศรัทธา เชื่อถือ ของผู้คน ทำให้มีคนอยากช่วยเหลือ มากกว่าผู้นำที่ไม่มีมนุษย์สัมพันธ์ในการทำงาน.

ผู้นำที่ดีมักคิดยากๆ แล้วปฏิบัติง่ายๆ แต่ผู้นำที่ไม่ดีมักคิดง่ายๆ แล้วปฏิบัติยากๆ!!! Black Saphire.

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ໂຊກດີປີໄຫ່ມ 2012
Sokdee Pee mai 2012
ໂຊກດີປີໄຫ່ມ 2012
Sokdee Pee mai 2012
ໂຊກດີປີໄຫ່ມ 2012
Sokdee Pee mai 2012

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ອົງການສິດທີມະນຸດທີ່ວໍຊີງຕັນ ເອົາ ສປປລ ມາປິ້ງ

http://www.freedomhouse.org/images/File/CaC/2011/LAOSFINAL.pdf



__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

http://www.zdf.de/ZDFmediathek/beitrag/video/1528920/Im-Land-der-Drachensoehne#/beitrag/video/1528920/Im-Land-der-Drachensoehne



__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

Laos casino under suspicion over drugs trade:
www.laoalliance.org

Democracy process in Burma, a modle for Laos?
www.laoalliance.org

"Countries at the crossroads: Laos" by Martin Stuart Fox
http://www.laoalliance.org/Human-rights.html

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

http://www.unhcr.org/refworld/category,COI,,,LAO,4ecba64bc,0.html

ountries at the Crossroads 2011 - Laos

MARTIN STUART-F

Martin Stuart-Fox is Emeritus Professor of History in the University of Queensland, Brisbane, Australia. He is the author of several books on Lao politics and history, plus more than seventy articles and book chapters.

INTRODUCTION

In December 1975, after a thirty-year struggle, the Lao People's Revolutionary Party (LPRP) seized power from the former Royal Lao regime, abolished the monarchy, and established the Lao People's Democratic Republic (LPDR). The new institutions of government were modeled on those of the former Soviet Union and Laos is today one of only five remaining Marxist-Leninist states, two of which (China and Vietnam) are its powerful neighbors. It is also one of only five Theravada Buddhist countries, three of which (Burma/Myanmar, Cambodia, and Thailand) comprise its other three neighbors. The paradox of Laos today reflects its position on this fault line between communist leadership and Buddhism.

During its first 10 years in power, the LPRP pursued orthodox socialist policies: it nationalized industry and cooperativized agriculture. But plummeting production and peasant opposition forced a reconsideration. In 1986, the ruling party introduced what it called the "new economic mechanism." Over the next decade, land rights were returned to peasant owners, state-owned industries were privatized (except for a few strategic industries), the economy was opened up to foreign capital, and development aid welcomed. Laos reduced its close dependency on Vietnam, and in 1997 both countries joined ASEAN, the Association of Southeast Asian Nations.

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

http://www.youtube.com/watch?v=IHjAJhlWdZo&feature=related

http://www.youtube.com/watch?v=h-KS5e1rC9s&feature=related

http://www.youtube.com/watch?v=It5a4vnDM34&feature=related

http://www.youtube.com/watch?v=jUgNxvJqTWA&feature=related

ປິໄຫ່ມ2012 ຊູມຊົນລາວກ່ວາ40ລ້ານຄົນ ໃນ ສຍາມ ປມ ຂໍສົ່ງເພັງລາວມ່ວນໆໃຫ້ພີ່ນ້ອງທັ໋ວໂລກ
ຟັງແລ້ວແລ້ວ ຢ່າລຶມ ເປິດ ຄລີບຂ້າງລູ່ມນິ້ ສ້າງອານາຈັກລາວຂື້ນໄຫ່ມ ປັສຈາກ ໂຈນສອງຝັ່ງຂອງ

http://www.lannaworld.com/cgi/lannaboard/reply_topic.php?id=41009



__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

http://www.lannaworld.com/cgi/lannaboard/reply_topic.php?id=41009

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

http://atcloud.com/stories/102726


Bonjour ,


Je ne dis pas le contraire ,
mais avec les fonds souverains des pays émergents
riche pour n avoir pas les mêmes soucis que les pays européens ,
peuvent pratiquement tout acheter et puis tout délocaliser .
Et que va-t-il rester en France ? Là est la question .


N oublie pas, ce n est que le commencement,
en dix ans , tout au plus quinze ans ,
ils ont mis les pays riches en faillite chronique .


Total n est plus française grâce à la diligence de madame la juge,
la sidérurgie non plus , Renault l était-elle encore ...
il faudrait peut être faire l inventaire de ce qu il reste à la France
avant de savoir qu'un jour qu on a tout vendu pour les sourires de la princesse .


LKP

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

Press Statement
Hillary Rodham Clinton
Secretary of State
Washington, DC

January 5, 2012


--------------------------------------------------------------------------------


This morning, President Obama and Secretary of Defense Panetta unveiled new strategic guidance that reflects our 21st century defense needs and secures America’s leadership for the future. The Defense Department and State Department continue to work side-by-side to bring the full range of American assets to bear on our foreign policy. As the new strategy notes, meeting our challenges cannot be the work of our military alone. Diplomacy and development are equal partners with defense in our smart power approach to promoting American interests and values abroad, building up our economic prosperity, and protecting our national security.

This new guidance is a critical element in our integrated approach to strengthening American leadership in a changing world. It enhances the capabilities and relationships we need to lead and meet our responsibilities for years to come. And it promotes our strategic priorities, including sustaining a global presence while strengthening our focus on the Asia-Pacific region; deterring our adversaries and fulfilling our security commitments; investing in critical alliances and partnerships, including NATO; combating violent extremists and defending human dignity around the world; and preserving our ability to respond quickly to emerging threats. As we move forward with this strategy, we will continue to consult our allies and partners to address our shared concerns, seize new opportunities, and bolster global stability.

I look forward to continuing the close partnership between the Departments of State and Defense as we work together to realize President Obama’s vision for the security of the United States and its people.




PRN: 2012/018

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

http://www.vientianetimes.org.la/FreeContent/FreeContent_Nongtha.htm

E-Newspaper

Nongtha wetland cleared for development

Land is being cleared for construction of the Nongtha Urban Development Project in Chanthabouly district, Vientiane, after the groundbreaking ceremony took place last year.

Vientiane residents are eager to see the progress of the development project.

The project will see the transformation of 74.85 hectares of land in the Nongtha wetland area into an urban development that has essential infrastructure, houses, and environmental protection measures, at an estimated cost of about 1,996 billion kip (US$250 million).

Due to financial issues on the part of the investor, the Ha Do Group of Vietnam, construction has been delayed until now, Chanthabouly district Deputy Governor Mr Sengphone Souvanny told Vientiane Times yesterday.

Work has just now started on building a road on land for which the group has paid compensation to the former occupiers, he said.

Most of the people who had land within the project area have agreed to compensation of US$4 per square metre, but the group is considering paying more to people who have lost both land and housing.

The Ha Do Group has paid the Lao government US$1.5 million to compensate people who have had to move out of the area.

If the cost of compensation rises above this figure, the group will pay an additional 10 percent or US$150,000.

Now that the group's finances are in order, Mr Sengphone said he believed the project would continue to make progress.

The Ha Do Group holds a 50-year concession on the site, which lies within Nongtha Tai and Neua, Dondeng, Phonsavang and Houayhong villages.

The first phase of the project will see US$80 million invested in turning the site into a modern urban area.

The project is one of many such developments taking place in Vientiane to further the overall socio-economic and residential development of the city.

According to the developers, the project will see the construction of roads, hotels, guesthouses, rental properties, restaurants and tourist facilities incorporated into a leisure park.

Vientiane residents have been waiting for this development for a long time and are keen to see how their former home will be transformed.

Several companies have investigated the possibility of developing the Nongtha area in recent years but none have actually gone ahead.

The development of the wetland into an area of premium accommodation replete with tourist facilities has long been considered a possibility due to its proximity to the city centre.

The wetland is an attractive area and it is hoped its development will bring in visitors and residents both from within the country and overseas.





By Khamphone Syvongxay
(Latest Update January 05, 2012)

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

เหตุการณ์บุกเข้ายึดด่านวังเตา เมืองโพนทอง แขวงจำปาสัก เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2543 ปรากฏว่าแกนนำขบวนการต่อต้านลาว ขตล. ที่ยังหลบหนีอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยถูกลอบสังหารไปแล้วกว่า 20 ศพ
คดีลอบสังหารแกนนำขบวนการต่อต้านลาวขตล. ในภาคอีสานของไทยเกิดขึ้นเป็นระยะๆ และต่อเนื่อง หลังเกิดเหตุการณ์ พ.ท.สีสุก ไชยแสง หรือนายณรงค์ สุวรรณบุปผา วางแผนส่งกำลังพลติดอาวุธประมาณ 60 คน บุกเข้ายึดด่านวังเตา เมืองโพนทอง แขวงจำปาสัก ที่ตั้งอยู่ติดกับด่านช่องเม็ก อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี ช่วงเช้ามืดวันที่ 3 กรกฎาคม 2543 แต่แผนการล้มเหลว ถูกสังหารทันที 6 ศพ ส่วนอีก 29 ราย วิ่งผ่านประตูด่านเข้าไทย และถูกทางการไทยจับดำเนินคดี!!!

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

จีนธ์พิเศษกับลาว!!!

การ เดินทางเยือนลาวอย่างเป็นทางการครั้งแรกของ สี จินผิง รองประธานาธิบดีผู้ซึ่งได้รับการคาดหมายว่าจะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำสูงสุด คนต่อไปของจีนในระหว่างวันที่ 15-16 มิถุนายนที่ผ่านมานี้ ได้มีการลงนามในข้อตกลงว่าด้วยการร่วมมือระหว่างลาวกับจีนเพิ่มขึ้นถึง 18 ฉบับ ซึ่งถือเป็น ภาคส่วนหนึ่งในความสัมพันธ์และร่วมมืออย่างรอบด้านระหว่างสองประเทศที่มุ่ง เน้นการพัฒนาทั้งในด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม วัฒนธรรม ความมั่นคง การป้องกันประเทศ และ การต่างประเทศ ภายใต้หลักการแห่งสันติภาพเสมอภาค และมิตรภาพที่ยืนยาวระหว่างประเทศทั้งสอง!

โดย สำหรับในด้านเศรษฐกิจนั้น ทั้งสองฝ่ายก็ได้เน้นหนักให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับการที่จะเพิ่มมูลค่าการ ค้าและการลงทุนระหว่างกันให้มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากรายงานของกระทรวง อุตสาหกรรมและการค้าของลาวเองก็ได้ระบุว่าสภาวะการค้าระหว่างลาวกับจีนนั้น ได้มีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหนึ่งทศวรรษมานี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2009 ที่ผ่านมาก็ปรากฏว่าการค้าสองฝ่ายมีมูลค่ารวมเกินกว่า 744 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเพิ่มขึ้นถึง 77% เมื่อเทียบกับปี 2008

ทั้งนี้โดยเป็นการส่งออกสินค้าของลาวไปจีนถึง 367 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นอัตราเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นจากปี 2008 ถึง 149% ในขณะที่ลาวเองก็นำเข้าสินค้าจากจีนมากกว่า 377 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นอัตราเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นจากปี 2008 ถึง 44% ซึ่งภายใต้สภาวะดังกล่าวนี้ยังทำให้ทั้งสองฝ่ายเชื่อมั่นด้วยว่าการค้าในปี 2010 นี้จะมีมูลค่ารวมเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐอย่างแน่นอน!

ทางด้านกระทรวงแผนการและการลงทุนของลาวนั้น ก็ได้เสนอรายงานว่าการลงทุนสะสมของจีนในลาวมีมูลค่ารวมเกินกว่า 3,577 ล้านดอลลาร์สหรัฐแล้วในเวลานี้ โดยเป็นการลงทุนใน 12 ภาค การผลิตด้วยกัน แต่ว่าภาคการผลิตที่กลุ่มทุนจากจีนได้ให้ความสำคัญเป็นพิเศษก็คือภาคการ เกษตร อุตสาหกรรมเหมืองแร่ พลังงานไฟฟ้า และล่าสุดทางการจีนก็ยังได้ประกาศการลงทุนสร้างดาวเทียมเพื่อปล่อยขึ้นสู่วง โคจรให้กับลาวคิดเป็นมูลค่าถึง 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐอีกด้วย!

โดย การลงทุนของจีนในลาวที่เป็นโครงการขนาดใหญ่ในเวลานี้ ก็คือการซื้อกิจการเหมืองทองคำและทอง แดงที่เมืองวีละบุลีในแขวงสะหวันนะเขต การสร้างเมืองใหม่สามเหลี่ยมทองคำที่เมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว การสร้างเมืองใหม่ China Town ใน เขตนครเวียงจันทน์ รวมถึงการทำเหมืองแร่บ็อกไซต์และการก่อสร้างโรงงานผลิตโลหะอลูมิเนี่ยมใน แขวงจำปาสักและอัตตะปือในภาคใต้ของลาว ส่วนในเขตแขวงภาคเหนือนั้นก็มีโครงการปลูกยางพารา ข้าวโพด อ้อย มันสำปะหลัง และชาคิดเป็นบริเวณกว้างกว่า 2 แสนเฮกตาร์ ซึ่งไม่เพียงทำให้การลงทุนของจีนในลาวได้แซงหน้าไทยขึ้นมาเป็นอันดับ 1 อย่างเป็นทางการแล้วเท่านั้น หากยังจะทำให้การลงทุนสะสมของจีนในลาวมีมูลค่าทะลุหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐภายใน 2 ปีนี้อีกด้วย!

ยิ่งไปกว่านั้น สำหรับทางการลาวแล้วก็ยังถือว่าจีนเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ในการพัฒนาความร่วมมือในทุกๆด้านของลาวอีกด้วย ซึ่งก็ทำให้ทางการจีนสนองตอบด้วยการมอบหมายให้องค์การ ทางรถไฟแห่งชาติจีนไปตกลงร่วมมือกับองค์การทางรถไฟแห่งชาติลาวเพื่อดำเนิน การพัฒนาระบบเส้นทางรถไฟในลาวเชื่อมต่อกับจีนและกลุ่มอาเซียน เมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา!

ทั้ง นี้ก็เนื่องจากว่าสิ่งที่ทางการลาวเรียกว่าหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ดังกล่าวก็ ไม่ใช่เป็นเพราะว่าลาวกับจีนมีระบอบทางการเมืองเหมือนกันเท่านั้น หากยังมีความหมายครอบคลุมไปถึงการที่ทางการลาวได้ยึดถือ ว่าจีนนั้นคือแบบอย่างที่ลาวจะเจริญรอยตามให้ได้อย่างแท้จริงด้วย!

แต่ เนื่องจากว่ารัฐบาลลาวยังคงมีข้อจำกัดในด้านงบประมาณที่จะนำมาใช้จ่ายในการ พัฒนาประเทศในด้านต่างๆเป็นอย่างมาก จึงทำให้รัฐบาลลาวมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพึ่งพาความช่วยเหลือและกู้ ยืมเงินทุนจากต่างประเทศเป็นด้านหลัก และครั้นเมื่อทางการลาวก็ถือว่าจีนเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เช่นนี้ จึงให้การส่งเสริมการลงทุนจากจีนเข้ามาในลาวมากขึ้นอย่างต่อเนื่องในตลอด ช่วง 10 ปีมานี้ ซึ่งทางฝ่ายจีนก็ไม่ทำให้ฝ่ายลาวผิดหวังแต่อย่างใด!

ก่อน หน้านี้ จูมมะลี ไซยะสอน ประธานประเทศและเลขาธิการพรรคประชาชนปฏิวัติลาว ได้ให้การยืนยันกับสื่อมวลชนจีนในระหว่างที่ได้เดินทางไปเยือนจีนอย่างเป็น ทางการในช่วงปลายปี 2009 ว่า พรรคฯและรัฐบาลลาวถือว่าจีนนั้นเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ในการพัฒนาอย่าง รอบด้านและยาวนาน ซึ่งฝ่ายจีนก็ ตอบสนองด้วยการลงนามในข้อตกลงว่าด้วยการร่วมมือระหว่างกันถึง 8 ฉบับ โดยรัฐบาลจีนได้ตกลงให้ การช่วยเหลือแก่ลาวมากกว่า 185 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับใช้ในการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน Infrastructure เช่น การก่อสร้างสนามบินนานาชาติแห่งใหม่ที่หลวงพระบาง การวางแนวสายส่งไฟฟ้าไปยังเขตชนบท การจัดซื้อจัดหาอุปกรณ์ในการตรวจสินค้านำเข้าและส่งออก ทั้งก็ยังได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจร่วม MO ว่าด้วยการขนส่งสินค้าและโดยสารระหว่างด่านชายแดนบ่อเต็นในแขวงหลวงน้ำทากับด่านบ่อหานในเขตสิบสองปันนา มณฑลยูนนานของจีนอีกด้วย!

แต่ ที่ถือว่าเป็นสิ่งที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้นำลาวทั้งในด้าน เศรษฐกิจ การเมือง และความมั่นคงแห่งชาติได้อย่างครบครันที่สุดนั้นก็คือการพัฒนาระบบเส้นทาง รถไฟในลาวเพื่อเชื่อมต่อกับจีนและอาเซียน เพราะการมีเส้นทางรถไฟที่สามารถเชื่อมต่อจากภาคเหนือจรดภาคใต้ และจากตะวันออกไปยังตะวันตกนั้นย่อมถือเป็นสิ่งที่ตอบสนองต่อแผนการของ รัฐบาลลาวในการที่จะพัฒนาจากประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลหรือ Land Locked ไปสู่การเป็นศูนย์กลางของการเชื่อมต่อทางด้านคมนาคม-ขนส่งหรือที่เรียกว่า Land Linked ในลุ่มแม่น้ำโขงนั้นให้ได้อย่างเป็นรูปธรรม!

ทั้ง นี้โดยองค์การทางรถไฟแห่งชาติลาวและจีนจะจัดตั้งบริษัทขึ้นมาในรูปของการ ร่วมทุนเพื่อดำเนินธุรกิจร่วมกันในระยะยาว ส่วนเงินลงทุนและเทคนิคต่างๆ ที่จะนำมาใช้ในการก่อสร้างทางรถไฟ รวมถึงหัวจักรรถไฟและตู้โดยสารด้วยนั้นต่างก็จะมาจากฝ่ายจีนทั้งสิ้น!

โดย สำหรับการดำเนินงานในระยะแรกนี้ก็จะเป็นการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ และต่อจากนั้นก็จะเป็นการออกแบบเพื่อขออนุมัติจากรัฐบาลลาวและจีนต่อไป และถ้าหากว่าการดำเนินงานเป็นไปตามแผนการที่วางไว้ทุกประการก็จะทำให้ความ ร่วมมือระหว่างองค์การทางรถไฟแห่งชาติลาวกับจีนดังกล่าวนี้เกิดขึ้นเป็นจริง ได้ภายในปี 2017 เป็นอย่างช้า!!!

ส่วน เส้นทางรถไฟที่ทางการจีนได้ให้ความสำคัญมากที่สุดนั้น ก็คือเส้นทางที่เชื่อมต่อจากด่านบ่อเต็นในแขวงหลวงน้ำทาที่ติดต่อกับชายแดน จีนที่ด่านบ่อหานในเขตสิบสองปันนา มณฑลยูนนาน เรื่อยลงมาที่นครเวียงจันทน์-เมืองท่าแขกในแขวงคำม่วน แล้วเชื่อมต่อไปยังภาคกลางเวียดนามและภาคอีสานของไทยด้านจังหวัดนครพนมเพื่อเชื่อมต่อมายังกรุงเทพฯ-มาเลเซีย-สิงคโปร์หรือที่เรียกว่าเส้นทางรถไฟสายอาเซียน-จีนนั่นเอง!

แต่เนื่องจากว่าโครงการดังกล่าวนี้จะต้องใช้เงินทุนมากกว่า 4,000 ล้าน ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งรัฐบาลลาวย่อมไม่มีเงินทุนในมูลค่าที่ว่านี้อย่างแน่นอน จึงทำให้ต้องพึ่งพาการกู้ยืมจากสถาบันการเงินของรัฐบาลจีนเป็นด้านหลัก ซึ่งก็แน่นอนว่าสถาบันการเงินของรัฐบาลจีนเองย่อมจะไม่มีอะไรขัดข้องอยู่ แล้ว เพราะการสร้างทางรถไฟในลาวนั้นก็นับเป็นส่วนหนึ่งของแผนการมุ่งสู่ใต้ของ รัฐบาลจีนอยู่แล้ว

เพราะ ฉะนั้น ในเมื่อว่าทางการลาวถือว่าจีนเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ในการพัฒนาอย่างรอบ ด้านและยาวนานเช่นนี้ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใดที่ทางการจีนจะถือว่าลาวเป็นหุ้นส่วนทาง ยุทธศาสตร์ของตนเช่นเดียวกัน ซึ่งนั่นก็หมายถึงหลักประกันที่มั่นคงของกลุ่มทุนจีนในการที่จะหลั่งไหลเข้า ไปในลาวมากขึ้นอย่างไม่หยุดยั้งและครองอันดับ 1 ในลาวได้ตลอดไป...

ด้วย เหตุนี้ การที่รองประธานาธิบดีจีนได้เดินทางเยือนลาวอย่างเป็นทางการในครั้งล่าสุด นี้ จึงเป็นเสมือนการตอกลิ่มให้กับการเสริมสร้างความสัมพันธ์พิเศษกับลาวให้ยืน ยาวต่อไปด้วยเช่นกัน!

ส่วนผลประโยชน์ที่ลาวจะได้รับถ้าหากลาวสามารถเป็น Land Linked ได้ จริงนั้น ก็ไม่เพียงจะส่งผลดีต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจของลาวเท่านั้น แต่การที่สภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนลาวที่ได้รับการยกระดับให้ดีขึ้น ตามการพัฒนาทางเศรษฐกิจนั้น ก็ยังจะทำให้ประชาชนลาวมีความเชื่อมั่นและศรัทธาต่อการนำของพรรคฯ อันหมายถึงเสถียรภาพในทางการเมืองของพรรคฯเดียวในลาวตลอดไปด้วย!!!


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ไทย-ลาว สัมพันธ์กันมามีแต่อคติเข้าหากัน !!!
ชาติลาวเป็นสาขาหนึ่งของชาติอ้ายลาวหรือไท TAIชาวลาวได้ตั้งอาณาจักรขึ้นในดินแดนลานช้างตั้งแต่ต้นพุทธศตวรรษที่ 12 เรียกว่าอาณาจักรลานช้างหรือล้านช้าง
ในสมัยพระเจ้าฟ้างุ่มครองราชย์ในปี พ.ศ. 1893-1913 ลาวเจริญรุ่งเรืองมากและมีราชธานีอยู่ที่เมืองเชียงของ หลวงพระบาง อาณาเขตของลาวสมัยนั้นกว้างใหญ่ไพศาล ทิศเหนือได้แคว้นสิบสองปันนา สิบสองจุไทและเชียงขวาง ทิศใต้มีอาณาเขตติดต่อกับอาณาจักรเขมรและเทือกเขาอันนัม ทิศตะวันออกเฉียงใต้จรดอาณาจักรจำปา ส่วนทิศตะวันตกได้ที่ราบสูงโคราชและเชียงใหม่!!!
ลาวได้เจริญรุ่งเรืองอยู่จนถึง พ.ศ. 1971 จึงเริ่มเสื่อมลงลาวต้องแตกแยกออกเป็น 3 อาณาจักร คืออาณาจักรลานช้าง หลวงพระบาง อาณาจักรลานช้างเวียงจันทน์และอาณาจักรลานช้าง นครจำปาศักดิ์ เมืองเชียงใหม่ก็ได้แยกตัวตั้งเป็นรัฐอิสระจากลาวและแคว้นสิบสองจุไทกับ เชียงขวางหันไปสวามิภักดิ์ต่อเวียดนาม
การที่ลาวแตกแยกออกเป็น 3 อาณาจักร ทำให้ลาวอ่อนแอมาก หลังจากนั้นเป็นต้นมาลาวต้องตกเป็นประเทศราชของไทยสลับกับเวียดนามเป็นระยะ ๆ
ในต้นพุทธศตวรรษที่ 21 หรือรัชสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิของไทยซึ่งของลาวตรงกับรัชสมัยของพระเจ้า ไชยเชษฐาธิราช2091-2144 ไทยกับลาวได้ตกลงร่วมมือเป็นไมตรีต่อกันเพื่อต่อต้านการขยายตัวของพม่า ได้มีการสร้างพระธาตุศรีสองรัก ตั้งอยู่ที่อำเภอด่านซ้ายจังหวัดเลย ขึ้นเพื่อเป็นสักขีพยานในการเป็นพันธไมตรีต่อกันและจะช่วยเหลือกันและกัน เมื่อเกิดศึกสงคราม !
ในปี พ.ศ. 2155 รัชสมัยพระเจ้าเอกาทศรถของไทย ขุนนางไทยได้ขอความช่วยเหลือ ไปยัง กรุงล้านช้างให้ยกทัพ มาช่วยไทยปราบพวกทหารญี่ปุ่นที่ก่อการจลาจลในกรุงศรีอยุธยา ทัพกรุงล้านช้างได้ยกมาตั้งที่ลพบุรีเพื่อหวังผสมโรงยึดไทยในช่วงที่กำลัง วุ่นวายแต่กองทัพล้านช้างแตกพ่ายกลับไป หลังจากนั้นความสัมพันธ์ไทย-ลาวก็ขาดหายไป จนกระทั่งถึงสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรีเมื่อพระองค์ทรงกอบกู้เอกราชได้จากพม่า ก็ได้ส่งกองทัพไปตีเมืองเวียงจันทน์ในปี พ.ศ. 2321 เพื่อเป็นการแก้แค้นที่ลาวให้ความช่วยเหลือพม่าในการตีกรุงศรีอยุธยาจนกรุง แตกลาวได้ตกเป็นประเทศราชของไทย นับแต่นั้น!!!

ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 3 เจ้าอนุวงศ์ผู้ปกครองอาณาจักรเวียงจันทน์ได้คิดเอาใจออกห่างจากไทย เจ้าอนุวงศ์ได้ส่งเครื่องราชบรรณาการให้แก่จักรพรรดิเกีย ลอง แห่งเวียดนาม และต่อมาก็ยกทัพมาตีไทย 2369-2371 ไทย-ลาว ก็เลยต้องทำสงครามกัน ไทยยกกำลังออก ตีทัพของเจ้าอนุวงศ์แตกพ่ายไปและได้ติดตามไปยึดนครเวียงจันทน์อีกครั้งหนึ่ง เจ้าอนุวงศ์ต้องหนีไปพึ่งจักรพรรดิเวียดนาม พระเจ้าแผ่นดินไทยเขียนสาส์นไปยังจักรพรรดิเวียดนามขออย่าให้การสนับสนุน เจ้าอนุวงศ์ ในปี พ.ศ. 2372 เวียดนามก็ส่งตัวเจ้าอนุวงศ์กลับเวียงจันทน์ โดยมีทหารคุ้มกันมาเพียง 2 กองร้อย ในระหว่างทางใกล้เมืองเวียงจันทน์เจ้าน้อยแห่งเมืองเชียงขวางจับเจ้าอนุวงศ์ ได้และส่งตัวมายังกรุงเทพฯ เจ้าอนุวงศ์ได้สิ้นพระชนม์ในที่คุมขังในกรุงเทพฯ ในอีกสามปีต่อมา ทำให้เชื้อสายกษัตริย์ลาวนครเวียงจันทน์สิ้นสุดลงจากการลงโทษตัดหัวเจ็ดชั่วโคตร !!!
ไทยยกกำลังขึ้นไปตีนครเวียงจันทน์ครั้งนั้นได้ทำลายและเผานคร เวียงจันทน์ลงอย่างราบคาบและได้กวาดต้อนครอบครัวลาวพร้อมสิ่งของมีค่าลงมา ยังกรุงเทพฯ ทั้งนี้เพื่อเป็นการแก้แค้นและไม่ให้เป็นตัวอย่างแก่ประเทศราชอื่นๆสืบไป นอกจากนี้ไทยยังได้ยุบฐานะของเวียงจันทน์ลงเป็นเพียงหัวเมืองขึ้นของกรุง รัตนโกสินทร์ด้วย !
ไทยได้สร้างเมืองหนองคายบนฝั่งขวาของแม่น้ำโขงเพื่อให้เป็นศูนย์กลางการ ปกครองอาณาจักรเวียงจันทน์แทนนครเวียงจันทน์ เมืองหนองคายมีชัยภูมิสามารถป้องกันการโจมตีของเวียดนามได้อย่างดี ทำให้การกู้อิสรภาพของลาวเป็นไปได้ยาก !!!
อย่างไรก็ตามเวียดนาม สามารถขยายอิทธิพลเข้ามาในเชียงขวางและแคว้นสิบสองจุไทยได้สำเร็จในเวลาต่อ มา เพราะหลังจากเหตุการณ์เจ้าอนุวงศ์ถูกจับตัวส่งมาให้ไทยแล้ว เวียดนามก็ได้ส่ง กำลังเข้าตีเมืองเชียงขวางและจับเจ้าน้อยประหารชีวิต พร้อมกับผนวกเชียงขวางเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเวียดนาม ในขณะเดียวกับเจ้าผู้ครอบแคว้นสิบสองจุไทยได้ส่งเครื่องราชบรรณาการให้ทั้งไทยและเวียดนามพร้อมๆ กันเพื่อความอยู่รอดของตน ซึ่งทั้งสองกรณีนี้ไทยไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ ที่ต่อต้านเวียดนามเลย ไทยขอเพียงรักษาอาณาจักรทั้งสามคือ หลวงพระบาง เวียงจันทน์ และ นครจำปาศักดิ์ เอาไว้ในอำนาจโดยเด็ดขาดเท่านั้น !!!
กระทั่งฝรั่งเศสขยายอิทธิพลเข้ามาในอินโดจีน
ฝรั่งเศสเข้าครอบครองเวียดนามและในที่สุดก็ยึดเอาแคว้นสิบสองจุไทและดิน แดนลาวบนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงไปจากไทยในปี พ.ศ. 2431 และ 2436 ตามลำดับ ภายหลังไทยยังต้องสูญเสียดินแดนลาวบนฝั่งขวาแม่น้ำโขงรวมทั้งเมือง จำปาศักดิ์และเมืองมโนไพรอีกในปี พ.ศ. 2446 ซึ่งรวมดินแดนที่ไทยสูญเสียไปทั้งสิ้นถึง 292,500 ตารางกิโลเมตร
การเข้ามาของฝรั่งเศสมีผลทำให้การช่วงชิงอำนาจระหว่างไทยและเวียดนามเหนือแผ่นดินลาวเงียบหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์โดยปริยาย !
ปัญหาไทยกับเวียดนามเหนือลาว เริ่มกลับมาเป็นปัญหาใหม่อีกครั้งเมื่อโฮชิ มินห์พยายามที่จะทำการปลดแอกเวียดนามออกจากการปกครองของฝรั่งเศส โดยการร่วมมือกับกลุ่มขบวนการปลดแอกของลาวและเขมร ช่วงนั้นเป็นช่วงที่โฮชิมินห์ดำเนินการชี้นำการจัดตั้ง สหพันธ์อินโดจีน ขึ้นภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์อินโดจีนในปี พ.ศ. 2473-2493 โดยรวมกำลังขบวนการปลดปล่อยชาตินิยมของ 3 ชาติ อินโดจีนเข้าต่อสู้กับศัตรูร่วมเดียวกันคือฝรั่งเศส!
เวียดนามเปลี่ยนชื่อพรรคคอมมิวนิสต์อินโดจีนมาเป็นพรรคลาวดงLAO DONG PARTY ในช่วงปี 2494 และเปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่างขบวนพรรคคอมมิวนิสต์ของเวียดนามกับลาวและเขมร จากรูปแบบของ ผู้บังคับบัญชา-ผู้ใต้บังคับบัญชา มาเป็น แบบฉันท์พี่น้อง!!!
ต่อมาโฮชิมินห์ก็ประสบความสำเร็จสามารถนำพรรคคอมมิวนิสต์เข้าขับไล่ ฝรั่งเศสออกไป ได้ และได้ปกครองแผ่นดินตอนเหนือของเวียดนาม ทำให้ประเทศเวียดนามต้องแบ่งออกเป็นเหนือและใต้
เวียดนามเหนือในช่วงนั้น ประกาศสนับสนุนนโยบายเป็น กลางของลาว และ เขมรตามข้อตกลง เจนีวาปี 2497
แต่กระนั้นไทยและประเทศตะวันตกก็ยังคงไม่ไว้วางใจเวียดนามเหนือ และกล่าวหาว่าเวียดนามเหนือโดยการสนับสนุนของจีนและโซเวียตยังคงให้การสนับ สนุนแก่ขบวนการประเทศลาว และพรรคคอมมิวนิสต์เขมรอยู่โดยตลอด ไทยยังคงกล่าวหาว่าเวียดนามไม่ละทิ้งแนวความคิดเรื่องการจัดตั้งสหพันธ์อินโดจีน เพื่อหวังผลการครอบงำลาวและเขมร โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังที่ลาว กัมพูชาและเวียดนามเหนือผนวกเวียดนามใต้กลายเป็นระบอบสังคมนิยมภายใต้การนำ ของพรรคคอมมิวนิสต์ทั้ง 3 ชาติ ในปี 2518 แล้ว ไทยดูเหมือนจะหวาดระแวงความเป็น สหพันธ์อินโดจีนของเวียดนามลาวและเขมร อย่าง หนัก
ภายหลังการเปลี่ยนระบบการปกครองในปี 2518 นั้นในส่วนที่เกี่ยวกับลาว ลาวได้ให้เวียดนามตั้งกองกำลังทหารไว้ในลาวเป็นจำนวนถึง 30,000 คน ลาวมีความสัมพันธ์กับเวียดนามมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งในเดือนมิถุนายน 2520 ลาวก็ได้ทำสัญญามิตรภาพกับเวียดนาม โดยลาวยินยอมอย่างเป็นทางการให้เวียดนามคงทหารไว้ในลาว เพื่อช่วยทำการปราบปรามและรักษาความสงบภายใน โดยมีข้อตกลงว่าจะให้ความร่วมมือกันทุกรูปแบบในการต่อต้านการบ่อนทำลายของ ลัทธิจักรวรรดินิยมและของกองกำลังพวกปฏิการ หมายถึง ลาวกู้ชาติฝ่ายขวา ดังนั้นกำลังของเวียดนามในลาวจึงเพิ่มจาก 30,000 คน ในปี 2520 เป็น 50,000 คนในปี 2522 เพื่อช่วยเหลือลาวทำการรบกับพวกลาวขวาหรือ พวกขบวนการลาวกู้ชาติ ที่มีความสามารถพอสมควรโดยเฉพาะในช่วงที่จีนเข้ามาช่วยให้การสนับสนุนพวกลาวกู้ชาติ เหล่านี้ เมื่อจีนเกิดความขัดแย้งขึ้นกับเวียดนามช่วงปี 2521-2522 อันมาจากสาเหตุที่เวียดนามบุกกัมพูชาโค่นฝ่ายพอลพต ที่จีนสนับสนุนในเดือนธันวาคมปี 2521 และจีนทำสงครามสั่งสอนเวียดนามเป็นการตอบโต้ในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2522!!!
ลาวนั้นไม่มีทางเลือก นอกจากจะต้องประกาศตัวสนับสนุนเวียดนามซึ่งทำให้ลาวต้องขัดแย้งกับจีนไปด้วย!
การที่เวียดนามมีปัญหาขัดแย้งกับรัฐบาลพอลพตในกัมพูชาถึงขั้นต้องใช้ กำลังเข้าล้มล้างรัฐบาลพอลพตอย่างอุกอาจและการที่ลาวยังคงกองกำลังทหารอยู่ ในลาวต่อไป เป็นสาเหตุที่สำคัญ ที่ทำให้ผู้นำของไทยเชื่อว่า เวียดนามมีเจตจำนงที่จะครอบงำทั้งลาวและกัมพูชา ไม่ว่าจะภายใต้ชื่อสหพันธ์อินโดจีนหรือความสัมพันธ์พิเศษ ที่เวียดนามลาวและกัมพูชาของเวียดนามอ้างก็ตาม

พฤติกรรมของเวียดนามจากอดีตถึงปัจจุบัน ทำให้ผู้นำไทยแทบทุกยุคมีความหวาดระแวงและ ไม่ไว้วางใจเวียดนาม ไทยค่อนข้างจะปักใจเชื่อว่าลาวนั้นอยู่ภายใต้อิทธิพลของเวียดนามอย่างเต็ม ตัวแล้ว ผู้นำไทยมองว่าลาวไม่เป็นตัวของตัวเอง
เพราะฉะนั้นพฤติกรรมและเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดการกระทบกระทั่งตามพรมแดนไทย-ลาว ที่เกิดขึ้นมาหลายครั้งหลายหนนับตั้งแต่ลาวเปลี่ยนระบอบ เมื่อปี 2518 จนปัจจุบัน มักจะถูกเพ่งเล็งโดย ผู้นำไทยส่วนมากว่า เกิดจากการยุยงหรือยั่วยุของเวียดนามที่หวังผลจะให้ไทยและลาวแตกแยกกันหรือ อีกประการหนึ่งเกิดจากความปรารถนาของผู้นำลาวคอมมิวนิสต์เองที่มองไทยเป็นศัตรูคู่อริที่สร้างความเจ็บช้ำให้กับลาวตลอดประวัติศาสตร์!!!!

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

http://www.youtube.com/watch?v=jan79GzRL_8&feature=results_video&playnext=1&list=PL2B281E9C18C2F2BF

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

From: Bounliane Rajphoumy
To: laosnetworkroom@googlegroups.com
Sent: Monday, January 09, 2012 6:56 PM
Subject: Re: ເຈົ້າສີສະງ່າ ຍັງມີຊີວິດຢູ່


ດີໃຈແລ້ວ ທີ່ໄດ້ຮູ້ວ່າ ເຈົ້າສີສງ່າ ຍັງສບາຍດີ ຂໍສົ່ງພອນອັນປະເສີດ ເຖິງທ່ານເຈົ້າສີສງ່າແລະຄອບຄົວ
ຈົງປະສົບແຕ່ຄວາມສຸຂຄວາມເຈຣີນຕລອດໄປ...ພອນຈາກ ເພື່ອນ ມັຖະຍົມເກົ່າ ທີ່ ສວັນ/ວຽງຈັນ
ຫວັງວ່າ ທ່ານຄົງຈໍາໄດ້ ທ່ານ Beaudin ແລະຍາເອື້ອຍ ກອງມະນີ ພົມວິຫານໄດ້ໃສ່ຊື່ ໃຫ້ ຂພຈ ວ່າ :
" petit moineau" ເປັນຊື່ ລໍ້ຫລິ້ນ ເນາະ.....ຄິດຮອດ ອາດີດ ຫ້າຫົກສິບປີກ່ອນ ຫລັບຕາມີຄວາມສຸຂ
ໄປ ຊໍາຊາໄດ້ໄປຢູ່ໂລກໃໝ່......

ດວ້ຍຄວາມຄິດເຖິງແລະນັບຖືຮັກແພງສເມີ
ບຸນລຽນ ຣາຊພູມີ


From: Ath Dhatpa
To: "laosnetworkroom@googlegroups.com"
Sent: Monday, January 9, 2012 4:03 AM
Subject: Re: ເຈົ້າສີສະງ່າ ຍັງມີຊີວິດຢູ່


ຂໍອາໄພມານະທີ່ນີ້ ແລະຮູ້ສຶກມີຄວາມດີໃຈ ທີ່ຮູ້ວ່າ ເຈົ້າ ສີສງ່າ ນະຈຳປາສັກຍັງ
ມີຄວາມສະບາຍດີ.
ຂໍອວຍພອນອັນປະເສີດ ມາຍັງ ທ່ານເຈົ້າ ຈົ່ງມີແຕ່ຄວາມສຸກ ສຳເຣັດຜົນທຸກປະການດ້ວຍເທີ້ນ


ມິຕພາບ
ອາຕ
From: "chanthalavong@aol.com"
To: laosnetworkroom@googlegroups.com
Sent: Monday, 9 January 2012 10:31 PM
Subject: ເຈົ້າສີສະງ່າ ຍັງມີຊີວິດຢູ່


ແຈ້ງການດ່ວນ

ສະບາຍດີພີ່ນ້ອງຜູ້ຮັກຊາດທຸກໆທ່ານ
ມີຄົນຂ່າວຊ່າລືທີ່ວ່າ ເຈົ້າສີສະງ່າ ນະຈຳປາສັກ ໄດ້ເສັຍຊີວິດນັ້ນ ບໍ່ມີຈິງເດີ, ມື້ນີ້ຂ້າພະເຈົ້າລົມເພິ່ນທາງສະກາຍເພິ່ນ ຫົວຍິ້ມສະບາຍ.
ຂໍໃຫ້ທ່ານຜູ້ຮັກຊາດທຸກຄົນມີສະຕິຕໍ່ການອອກຂ່າວຂອງບາງຄົນທີ່ອອກຂ່າວບໍ່ມີຄວາມຈິງ ອັນເປັນການຢາກສ້າງເລື່ອງໃຫ້ລາວນອກສັບສົນແລ້ວ
ເສັຍເວລາ ເພາະເຂົາຢາກສະກັດກັ້ນຂະບວນການຕໍ່ສູ້ເພື່ອປະຊາທິປະໄຕໃນລາວ. ຂໍໃຫ້ນັກຕໍ່ສູ້ທັງຫາຍຈົ່ງຈຳແນກມິຕ ແລະ ສັດຕູໃຫ້ອອກ ຜູ້ໃດກຳລັງເຮັດການຕໍ່ສູ້ນັ້ນຄວນນັບຖືຜົນງານຂອງເຂົາເຈົ້າ, ຈົ່ງຢຸດຕິການຊອກຫາເລື່ອງໃສ່ນັກຕໍ່ສູ້ດ້ວຍກັນ ເພາະມັນຈະເປັນການຮັບໃຊ້ຝ່າຍ
ຜູ້ກຳອຳນາດໃນລາວໄປໃນຕົວ.

ແຈ້ງມາດ້ວຍຄວາມຫວັງດີເພື່ອຊາດລາວ

ບຸນທອນ ຈັນທະລາວົງ-ວີເຊີ

Can some body find out that Chao Sisa Nga NaChampassak has just died in Paris? He just comes back from Noumea.


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

Sabaidi


OUI Mr. BAUDIN est bien époux de Kongmany , soeur de Cai son car celle-ci était mon
professeur d'anglais. Mr. BAUDIN , lui, était directeur du collège de Thakhek.
Ya Mè DOC avait 2 filles, la première s'appelle Svanthong, mariée à un haut
fonctionnaire thailandais ( general Issraphong HOUNPHAKDY )


Hak phèng

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

http://www.youtube.com/watch?v=jan79GzRL_8&feature=results_video&playnext=1&list=PL2B281E9C18C2F2BF


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

อาร์ก้าดับชีพ สีสุก ไชยแสง หน.ขบวนการต่อต้านลาว!!!

เมื่อ เวลา 06.25 น.ของวันที่ 3 พ.ย.2546 พ.ต.อ.มานิต เชื้อวิวัฒน์ ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรอำเภอสิรินธร จงอุบลราชธานี ได้รับแจ้งมีคนถูกยิงตายที่บ้านเลขที่ ‎‎16/2 หมู่ที่ 6 บ้านประชาสมบูรณ์ ผัง 15ต.นิคมลำโดมน้อย อ.สิรินธร จึงรุดไปตรวจที่เกิดเหตุทราบชื่อคนตาย ตามบัตรประจำตัวประชาชนว่า นายณรงค์ สุวรรณบุปผา แต่มีชื่อจริงว่า ท้าวสีสุก ไชยแสง อายุ 41 ปี ซึ่งเป็นผู้นำในเหตุการณ์ การเรียกร้องประชาธิปไตย ที่บริเวณด่านวังเต่า เมืองโพนทอง แขวงจำปาสัก สปป.ลาว เมื่อวันที่ 3 ‎กรกฏาคม 2543 ซึ่งมีพื้นติดกับชายแดนด่านช่องเม็ก อำเภอสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี ‎ตามลำตัวมีบาดแผลถูกยิงด้วยกระสุนปืนอาร์ก้าจำนวน 4 นัด สำหรับคนร้ายเป็นชาย 2 ‎คน ขี่รถจักรยานยนต์แบบหญิง ไม่ทราบยี่ห้อและหมายเลขทะเบียน สวมหมวกไหมพรมคลุมหน้า ขับมาจอดหน้าบ้านผู้ตาย ซึ่งกำลังซ้อมชนไก่ เสียชีวิตเมื่อเวลา 06.20 น

ทางด้าน พล.ต.ต.เดชาวัต รามสมภพ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดอุบลราชธานี ‎กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ในระหว่างการสืบสวน ซึ่งการเคลื่อนไหวของขบวนการนี้มีทั้งคนไทย‎และคนลาว เข้าใจว่าอาจจะมีปัญหาการขัดแย้งภายในกลุ่ม ซึ่งการเสียชีวิตของนายสีสุก ‎อาจจะส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของขบวนการต่อต้านลาวอยู่บ้าง เพราะว่าเป็นปัญหาที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับขบวนการต่อต้านลาว ซึ่งเข้าใจว่าสมาชิกของขบวนการต่อต้านลาวยังคงมีอยู่ ทางเจ้าหน้าที่ไม่ว่าจะเป็นตำรวจและทางฝ่ายทหารกำลังติดตามข่าวเรื่องนี้ อยู่อย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้ขบวนการนี้ใช้ประเทศไทยเป็นจุดรวมพล ซึ่งจะเป็นผลกระทบกระเทือนระหว่างประเทศ คาดว่าการสืบสวนสอบสวนคงใช้พอสมควร เพราะการลงมือของคนร้ายมีการปกปิดหน้าตาและยานพาหนะที่ใช้ก็ไม่ได้ติดแผ่น ป้ายทะเบียน แต่เจ้าหน้าที่ก็จะพยายามเร่งรัดคดีนี้ให้เสร็จโดยเร็ว

สำหรับความคืบหน้าของคดีเหตุการณ์ที่ด่านวังเต่านั้น ทนายพฤทธิสิทธิ์ บุญทน ‎เปิดเผยว่า ในเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม ที่ผ่านมา ศาลจังหวัดอุบลราชธานีจะได้เปิดอ่านคำ‎พิพากษาของศาลอุทรณ์ กรณีเหตุการณ์ความไม่สงบที่ด่านวังเต่า 3 กรกฎาคม ปี2543 ‎ซึ่งเป็นคดีที่มีจำเลย 28 คนเป็นทั้งชาวไทยและชาวลาว ในข้อหา หลบหนีเข้าเมืองและมีอาวุธสงครามไว้ในครอบครอง ซึ่งศาลอุทรณ์ ได้ตัดสินยืนคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ‎ส่วนจะมีการฏีกาหรือไม่นั้นฝ่ายอัยการสูงสุดเป็นผู้รับรองฎีกา ซึ่งจะต้องรับรองฏีกาภายใน 1 เดือนนับจากศาลอ่านคำพิพากษา
ในขณะที่ปัจจุบันยังมีชาวลาวอีก 16 คนยังถูกจองจำอยู่ที่เรือนจำกลางพิเศษกรุงเทพมหานคร เนื่องจากทาง สปป.ลาว ได้ร้องขอให้ฝ่ายไทย ส่งตัวผู้ต้องหาชาวลาว ‎กลับไปดำเนินคดีที่สปป.ลาว ผู้ต้องหาทั้ง 16 คนจึงถูกดำเนินคดีส่งผู้ร้ายข้ามแดนอีกคดีหนึ่ง และศาลชั้นต้น ได้ยกฟ้องไปแล้ว ปัจจุบันคดีอยู่ระหว่างการอุทรณ์ ในขณะที่ผู้ต้องหาทั้งหมดได้ร้องขอไปยัง สำนักงาน UNHCR ที่กรุงเทพ เพื่อขอเป็นผู้อพยพลี้ภัยไปสู่ประเทศที่สาม ซึ่ง ก็ยังไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด เนื่องจากทางเจ้าหน้าที่UNHCR ‎ยังไม่สามารถดำเนินการใดๆได้ จนกว่าจะสิ้นสุดกระบวนการศาลของไทย!!!Black Saphire


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ลาวอเมริกากล่าวหารัฐบาล ทักษิณ ละเมิดศาลส่งผู้ต้องหาวังเต่ากลับประเทศ!!!




คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ยืนตามศาลชั้นต้นและไม่อนุญาตให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดน ชาวลาวในสหรัฐอเมริกาออกทีวีกล่าวหารัฐบาล ทักษิณ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ส่งตัวผู้ต้องหาคดีก่อความไม่สงบด่านวังเต่า ให้ทางการลาวทั้งที่ศาลไทยมีคำสั่งไม่ให้ส่งตัวกลับไปดำเนินคดีกลับตามคำขอ ของรัฐบาลลาว เนื่องจากเป็นนักโทษการเมือง!!!
เมื่อเร็วๆ นี้ นายแสง จิดดาลัย ผู้อำนวยการสถานีลาวทีวี ในลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา ให้สัมภาษณ์สถานีโทรทัศน์ลาวเทเลวิชั่น ในสหรัฐอเมริกา กล่าวหา รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ละเมิดอำนาจศาลกรณีส่งตัวผู้ต้องหาก่อความไม่สงบที่ด่านวังเต่า เมืองโพนทอง แขวงจำปาสัก ตรงข้ามจุดผ่านแดนถาวรช่องเม็ก อำเภอสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งหลบหนีเข้ามาเขตไทย และถูกเจ้าหน้าที่จับกุมดำเนินคดีตั้งแต่กรกฎาคม 2543 กลับให้ทางการลาว ในช่วงรัฐบาลทักษิณ ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ทางการลาวได้ขอตัวผู้ต้องหา แต่รัฐบาลไทยในขณะนั้นไม่ได้ส่งตัวกลับ และ 2 ปี ต่อมาศาลได้ตัดสินว่า คดีดังกล่าวเป็นคดีการเมือง ไม่สามารถส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้ แต่อยู่ๆรัฐบาลทักษิณก็จับมือกับรัฐบาลลาวแล้วส่งตัวผู้ต้องหาทั้ง 16 คน คืนให้กับรัฐบาลลาว ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องเพราะเป็นการทำตัวอยู่เหนือกฎหมาย!
ถ้าเป็นสหรัฐอเมริกา ยุโรป หรือประเทศที่เจริญ ถือว่า พ.ต.ท.ทักษิณทำไม่ถูกต้อง อยู่เหนือกฎหมายสามารถเอาผิดกับพ.ต.ท.ทักษิณได้ นายแสง กล่าวและว่า การกระทำดังกล่าวถือว่าไม่ชอบธรรม สำหรับประเทศทีปกครองในระบอบประชาธิปไตยและมีอธิปไตยเป็นของตัวเอง ถือเป็นความผิดที่ร้ายแรง
กรณีดังกล่าวรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ได้มีมติครม. เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2545 เพื่อยื่นคำร้องต่อศาลของส่งผู้ร้ายข้ามแดนตามคำขอของรัฐบาลลาว โดยในที่ประชุมครม. กระทรวงการต่างประเทศ รายงานว่า ได้แจ้งให้สำนักงานอัยการสูงสุด และกระทรวงมหาดไทยพิจารณาดำเนินการ ซึ่งพนักงานอัยการได้ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาขอให้ออกหมายจับบุคคลสัญชาติลาว รวม 16 คนยกเว้น นายสวง แสงสุระ ซึ่งเป็นเพียงผู้เดียวที่ยังต้องโทษจำคุกตามคำพิพากษาของศาลจังหวัด อุบลราชธานีอยู่ และจะพ้นโทษในเดือนพฤษภาคม 2546 โดยได้มีการรับตัวบุคคลสัญชาติลาวทั้ง 16 คน จากเรือนจำกลางอุบลราชธานีมาควบคุมตัวไว้ที่ศาลอาญากรุงเทพฯ และต่อมาพนักงานอัยการได้ยื่นคำร้องขอส่งผู้ร้ายข้ามแดนบุคคลสัญชาติลาว จำนวน 17 คน พร้อมเอกสารประกอบอันจำเป็นต่อศาลอาญา
ต่อมา ศาลอาญาได้มีคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ที่มีอัยการเป็นโจทก์ เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ.2546 ว่า การกระทำของจำเลย ไม่ใช่การกระทำผิดอาญาธรรมดา หากแต่เป็นความผิดในลักษณะในทางการเมืองตามที่จำเลยต่อสู้ กรณีต้องด้วยบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติส่งผู้ร้ายข้ามแดน พุทธศักราช 2472 มาตรา 13(3) ประกอบกับมาตรา 14 ฉะนั้น การที่จะอนุญาตให้ขังจำเลยไว้เพื่อส่งตัวข้ามแดนไปตามคำขอของรัฐบาล สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวจึงมิอาจกระทำได้ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยก คำร้องขอของโจทก์ปล่อยจำเลยไปนั้น ศาลอุทธรณ์เห็นด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น!!!
ทั้งนี้ เหตุการณ์การก่อความไม่สงบในฝั่งประเทศลาวครั้งนี้ เกิดขึ้นในปี พ.ศ.2543 บริเวณด่านวังเต่า เมืองโพนทอง แขวงจำปาสัก ตรงข้ามจุดผ่านแดนถาวรช่องเม็ก อำเภอสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งหลบหนีเข้ามาเขตไทยและถูกเจ้าหน้าที่จับกุมดำเนินคดีตั้งแต่กรกฎาคม 2543 ในจำนวนนี้เป็นคนไทย 11 คน ลาว 17 คน ผู้ต้องหาทั้งหมดได้รับโทษตามคำพิพากษาของศาลจังหวัดอุบลราชธานีไปแล้วในข้อ หาลักลอบเข้าเมือง และมีอาวุธสงครามในครอบครอง หลังจากพ้นโทษผู้ต้องหาที่เป็นชาวลาว 16 คนเสียชีวิต 1 คน ระหว่างถูกคุมขังทางการลาวได้ขอตัวกลับไปดำเนินคดีในสถานะผู้ร้ายข้ามแดนที่ทั้งสองประเทศลง นามให้สัตยาบันร่วมกัน ในการนี้ฝ่ายจำเลยที่เป็นชาวลาวได้คัดค้านคำร้องขอของทางการลาว ซึ่งศาลไทยพิจารณาเห็นว่ากลุ่มบุคคลเหล่านี้ดำเนินการเคลื่อนไหวทางการเมือง เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยจึงให้ยกฟ้องข้อกล่าวหาดังกล่าว และไม่ให้ส่งผู้ตัวข้ามแดนตามที่รัฐบาลลาวร้องขอ...
ในเวลาต่อมา ชาวลาวทั้ง 16 คนได้พยายามติดต่อขอลี้ภัยทางการเมืองในประเทศที่สามต่อองค์การสหประชาชาติ UNHCR มาตั้งแต่ปี 2545 แต่สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติไม่สามารถให้การคุ้มครองทาง กฎหมายแก่จำเลยได้ทันทีหลังจากถูกปล่อยตัวเมื่อธันวาคม 2546 ทั้งนี้เจ้าหน้าที่อ้างเหตุผลว่าเป็นเพราะกระทรวงต่างประเทศไทยมิได้ให้ความ ร่วมมือเพียงพอในการดำเนินเพื่อให้ UNHCR คุ้มครองบุคคลเหล่านี้ได้ทันเวลา...
จนกระทั่งสมัยรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของไทย กลับนำชาวลาวทั้ง 16 คน ส่งตัวให้กับทางการลาวผ่านด่านช่องเม็ก เมื่อ 4 กรกฎาคม 2547
และต่อมาศาลประชาชนแขวงจำปาสัก ประเทศลาว มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2547 ตัดสินให้พิพากษาจำคุกท้าวสวง แสงสุระ หัวหน้าชุดกำลังบุกยึด และพวกรวม 8 คน คนละ 12 ปี จำคุกท้าวคำ ไชยวงศ์ กับพวกรวม 6 คน คนละ 7 ปี และจำคุกท้าวแสง จำปา และท้าวสม ไชยวงศ์คนละ 2 ปี 6 เดือน!!!

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

Vietnam seeks stronger trade ties with Laos
18:09 08/01/2012

Vietnam will increase its trade and investment ties with Laos, aiming to raise two-way trade to US$1 billion in 2012 and US$2 billion in 2015, says Deputy Prime Minister Nguyen Xuan Phuc.

Mr Phuc made the commitment at a meeting with Lao Prime Minister Thongsing Thammavong in Vientiane on January 8.

Vietnam seeks stronger trade ties with Laos

Lao PM T. Thammavong welcomed Deputy PM Phuc (L) in Vientiane on January 8
He said bilateral trade was valued at US$636 million between January-November, 2011, a year-on-year increase of 48 percent, and it is estimated to hit US$700 million for the whole year.

According to Deputy PM Phuc, many Vietnamese businesses such as Hoang Anh Gia Lai Group, Golf Long Thanh Trade and Investment JSC, the Bank of Development and Investment of Vietnam, and Hoa Phat group have already operated successfully in Laos.

To date, Vietnamese businesses have invested more than US$3.5 billion in Laos, ranking second among foreign investors in the country.

Mr Phuc said the two countries have cooperated well in education, human resources training and transport infrastructure construction. They have also held a number of cultural exchanges and workshops on information technology and science and technology.

Both countries have agreed to enhance the implementation of joint statements and high-level agreements reached by their top leaders to welcome Vietnam-Laos Solidarity and Friendship Year 2012.

Many Vietnamese localities which do not border Laos, including Quang Ninh, Vinh Phuc, HCM City and Hanoi, have provided practical assistance to Lao provinces.

This represents the close-knit, long lasting and durable relationship between Vietnam and Laos, said Mr Phuc.

PM Thammavong welcomed Mr Phuc to the 34th session of the Vietnam-Laos Intergovernmental Committee for Economic, Cultural, Educational and Scientific and Technological Cooperation and said he believes that the results of the session will help raise bilateral ties to a new level in the near future.

The Lao government supports and creates the best possible conditions for Vietnamese businesses to operate in the country, said the PM.

He proposed organizing conferences on trade promotion and meetings between Lao leaders and Vietnamese businesses to iron out snags and facilitate their operations in Laos.

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

Politician Dek 9. Januar 13:04
ຂ້າພະເຈົ້າ ມີຄວາມເຫັນການເມືອງ ເປັນການສ່ວນຕົວ ຂ້ອຍມັກການວິພາກວິຈານນະເພາະມັນເປັນເຫມືອນແວ່ນແຍງໃຫ້ກັບຕົວເອງສິ່ງ
ໃດດີ ແລະສິ່ງໃດຄວນປັບປຸງ ຂ້າພະເຈົ້າວິຈານການເມືອງພຽງຕັ້ງກະທູ້ນ້ອຍໆ ໄກ້ຕົວເຮົາທີ່ເປັນຂ່າວກຳລັງເກິດຂຶ້ນ ມັນຈະອອກການເມືອງຫນ່ອຍຫນຶ່ງມີຄົນລາວບາງຄົນ ກໍອອກມາເວົ້!ໃຫ້ຂ້ອຍວ່າ ຂາຍຊາດ ຫລື ຫາວ່າ ເປັນຫາຂອງຊາດ ຫລື ກະທົບຄວາມຫມັ້ນຄົງ ລະຫວ່າງປະເທດ ,,,,,,,, ຂ້ອຍຢາກຫົວຈົນເເຂ້ວແຫ້ງກະທູ້ນ້ອຍໆສ່ຳນີ້ຍັງເວົ້າບໍ່ໄດ້ ນີ້ສະແດງວ່າ ຄົນລາວເຮົາປະເທດລາວເຮົາກຳລັງປ່ວຍເຂົ້າຂັ້ນໂຄມາຢ່າງຫນັກ ຄື ອ່ອນແອທາງດ້ານສະຕິປັນຍາປະຊາຊົນໂງ່ຈ້າລ່າຫລັງ ຫວັ່ນໄຫວຕາມໂຄສະນາຊ່ວນເຊື່ອຂອງຜູ້ປົກຄອງ ບໍ່ມີປັນຍາຄຸ່ນຄິດດ້ວຍຕົວເອງ ທຸກສິ່ງທຸກຢ່າງຕ້ອງເຈົ້ານາຍເປັນຜູ້ກຳຫນົດ ປະຊາຊົນຕ້ອງຢູ່ໃຕ້ພື້ນຕີນ ຂອງນັກການເມືອງ ເປັນຂີ້ຂ້າໃຫ້ເຈົ້ານາຍໄປຈົນຕາຍ ໂດຍບໍ່ໄດ້ຄິດວ່າຕົວເອງມີຄຸນຄ່າພໍ ເຂົາກໍ່ເປັນຄົນ ເຮົາກໍ່ເປັນຄົນ ເກິດມາໃນແຜ່ນດິນລາວເຫມືອນກັນ ຄືວິພາກວິຈານບໍ່ໄດ້ ຕ້ອງເປັນເທວະດາຢູ່ເຫນືອປະຊາຊົນຕີ້ ແລ້ວງົບປະມານ ພາສີເງິນເດືອນ ເຂົ້າທີ່ເຈົ້ານາຍຜູ້ປົກຄອງກິນບໍ່ແມ່ນ ມາຈາກປະຊາຊົນບໍ່ ໃນເມື່ອທຸກຄົບບໍ່ເວົ້າບໍ່ວິພາກວິຈານຈຶ່ງງ່າຍຕໍ່ການສໍ້ໂກງ ທໍລະຍົດຕໍ່ປະເທດແລະປະຊາຊົນນັ້ນແຫລະ ດັ່ງນັ້ນຕ້ອງມີຄວາມກ້າທີ່ຈະທັກທ້ວງ ຜູ້ປົກຄອງທີ່ມັນບໍ່ດີໂກງຊາດພາສີປະຊາຊົນ ກະຊາກຫນ້າກາກໃຫ້ຜູ້ຄົນທົ່ວໄປໄດ້ເຫັນ ເພາະບ້ານເຮົາບໍ່ມີຝ່າຍກວດສອບ ສື່ກໍ່ເປັນແຕ່ກະບອກສຽງຂອງລັດ ແລ້ວຈະໄປຫວັງພຶ່ງພາໃຜໄດ້ ຜູ້ປົກຄອງກໍ່ຍັງມີຄວາມໂລບ ຄວາມໂກດ ຄວາມຫລົງ ເປັນຫຍັງຄືວິພາກວິຈານບໍ່ໄດ້ ຂະຫນາດພະພຸທທະເຈົ້າ ຕັດສະຣູ້ແລ້ວ ກໍ່ັຍັງບໍ່ປິດກັ້ນການວິພາກວິຈານຈາກປະຊາຊົນ ຍ້ອນຜູ້ປົກຄອງບ້ານເຮົາຄວບຄຸມແນວຄິດ ແລະການສະແດງອອກບໍ່ໃຫ້ຄິດແນວອື່ນນອກຈາກເສີຍແຕ່ເຂົາຈະກຳຫນົດໃຫ້ ປະເທດຊາດຈຶ່ງມີແຕ່ຄົນໂງ່ຈ້າ ຕົກເປັນເມືອງຂຶ້ນປະເທດອື່ນ ພັດທະນາບໍ່ທັນຂາວໂລກເຂົາ ມີແຕ່ໃຫ້ປະເທດອື່ນໄປຂຸດເອົາຊັບໃນດິນສິນໃນນ້ຳ ຫອບໄປພັດທະນາເສິມຄວາມລ່ຳຮວຍໃຫ້ບ້ານເຂົາ ສ່ວນຄົນລາວກໍ່ເປັນໄດ້ແຕ່ລູກຈ້າງກຳມະກອນຂີ້ຂ້າຫນ້າດຳ ຫລັງສູ່ຟ້າຫນ້າສູ່ດິນ ກ່ອນສິເວົ້າແບບນີ້ເຄີຍໄດ້ລົມຄົນງານໃນໂຮງແຮມເປັນອັນດັບຕົ້ນໆຂອງວຽງຈັນ ມັນເປັນຜູ້ບໍລິຫານຝ່າຍພະນັກງານ ເຮົາສົງໄສຖາມມັນກົງໆ ເຂົາຄືບໍ່ເອົາຄົນລາວເຮັດ ມັນບອກວ່າເຈົ້າຂອງທີ່ເປັນຄົນມາເລ ປະກາດຮັບສະມັກໄປຫລາຍຄັ້ງແຕ່ບໍ່ມີໃຜມີຄຸນສົມບັດພໍທີ່ຈະເຮັດໄດ້ເລຍໄປຈ້າງຄົນຕ່າງປະເທດມາເຮັດແທນ ນີ້ແຫລະ ວຽກງານທີ່ດີໆຄົນລາວເຮັດບໍ່ໄດ້ເນື່ອງມະຫາວິທະຍາໄລ ຜະລິດນັກສຶກສາບໍ່ມີຄຸນນະພາບ ແລະມີເພື່ອນຄົນທີ່ເຮັດວຽກກັບລັດມັນບອກວ່າ ໄປເຮັດວຽກແມ່ນໄປລົມກັນ ລໍໃຫ້ຫມົດຊົ່ວໂມງແລ້ວກັບບ້ານ ຫມົດເດືອນກໍຮັບເງິນເດືອນບາງວັນບໍ່ມີງານຫຍັງເຮັດເລຍ ນີ້ແຫລະຄວາມໂຄ່ມ່າອາການຫນັກຂອງປະເທດລາວ

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ไม่รุ้นะว่า วู้ดดี้ คิดยังงัย ที่เชิญ จตุพร และสุริยใส มาออกรายการ หรือว่าเพื่อลบภาพที่ผ่าน ๆ มา กลัวประชาชนเข้าใจผิดว่า ไม่ฝักใฝ่ ในระบอบประชาธิปไตย
ก็เลยจัดเวทีนี้ขึ้นมา ถ้าเป็นอย่างที่คิดนะ จตุพรนะใช่ แต่ไอ้ใสนะ มันหลุดโผไปนานแล้ว หลุดไปพร้อม ๆ กะลิ้มโกเต๊ก ลูกพี่มันนั่นละ
เสียดายเวลาของ จตุพร จริง ๆ


----- Forwarded Message -----
From: จันทร์ทิมา สาร์นสินธุ
To: tsro@googlegroups.com
Sent: Sunday, January 8, 2012 4:30 AM
Subject: Re: [TSRO:18397]


อันที่จริงวูดดี้เชิญบักใสมาเทียบชั้นกับคุณตู่ ก็นับว่าให้เกียรติมันเกินพอเเล้วนะ แต่ยังมีข่าวว่าพวกสลิ่มโกรธบักใสเป็นฝืนเป็นไฟ ทั้งทึีพวกคนเสื้อแดงเห็นเป็นเรื่องจิ๊บๆ ของเด็กคนหนึ่งกำลังหาทางวนเวียนเลี่ยงตีกรรเชียงอยากออกมาจากพรรคมาร แต่.. เป็นไปได้ยากคนแบบนี้จะออกมาจากขุมนรกได้ ไม่ให้ค่าและเครดิตมันหรอก จมอยู่ในปลักต่อไปเถอะบักใส


เมื่อ 6 มกราคม 2555, 5:49, Sittipong Patitas เขียนว่า:

ผมไม่เคยให้คะแนนกับคนที่ชื่อ สุริยะไส และกลุ่มพันธมิตรเลย
เพราะความโกหกหลอกลวงให้คนเข้าใจหลงผิด
พอความจริงปรากฎก็ตอบกันแบบหน้าด้านๆว่าจบไปแล้วไม่พูดอีกแล้ว
บัดนี้คนส่วนใหญ่รู้กันดีว่าอะไรมันเป็นอะไร
ผมไม่ให้ค่ากับคนพวกนี้และกล่มที่ให้การสนับสนุน

เมื่อ 5/1/2555, คำสิงห์ นกพึ่งพุ่ม เขียนว่า:
> รายการของวุ๊ดดี้ มีแขกรับเชิญคือคุณจตุพร กับ คุณสุริยไส
> วู๊ดดี้สัมภาษทั้งสองฝ่าย โอ้ย...โครต...
> สุริยะใสจะเน้นที่พรรคเพื่อไทย
> ว่าจะอยู่ได้นานแค่ไหนขึ้นอยู่ที่พรรคจะทำตัวแบบไหนอ่ะ
> รู้สึกว่าจงเกียดจงชังคุณทักษิณมากกว่านะเนียะ ไม่รู้ว่าให้โอกาส พท
> ทำงานหรือรอช่องว่างที่จะเสียบหรือเปล่าเนียะ
> แล้วมันยังจะให้ พท ตัดทอนบางข้อที่หาเสียงไว้ อีก ทั้งๆที่ปชชต้องการจึงเลือก
> พท มา อย่างนี้สุริยไสทำงานเพื่อ
> ปกป้องผลประโยชน์ให้ใครหรือเปล่าเนียะ รับงานคอยค้านอยู่ตลอด
> ทำไมสุริยะไสจึงเอาผลประโยชน์ของคนส่วนน้อย
> ไปแลกกับชีวิตประชาชนนะเนียะ
> ไม่อยากคิดว่าสุริยไสเป็นคนไม่รู้จักว่าอะไรผิดอะไรถูกน่ะ
> ระดับนี้ต้องรู้และเข้าใจดีอยู่แล้ว
> ว่าอะไรผิดอะไรถูก แต่ไม่ยอมรับความจริงมากกว่า คือเจตนาไม่ดีต่อปชช
>
> คุณจุตุพรฉลาดมาก พูดว่าต้องทำตามนโยบายที่หาเสียงไว้ให้ได้
> และนโยบายที่ประกาศนั้น ปชช ก็ต้องการเสียด้วย
> แน่นอนไม่มีผลเสียต่อปชชแม้แต่น้อย มีแต่จะสร้างความเจริญและความ
> หวังให้แก่ปชชทั้งนั้น ถึงไม่มากเท่ากับประเทศที่เขาเจริญแล้วก็จริงอยู่
> อย่างน้อยคนไทยส่วนใหญ่ก็ต้องการ
>
> พูดตามตรงเถอะค่ะอยากรู้และเข้าใจเหตุผลของสุริยไสจริงๆ ว่าเพราะอะไร
> มีอะไรที่ไม่ดีไม่ชอบในกลุ่มของคุณทักษิณหรือไม่
> อยากให้เขาพูดหรือเขียนให้ปชชได้รับรู้ และโต้ตอบ หรือสร้างคำถามได้จังเลย

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

http://www.youtube.com/watch?v=tx8MRvOTkk4&feature=email&email=comment_reply_received

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

หลวงตาชู...09-01-2011
ตอน สภาวะการปัจจุบัน พท รบ ปชป เสื้อแดงและพธม ใครได้เปรียบเสียเปรียบ


http://www.4shared.com/mp3/Af4tof6d/chupong-usa2012-01-09.html
http://www.mediafire.com/?rsw7nmk55n335bq


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ທ່ານລາວພີ່ນ້ອງ ທີນັບຖື


ການຕໍ່ສູ້ ປະຊາທິປະໄຕໃນລາວ ຂອງກຸ່ມ ຂຕປລ ແຮງດົນໄປເທົ່າໃດ ບົດຮຽນແຮງ
ເພິ່ມຂຶ້ນ ດັ່ງນັ້ນ ພວກນັກຮັກຊາດ ທີ່ບໍ່ໄດ້ສັງກັດພັກໃຫຍ່ ຕ້ອງໄດ້ກຸ້ມຕົນເອງເພິ່ງ
ຕົນເອງ ແລະ ຕ້ອງໄດ້ຮັກແພງກັນຫລາຍກວ່າເກົາ.


ປັດຈຸບັນນີ້ເຮົາຕ້ອງໄດ້ ກຸ້ມຕົນເອງ ເພິ່ງຕົນເອງ ແລະ ທຳຫນ້າທີ່ໃຫ້ດີທີ່ສຸດ.


ການເດີນທາງໄປລາວ, ໄປໄທ, ໄປວຽດນາມ ແລະ ໄປຈີນ ເພື່ອທ່ອງທ່ຽວນັ້ນ
ເປັນສິ່ງທີ່ ນັກຕໍ່ສູ້ ບໍ່ຄວນກະທຳ. ເຖິງແມ່ນວ່າໄດ້ເຊົາເຮັດການຕໍ່ສູ້ແລ້ວກໍຕາມ
ເພາະຊື່ ແລະ ນາມສະກຸນມັນຍັງ ຢູ່ໃນ ຈໍ ຂອງຄົນບໍ່ດີຢູ່.


ນັບຖື
ຕ. ຣາສິກາ


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

Dear Sirs,
ຖ້າພໍເປັນໄປໄດ້ ຂໍໃຫ້ທ່ານປັບປຸງໃບຫນ້າຂອງເວັບໃຊນີ້ ໃຫ້ດີຂື້ນແນ່ຈັກຫນ່ອຍໄດ້ບໍ່ ?
ສຳຫລັບເນື້ອຫາສາລະວີທຍຸສຽງເສຣີຊົນນັ້ນ ບໍ່ມີບ່ອນຕ້ອງຕິເດີ ...ສນັບສນຸນເດິ.
ນັບຖື,
ຂີ້ຫມ້ຽງ

www.siengserixonlao.com


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

Greeting all,

Come on people!!! Can we all just get along and move on with a better thing!! I think this is not necessary to accuse each other for whatever the reason maybe!!! As a leader, you should be able to withstand the noise, accusation, and whatever the opposition will do to you, right ?? What are some lessons learned from the past leadership so that we do not make the same mistakes!!!
As I can see and hear from this forum.... There's much more lessons need to be learn and share among our Lao people.
By criticizing and mocking each other, does it really make you abetter person or a community leader??? I guess you already know the answer, right? How can we move thing forward if you still living in the past??? Why is it o.k. for you to do your way and not someone else???? I believe "RESPECT" is a two way street and definitely not a one way street!!! I am not quite sure why khon Lao love to fight among themselves and make a negative criticism against one another.

Anyway, have a wonderful new year and good luck to everyone to continue to do their job and serving Lao people and community taht tehy live in. May we all stay focus and do what is best for the great common cause!!! Last but not least, may 2012 bring much more joys, prosperity, longivity, happiness, and sucess to each everyone of you and yours!!!

Hakphaeng,
Antoine Keodara


Lanxang Lao eternity Paltalk

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 


http://www.youtube.com/watch?v=jan79GzRL_8&feature=results_video&playnext=1&list=PL2B281E9C18C2F2BF
เสวนา "เมื่อความจริง(และนิยาย)โดนดำเนินคดีในประเทศไทยยุคกษัตริย์นิยมล้นเกิน"


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

พวกเราชาวนักคิดนักสู้เพื่อประชาธิปไตย มองดูการกระทำของพวกมารหัวขนพวกนี้อย่างน่าสมเพทมากันตลอดเวลา นึกอยากจะดูน้ำหน้าพวกมันตลอดเวลาว่าความคิดและอุดมการณ์แบบพวกมันจะดึงมวลชนหรือทำให้คนคล้อยตามไปได้สักกี่น้ำ กี่กระทำการยิ่งน่าขยะแขยงในความคิด มาถึงบัดนี้ พวกมันเพียงแต่อ้าปาก พวกเราก็เห็นลิ้นไก่เห็นใส้เห็นพุงมันกี่ขดๆ เห็นหมด ว่าแบบนั้นไหมเจ้าค่ะ อิอิ


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

บางกอกโพสต์รายงาน "8 ราชนิกูล" ส่งจม.แนะรบ.ปรับปรุงแก้ไขม.112 "ม.ร.ว.ภวรี" ปฏิเสธไม่ได้ร่วมลงชื่อ

วันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2555 เวลา 16:30:00 น.

Share231





หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ฉบับประจำวันที่ 12 มกราคม 2555 รายงานว่า ราชนิกูลกลุ่มหนึ่งได้ออกมาเรียกร้องให้มีการปรับปรุงแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 หรือกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ


บางกอกโพสต์ระบุว่า ราชนิกูลผู้มีชื่อเสียงจำนวน 8 คน ได้แก่ หม่อม ราชวงศ์สายสวัสดี สวัสดิวัตน์ (ธิดาในหม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท สวัสดิวัตน์ หรือ ท่านชิ้น - มติชนออนไลน์), หม่อมราชวงศ์สายสิงห์ ศิริบุตร (ธิดาในหม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท สวัสดิวัตน์ - มติชนออนไลน์), หม่อมราชวงศ์นริศรา จักรพงษ์ (ธิดาในพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ - มติชนออนไลน์), นายวรพจน์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา (อดีตเอกอัครราชทูต - มติชนออนไลน์), พลเอก หม่อมราชวงศ์กฤษต กฤดากร, หม่อมราชวงศ์ภวรี สุชีวะ (รัชนี), หม่อมราชวงศ์โอภาส กาญจนะวิชัย และนายสุเมธ ชุมสาย ณ อยุธยา ได้ลงนามในจดหมายที่ส่งไปถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อวันเสาร์ที่ 7 มกราคม ซึ่งมีเนื้อหาเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีดำเนินการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายมาตรา ดังกล่าว


จดหมายที่ส่งไปถึงนายกรัฐมนตรีมีเนื้อหาระบุว่า จำนวนคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพได้เพิ่มขึ้นอย่างสำคัญในช่วงเวลา 7 ปี จากจำนวน 0 คดี ในปี พ.ศ.2545 มาเป็น 165 คดี ในปี พ.ศ.2552 ซึ่งข่าวคราวเกี่ยวกับคดีความเหล่านั้นได้ถูกรายงานไปทั่วโลก และส่งผลกระทบอย่างรุนแรงมากขึ้นต่อสถาบันพระมหากษัตริย์


จดหมายของราชนิกูลกลุ่มนี้ยังได้อ้างถึงพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ.2548 ซึ่งทรงมีพระราชกระแสรับสั่งว่าการลงโทษจับกุมคุมขังบุคคลผู้วิพากษ์วิจารณ์ สถาบันนั้น มีแต่จะก่อปัญหาให้แก่พระองค์เอง ("แต่ อย่างไรก็ตาม เข้าคุกแล้ว ถ้าเป็นการละเมิดพระมหากษัตริย์ พระมหากษัตริย์เองเดือดร้อน เดือดร้อนหลายทาง ทางหนึ่งต่างประเทศเขาบอกว่าเมืองไทยนี่พูดวิจารณ์พระมหากษัตริย์ไม่ได้ ว่าวิจารณ์ไม่ได้ก็เข้าคุก มีที่เข้าคุก เดือดร้อนพระมหากษัตริย์" - พระราชดำรัส 4 ธันวาคม 2548)


"นับแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระ ราชดำรัสดังกล่าว มีรัฐบาลหลายชุดหมุนเวียนกันเข้ามาบริหารประเทศ แต่ไม่มีรัฐบาลชุดใดเลยที่จะริเริ่มดำเนินการแก้ไขกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุ ภาพ รวมทั้งรัฐบาลชุดปัจจุบัน" จดหมายที่ส่งถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ระบุ


"เมื่อครั้งที่รัฐบาลจัดกิจกรรมเฉลิมพระ เกียรติเนื่องในวโรกาสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระชนมายุครบ 7 รอบ ในปี พ.ศ.2554 รัฐบาลควรใช้โอกาสนั้น ทำความเข้าใจในพระราชประสงค์ของในหลวงต่อประเด็นดังกล่าวด้วย" นายสุเมธ หนึ่งในผู้ร่วมลงชื่อในจดหมายกล่าวและว่า ราชนิกูลกลุ่มนี้ได้พบปะกันในช่วงสิ้นปี 2554 เพื่อร่วมครุ่นคิดในประเด็นว่าด้วย "การ บังคับใช้กฎหมายอาญามาตรา 112 ในทางที่ผิดซึ่งเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และผลกระทบของการบังคับใช้กฎหมายเช่นนั้นที่มีต่อประเทศไทย ทั้งภายในไทยเองและภายนอกประเทศ"


"ที่สำคัญสุดเหนือสิ่งอื่นใด พวกเราต้องการให้มีการคำนึงถึงข้อเท็จจริงที่ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเองก็ทรงวิพากษ์วิจารณ์กฎหมายมาตราดังกล่าว" นายสุเมธ ให้สัมภาษณ์


อย่างไรก็ตาม ขณะที่ราชนิกูลกลุ่มนี้ออกมาเสนอให้รัฐบาลปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกฎหมายหมิ่น พระบรมเดชานุภาพ แต่กลับไม่มีการระบุอย่างเด่นชัดว่าเนื้อหาของกฎหมายในส่วนใดที่ควรได้รับ การแก้ไข


"พวกเราไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญทางด้านกฎหมาย เราคิดว่านี่เป็นหน้าที่ของรัฐบาลซึ่งต้องแสวงหาหนทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น" นายสุเมธกล่าวและว่า เป็น หน้าที่ของรัฐบาลชุดนี้ที่จะทำการปกป้องสถาบัน และในกรณีนี้ ยังถือเป็นการเอาใจใส่ต่อความห่วงใยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สังคมไทยกำลังแตกแยก ประชาชนแบ่งออกเป็นฝักฝ่ายอย่างสุดขั้ว รัฐบาลจึงควรให้ความสนใจกับคำแนะนำของในหลวง ก่อนจะดำเนินมาตรการอื่นใด



ขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวในวันที่ 12 มกราคมว่า ยังไม่ได้รับจดหมายจากราชนิกูลกลุ่มนี้



ล่าสุด ช่วงเย็นวันที่ 12 ม.ค. ผู้สื่อข่าว "ข่าวสด" โทรศัพท์สอบถามข้อเท็จจริงจาก หม่อมราชวงศ์ภวรี สุชีวะ (รัชนี) ธิดา ม.จ.ภีศเดช รัชนี หนึ่งในราชนิกุลที่มีชื่ออยู่ในข่าวดังกล่าว ได้รับคำตอบว่า ไม่ทราบเรื่องจดหมายดังกล่าว ไม่เคยมีการลงชื่อเกี่ยวกับกฏหมายตามที่เป็นข่าวใดๆ ทั้งสิ้น และไม่ได้มีความคิดแบบนั้น ไม่สบายใจอย่างหนักกับข่าวที่เกิดขึ้น อยากจะมุดแผ่นดินหนี เราเป็นประชาชนคนหนึ่งที่ไม่ได้อยู่ในการเคลื่อนไหวใดๆ ไม่ได้ต้องการเป็นข่าวและสร้างกระแส เราเป็นลูกพ่อคนหนึ่งที่ทำงานถวายอย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ตาม ถ้าเราจะลุกขึ้นโวยวายจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ ขออยู่เฉยๆ โดยไม่ร้อนตัวดีกว่า ทั้งนี้ เราไม่ได้มีความรู้เรื่องกฏหมาย ซึ่งเรื่องดัวกล่าวมีความลึกลับซับซ้อนเกินกว่าที่จะมาแก้ตัว ส่วนคนอื่นๆ ที่มีรายชื่ออยู่ด้วยไม่ทราบ


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 


เสื่อม 'ค่ายหนังโป๊' อุกอาจ อ้างเป็นแอร์ไทย หยามใช้ 'สุวรรณภูมิ' เป็นฉากสะเด่า!! (คลิปวิดีโอ)

บริษัท ทำหนังโป๊ 'อุกอาจ' หยามหนัก เซตฉากสุวรรณภูมิสนามบินสัญลักษณ์ของประเทศไทยในหนังลามก อึ้งแอร์สาวไทยเล่นหนังเอวี จี้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบว่าของจริงหรือปลอมด่วน...!

แม้จะไม่ ใช่ครั้งแรกที่เมืองไทยถูกใช้เป็นฉากในการผลิตหนังโป๊ แต่ครั้งนี้โจ๋งครึ่มกว่า และก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักหน่วงหลังจากมีคนร้องเรียนมากมายเกี่ยวกับ ภาพยนตร์โป๊จากต่างประเทศ ยึดเอาสนามบินสุวรรณภูมิเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวคาวๆ ในครั้งนี้ ว่าเป็นการหยามเกียรติคนไทย ยังมีการตั้งข้อสงสัยเรื่องระบบป้องกันภัยที่ไร้การตรวจสอบ ทำให้ภาพลักษณ์สนามบินสุวรรณภูมิ สนามบินของประเทศไทยเสียหายไปทั่วโลก

อีก ทั้ง ยังมีข้อถกเถียงถึงความเหมาะสมเรื่องการใช้สาวไทยพูดไทยฉะฉานใส่ยูนิฟอร์ม ของสายการบินชื่อดังมีผ้าพันคอที่บินระหว่างประเทศว่าที่เป็นแอร์จริงๆ และถูกล่อลวงไปเล่นหนังโป๊...? เพราะมีทีท่าถูกหลอกและไม่สมยอม ทันทีที่หนังโป๊เรื่องนี้ ถูกปล่อยออกมาในตลาดมืด


ไทย รัฐออนไลน์ลงพื้นที่ล่อซื้อแผ่นหนังเรื่องนี้ ผู้ค้าแผ่นลามกที่คลองถม บอกว่าเป็นหนังที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในอินเทอร์เน็ตจนคนต้องปั๊มมา เป็นแผ่นขาย วันหนึ่ง (แผงเดียว) ขายได้หลายร้อยแผ่นเรียกว่าแทบจะปั๊มแผ่นไม่ทัน

หนังโป๊เรื่องนี้ มีความยาว 2 ชั่วโมง เริ่มฉากแรกด้วยการถ่ายบรรยากาศภายในสนามบินสุวรรณภูมิอย่างชัดเจนหลากหลาย มุม จากนั้นกล้องก็หันไปจับภาพหญิงสาวหน้าตาดีแต่งกายเหมือนกับแอร์โฮสเตสสายการ บินชื่อดังที่บินระหว่างประเทศมีผ้าพันคอ ลากกระเป๋าเดินทางทำเสมือนว่าเพิ่งลงจากเครื่องบิน จากนั้นภาพก็ตัดมาที่แอร์โฮสเตสสาวสวยคนดังกล่าวกำลังสนทนาเชิงแนะนำตัวกับ ใครบางคน โดยมีการแปลเป็นภาษาญี่ปุ่นอยู่ที่ข้างจอ

แอร์โฮสเตสสาว : ตอน นี้ฉันทำงานอยู่บริษัทสายการบินได้ 2 ปีแล้วค่ะ ดิฉันจบจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง จึงได้ทำงานกับบริษัทที่ดี และก็ได้รับตำแหน่งที่ดีด้วย ช่วงนี้ดิฉันได้ไปทัวร์ที่ยุโรปบ่อยมากที่สุดค่ะ ส่วนมากจะชอบของมียี่ห้อและก็ชอบงานศิลปะด้วยค่ะ คิดว่าถ้าได้ไปอยู่ที่เมืองยุโรป คิดว่าน่าจะดีมากๆ ค่ะ!!

แอร์โฮสเตสสาว : พูดเรื่องแฟน มีหลายๆ เรื่องที่ทำให้กลุ้มใจมากๆ ค่ะ..!!!

หลัง จากพูดคุยเสร็จสรรพแอร์โฮสเตสสาวจึงเดินลากกระเป๋าท่ามกลางฝูงชนที่สนามบิน สุวรรณภูมิแล้วก็มีผู้ชายญี่ปุ่นเดินเข้ามาถามพร้อมกับพาตัวเธอไปแบบไม่ค่อย สมยอมสักเท่าไหร่ ภาพก็ตัดมา หญิงสาวอยู่ในรถยนต์โดยมีหนุ่มญี่ปุ่นหน้าตาดุดันนั่งประกบอยู่ข้างๆ พร้อมกับทำการลวนลาม แต่หญิงสาวก็ปัดป้อง แลัวถามตลอดว่า

“จะทำ อะไร จะพาไปไหน พร้อมกับทำสีหน้าไม่พอใจอย่างมาก” โดยมีรถยนต์อีกหนึ่งคันตามบันทึกภาพอยู่ ในหนังมีการถ่ายภาพด้านข้างบ่งบอกว่าเป็นถนนสุขุมวิท จนกระทั่งตัดภาพมาที่ห้องพัก โดยหญิงสาวถามตลอดว่า พามาทำอะไร จู่ๆ ก็มีชายหนุ่มอีกคนร่างกายกำยำเข้ารวบและจับเธอโยนลงบนโซฟา


หลังจากนั้นกิจกามแบบไม่สมยอมก็เริ่มขึ้น พร้อมกับมีช่างกล้องถ่ายภาพนิ่งกันเสียงชัตเตอร์ดังสนั่นก็เริ่มต้น...
เมื่อ ไทยรัฐออนไลน์สอบถามไปยัง พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ถึงกรณีนี้ว่า หากแอร์โฮสเตสสาวไทยที่อยู่ในหนังโป๊เรื่องนี้ถูกบังคับให้เล่นหนัง ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ต้องตรวจสอบ แต่หากเป็นการจัดฉากขึ้นมาก็มีความผิดฐานรวมกันผลิตสื่อลามกออกมาจำหน่าย
"ว่า กันตามจริง ตามสถิติที่มีการเดินทางของค่ายหนังลามกจากต่างประเทศมาแอบถ่ายทำในประเทศ ไทยนั้นที่ผ่านมาถือว่าน้อยมาก ส่วนใหญ่จะลักลอบทำกันแบบกองโจร ส่งผลทำให้ตามจับยากมาก ที่ผ่านมาก็ได้ประชาชนแจ้งเบาะแสเนื่องจากรับไม่ได้กับเรื่องเหล่านี้ แต่อย่างไรก็แล้วแต่หากหนังลามกเรืองนี้มีการจงใจใช้ถ่ายประเทศไทยและทำให้ สัญลักษณ์ของประเทศเสื่อมเสีย ก็ต้องเจอคดีที่หนักคือลบหลู่ดูหมิ่นวัฒนธรรมอันดีงาม แต่ในกรณีนี้เข้าใจว่าเป็นหนังออกมาจำหน่ายแล้วเราก็จะไปสืบเสาะต้นตอว่าขาย ที่ไหนบ้าง ทำให้ส่อให้เกิดความเสื่อมเสียหรือเปล่าถ้าเสื่อมเสียเราก็ต้องทำเรื่องไป ยังประเทศเจ้าของหนังนั้นๆ ซึ่งเรื่องนี้กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงวัฒนธรรม ต้องไปประสานงานจัดการ หรือหากลงเว็บไซต์เราจะประสานกระทรวงไอซีทีบล็อกแจ้งไปยังบริษัทให้บริการ เว็บไซต์ขออย่าเอาลงมันผิดขนบธรรมเนียมประเพณีของเราแต่อย่างไรก็ต้องขอดู รายละเอียดก่อน”

ทั้งนี้ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) กล่าวทิ้งท้ายด้วยว่าอยากจะประชาสัมพันธ์ประชาชนว่าถ้าเห็นเรื่องราวแบบนี้ ให้แจ้งมาเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อจัดการไม่ให้ชาวต่างชาติทำเรื่องไม่ดีงามนี้ ออกไปสู่สาธารณะ
ที่สุดแล้วไม่ว่าผลสรุปหนังเรื่องนี้จะเป็นการเซต ขึ้นมาหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ การจงใจเอาฉากหลังเป็นสนามบินสุวรรณภูมิ สัญลักษณ์ของประเทศไทย การที่เอาผู้หญิงไทยแต่งตัวเป็นแอร์โฮสเตสจะจริงหรือไม่จริง มันก็เป็นสัญญาณเตือนว่าเมืองไทยอาจจะกลายเป็นศูนย์กลางของการสร้างหนังโป๊ ระดับโลกก็ได้ ที่สำคัญมันสะท้อนการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และ ระบบของสนามบินระดับชาติยังไร้ประสิทธิภาพอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง
ดูวีดิโอคลิป

รู้ไว้ใช่ว่า - ย้อนประวัติข่าวหนังโป๊ที่มาถ่ายทำในเมืองไทยแล้วโดนจับได้


-วัน ที่ 6 ก.ย. 2549 บุกทลายกองถ่ายหนังโป๊แดนปลาดิบริมชายหาดพัทยา ใกล้กับวัด รวบผู้กำกับหนัง นักแสดง คนไทยร่วมเป็นพระเอก มีการก่อสร้างที่พักแบบชั่วคราวเป็นกระต๊อบไม้ไผ่ มุงหลังคาใบจาก สร้างเรียงรายติดกัน 3 หลัง โดยตำรวจได้เข้าไปตรวจสอบถึงตะลึงตาค้าง เมื่อพบว่าภายในกระต๊อบมีหญิงสาวเอเชียกับหนุ่มคนไทยกำลังแสดงการพลอดรักมี เพศสัมพันธ์อย่างสุดมันส์ โดยมีตากล้องคอยบันทึกเทปโทรทัศน์อยู่ข้างๆ หลังจากที่ตำรวจได้เห็นภาพดังกล่าว โดยสามารถรวบนักแสดง ผู้กำกับ ตากล้อง ช่างไฟ และผู้ช่วยกองถ่าย ได้ทั้งสิ้น 11 คน ทราบ ชื่อ คือ นายทาเคชิ มัตซิโอ๊ะ อายุ 58 ปี นายโยชิฮิโก๊ะ เทราต๊ะ อายุ 32 ปี นายไคโซะ วาทานาเบ๊ะ อายุ 55 ปี นายมาซายู กิ สุว่ะ อายุ 37 ปี นายนากามูระ เรียวตะ อายุ 24 นางสาวอายามิ มิสุโมโต๊ะ อายุ 20 ปี นางสาวโทโมเอะ โกคิตะ อายุ 21 ปี ซึ่งเป็นชาวญี่ปุ่น อีกทั้งมีคนไทยคือนายอ๊อด สังข์นุช อายุ 32 ปี อยู่บ้านเลขที่ 30 ม.2 ต.นาเกลือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี นายประชา สวัสดี อายุ 17 ปี อยู่บ้านเลขที่ 42/11 ม.12 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี และ นายแสน พลรักษ์ษา อายุ 50 ปี อยู่บ้านเลขที่ 47 ม.6 ต.โคกสง่า อ.พล จ.ขอนแก่น

-วันที่ 20 พ.ค. 2550 บุกทลายสตูดิโอหนังโป๊กลางกรุง ตำรวจนครบาลยกกำลังเข้าทลายสตูดิโอถ่ายทำหนังโป๊ภายในบ้านเดี่ยวซอยลาดพร้าว 94 เขตวังทองหลาง กทม. พบนายแบบ-นางแบบกำลังแสดงหนังสดให้บันทึกภาพลงวีซีดี ขายย่านคลองถมและส่งไปฮ่องกง ตร.บุกทลายถ่ายซีดีโป๊กลางกรุง เผยเปิดเป็นสตูดิโอหรูอยู่ในบ้านเดี่ยวชั้นเดียว ซอยลาดพร้าว 94 ระหว่างตรวจค้นพบจะจะ นักแสดงชาย-หญิงกำลังเริงรักกันอย่างถึงพริกถึงขิงหน้ากล้องถ่ายทำ รวบได้ทั้งทีมทั้งผู้กำกับฯ นักแสดง ตากล้อง ช่างแต่งหน้าทำผม รวมทั้งเจ้าของบ้าน สารภาพคนฮ่องกงเป็นนายทุน ให้เอเย่นต์ย่านคลองถมปั๊มซีดีขายทั่วประเทศ-ฮ่องกง พร้อมตรวจยึดอุปกรณ์การถ่ายทำต่างๆ อาทิ แผ่นการ์ด อวัยวะเพศชายเทียม หนังสือลามกต่างๆ

- วันที่ 12 มิ.ย. 2550 ปดส.นำกำลังรวบทีมถ่ายหนังโป๊ คาอพาร์ตเมนต์หรู ย่านบางนา พบนักแสดงชาย-หญิงกำลังร่วมเพศอย่างโจ๋งครึ่ม ยึดอุปกรณ์ถ่ายทำเพียบ ตร.ระบุเป็นเครือข่าย "โบเว่น จอห์น กิลล์เบิร์ต" เฒ่าอเมริกันที่ถูกจับกุมเมื่อปีที่แล้ว ภายในห้องพักเลขที่ A4B ชั้นที่ 4 อาคารทอมสันเรสซิเดนท์ ซอยบางนาตราด 4 ถนนบางนา-ตราด แขวงและเขตบางนา พบชายหญิงจำนวน 5 คน กำลังร่วมเพศและบันทึกภาพยนตร์กันอย่างโจ๋งครึ่ม เมื่อทั้งหมดเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ถึงกับหน้าถอดสี ทำอะไรไม่ถูก เจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัวไว้ได้ทั้งหมด ประกอบด้วย นายโจ มาคอส เปอร์ไลล่า อายุ 23 ปี นายมอริเคน อายุ 25 ปี นายฟิลลิปเป้ เค โอริเวร่า อายุ 29 ปี ทั้ง 3 คนเป็นชาวบราซิล ส่วนผู้หญิงอีก 2 คน คือ นางเทอเรซ ซิต้า อีดาเดส อายุ 25 ปี ชาวฟิลิปปินส์ และนายวิทยา เมฆวิลัย อายุ 25 ปี สาวประเภทสองชาวไทย พร้อมของกลางกล้องถ่ายวีดิโอ 1 ตัว กล้องถ่ายภาพนิ่ง 1 ตัว ชุดไฟสตูดิโอ 1 ชุด เจลหล่อลื่น 1 หลอด และถุงยางอนามัยอีกจำนวนหลายกล่อง



-วันที่ 1 ก.พ. 2551 ตำรวจเมืองพัทยาบุกทลายสตูดิโอถ่ายหนังโป๊ ตะลึงเจอห้องดัดแปลงเป็นสถานที่ถ่ายหนังเอ็กซ์สุดหรู อุปกรณ์ถ่ายทำครบครัน มีเจลเสพสมพร้อมสรรพ รวบหนุ่มเมืองน้ำหอม สวมบทพระเอกในหนังลีลายั่วยวนโจ๋งครึ่มเกินบรรยาย เครือข่ายเดียวกับหนุ่มผู้ดีผู้ต้องหาคดีถ่ายทำหนังเอ็กซ์ เผยแพร่ทางเว็บไซต์ เสนอขายเซ็กซ์ทัวร์ฉาวไปทั่วโลก เข้าจับกุมนายแจ๊คครูซ เบกู อายุ 42 ปี สัญชาติฝรั่งเศส ที่ห้องพักหมายเลข 215 จอมเทียนฮิลล์ รีสอร์ต เลขที่ 357/16 ถนนชายหาดจอมเทียน หมู่ 12 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ผู้ต้องหาร่วมขบวนการทำธุรกิจถ่ายหนังลามกอนาจาร และยังเป็นผู้จัดหาหญิงสาว เพื่อค้าประเวณีผ่านทางเว็บไซต์ จากการเข้าตรวจค้นภายในห้องพัก พบว่าดัดแปลงเป็นสตูดิโอถ่ายทำหนังเอ็กซ์ สุดหรู มีอุปกรณ์จัดฉากการแสดง ไฟแสงสี อย่างครบครัน มีเตียงนอนขนาดใหญ่ พร้อมทั้งอุปกรณ์ใช้ในการร่วมเพศ อาทิ เจลหล่อลื่น และชุดหนังเซ็กซี่จำนวนมาก อีกทั้งมีอุปกรณ์ในการตัดต่อภาพ

-วันที่ 8 เม.ย. 2553 พดส.ภาค 2 บุกจับ หนุ่มมะกันถ่ายหนังโป๊คู่สาวไทย เผยแพร่เว็บไซต์ขายทั่วโลก ตามค้นบ้านพักกลางเมืองพัทยาพบของกลางอุปกรณ์ประกอบฉากหนังครบชุด-ยาเสพติด และอาวุธปืนเถื่อนตำรวจเข้าจับกุมนายแอนโทนี่ อายุ 40 ปี สัญชาติอเมริกัน ผู้ต้องหาในคดีลวงหญิงสาวชาวไทยมาถ่ายทำวีดิโอโป๊เปลือยเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ ทางอินเทอร์เน็ต ขณะนอนหลับอยู่ในห้องพักหมายเลข 312 ชั้น 3 สแปนิชคอนโดมิเนียม ริมถนนสุขุมวิท หมู่ 9 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ตรวจค้นในห้องพักพบของกลางกล้องวีดิโอ ยี่ห้อโซนี่ 1 ตัว กล้องถ่ายภาพนิ่ง 2 ตัว คอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ 1 เครื่อง กล้องวีดิโอเว็บแคม 1 ตัว อวัยวะเพศชายเทียม เสื้อผ้า-อุปกรณ์ประกอบฉาก ม้วนวีดิโอภายในมีภาพหญิงสาวชาวไทยกำลังร่วมเพศกับชายชาวต่างชาติจำนวนหลาย ม้วน กัญชาแห้ง 2 ห่อเล็ก ฝิ่นดิบ 1 ก้อน และอาวุธปืนขนาด .38 1 กระบอก พร้อมกระสุนขนาดเดียวกันอีก 10 นัด.


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ไท(คน)อีสาน หรือ ลาว!!!
ไท(คน)อีสาน หรือ ลาว!!!
ไท(คน)อีสาน หรือ ลาว!!!

ในบรรดากลุ่มชาติพันธุ์ทั้งหลาย พวกลาวนับได้ว่าเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุด มีการเคลื่อนย้ายไปตั้งหลักแหล่งทำมาหากินในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศ การเติบโตของกลุ่มคนลาวเริ่มต้นในสมัยรัชกาลที่ 4 จากบันทึกของบาทหลวงปาลเลอกัวร์สังฆราชศาสนาคริสต์คาทอลิกในประเทศไทยสมัย นั้นบันทึกว่ามีประชากรทั้งหมดในประเทศสยามประมาณ 6 ล้านคนเป็นคนสยาม และลาว 3 ล้านคน คนจีน 1 ล้าน 5 แสนคน การอพยพของกลุ่มคนลาวมาจากการถูกกวาดต้อนเนื่องจากสงครามเมื่อครั้งสยามเสีย กรุงศรีอยุธยาแก่พม่าตั้งแต่ พ.ศ. 2310 ทำให้กลุ่มคนลาวถูกกวาดต้อนมาเป็นพลเมืองของสยาม สมัยกรุงธนบุรีจนถึงสมัยรัชกาลที่ 5 นั้น เกือบทั้งหมดมาจากการกวาดต้อนเป็นเชลยสมบูรณ์รวมเป็นพลเมือง มีที่มาจากเขตเมืองใหญ่ ๆ 2 เมือง คือ เมืองเวียงจันทน์และเมืองหลวงพระบาง!!!

กลุ่มชาติพันธุ์ลาวกับการตั้งถิ่นฐานในสยาม ในราชสำนักสยามสมัยรัชกาลที่ 5 มีการเรียกขานกลุ่มชาติพันธุ์ลาวตามการตั้งถิ่นฐานและลักษณะทางรูปร่าง เช่น เรียกคนในแคว้นล้านนาว่า ลาวพุงดำ โดยคนกลุ่มนี้จะมีประเพณีการสักร่างกายของตนตั้งแต่พุงลงมาถึงหัวเข่าเป็น สิ่งกำหนดเพื่อให้แตกต่างไปจากคนในแคว้นล้านนา แคว้นล้านช้างที่ไม่มีประเพณีในการสักพุง จึงถูกเรียกว่า ลาวพุงขาว
นอกจากนี้ พบว่า ผู้คนเบื้องล่างที่เป็นประชาชนโดยทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นไทยสยาม หรือคนลาว, คนมอญ, คนเขมร, มักเรียกชื่อตามที่มา หรือไม่ก็ตามชาติพันธุ์ของคนเหล่านี้เป็นสำคัญ เช่น=
ลาวพวน คือ พวกที่ถูกวาดต้อน เทครัวมาจากเมืองพวนในแคว้นหัวพันทั้งหก.
ลาวโซ่ง หรือผู้ไท หรือไทดำ ที่มาจากแคว้นสิบสองจุไท.
ลาวหลวงพระบาง ที่มาจากเมืองหลวงพระบาง ลาวครั้งหรือลาวภูคังที่มาจากแถบภูคังในเขตหรือหลวงพระบาง และลาวเวียงที่มาจากเมืองเวียงจันทน์ในประเทศลาว และเรียกลาวจากล้านนาในลักษณะรวม ๆ ว่า ลาวยวน ซึ่งหมายถึงแคว้นโยนกในแอ่งเชียงรายที่มีเมืองเชียงแสนและเมืองเชียงรายเป็นเมืองสำคัญ.
ลาวอีสาน=Western Lanxang
การกระจายการตั้งถิ่นฐานของคนลาวในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย อาจกล่าวได้ว่าในระยะเริ่มแรกตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้นลงมา คนลาวจะกระจายกันอยู่ในบริเวณที่เรียกว่า “เขตสะสม” ก่อน คือ แถวริมฝั่งแม่น้ำโขงตั้งแต่จังหวัดเลย, หนองคาย, อุดรธานี ,สกลนคร ,จนถึงนครพนม, ซึ่งในระยะเวลานั้นจัดว่าอยู่เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรล้านช้าง ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่า ดินแดนลุ่มแม่น้ำโขงและแม่น้ำชี ซึ่งเป็นเขตอีสานกลาง และอีสานเหนือเป็นท้องถิ่นที่ชาวลาวตั้งบ้านกระจัดกระจายกันอยู่มานานแล้ว การตั้งถิ่นฐานของกลุ่มชาติพันธุ์ลาวในสมัยก่อนพุทธศตวรรษที่ 18 – 19
ตามหลักฐานทางโบราณคดี ชุมชนลาวมีการตั้งหลักแหล่งจากชุมชนที่เคยเป็นบ้านเป็นเมืองมาก่อนสมัยพุทธ ศตวรรษที่ 18 - 19 พบว่า แหล่งที่อยู่อาศัย ณ.ที่ใดมีศาสนสถานอยู่แล้ว เช่น กู่หรือเนินดิน ที่มีเสมาหินปัก จะมีการดัดแปลงศาสนสถานนั้นให้เป็นวัด ในทางพุทธศาสนาสถานที่คนลาวนับถืออยู่ และในหลายๆท้องที่ได้มีการสร้างพระสถูปเจดีย์ หรือ “ธาตุ” ขึ้นมาบูชา
แหล่งชุมชนที่ได้รับการปรับปรุงให้เป็นบ้านเมือง และมีการบูรณะหรือสร้างศาสนสถานขึ้น ที่ควรแก่การศึกษาในด้านประวัติศาสตร์ทางวัฒนธรรมของภาคอีสาน ได้แก่
บริเวณเมืองเวียงคุกในเขตจังหวัดหนองคาย และที่ตั้งวัดพระธาตุบังพวนปัจจุบันมีซากวัดและพระสถูปเจดีย์รูปแบบต่าง ๆ ที่เป็นรูปแบบทางสถาปัตยกรรม และศิลปกรรมของศิลปะล้านช้าง
พระธาตุพนม พระธาตุเรณูนคร ในเขตจังหวัดนครพนม.
พระธาตุเชิงชุม พระธาตุนารายณ์เจงเวง ในเขตจังหวัดสกลนคร.
เมืองหนองหานน้อย ในเขตอำเภอหนองหาน และพระธาตุโพนทองในเขตจังหวัดอุดรธานี.
วิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ไทลาว:
ตัวอักษรไทลาว กลุ่มชาติพันธุ์ไทลาวสืบทอดวัฒนธรรมกลุ่มแม่น้ำโขงมาตั้งแต่โบราณ มีตัวอักษรของกลุ่มตนเองใช้มาตั้งแต่สมัยอยุธยา และอาจร่วมสมัยสุโขทัย ตัวอักษรที่ใช้มี 2 แบบ คือ อักษรไทน้อย และอักษรไทธรรม ตัวอักษรน้อยเป็นอักษรสุโขทัยแบบหนึ่ง ส่วนอักษรตัวธรรมเป็นอักษรที่ได้ต้นแบบมาจากอักษรมอญโบราณคล้ายตัวอักษรตัว เมืองของภาคเหนือ นอกจากการมีตัวอักษรเป็นของตนเองแล้ว กลุ่มไทลาวสามารถสร้างสมององค์ความรู้โดยผ่านการถ่ายทอดเป็นคำบอกเล่านิทาน ในวรรณกรรมท้องถิ่นของตนเองได้ เช่น นิทานเรื่องสินไซ,จำปาสี่ต้น,ท้าวกำกาดำ,นางผมหอม, ขูลูนางอั้ว, ท้าวผาแดงนางไอ่, เป็นต้น.
การตั้งหมู่บ้านของกลุ่มไทลาว:
จะพบว่ามีการตั้งหมูบ้านตามโนนหรือโคก โดยยึดทำเลเพื่อการทำนาได้เป็นสำคัญ ท้องทุ่งนาชาวไทลาวจึงเป็นนาตีนทุ่ง คือ บริเวณรอบ ๆ หมู่บ้านจะมีที่ราบลุ่มมีหนองน้ำ หรือลำน้ำเล็ก ๆ เป็นภูมินิเวศน์ของวิถีชีวิตข้าวปลาและชุมชนหมู่บ้านของไทลาวจะตั้งไม่ห่าง ไกลป่าละเมาะสาธารณประโยชน์หรือป่าบุ่งป่าทาม หรือป่าโคก ป่าดอน ซึ่งเป็นป่าเพื่อการหาอยู่หากินเพื่อนำสัตว์ไปเลี้ยง เช่น วัว ควาย ไปเลี้ยง รวมทั้งเป็นซุปเปอร์มาเก็ตเพื่อเก็บของป่า หาสัตว์ป่าของชาวไทลาวได้ทุกฤดูกาล
ดังนั้น ความสัมพันธ์ของชาวบ้าน ชุมชนกับป่าและธรรมชาติแวดล้อม ทำให้กลุ่มไทลาวมีสถาบันของหมู่บ้านซึ่งเป็นสถาบันเก่าแก่ดั้งเดิม คือ วัด ศาลปู่ตา พระภิกษุตามคติของคนไทลาวคือผู้นำทางวิญญาณ เป็นผู้นำทางกิจประเพณีโดยไม่เลือกว่าเป็นเรื่องของพุทธ หรือความเชื่อเรื่องผี โดยเชื่อมโยงความสัมพันธ์กับสถาบันของหมู่บ้าน คือ ศาลปู่ตา หรือตูบปู่ตา ซึ่งจะตั้งทางเข้าหมู่บ้าน ซึ่งเป็นดอนที่ยื่นออกมาจากเขตหมู่บ้าน.
ประเพณี และระบบความเชื่อ:
สังคมคนไทลาว เป็นสังคมที่มีลายอักษรรู้หนังสือ นับถือพระพุทธศาสนา มีขนบธรรมเนียม และจารีตประเพณีของความเป็นเมืองอยู่ก่อนแล้ว คนไทลาวจึงใช้การนับถือพระพุทธศาสนา และการนับถือผีเป็นแกนกลางของระบบประเพณี พิธีกรรม สามารถสร้างความสมดุลในระบบความเชื่อทั้งสอง ทำให้เกิดการดำรงชีวิตที่ราบรื่น และมั่นคงมีจิตใจที่ดีกว่าชนชาติอื่น ๆ...
คนไทลาวในภาคอีสานจะนับถือผีบ้าน หรือเรียกว่าผีปู่ตา หรือผีตาปู่ ซึ่งชุมชนบ้านไทลาวต้องมีศาลปู่ตา ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในบริเวณใดบริเวณหนึ่งภายในหรือใกล้กับหมู่บ้าน มักเป็นบริเวณที่แยกจากเขตเรือนและมีต้นไม้ใหญ่ปกคลุม แสดงเป็นเขตเฉพาะที่ใครจะมาหักโค่นต้นไม้ไม่ได้จนมักมีผู้กล่าวว่าศาลผีปู่ ตาเป็นสิ่งที่ช่วยอนุรักษ์ป่าไม้ไว้ได้เหมือนกัน ศาลปู่ตาเป็นศาลของผีบ้าน มีเจ้าจ้ำหรือหมอจ้ำเป็นผู้ที่ติดต่อวิญญาณ ณ บริเวณศาลปู่ตา ศาลปู่ตาจึงเป็นผีบรรพบุรุษของคนในบ้านที่เวลามีการโยกย้ายถิ่นฐาน ผู้คนในบ้านต้องพามาด้วยเพื่อคอยปกป้องคุ้มครองมักมีการเซ่นไหว้ประจำปีโดย ผ่านเจ้าจ้ำหรือหมอจ้ำเป็นผู้นำประกอบพิธีกรรมเป็นเสมือนการบอกกล่าวในยาม ที่มีความเดือดร้อนเกิดขึ้น เช่น ก่อนทำนาจะต้องมีการบอกกล่าว หรือเรียกว่าเลี้ยงผีตาแฮก เป็นต้น อาจกล่าวได้ว่าผีปู่ตา คือผีผู้ดูแลและให้ความร่มเย็นเป็นสุขแก่ผู้คนในหมู่บ้าน แต่หากคนไม่อยู่ในจารีตประเพณีที่ดีงามแล้วจึงเป็นการละเมิดผีละเมิดกฎของ ชุมชน และอาจถูกผีปู่ตาลงโทษให้เกิดความเดือดร้อน และความวิบัตินานาประการแก่ผู้คนในชุมชนได้
การสร้างบ้านเรือนของชาวบ้านไทลาว ในบริเวณแอ่งสกลนคร พบว่า บ้านเรือนของไทลาวจะเป็นบ้านเรือนเพื่ออยู่อาศัย จึงไม่ได้ประณีตบรรจงสร้างมากกว่า บ้านของไทลาวที่มีฐานะปานกลางจะมีการสร้างบ้านเรือนที่เป็นเอกลักษณ์ คือ เป็นบ้านเรือนขนาด 2 ห้องนอน คือ มีห้องส้วม ซึ่งหมายถึงห้องของลูกสาวและหอของลูกสาว และหอเปิง หมายถึง ห้องของหัวหน้าครอบครัว และมีหิ้งผีบรรพบุรุษอยู่ที่มุมห้องหรือแจห้อง บางครั้งจะเรียกห้องนี้ว่าห้องฮักษา นอกจากนี้ยังมีส่วนที่เป็นบริเวณชาน จะติดกลับครัวที่มีขนาดเล็ก เป็นส่วนใหญ่ มีใต้ถุนสูง เพื่อใช้เป็นลานทอผ้า เก็บเครื่องมือทำนา และคอกวัว - ควาย ส่วนเล้าข้าวจะตั้งอยู่ติด ๆ กับตัวบ้าน ขนาดของเล้าจะบ่งบอกถึงฐานะของเจ้าของบ้านหลังนั้น ๆ เล้าข้าวของไทลาวจะนิยมทำด้วยไม้ที่ทนต่อการกินของปลวก เช่น ไม้แดง ไม้เต็ง เป็นต้น
อาหารของชาวไทลาว: จะรับประทานข้าวเหนียวเป็นหลัก อาหารของชาวไทลาว คือ อาหารเครื่องจิ้ม เช่น แจ่วบอง ป่นนานาชนิด เช่น ป่นเขียด ป่นกบ ป่นปลา เป็นต้น ในงานเทศกาลสำคัญของชาวไทลาวจะมีอาหารพิเศษ เช่น ลาบหมู ลาบไก่ ลาบปลา ลาบวัว ก้อยกุ้ง ก้อยเนื้อ ก้อยหอย เนื้อวัว – เนื้อควายย่าง แกงต่าง ๆ ของชาวไทลาวจึงเรียกว่า อ่อม ส่วนอาหารหลักประจำวันคือส้มตำมะละกอ.

การละเล่นเครื่องดนตรี: โดยส่วนมากพบว่า ชาวไทลาวเป็นกลุ่มคนที่รักสนุก จิตใจร่าเริง อาจด้วยความทุกข์ลำบากของสภาพแวดล้อมที่ฝนแล้ง น้ำท่วม หนาวจัด ในบางฤดูกาลที่ผันแปรตลอด ทำให้ชีวิตของชาวไทลาวต้องอาศัยการละเล่นที่สนุกสนานสอดแทรกในชีวิตตลอด เสมือนกับการหาทางออกที่รื่นรมย์ให้กับชีวิต ชาวไทลาวจะมีการร้องลำในแบบหมอลำเซิ้ง โดยใช้เครื่องดนตรีประกอบที่สำคัญคือ แคน พิณ กลอง นอกจากนั้นยังมีความบันเทิงอีกแบบ คือ หนังปะโมทัย หรือหนังตะลุง กำลังจะสูญหายไปกับบรรพบุรุษที่เล่นหนังปะโมทัย เพราะการขาดคนรุ่นใหม่สืบทอดนั่นเอง
พิธีกินดอง: คนไทลาวที่เป็นหนุ่มสาวจะมีพิธีสำคัญในชีวิตการเลือกคู่ครอง และเข้าสู่พิธีแต่งงาน หรือพิธีกินดองหนุ่มสาวไทลาวจะค่อนข้างได้รับอิสระจากพ่อแม่ในการเลือกคู่ ครอง คือ พ่อแม่จะไม่ค่อยเคร่งครัดในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างหนุ่มสาวไทลาวจะ ตระหนักถึงคำสอนของพ่อแม่ในเรื่องการผิดผี หรือการเกรงกลัวผีบรรพบุรุษไม่กล้าที่จะประพฤติล่วงประเพณี หรือเรียกว่าผิดผีฮีตบ้านคองเมือง
เครื่องแต่งกาย: ของกลุ่มไทลาวในสมัยอดีต ผู้หญิงจะนุ่งผ้าซิ่นยาวปิดเข่า จะตกแต่งชายผ้าซิ่น เรียกว่า ตีนซิ่น ซึ่งนิยมตีนซิ่นสีน้ำเงินเข้ม สีหม้อดินแทรกทางลงสีขาว ปกติใช้ผ้าฝ้าย หากเป็นพิธีการจะใช้ผ้าไหม เสื้อแขนกระบอกเกล้าผมมวยสูง หากมีอายุแล้วฝ่ายหญิงจะเกล้าผมมวยต่ำไว้ที่ท้ายทอย ห่มสไบทับหรือเรียกว่าผ้าเบี่ยงหรือห่มเบี่ยง ส่วนฝ่ายชายจะนุ่งกางเกงเรียกตามภาษาถิ่นว่า โซ่ง เป็นกางเกงยาวเหนือเข่าหรือเสมอเข่า เสื้อคอกลม ผ่าหน้าติดกระดุม แขนกระบวก ผ้าขาวม้าคาดเอว บางครั้งจะนุ่งโสร่งผ้าไหม ซึ่งมักจะเป็นงานพิธีการจะนิยมสวมใส่ผ้าไหม

ประเพณี: จะเปิดโอกาสให้หนุ่มสาวได้ร่วมกิจกรรมด้วยกันเสมอ ที่สำคัญคือการลงข่วง คือในช่วงเวลากลางคืน หนุ่ม ๆ จะมาช่วยสาว ๆ ปั่นฝ้าย และเกี้ยวพาราสีกันได้ในงานบุญประเพณีต่างๆ เช่น จัดที่วัด จะเปิดโอกาสได้พบปะพูดคุยกัน หากชอบพอกันก็จะตามกันไปเยี่ยมเยือนกันที่บ้านฝ่ายหญิง และสัมพันธ์ต่อเนื่องกันจนชอบพอกัน ซึ่งจะอยู่ในสายตาของพ่อแม่ตลอดจนถึงขั้นรักชอบพอ และจะสู่ขอกันในพิธีกินดองต่อไป
การกินดอง: เป็นการเลี้ยงในพิธีแต่งงานที่จัดเป็นพิธีใหญ่ คือ ฝ่ายชายและฝ่ายหญิงจะเป็นผู้ที่อยู่ในครอบครัวที่มีฐานะ มีหน้ามีตาของหมู่บ้าน ฝ่ายหญิงสาวจะรู้ว่าพ่อแม่ของตนเองเป็นผู้ที่ชาวบ้านนับถือ เมื่อสมัครใจรักกับหนุ่มคนไหนจะไม่ยินยอมให้ฝ่ายชายมาซูน แตะต้อง เพราะถือว่าเป็นการไม่รักษาหน้าพ่อ แม่ ญาติพี่น้อง ดังนั้น ฝ่ายหญิงสาวจะให้ฝ่ายชายมาสู่ขอตามประเพณีการสู่ขอเพื่อแต่งงาน เรียกว่า โอม หรือ โอมสาว
พิธีโอม การสู่ขอ: จะเริ่มต้นเมื่อฝ่ายชายส่งแม่สื่อหรือแม่ล่ามไปทาบทามความสมัครใจจากฝ่าย หญิง โดยแม่สื่อจะไต่ถามและบอกข่าวว่า บุตรชายบ้านนั้นต้องการจะมาโอมบุตรสาว โดยพ่อแม่จะเรียกบุตรสาวมาถามความสมัครใจ หากฝ่ายหญิงสมัครใจก็จะทำพิธีโอม โดยแม่สื่อจะปรึกษากับฝ่ายผู้ใหญ่ของฝ่ายสาวเรื่องการกำหนดทำพิธีโอม ถึงวันกำหนดทำพิธีโอมกัน เจ้าโคตรฝ่ายชาย เจ้าโคตรคือบุคคลที่เป็นผู้ใหญ่หรือผู้อาวุธโสของตระกูล จะเป็นเฒ่าแก่จัดพานหมาก 4 คำ หรือเรียกว่าขันหมาก กับเงิน 3 บาท ไปบ้านเจ้าสาว บิดา มารดา ญาติพี่น้องต้อนรับเจ้าโคตรฝ่ายชายที่เป็นเฒ่าแก่มาสู่ขอ (หรือมาโอม) ตามสมควร เมื่อทั้งสองฝ่ายได้นั่งตามสมควรแล้ว เฒ่าแก่ฝ่ายชายจะยกพานหมาก 4 คำ มีผ้าขาวปิดไว้ ให้บิดามารดาของฝ่ายสาวกิน และรับเงิน 2 บาทที่อยู่ในพานนั้นด้วย เงินนี้เรียกว่า เงินไขปากคอ การรับเงินแสดงว่าฝ่ายสาวตกลงใจแล้ว หากไม่ตกลงฝ่ายสาวจะส่งเงิน 3 บาทคืน ครั้นเมื่อพิธีโอมเสร็จแล้วทั้งสองฝ่ายจะปรึกษาค่าสินสอดกัน เรียกว่า คาดค่าดอง และต่อมาจึงทำพิธีแต่งงานตามกำหนดเวลาฤกษ์ดีของเจ้าโคต!!!

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ທ່ານ specom ທີ່ນັບຖື


ເຫັນແຕ່ ຮູບຢູ່ ທູບ, ໄທບໍ່ຢາກຕຳນິບໍ່ຄື ບໍ່ເຫັນມີໃນຫນັງສືພິມ ຫລື ວ່າລົງຂ່າວ ພໍຄືຯ.​ ຢ້ານວ່າ ສົ່ງມາໃຫ້ ໄທນ້ອຍໂພດ ເລີຍທຳທ່າວ່າ ໂຕເອງເປັນຄົນດີ.​ ນາຍຫນ້າ ກໍ່ແມ່ນ ຄົນໄທ ຈຳນ່າຍ ກໍແມ່ນ
ຄົນໄທ ຂາຍຢາເສບຕິດ ກໍ່ແມ່ນຄົນໄທ ເສບຢາກໍແມ່ນຄົນໄທ.


ຄົນລາວກໍ່ມີສ່ວນ ໂດຍບໍ່ຣິສັດ ຜຣິດຢາຝິ່ນ ຂອງພັກ ແລະ ລັດ, ປູກຢາຝິ່ນ ແມ່ນລາວ, ຜລິດເປັນຢາເສບຕິດ ໂດຍບໍ່ຣິສັດ ໄກສອນ ແລະ ຄຳໄຕ, ສົ່ງໄປໄທກໍ່ແມ່ນ ພນັກງານຂອງລັດ.
ຍ້ອນດັ່ງນັ້ນ ລາວຈະລຸດພົ້ນຈາກປະເທດທີ່ທຸກ ມາເປັນປະເທດທີ່ຮັ່ງມີຢາເສບຕິດ.


ຮັກແພງ
ຕັນ
ເບິ່ງຄວາມ ອົງອາດຂອງພນັກງານລັດ ສປປລ ຄ້າຢາເສດຕິດ ໂດຍໃຊ້ພາຫະນະຂອງອົງການຊ່ວຍເຫືລອລາວ


http://www.youtube.com/watch?v=8D-ptU-Es3w&feature=player_embedded


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ไทยจะมีวิกฤตคนชราจริงหรือ?



โดย ใจ อึ๊งภากรณ์



พวกนักการเมืองฝ่ายทุน และนักวิชาการฝ่ายขวาจากสำนักเสรีนิยมกลไกตลาด (neoliberal) ในตะวันตก พูดมานานว่าในประเทศพัฒนามี “วิกฤตคนชรา” เพื่อให้ความชอบธรรมกับการตัดสวัสดิการบำเหน็จบำนาญ และบังคับให้คนงานทำงานนานขึ้นก่อนเกษียน ข้ออ้างเท็จของพวกนี้คือการที่คนชรามีอายุยืนนานขึ้น และการที่สัดส่วนคนในวัยทำงาน เมื่อเทียบกับคนเกษียนมีมากขึ้น



ตอนนี้ในไทยดร.สราวุธ ไพฑูรย์พงษ์ และดร.มัทนา พนานิรามัย จากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI)[1] “เตือน” ว่าคนทำงานในปัจจุบัน จะต้อง “ทำใจยอมรับการทำงานที่ยาวนานขึ้น” รวมทั้งต้องเก็บออมให้เพียงพอต่อการใช้ตลอดชีวิตเมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ พร้อมกันนั้นมีการกล่าวว่า ในไทยในปี๒๕๕๒ มีสัดส่วนวัยแรงงานที่สามารถเกื้อหนุนการดูแลผู้สูงอายุได้โดยเฉลี่ย วัยแรงงาน 4 คนต่อผู้สูงอายุ 1 คน แต่ในอีก 30 ปีข้างหน้าจะเปลี่ยนเป็นวัยแรงงาน 1.6 คนต่อการดูแลผู้สูงอายุ 1 คน



ทางออกของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยนี้ คือ “ควรดำเนินการให้มีการบริโภคอย่างฉลาดและลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น ส่งเสริมให้มีรายได้จากการทำงานเพิ่มขึ้น โดยส่งเสริมให้ทำงานในระบบมากขึ้นและได้รับการคุ้มครองแรงงานเพื่อให้ผู้สูงอายุมีงานทำ มีรายได้ และมีการส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งทุนต่าง ๆ เพิ่มขึ้น รวมทั้งส่งเสริมการออมเพื่อชราภาพมากขึ้น”



ซึ่งทั้งหมดที่ TDRI เสนอมานี้ เป็นการโยนภาระให้คนจน ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ในไทย ต้องดูแลตนเอง ทำงานนานขึ้น และต้องใช้แนวเศรษฐกิจพอเพียง เพราะมีการมองว่าคนธรรมดาในปัจจุบันยากจนเพราะใช้จ่าย “ฟุ่มเฟือย”



สรุปแล้วไม่มีการพิจารณาภาพรวมของสังคมไทย และข้อถกเถียงต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ในแวดวงวิชาการระดับโลกเลย นักวิชาการฝ่ายขวาไทยเสนอแนวคิดของตนเหมือนกับว่าเป็น “ข้อมูลวิทยาศาสตร์” ตามเคย



ในภาพรวม สิ่งที่นักวิชาการ TDRI จงใจมองข้ามคือ คนส่วนใหญ่ที่ทำงานในประเทศไทย ได้รับค่าตอบแทนน้อยเกินไป เพราะมูลค่าส่วนใหญ่ที่เขาร่วมกันผลิต ไม่ว่าจะในภาคอุตสาหกรรม ภาคเกษตร หรือภาคบริการ กลับตกอยู่ในมือของคนส่วนน้อยที่เป็นนายทุน นักการเมือง และอภิสิทธิ์ชนที่ไม่เคยทำงานเลย นี่คือสาเหตุที่ในปี ๒๕๕๒ คนรวยที่สุดในไทย 20% ครอบครอง 59% ของทรัพย์สินทั้งหมด ในขณะที่คนจนที่สุด 20% ครองแค่ 3.9%[2] และดัชนีวัดความเหลื่อมล้ำ (Gini Coefficient) ของไทยสูงกว่าประเทศจีนและประเทศอินเดีย คือสูงถึง 0.54 เมื่อเทียบกับจีน 0.42 และอินเดีย 0.37[3] พูดง่ายๆ คนส่วนใหญ่ที่ทำงานในประเทศไทยสร้างเศรษฐกิจให้เจริญ แต่ไม่ได้ผลตอบแทนอย่างเป็นธรรม แล้วพอพ้นวัยทำงานก็ถูกนายทุนทอดทิ้งไปเลย มันเป็นสถานการณ์ที่ขัดกับศีลธรรมพื้นฐานโดยสิ้นเชิง และในสถานการณ์แบบนี้ TDRI เสนอให้คนจนออมเพิ่มผ่านการลดค่าใช้จ่าย เพราะสำนักวิชาการฝ่ายขวานี้ ปฏิเสธมาตรการทุกชนิดที่จะกระจายความร่ำรวยอย่างเป็นธรรมไปสู่พลเมืองทุกคน



นอกจากนี้มีประเด็นรายละเอียดสำคัญๆ หลายประเด็นที่นักวิชาการจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยนี้ ปิดหูปิดตา ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ไม่ยอมพิจารณา ดังนี้คือ



1. ไม่มีการยอมรับความจริงทางเศรษฐกิจว่าใน 30-50 ปีข้างหน้าจะมีการพัฒนาประสิทธิภาพการทำงานในประเทศไทย ซึ่งจะเพิ่มความสามารถของคนในวัยทำงานที่จะดูแลคนชรา นอกจากนี้ในทุกประเทศการชะลอของอัตราเกิดที่ทำให้สัดส่วนคนชราเพิ่มขึ้นเป็นปรากฏการณ์ชั่วคราวเท่านั้น เพราะในที่สุดสัดส่วนนั้นจะคงที่และไม่เปลี่ยนอีก อย่างเช่นในกรณีอังกฤษซึ่งมีคนชรา 20% เหมือนกับ 20ปี ก่อน และที่สำคัญอีกคือในประเทศที่อัตราการเกิดตกต่ำกว่าอัตราการตายเป็นเวลานาน การขาดแรงงานแก้ได้โดยการเปิดพรมแดนต้อนรับคนงานจากที่อื่นได้ ประเทศไทยก็ไม่ต่าง



2. แทนที่จะเสนอว่าในสังคมไทยควรมีการเพิ่มเงินเดือนอย่างเป็นระบบ เพื่อให้คนสามารถออมได้ และจ่ายค่าประกันสังคม และเพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำมหาศาลระหว่างนายทุนคนรวยกับประชาชนส่วนใหญ่ พวกนักวิชาการสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย เสนอว่าคนธรรมดาควร “ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น” และ “รู้จักออม” หรือไม่ก็ควรมีงานทำ “ในระบบ” แต่จริงๆ แล้วในประเทศไทยควรมีการเพิ่มระดับค่าจ้างขั้นต่ำไปสู่ปีละ 10,000 บาทเป็นอย่างน้อย และควรมีการจำกัดระดับรายได้ของเศรษฐีผู้ที่มีรายสูง ผ่านการเก็บภาษี Super Tax อย่างที่อาจารย์ปรีดีเคยเสนอ



แน่นอนพวกเสรีนิยมจะค้านว่า การเพิ่มรายได้ให้คนทำงานและการเก็บภาษีสูงจากเศรษฐีจะทำลาย “แรงจูงใจในการลงทุน” ของคนรวย แต่ตรรกะเสรีนิยมนี้ คือการเสนอว่าระบบเศรษฐกิจอยู่ในมือ “โจรโลภมาก” ที่เราต้องเอาใจเสมอ และ “เราไม่มีทางเลือกอื่น”



3. นักวิชาการ TDRI ไม่มีการนำตัวเลขมูลค่าทั้งปวงที่คนงานไทยสร้างขึ้นในระบบเศรษฐกิจ มาเปรียบเทียบกับรายได้และสวัสดิการอันน้อยนิดของเขา ไม่มีการพิจารณาตัวเลขงบประมาณทหาร และงบประมาณพิธีกรรมต่างๆ ของอภิสิทธิ์ชน เพราะถ้าทำอย่างนั้นเราจะเห็นว่าในสังคมไทย มูลค่าที่คนส่วนใหญ่ผลิตขึ้นด้วยการทำงาน กลับถูกใช้โดยคนอื่นในทางที่ผิด และยิ่งกว่านั้นคนที่พยายามพูดเรื่องแบบนี้จะถูกขู่ว่าเป็นพวก “ล้มเจ้าไม่เคารพกองทัพ” เป็นต้น





สถานการณ์สากล

ในระดับสากล ก่อนที่จะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลกปีค.ศ. 2008 นักวิชาการและนักการเมืองเสรีนิยมเสนอว่าคนชราทั่วไปในสังคม “เป็นภาระ” ถึงขั้นวิกฤต ความคิดนี้นอกจากจะไม่ระลึกถึงบุญคุณที่เราควรจะมีต่อคนทำงานรุ่นก่อน ที่สร้างเศรษฐกิจเราให้เจริญแล้ว ยังเป็นความเชื่อเท็จที่เสนอไปเพื่อเพิ่มอัตรากำไรให้บริษัทและกลุ่มทุน เพราะพวกนี้กำลังเสนอว่าบำเหน็จบำนาญของคนชรา “แพงเกินไป” ในยุโรปความเชื่อนี้นำไปสู่การยืดเวลาทำงาน มีการพยายามขยายอายุเกษียนถึง 65 หรือ 67 มีการเรียกเก็บเงินสมทบเพิ่ม และมีการกดระดับสวัสดิการอีกด้วย



“วิกฤตของกองทุนบำเหน็จบำนาญ” ที่นักการเมืองและนักวิชาการเสรีนิยมพูดถึง ไม่ได้มาจากการที่มีคนชรามากเกินไปแต่อย่างใด แต่มาจากการที่รัฐบาลและบริษัทลดงบประมาณที่ควรใช้ในการสนับสนุนกองทุนดังกล่าว และไม่ยอมเก็บภาษีในอัตราเดิมสมัยที่เริ่มสร้างรัฐสวัสดิการ เป้าหมายคือการเพิ่มอัตรากำไรโดยทั่วไป



ประเด็นเรื่องคนชราเป็นประเด็นที่เกี่ยวกับการแบ่งมูลค่าในสังคมที่คนทำงานสร้างขึ้นมาแต่แรก บำเหน็จบำนาญเป็นเงินเดือนที่รอจ่ายหลังเกษียน ไม่ใช่เงินของรัฐหรือนายทุน แนวคิดเสรีนิยมต้องการจะรุกสู้เพื่อให้ฝ่ายนายทุนได้ส่วนแบ่งมากขึ้นจากคนทำงาน ผลเห็นชัดที่สุดในสหรัฐอเมริกาเพราะระดับรายได้ของคนธรรมดาในสหรัฐในปีค.ศ. 1993 แย่ลงกว่า 20ปี ก่อนและคนงานสหรัฐส่วนใหญ่ต้องทำงานเพิ่มอีกหลายวันต่อปี ในขณะเดียวกันสัดส่วนมูลค่าการผลิตที่ตกกับผู้บริหารและเจ้าของทุนมีการเพิ่มขึ้นมหาศาล



ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจโลกที่เริ่มในปีค.ศ. 2008 รัฐบาลตะวันตกหลายแห่ง ผลักดันแนวเสรีนิยมและเสนอว่าคนงานทุกคนต้องทำงานนานขึ้นก่อนเกษียน มีการเสนอว่าทุกคนต้อง “ทำใจ” ยอมรับการตัดบำเหน็จบำนาญ และต้องพร้อมจะจ่ายเงินสมทบบำเหน็จบำนาญสูงขึ้น ข้อแก้ตัวใหม่ที่รัฐบาลเหล่านี้ใช้คือปัญหาหนี้สินของรัฐ แต่เขาไม่ซื่อสัตย์พอที่จะยอมรับว่าหนี้ภาครัฐมาจากการอุ้มธนาคารที่ล้มละลายจากการปั่นหุ้นในตลาดเสรี ดังนั้นพวกนี้พร้อมจะให้คนธรรมดาแบกรับภาระวิกฤตที่นายธนาคารและนายทุนสร้างแต่แรก ในขณะเดียวกันพวกนายทุนและนักการเมืองก็ขยันดูแลตนเอง โดยรับประกันว่าพวกเขาจะได้บำเหน็จบำนาญหลายร้อยเท่าคนธรรมดาเมื่อตนเองเกษียน นี่คือสาเหตุที่เกิดการประท้วงนัดหยุดงานของสหภาพแรงงานในหลายประเทศ



ทางออกในการแก้ปัญหาที่ดีกว่าข้อเสนอของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย



1. ประเทศไทยต้องสร้างรัฐสวัสดิการ ที่มีระบบประกันสังคมถ้วนหน้าสำหรับวัยชรา เพื่อให้คนเกษียนมีชีวิตอยู่ได้ด้วยศักดิ์ศรี โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาคนในครอบครัว หรือพึ่งตนเองท่ามกลางความยากจน



2.ต้องมีการปรับเพิ่มค่าแรงอย่างมาก เพื่อให้พอเพียงสำหรับประชาชนทุกคน และเพื่อให้ทุกคนสามารถออมและจ่ายเงินสมทบทุนประกันสังคมได้อีกด้วย ซึ่งหมายความว่าเราต้องร่วมรณรงค์ให้สหภาพแรงงานมีเสรีภาพ อำนาจต่อรอง และความมั่นคงมากขึ้น



3. ต้องมีการสร้างงานในระบบที่มั่นคง ผ่านมาตรการของรัฐ โดยเฉพาะหลังน้ำท่วม



4. ต้องมีการเก็บภาษีจากคนรวย และกลุ่มทุน พร้อมกับตัดงบประมาณทหาร เพื่อช่วยกระจายรายได้และสร้างการมีส่วนร่วม และประชาธิปไตย





สิ่งเหล่านี้เราทำได้ เพราะสังคมอื่นก็ทำได้ แต่ถ้าจะทำ เราต้องร่วมกันผนึกขบวนการประชาธิปไตยกับขบวนการที่สร้างความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจ และส่วนสำคัญของขบวนการนี้ต้องเป็นสหภาพแรงงาน



ประเทศไทยจะไม่มีวิกฤตคนชราในอนาคต แต่ตอนนี้มีวิกฤตของความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองต่างหาก



--------------------------------------------------------------------------------

[1] ดู ประชาไท 21 ธันวาคม 2011 www.prachatai.com/journal/2011/12/38415

[2] Wolfram Mathematica 2011.

[3] The Economist 20 July 2011 และธนาคารโลก



--
ใจ อึ๊งภากรณ์
+44(0)7817034432
http://redthaisocialist.com/



__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

เสาร์เช้า ๙ ทันบอด ประจำวันที่ 14-01-55

http://www.mediafire...g6gll89e61jj4te

http://www.2shared.c...__14-01-55.html

http://www.4shared.c...__14-01-55.html


www.siengserixonlao.com


Seeds of Democracy ประจำวันที่ 13-01-55 เขาคอยคิดเข่นฆ่ารอล่าล้าง เรากลับวางใจกราบทราบภัยไหม


http://www.mediafire.com/?5af649v8bb1gp5r
http://www.4shared.com/mp3/sv75MRRP/Seeds_of_Democracy__13-01-55__.html

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 


ตร.ปิดสำนวนปล้นบ้าน "ปลัดสุพจน์" ผกก.วังทองหลางเผย "คดีแปลก" เจอครั้งแรกในชีวิต!!!

วันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2555 เวลา 21:30:00 น.ມະຕິຊົນ ລາວປົ້ນເຈັກ


พ.ต.อ.ธวัช




พ.ต.อ.ธวัช วงศ์สง่า ผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาลวังทองหลาง เปิดเผยความคืบหน้าคดีคนร้ายปล้นบ้านนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม ว่า การสอบสวนคาดจะสรุปสำนวนภายในสัปดาห์หน้า ใช้เวลาเกือบ 3 เดือน ตั้งแต่เหตุเกิดเมื่อค่ำวันที่ 12 พฤศจิกายน 2554 จนถึงขณะนี้ในการรวบรวมพยานหลักฐาน พยานบุคคล พยานทางนิติวิทยาศาสตร์ ที่เชื่อมโยงจนสามารถนำตัวผู้ต้องหาไปเสนอฟ้องต่อพนักงานอัยการ สัปดาห์หน้าคงเรียบร้อย


ทั้งนี้ มีผู้ต้องหาในสำนวนคดีที่จะถูกฟ้องทั้งหมด 9 คน ยังเหลือที่ออกหมายจับเรียบร้อยแล้วยังติดตามตัวอยู่อีก 3 คน สำหรับหลักทรัพย์ของผู้เสียหายนั้นปลัดสุพจน์ยืนยันว่ามี 5 ล้านบาทเศษ ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง คงเป็นเรื่องของพนักงานสอบสวนที่จะรวบรวมพยานหลักฐานต่อไปว่าจะเข้าข่ายให้ การเป็นเท็จหรือไม่ ตอนนี้ทางตำรวจยังรอผลการสอบสวนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต แห่งชาติ(ป.ป.ช.)และคณะกรรมการป้องกันการปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.)เรื่องของ จำนวนเงินว่าเป็นของใคร มีที่มาที่ไปอย่างไร


"แต่ทางตำรวจไม่จำเป็นต้องรอ เพราะสามารถแจ้งความดำเนินคดีได้ ถ้าได้หลักฐานปรากฎชัดว่าท่านให้การเท็จ ตอนนี้เป็นเรื่องที่ผู้เสียหายยืนยันกับพนักงานสอบสวนว่าเงินเสียหายไปเท่า นี้ เราคงไม่ทำอะไรตรงนั้นได้ เพราะเป็นสิทธิ์ที่จะให้การ ก็ต้องรับฟัง เว้นว่ามีหลักฐานอื่นที่ชัดเจนว่าเงินเหล่านี้เป็นของใคร ถ้าไม่ใช่ ท่านก็เข้าข่ายที่จะให้การเท็จได้"


พ.ต.อ.ธวัช กล่าวว่า เงินของกลางที่ยึดได้จากผู้ต้องหาทั้งหมดมี 18 ล้าน โดยจำนวนเงินที่ผู้เสียหายให้การขัดกันกับจำนวนเงินที่ตามยึดมาได้ไม่มีผล ต่อรูปคดี แต่คดีแบบนี้ไม่ค่อยเคยเจอเท่าไหร่ลักษณะที่ผู้เสียหายให้การเรื่องจำนวน เงินที่น้อยกว่าที่ตำรวจยึดจากคนร้ายได้ ส่วนมากจะเป็นเรื่องที่ตำรวจยึดเงินมาไม่ครบ ซึ่งเป็นเรื่องปรกติที่คนร้ายอาจจะเอาไปใช้ เอาไปซุกซ่อน หรือยังไม่พูดความจริง ขอยืนยันว่าไม่มีผลอะไรต่อรูปคดี เพราะข้อหาที่ตำรวจแจ้งคือร่วมกันปล้นทรัพย์ ส่วนเรื่องจำนวนเงินเป็นเรื่องรายละเอียดที่ต้องรวบรวมไว้เป็นของกลาง แต่ถ้าไม่มีของใครก็จะตกเป็นของแผ่นดินต่อไป


"ในส่วนของท่านปลัดสุพจน์ยืนยันชัดเจนว่าเงินท่านมีแค่ 5 ล้าน เราคงไม่ไปคาดคั้นอะไรท่านได้มากกว่านี้ ก็เป็นสิทธิ์ของท่าน แต่ตำรวจต้องพยายามหาพยานแวดล้อม ยอมรับว่าค่อนข้างจะยากเหมือนกัน เพราะคนที่จะรู้คือตัวท่านปลัด คนใกล้ชิดท่าน แม่บ้าน คนในที่ทำงาน นี่คือความยากของการทำงาน เช่น เราถามแต่ท่านไม่อยากจะพูดในสิ่งที่เราอยากรู้มากนัก"


พ.ต.อ.ธวัช กล่าวว่าเรื่องการตามที่มาของเงินนั้นทาง ป.ป.ช.ดำเนินการไปแล้ว ส่วนกรณีที่เงินไม่ตรงกันนั้น ต้องว่ากันตามพยานหลักฐาน ยืนยันว่าตำรวจทำงานอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีไปทำอะไรนอกเหนือจากพยานหลักฐานที่รวบรวมได้


"ผมยืนยันว่าไม่มีแน่นอนที่ตำรวจจะไปเพิ่มเงินหรือไปทำอะไรที่ไม่ถูก ต้อง หรือสร้างประเด็น สร้างกระแสเพื่อไปปรักปรำ แต่มุ่งเพื่อนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ สำหรับผู้ต้องหาที่จับได้นั้นประสงค์ต่อทรัพย์แน่นอน เจตนาที่จะไปปล้นเงิน เป็นการกระทำผิดอาญา นอกเหนือจากนั้นอาจจะมองเรื่องการเมือง ความเชื่อมโยงเรื่องการทุจริตไหม ก็เป็นเรื่องที่สังคมอยากจะทราบ อยากจะรู้ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรก็คงต้องรอ ป.ป.ช.ซึ่งเมื่อวานได้นัดแจ้งรับทราบข้อกล่าวหาร่ำรวยผิดปรกติแล้ว ทางป.ป.ช.ก็คงมีหลักฐานว่าเงินนั้นมีที่มาที่ไปอย่างไร เป็นเรื่องที่ท่านปลัดต้องชี้แจงในรายละเอียดของจำนวนเงิน ส่วนเราก็คงสรุปสำนวนให้อัยการคดีปล้นทรัพย์"


ส่วนกรณีที่มีคนมองว่าตำรวจเชื่อโจรมากกว่าผู้เสียหาย พ.ต.อ.ธวัช กล่าวว่า อย่าพูดคำว่าเชื่อ ในส่วนของผู้ต้องหานั้นตามกฎหมายจะให้การอย่างไรก็ได้ แต่ไม่ใช่ว่าตำรวจจะเชื่อเลย แต่ต้องรวบรวมหลักฐานแวดล้อมอื่นๆ ประกอบด้วย เช่น พยานบุคคล การตามไปยึดเจอเงินมา และผู้ต้องหาก็รับสารภาพ ไปวางแผนกันที่ไหน เราไปตรวจสอบก็มีหลักฐานว่ามาพักจริง ไม่ได้อุปโลกน์กันขึ้นมา ไม่ใช่พูดกันลอยๆ ขอให้มั่นใจคดีนี้โปร่งใสตรงไปตรงมา รวมทั้งเงินของกลางยังอยู่ครบ เฝ้าระวังอย่างดี


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

การพูดเอาดีเข้าตัว เอาชั่วใส่คนอื่น ดูเหมือนว่ายังคงเป็นแนวทางอันเหนียวแน่นที่พรรคประชาธิปัตย์ในยุคที่มี “มาร์ค แอนด์ เดอะ แก๊งค์”ดูแลนั้น นิยมชมชอบเป็นอย่างมาก
ไม่น่าเชื่อเลยว่า ความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้ง เพราะประชาชนเบื่อหน่ายการดีแต่พูด ทำงานไม่เป็น หรือพอจนแต้มขึ้นมาก็จะพูดเอาดีเข้าตัว โยนผิดโยนชั่วไปให้คนอื่นนั้น ไม่ได้ทำให้เกิดอาการรู้สึกตัวเกิดขึ้นกับบรรดานักพูดกลุ่มนี้เลย
แม้ขนาดว่าคนเก่าคนแก่ในพรรคพยายามที่จะสะกิดเตือนก็ไม่มีการสนใจรับฟัง เพราะแม้ปากจะอ้างให้ดูหรูดูดีเข้าตัวว่า จะเล่นการเมืองอย่างสร้างสรรค์ แต่ในความเป็นจริงกลับเป็นคนละเรื่อง
ตัวอย่างล่าสุดที่เห้นได้ชัดก็คือ กรณีการที่จะต้องหาทางแก้ไขปัญหาหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน จำนวน 1.14 ล้านล้านบาท
ซึ่งเรื่องนี้คนในวงการสถาบันการเงิน คนในธนาคารแห่งประเทศไทย คนในกระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวกับหนี้ก้อนนี้ ล้วนรู้ดีถึงที่มาที่ไปว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร!
ที่สำคัญลึกๆแล้วใครเป็นคนที่ปล่อยปละละเลย จนต้องเกิดปัญหากับระบบสถาบันการเงินขึ้นมา จนสุดท้ายจึงต้องมีการตั้งกองทุนฟื้นฟูฯขึ้นมารับภาระ
ในช่วงรัฐบาลของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อปี 2540 ธนาคารแห่งประเทศไทย ผิดพลาดในการที่เข้าไปปกป้องค่าเงินบาทจากการโจมตีของ จอร์จ โซรอส จนทำให้ประเทศชาติถังแตก เงินกองทุนสำรองระหว่างประเทศเหลือสุทธิเพียง 7 พันล้านเหรียญ
สุดท้ายประเทศไทยต้องตกอยู่ภายใต้การกำกับของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ทำให้นายธารินทร์ นิมมานเหมินท์ รัฐมนตรีคลังในขณะนั้น ซึ่งอยู่ภายใต้รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งมีนายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นคนลงนามสั่งปิดสถาบันการเงิน 56 แห่ง โดยไม่มีมาตรการรองรับที่ครบถ้วน ทำให้สถาบันการเงินและธนาคารทรุดกันไปทั้งระบบ!

จนต้องมีการตั้งกองทุนฟื้นฟูขึ้นมาอุ้ม และกลายเป็นภาระหนี้ที่เป็น”มรดกบาป”ที่ตกทอดมาถึงทุกวันนี้….
เรื่องนี้นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการแบงก์ชาติคนปัจจุบัน นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รัฐมนตรีคลังคนปัจจุบัน ทั้งคู่เคยเป็นอดีตลูกหม้อแบงก์ชาติย่อมจะต้องรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี!
รวมทั้งนายกรณ์ จาติกวณิช คนที่ใฝ่ฝันว่าจะขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์แทนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เพื่อที่จะได้มีโอกาสขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีสักครั้งหนึ่งในชีวิตนั้น ก็ย่อมจะต้องรู้เรื่องดี
เพราะญาติของนายกรณ์ คือนายปิ่น จักกะพาก ที่ต้องหนีคดีไปอยู่อังกฤษก็เพราะการล้มของอาณาจักรเอก ที่เกิดจากความผิดพลาดในการควบคุมดูแลสถาบันการเงินของแบงก์ชาติ จนกลายเป็นวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540
สถาบันการเงินล้มกันระนาว ปิดฉากอาณาจักรเอกด้วย ฉะนั้นนายกรณ์ย่อมควรจะต้องรู้ชัดและจำได้ดี
ซึ่งแน่นอนว่า กูรูเศรษฐกิจระดับแถวหน้าของเมืองไทยอย่าง ดร.วีรพงษ์ รามางกูร หรือ ดร.โกร่ง ที่ผ่านประสบการณ์และได้เห็นวิกฤตครั้งแล้วครั้งเล่าที่เกิดขึ้นกับเศรษฐกิจไทย และรู้ดีว่าเกิดขึ้นเพราะฝีมือใค?
มารอบนี้เมื่อมาเจอการพยายามเบี่ยงเบนข้อเท็จจริงในเรื่องหนี้กองทุนฟื้นฟูฯจำนวนมหาศาล ของทางผู้บริหารแบงก์ชาติยุคปัจจุบัน ก็เลยเกิดอาการทนไม่ได้ และสวนหมัดเตือนสติเพื่อให้รู้ว่า....
ตลอดเวลาที่ผ่านมา แบงก์ชาติอย่าคิดว่าทำอะไรไว้แล้วคนจะไม่รู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลงานเลวร้ายในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง 2540 ซึ่งถือเป็นตราบาปของแบงก์ชาติครั้งสำคัญก็ว่าได้
ดร.โกร่ง ได้มีการพูดเอาไว้ชัดเจนมาโดยตลอดในเรื่องแบงก์ชาติ ปลายปีที่ผ่านมาก็มีการไปพูดทาง Money Channel ว่า...
ต้องยอมรับ ที่ผ่านมาแบงก์ชาติได้โยนภาระให้กับประชาชน ผู้เสียภาษีเป็นอย่างมาก จากการบริหารงานที่ผิดพลาดของแบงก์ชาติ การเข้าไปโอบอุ้มสถาบันการเงินของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ซึ่งสร้างภาระหนี้มากมายให้กับประเทศ และเป็นภาระการชดใช้ของกระทรวงการคลัง
“ที่ผ่านมาแบงก์ชาติสร้างวิกฤติมาเป็นระยะๆ ที่จริงเราไว้ใจแบงก์ชาติไม่ได้ ทุกสิบปีที่ผ่านมา แบงก์ชาติจะสร้างความเสียเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจ แต่ไปว่าฝ่ายการเมืองสร้างความฉิบหายให้กับประเทศ ทั้งที่ตนเองคนทำให้เกิดความฉิบหาย”
นี่คือคำพูดที่ ดร.วีระพงษ์ รามางกูร พูดตรงไปตรงมาเอาไว้ในวันนั้น…!!
แต่แทนที่ธนาคารแห่งประเทศไทยหรือแบงก์ชาติจะรู้สึกตัว และพัฒนาตัวเองขึ้นมาบ้าง กลับยังคงเส้นคงวากับการเรียกร้องอิสระ ไม่ต้องการให้กระทรวงการคลังหรือการเมืองเข้ามาแทรกแซง ทั้งๆที่การเข้ามาแทรกแซงนั้นจะเป็นการเข้าไปเพื่อการแก้ไขปัญหาก็ตาม
เพราะจริงๆแล้วในเรื่องของการที่จะต้องแก้ไขหนี้ของกองทุนฟื้นฟูฯนั้น เป็นเรื่องที่ทำกันมาระยะหนึ่งก่อนหน้ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แล้ว สำนักบริหารหนี้ของกระทรวงการคลังรู้ดีถึงดีลนี้ ตั้งแต่ตอนที่นางพรรณี สถาวโรดม เป็นผู้อำนวยการแล้ว และเมื่อประชาธิปัตย์พลิกขั้วการเมืองเข้ามาเป็นรัฐบาล นายกรณ์ เข้ามาเป็นรัฐมนตรีคลัง นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารหนี้ในขณะนั้นก็เป็นคนทำเรื่องการแก้ไขหนี้กองทุนฟื้นฟูฯให้นายกรณ์แล้วด้วย
แม้แต่นายจักรกฤศฎิ์ พาราพันธกุล ผู้อำนวยการสำนักบริหารหนี้คนปัจจุบัน ซึ่งขณะนั้นเป็นรองผู้อำนวยการ ก็เป็นคนที่ทำแผนในเรื่องการแก้ไขหนี้กองทุนฟื้นฟูฯนี้ด้วย
เพราะนายกรณ์ กระทรวงคลัง และแบงก์ชาติ รู้ดีว่าไม่แก้ไขไม่ได้ เนื่องจากกองทุนฟื้นฟูฯกำลังจะสิ้นสุดอายุลง แต่หนี้ไม่ได้สิ้นสุดเพราะแบงก์ชาติปลดหนี้ก้อนนี้ไม่ได้ แถมที่ผ่านมาหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ ตั้งแต่สมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย บริหารประเทศในปี 2541 ถึงรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีการนำงบประมาณของชาติซึ่งมาจากภาษีอากรของประชาชนมาจ่ายดอกเบี้ยให้ปีละประมาณ 65,000 ล้านบาท
รวมเป็นเงินที่จ่ายดอกเบี้ยไปแล้วทั้งสิ้นกว่า 600,000 ล้านบาทแล้ว โดยที่เงินต้นที่แบงก์ชาติต้องเป็นผู้ใช้หนี้พบว่ากว่า 13 ปีที่ผ่านมา เงินต้นลดลงไปเพียง 300,000 ล้านบาทเท่านั้น
กลายเป็นว่าหนี้กองทุนฟื้นฟูฯเป็นหนี้ที่ประชาชนต้องชดใช้อย่างไม่มีที่สิ้นสุดเช่นนั้นหรือ??
บางกอก ทูเดย์ ขอเตือนความทรงจำสังคม เตือนความทรงจำคนแบงก์ชาติ ว่าจำกันไม่ได้จริงๆหรือว่าหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ ที่ปัจจุบันมียอดคงค้างจำนวน 1.14 ล้านล้านบาทนั้น เป็นหนี้ที่เกิดจากการที่รัฐบาลนายชวน โดยนายธารินทร์ ลงนามปิดสถาบันการเงิน จนเกิดหนี้จำนวนนี้ขึ้นมาโดยที่ประชาชนไม่ได้เป็นผู้ก่อ!!
ถ้าตอนนั้นแบงก์ชาติไม่ได้ทำอะไรอิสระ แอบฝืนไปสู้ค่าเงินบาท จนขาดทุนเกือบ 800,000 ล้านบาท เงินทุนสำรองแทบหมดหน้าตัก สุดท้ายต้องปิดสถาบันการเงิน 56 แห่ง แต่ก็เอาไม่อยู่ ต้องให้รัฐบาลนายชวนช่วยโดยการขออำนาจแก้กฎหมายกองทุนฟื้นฟู กลายเป็นขาดทุนซ้ำอีก
จากนั้นก็ให้ ปรส.นำเอาทรัพย์สินสถาบันการเงินออกประมูลขาย โดยห้ามไม่ให้ลูกหนี้ประมูล แต่กลับเอาไปประเคนประมูลให้ต่างชาติเข้ามาเก็บของถูก แล้วไปฟันกำไรขายคืนให้ลูกหนี้ตามเดิม จนในที่สุดก็ขาดทุนรวมเป็นล้านล้านบาท
ผลงานของแบงก์ชาติในยุครัฐบาลนายชวน หลีกภัย ที่มีนายธารินทร์ นิมมานเหมินทร์ เป็นรัฐมนตรีคลัง น่าจะเป็นสิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์จำได้ดีไม่ใช่หรือ??? แม้ว่าจะไม่อยากพูดถึงโดยเฉพาะกรณีของ ปรส. ที่ถูกเรียกเป็นการขายชาติ-เป็นการปล้นชาตินั้น จำได้หรือไม่?
ตอนนั้นแม้แต่ สนธิ ลิ้มทองกุล ในนามปากกา พายัพ วนาสุวรรณ ก็ออกมาจวกเรื่อง ปรส. ออกมากะเทาะเปลือก..ธารินทร์ อย่างหนัก ในขณะที่ประชาธิปัตย์ดูเหมือนจะภาวนาให้เรื่องคดี ปรส.ขาดอายุความเสียที
แต่ความจริงก็คือความจริง ว่านี่คือต้นตอของหนี้สิน 1.14 ล้านล้านบาท ที่ประชาธิปัตย์ และแบงก์ชาติ พยายามบอกว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์กำลังจะสร้างปัญหา
ทั้งๆที่นี่คือความพยายามที่จะยุติปัญหาการที่ต้องเอาเงินภาษีของประชาชนมาอุดมาโป๊ะนานกว่า 13 ปีเข้าไปแล้วนั่นเอง
จึงไม่แปลกที่ ดร.วีรพงษ์จะทนไม่ได้ จนต้องออกทีวีแฉให้ประชาชนรู้ว่าอะไรเป็นอะไร โดยเฉพาะเรื่องหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ ซึ่งเป็นกองทุนหนึ่งในธปท. ผู้ว่าการธปท. เป็นผู้จัดตั้ง ผู้จัดการกองทุนก็เป็นเจ้าหน้าที่ธนาคาร กรรมการส่วนมากก็มาจากหน่วยราชการและของธปท.
แต่กลายเป็นว่าหนี้จะให้เป็นภาระกับรัฐบาล ซึ่งก็กลายเป็นข้อจำกัดต่อการทำโครงการทั้งหลาย อาทิ โครงการฟลัดเวย์ สร้างเขื่อน ก็ทำไม่ได้ เพราะยอดหนี้สาธารณะค้ำคออยู่ เนื่องจากตั้งไว้ไม่ให้เกิน 50 เปอร์เซ็นต์ ใช้งบประมาณรายจ่ายทั้งต้นทั้งดอกไม่ให้เกิน 15 เปอร์เซ็นต์ เหลืออีก 30 กว่าเปอร์เซ็นต์จะเอาไปทำอะไรได้
บัดนี้ ธปท.เข้มแข็งแล้ว มีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศเป็นอันดับที่ 17 ของโลก มีเงินสดอยู่ในมือ 3 ล้านล้านบาท แต่ก็บริหารขาดทุนหมด ทั้งๆ ที่มีอำนาจอยู่ในมือ ทำให้หนี้กลายเป็นหนี้ตลอดกาลอวสาน จึงกลายเป็นข้อจำกัดที่ทำให้เราไม่สามารถสร้างประเทศได้ ติดขัดวินัยการคลังอยู่ ทั้งที่ไม่ใช่รัฐบาลทำกลับมาโยนให้
ตอนนี้ธปท.เข้มแข็งแล้วต้องขอคืนไป เราจะได้กลับมาพัฒนาประเทศและสร้างอนาคตของชาติต่อไป
“สังคมไทยไว้ใจ ธปท. แต่ไม่ไว้ใจรมว.คลัง และนักการเมือง ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาเป็นฝีมือธปท.ทั้งสิ้น ถ้าปิดประตู ไม่ให้รมว.คลังทำกำไรได้ แบงก์ชาติก็เป็นรัฐอิสระร้อยเปอร์เซ็นต์แทน และชอบพูดให้สังคมไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีซึ่งขัดกับหลักประชาธิปไตย เพราะคณะรัฐมนตรีและนักการเมืองมาจากประชาชน ส่วนแบงก์ชาติไม่ได้มาจากประชาชนเลยแต่กลับมาพูดไม่ให้ไว้วางใจนักการเมือง จึงควรเปิดประตูไว้บ้างไม่ใช่ปิดประตูตายเลย”
ที่สำคัญ ดร.วีรพงษ์ยืนยันว่า เรื่องนี้เป็นอำนาจของธปท.ที่ต้องไปดูแล เราไม่อยากไปแตะต้อง หากธปท. ไม่ทำอะไรเลย หนี้ก้อนดังกล่าวของกองทุนฟื้นฟูฯ คงเป็นหนี้ไปตลอดกาลอวสาน กินแต่เงินภาษีประชาชนไปเรื่อยๆ ถ้าจะต่อว่าต้องต่อว่าธปท.
นี่คือความจริงที่สังคมต้องฟังกันด้วยเหตุผลและข้อเท็จจริง จึงจะรู้ว่า ดร.วีรพงษ์พูดบนพื้นฐานของผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน
ในขณะที่นายประสารนั้น แน่นอนว่าในฐานะผู้ว่าแบงก์ชาติก็ย่อมต้องปกป้องแบงก์ชาติเป็นหลัก แต่สำคัญที่สุดนายประสารเป็นคนเก่ง มีความสามารถและฉลาดพอที่จะรู้ว่า หนี้กองทุนฟื้นฟูฯนั้นเป็นภาระก้อนโต ที่หากเลี่ยงได้ งอแงไม่ยอมรับได้ก็ต้องหาทางเลี่ยงให้ถึงที่สุดไว้ก่อน ซึ่งก็ถือเป็นปกติของมนุษย์เรา
แต่ที่หลายคนไม่เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกรณีปัญหาหนี้กองทุนฟื้นฟูฯในครั้งนี้ก็คือ ท่าทีของนายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รัฐมนตรีคลัง ที่ดูเหมือนว่าจะเอนๆไปทางแบงก์ชาติมากกว่าทางรัฐบาล ทั้งๆที่นายธีระชัย ถือเป็นหนึ่งในรัฐมนตรีส้มหล่น ที่ได้มานั่งเก้าอี้สำคัญ ได้โอกาสโชว์ฝีมือในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นมีคนที่อยู่ในข่ายเป็นแคนดิเดตรัฐมนตรีคลังไม่น้อย
แต่นายธีระชัยก็ได้เป็นคนที่เข้าวินในที่สุด ส้มหล่นใส่จนเท้าบวม ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายคนอิจฉาอยู่แล้ว แต่ทำไมจึงไม่รีบแสดงฝีมือโชว์ผลงาน จนทำให้เวลานี้นายธีระชัยกลายเป็น 1 ในรัฐมนตรี ที่ถูกจับตามองว่าหากมีการปรับครม. ก็มีสิทธิ์ที่จะหลุดโผได้
จริงๆแล้วแค่นายธีระชัย ขานรับเป็นวงเดียวกันเนื้อเดียวกันกับการทำงานของรัฐบาล ร้องเพลงประสานเสียงกันไป ก็จะไม่ถูกตั้งคำถามแล้ว แต่กลับเลือกที่จะร้องเพลงเดี่ยว เลือกที่จะแหกคีย์ จึงทำให้ภาพที่ออกมากลายเป็นที่น่าหวาดเสียวสำหรับตัวนายธีระชัยเอง
นายธีระชัยแค่จดจำว่าครั้งวิกฤตต้มยำกุ้ง รูปภาพหน้าของนายธีระชัยเป็นคนหนึ่งที่ถูกคนชั้นกลางที่บาดเจ็บจากวิกฤตเศรษฐกิจ เอาไปทำเป้าปาลูกดอกหาเงินแถวๆทองหล่อ สุขุมวิท
และนายธีระชัย เป็นคนหนึ่งที่ไม่สามารถจะนั่งทำงานที่แบงก์ชาติได้หลังวิกฤต จึงต้องขยับขยายย้ายมา
นั่งที่ กลต. แทน สิ่งเหล่านี้นายธีระชัยน่าที่จะยังจดจำได้ และรู้ดีว่าที่ผ่านมาแบงก์ชาติทำอะไร และรับ
ผิดชอบกับผลงานเพียงใด
จริงๆในฐานะรัฐมนตรีคลัง นายธีระชัยน่าจะรู้ดีว่า แบงก์ชาตินั้นไม่ควรเป็นอิสระชนิดสุดขั้วอย่างที่ผ่านๆมา แต่ควรจะต้องให้มีการตรวจสอบได้ ให้คานอำนาจได้
เพราะไม่เช่นนั้นคนที่จะแย่จะพังจากเรื่องนี้จะเป็นนายธีระชัยเองนั่นแหละ...ขอเตือน!อย่าได้อยู่ด้วยความประมาท ในโลกของการเมืองที่”ธีรชัย”ยังไม่คุ้นนัก มันมีอะไรที่เหนือกว่าซับซ้อนกว่าสิ่งที่รัฐมนตรีคลังละอ่อนคนนี้คิด! จากนี้ไม่นานท่านอาจถึงเวลา”เก็บฉาก”!!
เราสะกิดเตือนแล้วนะ!


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

LAO PDR ศูนย์ปล้นปลีงล า ว ( ศ ป ป ล ) ศูนย์กลางการค้ายาเสพติดในลุ่มน้ำโขง!!!
LAO PDR ศูนย์ปล้นปลีงล า ว ( ศ ป ป ล ) ศูนย์กลางการค้ายาเสพติดในลุ่มน้ำโขง!!!
LAO PDR ศูนย์ปล้นปลีงล า ว ( ศ ป ป ล ) ศูนย์กลางการค้ายาเสพติดในลุ่มน้ำโขง!!!
LAO PDR ศูนย์ปล้นปลีงล า ว ( ศ ป ป ล ) ศูนย์กลางการค้ายาเสพติดในลุ่มน้ำโขง!!!

ลาวเป็นประเทศในลุ่มแม่น้ำโขงที่ถูกเอ่ยถึงในรายงานประจำปี 2007 ว่าด้วยสถานการณ์ยาเสพติดในโลก ซึ่งได้จัดทำขึ้นโดยกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกาและนำออกเผยแพร่ต่อนานาชาติในวันที่ 17 กันยายน ที่ผ่านมาโดยได้ ระบุว่าทั้งพม่าและลาวเป็นประเทศที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯเห็นว่าล้มเหลวในการ กระทำ การอย่างใดๆที่เป็นการต่อต้านและปราบปรามยาเสพติด

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พม่านั้นโดนวิพากษ์วิจารณ์หนักกว่าลาว เพราะถูกระบุถึงซ้ำแล้วซ้ำเล่าในรายงานดังกล่าวนี้ว่าเป็น 1 ใน 2 ประเทศ (พม่ากับเวเนซูเอล่า) ที่ไม่ได้ให้ความร่วมมืออันดีกับสหรัฐฯในการปราบปรามยาเสพติดเลย

กล่าวคือพม่าเป็นประเทศที่ผลิตยาบ้า (Methamphetamine) มากที่สุดในเอเชียและยิ่งนับวันก็ยิ่งจะทำการผลิตยาเสพติดประเภทนี้เพิ่ม ขึ้นเรื่อยๆ โดยถึงแม้ว่าผลผลิตฝิ่นในพม่าจะลดลงอย่างต่อเนื่องก็ตาม แต่การเพิ่มผลผลิตยาบ้านี้ก็หาได้รับความสนใจในอันที่จะสกัดกั้นและปราบปราม จากรัฐบาลทหารพม่าอย่างเท่าที่ควรนั่นเอง

อย่าง ไรก็ตาม ถ้าหากจะใช้ผลผลิตฝิ่นในพม่าเป็นดัชนีเพื่อชี้วัดถึงสถานการณ์ที่เกี่ยวกับ ยาเสพติดเหมือนในช่วงก่อนหน้านี้ก็อาจจะกล่าวได้ว่าสถานการณ์ในพม่านั้นดี ขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีมานี้ เพราะพื้นที่ปลูกฝิ่นได้ลดลงจาก 130,000 เฮกตาร์ ในปี 1998 เหลือเพียง 21,000 เฮกตาร์เท่านั้นในปี 2006 ซึ่งคิดเป็นพื้นที่ปลูกฝิ่นที่ลดลงถึง 83% เลยทีเดียว

โดยเขตที่มีการลดพื้นที่ปลูกฝิ่นลงอย่างมีนัยสำคัญนั้นก็คือเขตยึดครองของกลุ่มว้า ซึ่งทำให้ผลผลิตฝิ่นของพม่าตกต่ำลงมาเป็นอันดับ 2 ของ โลกรองจากอัฟกานิสถานแต่สิ่งที่ทำให้พม่ายังคงติดบัญชีผู้ผลิตยาเสพติดราย สำคัญที่สุดของโลกอยู่ในทุกวันนี้ก็คือยาบ้า ซึ่งผลิตมากจนจะมีการเปลี่ยนชื่อสามเหลี่ยมทองคำไปเป็นสามเหลี่ยมยาไอซ์ Ice Triangle อยู่แล้ว

ทั้ง นี้ก็เพราะว่ายาไอซ์ ซึ่งเป็นยาสังเคราะห์จากเคมีกลุ่มเดียวกับยาบ้านั้น นับวันก็ยิ่งจะมีการผลิตออกจากเขตสามเหลี่ยมทองคำมากขึ้นทุกทีนั่นเอง

ส่วน ลาวนั้น แม้ว่ารายงานของสหรัฐฯจะจัดให้อยู่ในกลุ่มที่ไม่ได้แสดงอะไรที่เป็นรูปธรรม ในการปราบปรามยาเสพติดก็ตาม แต่ทางการสหรัฐฯ ก็ยังถือว่ารัฐบาลลาวนั้นได้ให้ความร่วมมือกับสหรัฐฯและนานาชาติเป็นอย่างดี ในการลดผลผลิตฝิ่นลงได้อย่างมากเมื่อเปรียบเทียบกับในอดีต

สถานการณ์ฝิ่นในลาวนั้นเหมือนกับพม่าในระยะ 10 ปีมานี้ กล่าวก็คือพื้นที่ปลูกฝิ่นได้ลดลงจากมากกว่า 42,000 เฮกตาร์ในปี 1989 ก็เหลือเพียง 3,000 เฮกตาร์เท่านั้นในปี 2006 หรือคิดเป็นพื้นที่ปลูกฝิ่นที่ลดลงมากกว่า 90% เลย ทีเดียวอันเป็นผลโดยตรง จากการรณรงค์ของรัฐบาลลาวเพื่อให้ประชาชนลาวเลิกปลูกฝิ่นอย่างสิ้นเชิง ซึ่งทางการลาวได้เริ่มดำเนินการนับตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา และได้ประกาศให้ลาวเป็นประเทศที่ ปลอดจากการปลูกฝิ่นอย่างเป็นทางการในต้นปี 2006 ที่ผ่านมา

แต่ ลาวก็เผชิญกับปัญหาคล้ายๆกับพม่า กล่าวคือถึงแม้ว่าจะกดดันให้ประชาชนลดหรือเลิกจากการปลูกฝิ่นได้อย่างมากก็ ตาม แต่ยาเสพติดจากสารสังเคราะห์ประเภทยาบ้ากลับเข้ามาแทนที่และได้แพร่ระบาด อย่างกว้างขวางในกลุ่มเยาวชนลาว

โดย เฉพาะอย่างยิ่งในเขตนครเวียงจันทน์ ก็ปรากฏว่ามีการค้าและใช้ยาเสพติดกันในหมู่เยาวชนลาวมากขึ้นทุกขณะๆ ถึงกับทำให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติไทย (ปปส.) ต้องออกมาเสนอรายงานในระยะเดียวกันนี้ว่านครเวียงจันทน์ ได้กลายเป็นศูนย์กลางการซื้อขายยาบ้าในลุ่มแม่น้ำโขงไปเสียแล้ว

ทั้ง นี้ก็เนื่องจากว่าการที่ลาวเป็นประเทศที่สามารถเชื่อมต่อการคมนาคมทางบกกับ ทุกประเทศในลุ่มแม่น้ำโขงด้วยกันได้ในทุกทิศทุกทางนั้นก็ได้กลายเป็นเส้นทาง เชื่อม โยงให้กับบรรดานักค้ายาเสพติดด้วยเช่นกัน โดยยาเสพติดที่ผลิตในพม่าและสารเคมีตั้งต้นสำหรับแปรรูปยาเสพติดที่มีแหล่ง จากจีนนั้นต่างก็ได้อาศัยเส้นทางในลาวทั้งสิ้น

รายงานของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯได้ชี้อย่างเป็นการเฉพาะเจาะจงว่าการเชื่อมต่อเส้นทางสายกรุงเทพฯ-คุนหมิงและการเปิดใช้สะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 2 ระหว่างไทย-ลาวที่มุกดาหาร-สะ หวันนะเขตนั้นก็มีส่วนอย่างสำคัญในการเสริมสร้างให้ลาวมีสถานภาพเป็นประเทศ ทางผ่านยาเสพติด ซึ่งท้าทายกับความสามารถของรัฐบาลลาวในการสกัดกั้นและปราบปรามเป็นอย่างยิ่ง

สำหรับในกัมพูชานั้นก็กำลังตกอยู่ในสภาวะของการเผชิญศึกถึง 2 ด้าน ซึ่งก็คือ กัมพูชามีสถานะเป็นทั้งประเทศที่รองรับยาเสพติดและเป็นทางผ่านของการลักลอบ ขน ส่งยาเสพติด (ยาบ้า) ซึ่งมีต้นทางมาจากพม่าผ่านลาวเข้าไปในกัมพูชาแล้วถูกส่งต่อไปยังเวียดนามและ ประเทศอื่นๆต่อไป

ทั้งนี้โดยรายงานของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ประเมินว่าในแต่ละวันนั้นจะมียาบ้าทะลักเข้าไปในกัมพูชามากกว่า 150,000 เม็ด และยาบ้าในจำนวนนี้ก็จะตอบสนองให้กับนักเสพย์ในกรุงพนมเปญถึง 50,000 เม็ดต่อวันเป็นอย่างน้อย

ยิ่ง ไปกว่านั้น กลุ่มนักค้ายาเสพติดข้ามชาติยังได้เริ่มหันไปใช้พื้นที่ในเขตกัมพูชาเป็น แหล่งผลิตยาบ้าแล้ว โดยจากการรายงานของสำนักงานป้องกันและปราบปรามยา เสพติดของรัฐบาลกัมพูชาเอง ก็ได้ระบุอย่างชัดเจนว่า พื้นที่ในภาคตะวันตกเฉียงเหนือและตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ ซึ่งเป็นเขตติดต่อชายแดนกับไทยและเวียดนามนั้นมี โรงงานผลิตยาบ้าเคลื่อนที่แล้วในเวลานี้

นอก จากนี้ ก็มีรายงานว่ากัมพูชาทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการค้ายาเสพติดราคาแพงสำหรับคน รวย (เช่นยาไอซ์และโคเคน) โดยเชื่อมโยงกับกลุ่มนักค้ายาเสพติดในไทย สิงคโปร์และมาเลเซียเป็นส่วนใหญ่ โดยยาเสพติดสำหรับพวกคนรวยนี้จะขนส่งกันทางเครื่องบิน เพราะเป็นยาเสพติดที่ไม่ได้ผลิตในภูมิภาคนี้

แต่ ถึงกระนั้น กัญชาก็ยังนับเป็นพืชเสพติดที่ยังคงมีการปลูกกันอย่างเป็นล่ำเป็นสันอยู่ใน กัมพูชาถึงขนาดที่มีรายงานระบุอย่างชัดเจนว่าหน่วยทหารของทางการกัมพูชา นั่นเองที่มีบทบาทอย่างสำคัญทั้งในการปลูกและขนส่งกัญชาไปสู่นักเสพย์ทั้งใน กัมพูชาและต่างประเทศ

ส่วน เวียดนามนั้นก็เป็นประเทศที่มีรายงานการจับกุมนักค้ายาเสพติดบ่อยที่สุดและ มากที่สุดในลุ่มแม่น้ำโขงแห่งนี้ก็ว่าได้ เพราะในแต่ละสัปดาห์นั้นจะต้องมีรายงานที่เกี่ยวกับการจับกุมนักค้ายาเสพติด เกิดขึ้นเป็นประจำ และผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมมากที่สุดก็คือชาวเวียดนามที่เดินทางมาจากต่าง ประเทศ ที่เรียกว่าเวียดเกี่ยว Vietkieu ซึ่งส่วน มากจะเดินทางมาเพื่อขนเฮโรอีนจากเวียดนามไปยังประเทศออสเตรเลีย

แน่นอนว่าเวียดนามมีแหล่งผลิตยาเสพติดประเภทเฮโรอีนไม่มากนัก เพราะผล ผลิตฝิ่นในเวียดนามคิดเป็นสัดส่วนเพียง 1% ของผลผลิตฝิ่นทั้งหมดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เท่านั้น ด้วยเหตุนี้ยาเสพติดส่วนใหญ่ในเวียดนามจึงต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งในที่นี้ก็คือการนำเข้ามาจากเขตสามเหลี่ยมทองคำโดยผ่านลาวและกัมพูชา นั่นเอง!!!



--------------------------------------------------------------------------------
Date: Fri, 13 Jan 2012 05:54:47 -0800
From: ath_dhatpa@yahoo.com
Subject: ຈະຮ່ວມກັບ ນັກຕໍ່ສູ້ ທີ່ເຮັດແທ້ທຳຈິງ ຈົນກວ່າສະພາບການລາວຈະດີຂຶ້ນກວ່ານີ້
To: laosnetworkroom@googlegroups.com


ທ່ານ ຄຳໄມ ທີ່ນັບຖື


ການທີ່ ຜູ້ນຳ ຂາຍຢາຜິດ ຢາບ້າ ໃຫ້ປະຊາຊົນ ຊາວຫນຸ່ມ ນີ້ ບໍ່ມີປະເທດໃດໃນໂລກເຂົາເຮັດກັນ
ຄວາມຮັກຊາດ ແມ່ນບໍ່ມີ ຈັກດີ້ ຄົງຈະສືບຕໍ່ ເຈຕະນາຣົມ ຂອງ ໄກສອນ ດັບສູນເຊື້ອຊາດລາວ ເພື່ອວຽດນາມຈະຍຶດເອົາລາວໂດຍງ່າຍດາຍ.


ຂ້າພະເຈົ້າ ບໍ່ເຫັນດີ ນຳການກະທຳ ຂອງຜູ້ນຳລາວແບບນີ້ ແລະ ກໍຈະຮ່ວມກັບ ນັກຕໍ່ສູ້ ທຸກຄົນ ທີ່ເຮັດແທ້ທຳຈິງ ຈົນກວ່າສະພາບການລາວຈະດີຂຶ້ນກວ່ານີ້.


ມິຕພາບ
ອາຕ



--------------------------------------------------------------------------------
From: "khammaithammavo@centurytel.net"
To: laosnetworkroom@googlegroups.com
Sent: Friday, 13 January 2012 2:11 PM
Subject: Re: າ



ມັນຈະມີບັນຫາໄຫຽ່ຕໍ່ໄປຢູ່ລາວ ການຄ້າຢາບ້າ ແກວກັບໃທມັນເວົ້າກັນຫຍັງລາວບໍ່ຮູ້,ໄດ້ມາລົງທືນພຣີດຢ່າບ້າ ແລະສານພີດເຄມີຕ່າງໆ ເພື່ອມາຂ້າຄົນລາວ,ໄຫ້ຄົນລາວຕີດຢາບ້າ ແລະຢາສັ່ງກີນແລ້ວເຈັບທອງຕາຽໃສ້ຂາດ ບໍ່ມີເງີນປົວ ຕາຽຢ່າງກະທັນຫັນ ພວກຊາວນຸ່ມນ້ຽ ນັກຮ້ອງນັກລຳແລະຮູ້ເທົ່າບໍ່ການຖືກເຂົາຫລອກ.. ຣະວັງເຫັນມານີ້ຕາຽໄປຫຼາຽຄົນແລ້ວ.ແມ່ນກຸ່ມເຊື້ອສາຽໄກສອນແກວນີ້ເອງ ດັ່ງຕຳຣວດໄທຍ ວ່າມານັ້ນ ຄືອ່ານໃນ ໜສ, ພົມວີຫານ ສົ່ງມາ ພັກຣັຖປົກຄອງລາວບໍ່ໄດ້ດອກ ມີແຕ່ເຮັດໄຫ້ບ້ານເມືອງສູນເສັຽ ເພາະເຂົາເຫັນແກ່ເງີນແສນໄທ່ ບໍ່ເຫັນແກ່ໄພ່ແສນເມືອງ. ດ້ວຽຄວາມຮັກແພງພີ້ນ້ອງລາວທຸກໆທ່ານ ໂຊກດີ Best regards,
paxathipatai Lao freedom
Quoting "specom2009@comcast.net" :
Watch this video and give comments
  
Best Regards,

specom

http://www.youtube.com/watch?v=8D-ptU-Es3w&feature=player_embedded


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 



http://www.liberianobserver.com/index.php/columns/item/199-liberia-among-top-5-countries-giving-farmland-to-foreigners

Laos Among Top 5 Countries Giving Farmland to Foreigners

* ທ່ານ ທີ່ຮັກຊາດທັງຫລາຍ


ລາວກໍເປັນປະເທດນຶ່ງ ທີ່ມີຊື່ສຽງ ໃນການຂາຍດິນໃຫ້ ຊາວຕ່າງຊາດ ແຕ່ມັນຕ່າງກັນຢູ່ບ່ອນວ່າ ປະເທດອື່ນບໍ່ມີ ຄວາມສົນໃຈຈະຮຸບ
ຫລື ຍຶດເອົາາ ປະເທດເຫລົ່ານັ້ນ.
ສ່ວນລາວ ເຮົານີ້ ມັນຕ່າງກັບປະເທດອື່ນ ເພາະຈີນ ແລະ ວຽດ ຕຽມຈະ ຍຶດເອົາລາວໄປເປັນເມືອງຂຶ້ນຢູ່ຕລອດເວລາ ດັ່ງນັ້ນການຄຸມດ້ານເສຖກິດ
ຂອງລາວຈຶ່ງເປັນຍຸທສາດອັນສຳຄັນຂອງເຂົາເຈົ້າ.


ຮັກແພງ


ຕັນ
www.actmedia.eu www.actmedia.eu

Liberia is one of the top 5 countries in the world whose farmland are under the control of foreign concessionaires, according to a report made by Grain, a non-governmental organization supporting small farms. The other countries include Laos, Paraguay, Sierra Leone, Indonesia and Romania. At world level, most target countries for farming land purchases made by foreign companies or citizens are in Africa or South America but investors do not avoid Australia, eastern Europe or South-East Asia as well.


Foreigners own more than 1% of farming areas in Africa in 20 out of the 56 countries of the continent. In Liberia foreign companies control 67% of the farming land, which is 200,000 hectares. In Sierra Leone, 15% of the land is leased on a long term or is owned by foreign companies. The same situation can be found in South America, in countries like Paraguay or Uruguay, where foreigners own a quarter of farming lands.

Romania ranks first among European countries for the percentage of farming land owned by foreign companies. In the local market, foreign investors own 7% of the farming land, which is 700,000 hectares. In the Czech Republic, non-residents own 4%, while in Ukraine investors own 3%. Foreigners hold in Romania farming land worth 1.5 billion euro for 700,000 ha of land, according to data of the Ministry of Agriculture and Rural Development and an average price of 2,000 euro/ha.

Investors exploit land in Romania by means of local companies. Foreign citizens cannot purchase land unless they have stable residence in Romania or buy as a juridical person.

Cereal traders, big multinational companies in the food industry, banks and investment and pension funds are among the most active investors in farming land. On the background of the economic crisis investors considered that placement in land is safer than placements in shares, bonds or precious metals.

According to Liberian law, only Liberian citizens or qualified foreigners can own land. Foreign companies investing in agriculture in Liberia may sign a long-term lease, renewable for the life of their investment.


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

http://www.youtube.com/watch?v=hAMtsY8tWmg&feature=player_embedded

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ທ່ານ ດຣ ບົວຣອຍ ແລະ ທ່ານ ພຍາສີທັດ ທີ່ນັບຖື.


ທ່ານພີ່ນ້ອງລາວທີ່ນັບຖື.


ການທີ່ພວກທ່ານເຮັດວຽກການຕໍ່ສູ້ ເພື່ອປະຊາທິປະໄຕໃນລາວນີ້ ບໍ່ໄດ້ຫມາຍຄວາມວ່າຈະຜຸກຂາດເຮັດກຸ່ມນຶ້ງກຸ່ມດຽວ
ເທົ່ານັ້ນ ແມ່ນບໍ?
ໃນເມື່ອ ສອງກຸ່ມໃຫ່ຽ ມີຈຸດປະສົງແນວແນ່ ວ່າຈະເຮັດເພື່ອຊາດກໍຄວນຈະດຳເນີນງານໂລດ. ຢ່າສູ່ຄິດວ່າການອອກຄວາມ ເຫັນເປັນການຄັດກັນ ເພາະ ມັນເປັນການແຈ້ງເຈຕະນາ ຂອງຕົນອອກໃຫ້ສັງຄົມລາວນອກຮູ້.


ການທີ່ ທ່ານ ດຣ ບົວຣອຍ ໄດ້ປະກາດວ່າ GPNUE ຈະ ຮ້ອງຮຽນ ນຳສານໂລກ ກ່ຽວກັບການຂ້າລ້າງຊົນເຜົ່າ
ກໍຂໍໃຫ້ຕັ້ງໃຈ ແລະ ເລັ່ງຮີບຕິດຕາມ ນຳ ຣຖບ ປະເທດມະຫາອຳນາດ ເພື່ອການສນັບສນູນ. ຫລາຍຄົນກໍແຫງນຫນ້າລໍຟັງຂ່າວ ກ່ຽວກັບ ເຣື່ອງນີ້ ຢູ່ທຸກວັນເວລາ ແລະ ພ້ອມທີ່ຈະສນັບສນູນ. ຫວັງວ່າຄົງຈະໄດ້ຮັບຂ່າວດີ. ໃນໂລກມີ້ມີຄົນຮັກຊາດລາວຫລາຍທີ່ສຸດ ຮອດຍາມມາເຂົາເຈົ້າກໍສນັບສນູນໂລດ. ຖ້າຫາກວ່າເຂົາບໍ່ຊ່ວຍກໍຢາກໃຫ້ທ່ານແຈ້ງໃຫ້ຟັງ ເຊັ່ນກັນ ເພື່ອຈະບໍ່ໄດ້ ຄອຍເກີ້.


ການທີ່ ທ່ານ ຜູ້ອາວຸໂສ ສີທັດ ສິດທິບຸນ ແຈ້ງການມານີ້ ແມ່ນດີທີ່ສຸດ ຖືວ່າເປັນການ ປ່ຽນແປງ ( Reform ) ການຈັດຕັ້ງ
ຣຖບ ພຣະຣາຊອານາຈັກລາວ ແມ່ນເຮັດໂລດ ນັດມື້ປະຊຸມ ເຊີນໄປໂລດ ມີຄົນມາຮ່ວມເທົ່າໃດກໍເອົາເທົ່ານັ້ນ ຢ່າລືມສົ່ງ
ໃບແຈ້ງຂ່າວ ສາມສະບັບໄປຍັງ ຄື: ເລຂາທິການ ໃຫຍ່ສະຫະປະຊາຊາດ. ປະທານກອງປະຊຸຸມ ສຫປຊຊ ຄັ້ງທີ້ 66 ແລະ
ປະທານສະພາ ຢູຣົບ. ເນື້ຶອໃນຢ່າສູ່ໃຫ້ກາຍ 1 ຫນ້າເຈັ້ຽ ເວົ້າກ່ຽວກັບການປອງດອງຊາດ ແລະບັນຫາທົ່ວໄປ.
ຖ້າຫາກການຈັດຕັ້ງສາກົລ 3 ສະຖາບັນບໍ່ທັກທ້ວງ ແປວ່າ ເພິ່ນລໍຟັງ ຈິດໃຈ ກອງປະຊຸມ ສ່ວນເນຶ້ອໃນນັ້ນ ທາງສາກົລ ຈະຮູ້ກອ່ນພວກທ່ານລາຍງານເປັນທາງການໄປຫາ ເຮັດຫັຽງຕ້ອງເປີດເຜີຍ ແລະເຮັດດ້ວຍຄວາມຈິງໃຈ.


ຂ້າພະເຈົ້າ ສນັບສນູນ ທຸກການຕໍ່ສູ້ ໃນລາວ ຈະແມ່ນໃຕ້ດິນ, ເທິງດິນ, ເທິງອາກາດ ຖືກຕ້ອງຕາມກົດຫມາຍ ຫລື ບໍ່ ?
ຂໍໃຫ້ແມ່ນການປ້ອງກັນ ປະຊາຊົນຈາກການທຳລາຍ ຂອງ ຣຖບ ຜະເດັດການ ກໍມີຄວາມດີໃຈແລ້ວ.


ນັບຖື
ຕ. ຣາສິກາ
K

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ເລ້ຫຼ່ຽມນີ້ ແມ່ນ ເພື່ອໃຫ້ຄວາມສດວກແກ່ເຈັກ,ແກວ,ໄທຽ໌.......ສ່ວນຄວາມ
ເວົ້າວ່າ"ລາວນອກ"ບໍ່ໄດ້ມີ ໃນກົດໝາຍດັ່ງກ່າວທີ່ ຈະອອກມາ..................
(ໂບຮານເພິ່ນວ່າ : ໄປເສິກແມ່ນໄປຂ້າ,ໄປຄ້າແມ່ນໄປຕົວະ,ໄປເວົ້າການເມືອງ
ແມ່ນໄປຫຼິ້ນການພນັນ ຂັນຕໍ່ ໃຜມີທຶນຫລາຍແລະຂີ້ຫຼັກເກ່ງແມ່ນຊະນະ)
ເມຣິກາ ຖືຄວາມຊື່ ຖືກແກວບ້ຽວ ສັນຍາ ຕ່າງໆ ເລີຽປລາໃຊໃຫ້ແກວຂີ້ຫິດ...

ເຊີນທົບທວນຄືນ ປະຈຸບັນ ພົລເມືອງລາວມີ ເຖິງ 6 ລ້ານ...ອີກປີໜຶ່ງຂ້າງໜ້າ
ຈະມີເຖິງ 9 ລ້ານ ຕຽມໃວ້ປ່ອນບັດຢ່າງເສລີ ຮ່ວມກັບ ລາວນອກ......555555
ເພາະສນັ້ນຢ່າຢາກໄດ້ເລີຽ ການເລືອກຕັ້ງເສຣີ : ສິ່ງທີ່ເຮົາຢາກໄດ້ຄວນຈະແມ່ນ
ຢ່າງອື່ນ ມາກ່ອນການເລືອກຕັ້ງ.....ຄິດໃໝ່ເບິ່ງ........??????????........??????


From: Toum Rasika
To: Networkroom
Sent: Sunday, January 15, 2012 5:21 AM
Subject: Re: ລາວກຽມນິຕິກໍາຕ່າງໆໄວ້ ເພື່ອອໍານວຍ ຄວາມສະດວກ ໃຫ້ຄົນບໍ່ມີສັນຊາດ ກາຍເປັນຄົນລາວ



ທ່ານ ລາວພີ່ນ້ອງທີ່ນັບຖື,


“ ນາຍົກລັດຖະມົນຕີກໍໄດ້ລົງນາມຢ່າງເປັນທາງ ການແລ້ວ ເມື່ອວັນທີ 13 ທັນວາ ທີ່ຜ່ານມາ ກໍຄືດໍາລັດວ່າດ້ວຍ
ການດໍາລົງຊີວິດຢູ່ ສປປ ລາວ ຢ່າງຖາວອນຂອງຄົນຕ່າງປະເທດ, ຄົນເຊື້ອຊາດລາວ ແລະ ຄົນບໍ່ມີສັນຊາດ ໂດຍໃຫ້
ມີຜົນບັງຄັບໃຊ້ນັບຈາກວັນລົງນາມດັ່ງກ່າວ ເປັນຕົ້ນໄປ. ”


ແນວລາວເອົາຫລຽນໃຫ້ ລາວນອກ ເພື່ອຊ່ວຍກົບເກື່ອນ ໃຫ້ ຣຖບ ລາວຜະເດັດການ ອານຸຍາດ ໃຫ້ ຄົນບໍ່ມີສັນຊາດ
ຄື ຊາວວຽດນາມ ແລະ ຊາວຈີນ ຢູ່ລາວ ໄດ້ຢ່າງຖືກຕ້ອງຕາມກົດຫມາຍໃຫມ່


ຜົນລາວນອກໄດ້ສິດຄືຢູ່ຕໍ່ ຮອດ 90 ວັນ ແລະ ກາຍນັ້ນ ແມ່ນເສັຽຄ່າທຳນຽມ ວັນ $ 1.00 ເທົ່ານັ້ນ.
ສ່ວນ ຈີນ ແລະ ວຽດນາມ ກໍຈະຖືກພິຈາຣະນາພ້ຶອມກັນ ຄືມີສິດເປັນສັນຊາດລາວໂດຍອັຕໂນມັດ.


ພວກສນັບສນູນແນວລາວ ກໍມີປັນຍາຄິດໄດ້ເອງຢູ່ບໍ້ ບາງຄົນກໍເປັນຄົນມີຄວາມຮູ້ ສູງ ຖືກແນວລາວ
ນ້ຳສ້າງນ້ອຍຕົ້ມແລ້ວຕົ້ມອີກ. ດຽວນີ້ເຂົາເຈົ້າເລົ່ານັ້ນ ກໍຍັງວ່າດີ ອັນຢາສັ່ງ ນີ້ຫລາຍປະເພດ ກິນແລ້ວ
ກາຍເປັນຄົນຫມົດຄວາມຄິດກໍມີ, ກິນແລ້ວກັບມາຕາຍຢູ່ຕ່າງປະເທດກໍມີ, ກິນແລ້ວຕາຍຢູ່ກັບທີ່ກໍມີ.


ນັບຖື
ຕຸ້ມ.



To: toum.rasika@yahoo.com
Sent: Sunday, 15 January 2012 10:44 AM
Subject: ລາວກຽມນິຕິກໍາຕ່າງໆໄວ້ ເພື່ອອໍານວຍ ຄວາມສະດວກ ໃຫ້ຄົນລາວໃນຕ່າງປະເທດ ໄດ້ກັບຄືນໄປຊ່ວຍ ສ້າງສາຊາດ



01-12-2012
ລາວກຽມນິຕິກໍາຕ່າງໆໄວ້ ເພື່ອອໍານວຍ ຄວາມສະດວກ ໃຫ້ຄົນລາວໃນຕ່າງປະເທດ ໄດ້ກັບຄືນໄປຊ່ວຍ ສ້າງສາຊາດ
ຄະນະຜູ້ຕາງໜ້າຂອງຄົນລາວໃນຕ່າງປະເທດຮັບປາກວ່າ ຈະປະກອບສ່ວນໃນການ ພັດທະນາລາວ ໃນຂະນະທີ່ທາງການລາວເອງ ກໍກໍາລັງເລັ່ງກະກຽມນິຕິກໍາຕ່າງໆໄວ້ ເພື່ອອຳນວຍຄວາມສະດວກ.
ລາຍງານໂດຍ ຊົງຣິດ ໂພນເງິນ | ບາງກອກຮູບຈາກ: Songrit Pongern
ຄົນລາວໃນຕ່າງປະເທດຈໍານວນນຶ່ງ ທີ່ໄດ້ເດີນທາງໄປຊົມງານມະຫະກໍາຊີເກມສ໌ ຢູ່ລາວ ໃນເດືອນທັນວາ 2009 ຖ່າຍຮູບຮ່ວມກັບອະດີດນາຍົກລັດຖະມົນຕີລາວ ທ່ານ ບົວສອນ ບຸບຜາວັນ (ກາງ)

ຄະນະຜູ້ຕາງໜ້າຂອງຄົນລາວຈາກຝຣັ່ງ ແລະສະຫະລັດອາເມຣິກາ ຢືນຢັນໃນໂອກາດ
ທີ່ຢ້ຽມຄໍານັບ ແລະພົບປະເຈລະຈາກັບທ່ານຕົງ ເຢີເທາະ, ຮອງປະທານແນວລາວສ້າງ
ຊາດ ເມື່ອບໍ່ດົນມານີ້ຢູ່ນະຄອນຫຼວງວຽງຈັນວ່າ ພວກຕົນຈະປະກອບສ່ວນເຂົ້າໃນການ
ພັດທະນາປະເທດລາວ ໃຫ້ຈະເລີນກ້າວໜ້າຢ່າງເທົ່າທຽມກັບນາໆຊາດໃຫ້ໄດ້ໃນທຸກໆ
ດ້ານ.
ຫາກແຕ່ຖະແຫຼງການດັ່ງກ່າວນີ້ໄດ້ເນັ້ນຢ້ຳວ່າ ການທີ່ຈະເຮັດໃຫ້ຄົນລາວໃນຕ່າງປະເທດ
ສາມາດທີ່ຈະປະກອບສ່ວນເຂົ້າໃນການພັດທະນາລາວໄດ້ ໃນພາກຕົວຈິງນັ້ນ ກໍມີຄວາມ
ຈຳເປັນຢ່າງຍິ່ງ ທີ່ຈະຕ້ອງມີການສ້າງເງື່ອນໄຂອຳນວຍຄວາມສະດວກໃນຫຼາຍໆດ້ານ ໄວ້
ຮັບຮອງ ແລະຄະນະຜູ້ແທນຕາງໜ້າຂອງຄົນລາວຈາກຝຣັ່ງ ແລະສະຫະລັດອາເມຣິກາ
ກໍຄາດຫວັງວ່າ ທາງການລາວ ຈະສ້າງເງື່ອນໄຂອຳນວຍຄວາມສະດວກເຫຼົ່ານັ້ນໄດ້ ຢ່າງ
ເປັນຮູບປະທຳໃນໝໍ່ໆນີ້.

Songrit Pongern
ຜູ້ຕາງໜ້າຄົນລາວຈາກຝຣັ່ງ ແລະສະຫະລັດອາເມຣິກາຈໍານວນນຶ່ງ ຖ່າຍຮູບຮ່ວມກັບທ່ານ ຕົງ ເຢີເທາະ (ຢືນຢູ່ກາງ), ຮອງປະທານ ແນວລາວສ້າງຊາດ ໃນໂອກາດທີ່ພົບປະເຈລະຈາກັບທ່ານໃນ ເດືອນທັນວາ 2011 ຜ່ານມານີ້ສ່ວນທາງດ້ານທ່ານ ຫຼີ ບຸນຄໍ້າ
ຫົວໜ້າກົມພົວພັນຄົນເຊື້ອຊາດ
ລາວ ຢູ່ໃນຕ່າງປະເທດ ໜ່ວຍ
ງານທີ່ຖືກຈັດຕັ້ງຂຶ້ນໃໝ່ໃນກະ
ຊວງການຕ່າງປະເທດຂອງລາວ
ໄດ້ຖະແຫຼງຢືນຢັນວ່າ ຄະນະ
ກໍາມະການແຫ່ງຊາດເພື່ອການ
ພົວພັນຄົນເຊື້ອຊາດລາວຢູ່ຕ່າງ
ປະເທດ ໄດ້ມີການພິຈາລະນາ
ປັບປຸງ ເພື່ອເຮັດໃຫ້ການດໍາ
ເນີນການພັດທະນາມາດຕະການ
ຕ່າງໆ ມີປະສິດທິຜົນຫລາຍຂຶ້ນ
ໂດຍຈະໃຫ້ຄວາມສໍາຄັນເປັນພິ
ເສດ ຕໍ່ການພັດທະນາປັບປຸງມາດຕະການໃຫ້ເປັນມາດຕະການທີ່ຖາວອນໃນ 4 ດ້ານດ້ວຍ
ກັນ ດັ່ງທີ່ທ່ານ ຫຼີ ບຸນຄໍ້າ ໄດ້ຊີ້ແຈງໃນຕອນນຶ່ງວ່າ:
“ວຽກສໍາຄັນຂອງຄະນະກໍາມະການອັນນຶ່ງນີ້ ແມ່ນເວົ້າເຖິງເລື່ອງການຂໍຍົກເວັ້ນ
ຄ່າທໍານຽມວີຊ່າ ທີ່ປະຕິບັດຕໍ່ ຄົນເຊື້ອຊາດລາວຢູ່ຕ່າງປະເທດ, ອັນທີ່ສອງ ກໍ ແມ່ນຄົ້ນຄວ້າເຖິງເລື່ອງອອກນະໂຍບາຍ ເພື່ອໃຫ້ກໍາມະສິດນໍາໃຊ້ທີ່ດິນ, ອັນ
ທີ່ສາມ ກໍ່ແມ່ນເວົ້າເຖິງການຂໍມາຢູ່ໃນລາວ ຢ່າງຖາວອນ ແລະອັນທີ 4 ກໍ່ແມ່ນ
ເລື່ອງການຂໍອະນຸຍາດແຕ່ງດອງ ແຕ່ວ່າກໍ່ຍັງບໍ່ທັນສະຫຼຸບກັນໄດ້ ໃນເລື່ອງຂັ້ນ
ຕອນຕ່າງໆ. ”
ກ່ອນໜ້ານີ້ ກົມກົງສູນຂອງລາວກໍໄດ້ຍົກເວັ້ນຄ່າທໍານຽມ VISA ໃຫ້ກັບຄົນລາວ ໃນຕ່າງ
ປະເທດທຸກຄົນ ທີ່ຕ້ອງການທີ່ຈະເດີນທາງກັບມາຢ້ຽມຢາມປະເທດລາວ ນັບຈາກວັນທີ
1 ມັງກອນ 2011 ເປັນຕົ້ນໄປມາແລ້ວ ຊຶ່ງກໍຄືການຍົກເວັ້ນທໍານຽມວິຊ່າໃຫ້ແກ່ຄົນລາວ
ໃນຕ່າງປະເທດ ທີ່ມີອາຍຸຕັ້ງແຕ່ 65 ປີຂຶ້ນໄປ ແລະ ມີອາຍຸ ຕໍ່າກວ່າ 15 ປີ ຫລື ເປັນຄົນ
ພິການທາງຮ່າງກາຍ ຫຼື ພິການທາງສະໝອງ ທີ່ຕ້ອງການກັບຄືນມາຢ້ຽມຢາມ ແລະມາ
ພັກຢູ່ໃນລາວບໍ່ເກີນ 90 ວັນ ແລະ ເມື່ອຄົບກໍານົດດັ່ງກ່າວແລ້ວ ກໍຍັງຈະສາມາດທີ່ຈະຂໍຕໍ່
ວິຊ່າໄດ້ອີກ ໂດຍບໍ່ຕ້ອງເສຍຄ່າວິຊ່າແຕ່ຢ່າງໃດອີກດ້ວຍ.
ສ່ວນຄົນລາວໃນຕ່າງປະເທດທີ່ບໍ່ຢູ່ໃນກຸ່ມດັ່ງກ່າວນັ້ນ ທາງການລາວອະນຸຍາດໃຫ້ຢູ່ໃນ
ລາວໄດ້ບໍ່ເກີນ 60 ວັນ ເມື່ອຄົບກໍານົດການອະນຸຍາດດັ່ງກ່າວນັ້ນ ກໍສາມາດທີ່ຈະຕໍ່ວິຊາ
ໄດ້ເຊັ່ນດຽວກັນ ຫາກແຕ່ວ່າ ຈະບໍ່ໄດ້ຮັບການຍົກເວັ້ນຄ່າວິຊາໃນການຂໍຕໍ່ວິຊານີ້ ໂດຍຈະ
ຕ້ອງເສຍຄ່າທໍານຽມໃນອັດຕາ 1 ໂດລາຕໍ່ມື້ ຊຶ່ງຕໍ່າກວ່າ ອັດຕາປົກກະຕິ ທີ່ເກັບໃນອັດ
ຕາ 2 ໂດລາ ຕໍ່ມື້ນັ້ນເອງ.
ນອກຈາກນີ້ ນິຕິກໍາທີ່ສໍາຄັນອັນໜຶ່ງທີ່ທາງການກະຊວງການຕ່າງປະເທດຂອງລາວ ໄດ້
ດໍາເນີນການສໍາເລັດ ຮຽບຮ້ອຍແລ້ວ ແລະນາຍົກລັດຖະມົນຕີກໍໄດ້ລົງນາມຢ່າງເປັນທາງ
ການແລ້ວ ເມື່ອວັນທີ 13 ທັນວາ ທີ່ຜ່ານມາ ກໍຄືດໍາລັດວ່າດ້ວຍການດໍາລົງຊີວິດຢູ່ ສປປ
ລາວ ຢ່າງຖາວອນຂອງຄົນຕ່າງປະເທດ, ຄົນເຊື້ອຊາດລາວ ແລະຄົນບໍ່ມີສັນຊາດ ໂດຍໃຫ້
ມີຜົນບັງຄັບໃຊ້ນັບຈາກວັນລົງນາມດັ່ງກ່າວ ເປັນຕົ້ນໄປ.

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ต่างชาติดาหน้าขุด เหมืองแร่ลาวสู่ยุคเฟื่องสุดๆ!!!
ไม่เพียงจะมีแหล่งทองคำ-ทองแดงอยู่หลายแห่งสปป.ลาวยังมีแหล่งแร่บอกไซต์เกรดดีและ
กำลังเป็นที่หมายตาของต่างชาติ ที่ต่างก็มุ่งเข้าไปขุดสินแร่ที่ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตอลูมิเนียมที่ต้องใช้ใน
อุตสาหกรรมหลายแขนง
นักลงทุนจากจีน เวียดนาม มาเลเซีย อังกฤษ รวมทั้งไทยและญี่ปุ่นกำลังเคลื่อนไหวคึกสำรวจแหล่งแร่บอกไซต์
ในแขวงจำปาสัก เซกองและอัตตะปือ ทางตอนใต้ของลาว ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นแหล่งบอกไซต์ขนาดใหญ่ถึง 1 ใน 3 ของ
โลก ธนาคารโลกเคยรายงานว่าสินแร่ที่นั่นอาจจะมีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์
ตามรายงานของสำนักข่าวสารปะเทดลาวประธานบริษัทมิตซุย (เอเชีย-แปซิฟิก) ได้เข้าเยี่ยมคำนับ
นายกรัฐมนตรีลาวบัวสอน บุบผาวัน ในสัปดาห์กลางเดือน มิ.ย.นี้ในโอกาสไปร่วมประชุมความร่วมมือลาว-ญี่ปุ่นใน
นครเวียงจันทน์สัปดาห์เดียวกัน
บริษัทจากญี่ปุ่นได้ร่วมกันกับบริษัทริโอตินโตอัลคาน (Rio Tinto Alcan) ซึ่งในปัจจุบันเป็นผู้ค้าอะลูมิเนียมราย
ใหญ่ที่สุดของโลกกำลังศึกษาความเป็นไปได้ของเหมืองบอกไซต์ในภาคใต้ของลาว โดยเชื่อว่าสามารถหลอมเป็นแร่
อะลูมิเนียมได้ 1.5-2 ล้านตันต่อปี มูลค่า 1,800-2,000 ล้านดอลลาร์
ในเดือน ก.ค. 2549 ใต้ลงไปบริษัทร่วมพัฒนาอุตสาหกรรมเซกอง (Sekong Industry Development Company)
จากการร่วมทุนระหว่างเวียดนามและลาว ก็กำลังสำรวจ-ขุดค้นแร่อลูมิเนียมในพื้นที่สัมปทานกว่า 2,400 ไร่
ต่อมาในเดือน ธ.ค.ลาวได้อนุมัติให้บริษัทเอเชีย อีโคโนมิค แอนด์ เทคนิคัล คอร์ป (Asia Economic and
Technical Corporation) จากมณฑลหยุนหนัน และบริษัทหังโจจินเจียง กรุ๊ป (Hangzhou Jinjiang Group) เข้าสำรวจ
บอกไซต์ คลุมพื้นที่ 555 ตารางกิโลเมตร ในเขตเมืองปากช่อง แขวงจำปาสัก โดยจะใช้เวลาสำรวจและออกแบบรวม
36 เดือน คาดว่าเงินลงทุนนับร้อยล้านดอลลาร์
ตามตัวเลขในปลายปี 2459 ปัจจุบันกิจการเหมืองแร่นับ 100 โครงการกำลังดำเนินอยู่ในลาวมูลค่าโครงการ
ประมาณ 400 ล้านดอลลาร์ แต่ในปี 2550 และปีนี้ทางการได้อนุมัติเหมืองแร่อีกหลายโครงการทำให้มูลค่าเพิ่มขึ้นอีก
หลายร้อยล้านดอลลาร์
ล่าสุดในเดือน พ.ย.2550 บริษัทซิโนลาว อะลูมิเนียม คอร์ปอเรชั่น จำกัด (Sino Lao Aluminum Corporation)
หรือ SLACO ของกลุ่มผู้ลงทุนไทย ลาวและจีนที่มีบริษัทอิตาเลียนไทยดีเวล๊อปเมนต์จำกัด (มหาชน) รวมอยู่ด้วย ได้
ประกาศเริ่มการสำรวจศึกษาโครงการเหมืองบอกไซต์ในพื้นที่ 150 ตร.กม. ในเขตเมืองปากซอง แขวงจำปาสัก กับอีก
31 ตร.กม.ในเขตเมืองสะหนามไซ แขวงอัตตะปือที่อยู่ติดกัน
สัปดาห์ที่แล้วบริษัทจากรัสเซียแห่งหนึ่งได้แสดงความตั้งใจต่อรัฐบาลลาวจะเข้าลงทุนสำรวจและขุดค้นแร่
สังกะสีในแขวงเซกองภาคใต้ของลาว
เมื่อปีที่แล้วลาวได้อนุมัติให้บริษัทผาแดงอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) จากไทย ซึ่งเป็นผู้ประกอบการเหมืองแร่
สังกะสี และโรงงานผลิตโลหะสังกะสีรายเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ให้เข้าสำรวจแร่ในพื้นที่ 800 ตร.กม.ใน
เมืองกาสี แขวงเวียงจันทน์!!!

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ທ່ານ ລຸງຈອນ ທີ່ນັບຖື


ການທີ່ຈະອອກຄວາມເຫັນນີ້ ບໍ່ໄດ້ຫມາຍ ຄວາມວ່າ ຂ້າພະເຈົ້າ ເປັນຄົນມີຄວາມຮູ້ ແຕ່ວ່າແມ່ນ ຕາມທັສນະສ່ວນຕົວ ເທົ່ານັ້ນ ແລະ ກໍບໍ່ໄດ້ເປັນຄົນອຽງຊ້າຍເຊັ່ນກັນ.


ພາຍຫລັງທ່ານຜູ້ເຖົ້າ ຣະບອບຜະເດັດການ ໄດ້ລົ້ມຫາຍຕາຍໄປ ທີ່ລະຄົນ ສອງຄົນ ດ້ວຍໂຣກ ສະຣາແດ່, ດ້ວຍຢາສັ່່ງແດ່
ຈຶ່ງເຮັດມີບາງສະພາບ ມີການປ່ຽນແປງ ເຊັ່ນ ລູກເຕົ້າເຂົາເຈົ້າ ທີ່ມີຄວາມຮູ້ ຈາກປະເທດຈະເຣີນແດ່ ຄວາມຣະແວດ
ຣະວັງ ຕໍ່ລູກເຕົ້າ ຂອງຜູ້ນຳ ຄົນອື່ນຯ ການຍາດແຍ່ງ ອຳນາດກັນ ແດ່ ຈື່ງເຮັດໃຫ້ການສໍ້ຣາຊ ເບົາບາງລົງ.
ອີກຢ່າງນຶ່ງກໍໄດ້ຮັບຄວາມກົດດັນ ຈາກ ທະນາຄານໂລກແດ່ ແລະ ຈາກ ປະຊາຊາດສາກົລແດ່ ແລະ ຈາກປະຊາຊົນລາວ
ຢູ່ຕາມຈອກແຈແຄຮົ້ວ ແລະ ທາງເວທີການຕໍ່ສູ້ຕ່າງຯ ນຳອີກ.


ການປ່ຽນແປງເລົ່ານີ້ ຈຶ່ງເກີດມີຂຶ້ນບ້າງເລັກບ້າງນ້ອຍ ແລະ ບາງ ແນວທາງມີການປ່ຽນແປງນ້ອຍນຶ່ງເຊັ່ນກັນ.​


ນັບຖື
ຕ. ຣາສິກາ




2012/1/19 Jonh Anouvong

ໃນສາຍຕາ ຂພຈ ບໍ່ໄດ້ເຫັນມີສິ່ງໃດ ໄດ້ມີການປ່ຽນແປງ ແມ່ນແຕ່ນ້ອຽດຽວ ທີ່ພໍຈະມອງເຫັນຊ່ອງທາງ
ໃຫ້ ປຊຊ ໄດ້ມືນຕາອ້າປາກໄດ້....ແມ່ນແຕ່ໂຄງການຢຶດ ທີ່ດິນທໍາມາຫາກິນ ຂອງ ປຊຊ ບ້ານທາຕຫຼວງ
ທີ່ງຽບໄປຫຼາຍເດືອນແລ້ວ ເຂົາກໍດຶງຄືນມາອີກ...ເຂົາໄດ້ປ່ຽນ ແຕ່ຕົວຜູ້ນໍາບາງຄົນ ຍ້ອນວ່າ ພວກເກົ່າ
ຫລາຍຄົນ ມັນກໍ່ຕາຍຮ່າຕາຍຫູງ ລົງນາຣົກໄປແລ້ວ...ເຖິງຈະມີຜູ້ໃໝ່ຂຶ້ນມາແທນ ແຕ່ ທິດທາງ ແລະ
ແນວທາງ ມັນຍັງແມ່ນອັນດຽວຄືເກົ່າ...ຈຶ່ງຂໍຄວາມກະຈ່າງແຈ້ງນ້ອຍໜຶ່ງແດ່ ພໍເປັນບົດຮຽນ ເພຶ່ອຝຶກ
ຝົນສມອງຕື່ມ....

ດ້ວຽຄວາມເຄົາຣົພນັບຖືຮັກແພງ
ຈ ອ


From: Toum Rasika
To: Networkroom
Sent: Wednesday, January 18, 2012 9:05 PM
Subject: ຍອມຮັບວ່າມີການປ່ຽນແປງຣະບົບຜູ້ນຳໃນລາວນ້ອຍນຶ່ງ



ທ່ານ ພີ່ນ້ອງລາວທີ່ນັບຖື


ຫລັງຈາກກາຍຕາຍ ຂອງໄກສອນແລ້ວ ລູກຊາຍກໍເຂົ້າເປັນ ຄນະພັກ ແລະ ລົງພື້ນຖານເປັນ ຄນະແຂວງ
ແລ້ວ ເລື່ຶອນຂຶ້ນມາເປັນ ຮອງປະທານສະພາ ແລ້ວ ກໍຈະກ້າວເປັນປະທານສະພາ ແລະ ຈະກາຍຂຶ້ນໄປເປັນ
ປະທານປະເທດ ຕລອດຊີວິດ ແຕ່ເຮັດຕ່າງກັບເກົາຫລີເຫນືອນ້ອຍນຶ່ງ ໄຊສົມພອນ ພົມວິຫອຍ ຮອງ ປທ ສະພາ ພົນຕຣີ ສັນຍາລັກ ພົມວີຫິ ຣມຕ ຊ່ວຍປ້ອງກັນ ປທ ສັນຕິພາບ ພົມວີໂຄຍ ຣມຕ ຂ່ວຍການ ເງີນ ແລະ ບັກຜີຫ່າ ວົງສວັນ ພົມວີຄວາຍ ອະດິດທູກລາວແດງ ທີ່ ໂມສກູ ເຮັດທາງອ້ອມ.
ຄິມ ຈົງ ອຸນ ສືບຕໍ່ໂດຍກົງ.


ໄຊສົມພອນ ພົມວິຫານ ຈະກາຍເປັນເຈົ້າຊີວິດລາວຄົນໃຫມ່.



ວິທີປ້ອງກັນ ລາວນອກຕ້ອງຮັກແພງກັນ ຢ່າມັກຜິດກັນ ຕ້ອງຊ່ວຍກັນທັບມ້າງ
ນະໂຍບາຍຜະເດັດການ ແລະ ເຫັນແກ່ຕົວ.


ນັບຖື
ຕ. ຣາສິກາ




Little has changed in Laos' one-party political system and its rulers are trying to emulate the market-based authoritarianism of China and Vietnam with pro-business reforms, with some success. ลิตเติ้ลมีการเปลี่ยนแปลงในระบบการเมืองลาว'หนึ่งของบุคคลและผู้ปกครองที่มีความพยายามที่จะเลียนแบบอำนาจตามตลาดของจีนและเวียดนามมีการปฏิรูป Pro ธุรกิจกับความสำเร็จบางอย่าง The once fragile economy has grown an average 7.9 percent a year since 2006. เศรษฐกิจที่เปราะบางครั้งมีการเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 7.9 ต่อปีตั้งแต่ปี 2006

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ທ່ານ bluemax ທີ່ນັບຖື


ຂອບໃຈທີ່ ໃຫ້ລາຍຣະອຽດ, ດັ່ງນັ້ນ ທ. ໄຊສົມພອນ ແລະ ທ. ສັນຍາຮັກ ກໍແມ່ນ ວຽດນາມ 100%
ການຕໍ່ສູ້ປະຊາທິປະໄຕໃນລາວ ຈະຕ້ອງທັບມ້າງ ຄົນຈຳພວກນີ້ ເຊັ່ນກັນ.


ຂໍພຽງແຕ່ລາວນອກ ບໍ່ທຳລາຍກັນ ແລະ ຊ່ວຍກັນປ້ອງກັນ ປຊຊ ໃນເວລາຈຳເປັນ ເທົ່ານັ້ນກໍພຽງພໍແລ້ວ.
ສ່ວນຈະໄປຊີ້ນຳ ປຊຊ ລາວຢູ່ໃນ ເຮັດຫັ້ນເຮັດນີ້ ນັ້ນ ບໍ່ຕ້ອງເຮັດກໍໄດ້. ເພາະ ຖ້າເຮັດແລ້ວ ທຳໃຫ້ ເສັຽຄວາມລັບ,
ຕາຍ ແມ່ນຄົນລາວໃນຕາຍ. ເພາະທຸກອົງການຈັດຕັ້ງລາວນອກ ແນວລາວ ປະກອບຄົນເຂົາໄວ້ນຳຫມົດແລ້ວ.


ນັບຖື
ຕ. ຣາສິກາ



--------------------------------------------------------------------------------
From: blue max
To: "laosnetworkroom@googlegroups.com"
Sent: Thursday, 19 January 2012 4:59 PM
Subject: Re: ຍອມຮັບວ່າມີການປ່ຽນແປງຣະບົບຜູ້ນຳໃນລາວນ້ອຍນຶ່ງ



ໄກສອນບໍ່ສາມາດມີລູກຄືງໆໄດ້ ໃນສມັຍນັ້ນໃສ່ຊື່່ປອມວ່າ ນາຍຮ້ອຍບູດດີ ຈາກບ້ານທ່າບໍ່ ມາເອົານາງທອງຫວິນ ແຖບແຄມນ້ຳງື່ມ ໄຊສົມພອນ ແລະ ສັນຍາຮັກ ເປັນ ລູກລ້ຽງ ແລະບໍ່ມີທາງຈະດຳເນີນ ການເມືອງຂອງລາວໄດ້ ທັງທີ່ ວຽດນາມພຍາຍາມ ຫນູນຫລັງ ທ້າວສົມສວັດ ທອງລູນ ແລະພັຄພວກ ທາງເຫນືອ ຈະບໍ່ຍອມເດັດຂາດ

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

APPEASEMENT TOWARD LAOS
WEDNESDAY, MAY 4, 2011


Relatives and supporters of three Americans jailed and tortured in Laos are appealing to the Obama administration to put high-level pressure on the communist government for their release.

However, one of the leaders of the campaign for their freedom suspects that President Obama might ignore their plea, as he seeks better relations with the Southeast Asian nation despite its brutal human rights record.

When they heard that Secretary of State Hillary Rodham Clinton sent greetings on behalf of Mr. Obama on the Laotian new year earlier this month, “we were appalled,” said Philip Smith, director of the Center for Public Policy Analysis in Washington.

He added that the new year’s message, which also expressed hopes for expanded bilateral military relations, makes him worry that the White House is drifting toward “total appeasement of a military dictatorship.”

Mr. Smith joined a coalition of organizations representing Laotian-Americans and Laotian Hmong refugees in writing to Mr. Obama and Mrs. Clinton to seek “higher diplomatic” attention to the plight of the three naturalized U.S. citizens of Hmong descent.

The three Hmong-Americans have been “interrogated, beaten and tortured, according to eyewitness and multiple sources,” Mr. Smith said.

Congshineng Yang, 34, Hakit Yang, 24, and Trillion Yunhaison, 44, visited Laos with valid tourist visas in July 2007. Laotian soldiers and secret police arrested them the next month in northeastern Laos.

“They were arrested without charges and for unknown reasons,” Mr. Smith said.

The secret police later moved the three Americans to Lao’s notorious Phonthong Prison in the capital, Vientiane. Their families believe the three are now being held in a secret military prison in the northeast of the country.

Mr. Smith said the families initially appealed to Ravic Huso, the U.S. ambassador to Laos at the time, and urged him to raise a diplomatic protest to the foreign ministry.

“He did almost nothing,” Mr. Smith said.

Mr. Huso assigned the case to a consular officer, who confirmed the arrests, Mr. Smith said.

“We wants answers now …,” said Shen Xiong, a spokeswoman for the families and the wife of Hakit Yang. The three Hmong-Americans had relocated from Laos to Minnesota, where their families still live.

The State Department cited a privacy act that restricts what they can say about Americans imprisoned abroad.

“We are unable to confirm claims that U.S. citizens were ever or still are in the custody of the Lao government,” an official said.

The Laotian Embassy declined to respond to an e-mail request for comment.

The State Department’s latest human rights report calls Laos “an authoritarian one-party state” where prison conditions are “harsh and, at times, life threatening.”

The Hmong people have long been the target of repression by Laotian communists because they sided with royalist forces, organized by the CIA, in the Laotian civil war, which ended in 1975.

The same day that a top Chinese official praised U.S. Ambassador Jon Huntsman as a friend of China, the outgoing envoy denounced the communist government for imprisoning a prominent artist.

“It is very sad that the Chinese government has seen a need to silence one of its most innovative and illustrious citizens,” Mr. Huntsman wrote in an introduction to a Time magazine profile on Ai Weiwei.

The artist, also an outspoken government critic, was included among Time’s 100 most influential people last week.

On the day of the April 21 publication, Chinese Vice President Xi Jinping expressed his regret that Mr. Huntsman will resign from his position later this month.

“You are an old friend of the Chinese people,” Mr. Xi said.

Mr. Huntsman, a former Republican government of Utah, is considering seeking the GOP nomination to challenge President Obama, who appointed him ambassador in 2009.

Call Embassy Row at 202/636-3297 or e-mailjmorrison@washingtontimes.com

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

Xufcgb.png [666x556px] ฝากรูป
image.ohozaa.com

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

Cher Phoui,

C'est vrai...la situation économique de la France à l'approche des élections présidentielles
est plutôt difficile. Je ne crois pas qu'un autre président qui s'appelle autrement que Sarko aurait
pû faire mieux face à la conjoncture de l'économie mondiale.

Par conséquent, cela rend un peu difficile pour moi le choix électoral. C'est tout-à-fait probable
que je déciderai au dernier moment de glisser mon bulletin de vote dans les urnes.

Mon coeur est à gauche, tout le monde le sait. Mais pour la gauche française c'est finie pour moi
pour toute ma vie. C'est vraiment une idéologie lamentable aidant les fainéant incompétents tout
en pénalisant ceux qui bossent efficacement. Je ne te raconte pas n'importe quoi, mais de mes propres
expériences professionnelles vécues.

Pour résoudre ces problèmes, il faut en finir avec le pouvoir excessif des syndicats.
La Dame de Fer du Royaume Uni, Margaret Thatcher, en a déjà fait avec succès dans les années 70.

Depuis, les grèves presque quotidiennes paralysant l'économie du pays ont beaucoup plus de mal
à se déclencher. Cela a permit à l'économie du Royaume de monter de changer la face du mauvais élèves
de l'Europe à la première place, notamment pendant que Tony Blair était au commande au 10 Downing
Street.

Par ailleurs, les réformes en profondeur à l'instar de l'Allemagne dirigée par Gerhard Schroder du
parti Social Démocrate (prédécesseur d'Angela Merkel) pourraient être aussi bonnes pour la France.

Mais, crois moi cher Phoui, ce ne sera pas chose facile de changer la mentalité d'un peuple d'une nation.
Comme on ne déplace une montagne du jour au lendemain.

Cordialement
Settha


De : Phoui
À : laos-solidarite@yahoogroupes.fr
Cc : freelaos@yahoogroups.com
Envoyé le : Jeudi 26 janvier 2012 5h16
Objet : [freelaos] La France dégradée




Cher Settha,
Je suis tout à fait d’accord avec toi concernant certaines catégories des salariés dans la fonction publique qui obtiennent des avantages sociaux plus que les autres, ils en profitent et ne veulent pas lâcher de ces avantages acquits, quand je compare les salariés du secteur médical par rapport à ceux de SNCF ou RATP, il n’ y a de photos, syndicalistes aidant, ils font la loi et priment le développement du pays. Quant aux salariés français du secteur privé, on ne voit jamais manifester, si quelqu’un osait protester, soit qu’il quitte son job ou soit la porte est ouverte pour lui.
A l’approche de l’élection présidentielle, la mauvaise nouvelle tombe encore aujourd’hui avec plus de 29000 chômeurs le mois dernier, les attaques de la banque avec la nouvelle méthode en fonçant la voiture de grosses cylindres dans la banque et s’enfuient en motos ou scooters après avoir pris le butin. C’est au quotidien qu’on entend de ces nouvelles, où est l’état de droit ? Où est la protection de la population ? Et si par malheur ce type d’évènement se produit au Laos, ne penses tu pas que nos forums seraient bombardés du matin au soir !!!
Le peuple français a tendant de 40% de droite et de 40% de gauche, le reste de 20% c’est la balance des évènements, il y a aussi des outsider comme Le Pen en 2002, pourquoi pas les 2 outsiders au 2è tour en 2012. Le tigre dort mais il n’est pas mort, les sondages peuvent se tromper.
Cordialement
Phoui


De : laos-solidarite@yahoogroupes.fr [mailto:laos-solidarite@yahoogroupes.fr] De la part de Settha Viravong
Envoyé : jeudi 19 janvier 2012 04:30
À : laos-solidarite@yahoogroupes.fr
Cc : freelaos@yahoogroups.com
Objet : Re : [Laos-Sol] La France dégradée


Cher Phoui et tous;

Se permettre de dire que les Français sont tous fainéants peut être considéré comme des propos grossiers
et inadmissibles. Mais dire que les fainéants opportunistes existent dans la sociétés françaises me paraît
exact. C'est le pire dans la fonction publique. Mais aussi dans le secteur privé. C'est tous ceux-là qu'ils ne faut pas trop favoriser au détriment des gens courageux et compétents.

Pour résoudre ce problème je pense aux plans de réformes en profondeur réalisés par l'ancien Chancelier allemand,Gehrard Schroder, le prédécesseur d'Angelar Merkel. Je ne sais pas si tu t'en souviens encore.
C'est avec des réformes de telle ampleur que la France et l'Europe s'en sortiront. J'en suis certain. Le problème c'est que oui ou non la mentalité fraçaise pourra s'adapter à celle des Allemands. C'est un gros point d'interrogation.

En tout cas, je ne voterai pas à gauche en 2012.

Cordiallment
Settha

De : Phoui
À : freelaos@yahoogroups.com ; laos-solidarite@yahoogroupes.fr
Envoyé le : Mardi 17 Janvier 2012 17h07
Objet : [Laos-Sol] La France dégradée


Cher Settha,
Je ne me permets pas à penser que les français sont des fainéants, la plupart des gens que je connais sont dans une situation financièrement défavorable malgré leurs efforts dans la recherche de l’emploi, j’étais contre la loi de 35 heures dès le début, on connaît la suite. Sous Chirac, ses gouvernements ont pu emmener le taux du chômage à un niveau acceptable mais encore des efforts à faire pour aider le peuple français. Depuis l’élection de Nicolas Sarkozy en 2007, son bilan est catastrophique, le chômage, la dette, l’insécurité, la perte du pouvoir d’achat, la précarité du peuple français. Nous avons dit ou discuté souvent que c’est le chef de l’Etat est responsable de mauvaise gestion dans les affaires intérieures, toutes les réformes que Sarkozy a fait depuis qu’il est au pouvoir, c’est de appauvrir le peuple, il peut dire que c’est de la crise mondiale, il peut raconter comme il voudra, mais c’est lui le responsable qui a coulé le bateau de la France avec son arrogance politique et son favoritisme pour les riches.
C’est le moment de discuter et de débattre pour l’élection présidentielle, quelque soit l’élu du président de la République , il ou elle ne pourra pas résoudre le problème de chômage et de la dette de la France , la France est dans une crevasse profonde, parce que la France n’a plus de production industrielle, plus de grande usine, plus de PMI/PME, il n’en reste que l’industrie du tourisme, de l’armement, même les avions ne sont plus vendables. On peut critiquer ce qu’on veut de la Chine , mais c’est un pays qui travaille beaucoup, qui produit beaucoup et qui investie énormément. La crise de l’Euro, à cause de qui, à cause de quoi, on verra le programme politique et social de chaque candidat. Je vois 4 candidats potentiels : Sarkozy, Hollande, Bayrou et Le Pen. J’écarte déjà la tête de liste, même si j’ai voté pour lui en 2007, ce sera de la même politique de propagande et de mensongère, je verrai les programmes des autres.
Cordialement
Phoui

De : freelaos@yahoogroups.com [mailto: freelaos@yahoogroups.com ] De la part de Settha Viravong
Envoyé : lundi 16 janvier 2012 06:18
À : laos-solidarite@yahoogroupes.fr
Cc : freelaos@yahoogroups.com
Objet : Re : [Laos-Sol] RE: Re : [freelaos] La France dégradée


Cher Phoui,

Je suis pour les pauvres laborieux et travailleurs mais qui n'ont pas de chance, et contre les pauvres
fainéants et vauriens ne cherchant pas du travail et ne comptent que sur les aides sociales avec l'appui
des syndicats dont certains dirigeants vivent en or.

Avec François Hollande président tu vas voir que le déficit budgétaire se creusera davantage au fur et à
mesure que le problème des dettes souveraines de la zone euro s'aggravera. Enfin, l'Europe ne s'en sortira pas.

Toi qui effectue souvent des voyages professionnls à l'étranger tu seras pénalisé par cette situation financière dont la faiblesse de l'euro par rapport à la valeur des autres monnaies asiatiques.

Je me souvient bien des propos d'une personnalité chinoise disant que dans dix ans ou 20 ans on verra
pleins de mendiants occidentaux dans les rues de Pékin car pour faire l'économie on ne pénalise pas des travailleurs avec les impôts et ne favorisent pas les fainéants vauriens avec trop d'aides sociales.

La gauche française, tu sais, dépense toujours sans compter pour aider les fainéants vauriens..

Cordialement
Settha

De : Phoui
À : freelaos@yahoogroups.com ; laos-solidarite@yahoogroupes.fr
Cc : laos-fr@yahoogroupes.fr
Envoyé le : Dimanche 15 Janvier 2012 18h48
Objet : [Laos-Sol] RE: Re : [freelaos] La France dégradée


Vous êtes des guerriers reconnus ! Pensez plutôt aux pauvres en France, l’Etat ne sait qu’exploiter les pauvres, depuis le 1er Janvier 2012, tout est augmenté en France, tout ce qu’il ramasse du peuple c’est pour alimenter les banques et le CAD40, dans quelques mois, je pense que c’est Sarko qu va sauter le premier. Wait and see.

Phoui

De : freelaos@yahoogroups.com [mailto: freelaos@yahoogroups.com ] De la part de Khamphiou Douangphoutha
Envoyé : samedi 14 janvier 2012 22:03
À : freelaos@yahoogroups.com
Cc : laos-fr@yahoogroupes.fr
Objet : RE: Re : [freelaos] La France dégradée


Bah ! Je suis tout à fait d'accord avec cette proposition de Loung Khampha !
To: freelaos@yahoogroups.com
CC: laos-fr@yahoogroupes.fr
From: loung_khampha@yahoo.com
Date: Sat, 14 Jan 2012 19:48:53 +0000
Subject: Re : [freelaos] La France dégradée




Bonsoir ,

Je propose de faire débarquer le GIGN,
le groupe d'intervention de la gendarmerie nationale,
dans les bureaux de l'agence de notation financière
Standard & Poor's dont la filiale se trouve aussi à Paris .

A la guerre comme à la guerre, on a bien fait sauter Kadhafi ,
pourquoi pas ces gratte-papiers .

LKP


De : blue max
À :
Envoyé le : Samedi 14 Janvier 2012 8h50
Objet : [freelaos] la France dégradée


http://tiny.cc/w4n26

compatible iphone ipad



__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

การแก้หรือยกเลิกกฏหมาย 112 เป็นการล้มล้างทหาร

กษัตริย์เป็นเพียงองค์ประกอบรอง

ใจ อึ๊งภากรณ์



เมื่อทหารก่อรัฐประหาร ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ ทหารโกหกว่ากระทำไปเพื่อ “ปกป้อง” ระบบประชาธิปไตยอันมีกษัตริย์เป็นประมุข ต่อจากนั้นมีการเพิ่มการใช้กฏหมายหมิ่นกษัตริย์ฯ (มาตรา 112) ในการปิดปากผู้ที่คัดค้านรัฐประหาร และเพื่อให้ความชอบธรรมกับทุกอย่างที่ทหารและรัฐบาลอภิสิทธิ์ทำในภายหลัง จนในที่สุดมีการเข่นฆ่าประชาชนเสื้อแดงมือเปล่าด้วยข้ออ้างว่ากำลัง “ปกป้องสถาบันกษัตริย์”

เราจำเป็นที่จะต้องศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง ทหาร กษัตริย์ และ กฏหมาย 112 เพื่อให้เราชัดเจนว่าจะแก้ปัญหาเผด็จการตรงจุดใดบ้าง

ผู้ที่ทำลายประชาธิปไตยไทยอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ยุคจอมพลป. พิบูลสงคราม คือทหาร โดยที่กษัตริย์ภูมิพลมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ ในการถูกใช้เป็นเครื่องมือเชิงสัญญลักษณ์ เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับทหารเป็นหลัก และกฏหมาย 112 มีไว้เพื่อไม่ให้ตรวจสอบวิพากษ์วิจารณ์พฤติกรรมของทหาร

ทหารโกหกว่าเขารับใช้กษัตริย์เสมอ แต่แท้จริงแล้ว เขารับใช้ตัวเองต่างหาก

การสร้างความชอบธรรมจากกษัตริย์มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับทหารไทย เพราะทุกวันนี้กระแสประชาธิปไตยขยายไปทั่วโลกในจิตใจประชาชน เวลาทหารทำรัฐประหารก็อาจพยายามอ้างว่าทำ “เพื่อประชาธิปไตย” แต่ไม่ค่อยมีใครเชื่อ เพราะบทบาททหารในการเมืองกับระบบประชาธิปไตยมันไปด้วยกันไม่ได้ นอกจากนี้กองทัพไทยไม่มีประวัติอะไรเลยในการปลดแอกประเทศไทยอย่างในกรณีกองทัพอินโดนีเซียหรือเวียดนาม ดังนั้นทหารต้องอ้างความชอบธรรมจากที่อื่น คือจากสถาปันกษัตริย์ ซึ่งทหารเป็นผู้ปั้นขึ้นกับมือในอดีต

นอกจากทหารแล้ว ชนชั้นนายทุนกับข้าราชการชั้นสูงในไทย ก็พยายามเกาะโหนกษัตริย์ภูมิพลในรูปแบบเดียวกันด้วย แต่นั้นไม่ได้แปลว่านายภูมิพลเป็น “เหยื่อ” เพราะเขาพร้อมใจจะร่วมมือกับทหารและนายทุนเสมอ และที่สำคัญคือพร้อมจะรับตำแหน่งการเป็นประมุขของประเทศ และได้ดิบได้ดีในด้านการเงินจากบทบาทนี้ ถ้าไม่อยากทำก็ควรลาออกตั้งแต่แรก

ชนชั้นปกครองไทย โดยเฉพาะทหาร นายทุนใหญ่ และนักการเมืองในรัฐสภา ต้องการให้ประชาชนมองว่านายภูมิพลเป็นทั้ง “กษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญประชาธิปไตย” “กษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิราชย์” และ “เทวดา” พร้อมๆ กันหมด และจะมีการยัดเยียดสิ่งนี้ตลอด โดยเริ่มในโรงเรียนประถม แต่มันมีเป้าหมายแอบแฟง เพราะทุกอย่างที่ชนชั้นปกครองทำกับพลเมืองไทย ในสังคมที่เต็มไปด้วยความอยุติธรรม จะถูกเสนอว่าเป็นนโยบายของประมุข ดังนั้นเราไม่มีสิทธิ์วิจารณ์ ดังนั้นหน้าที่ของกษัตริย์ภูมิพลคือการให้ความชอบธรรมกับพฤติกรรมเลวๆ ของทหาร นายทุน และนักการเมือง

ผู้เขียนมองว่าเราไม่ได้อยู่ในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ รัฐไทยเป็นรัฐทุนนิยมสมัยใหม่ ทั้งๆที่มีอำนาจนอกรัฐธรรมนูญดำรงอยู่ในรูปแบบทหารและอำมาตย์ส่วนอื่นๆ การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่าง ทหาร กษัตริย์ และกฏหมาย 112 แบบนี้ แปลว่าในรูปธรรม การจัดการกับกฏหมาย 112 ต้องทำพร้อมกับการลดอำนาจอันไม่ชอบธรรมของทหาร นี่คือสาเหตุที่นายพลหัวโบราณทั้งหลาย น้ำลายฟูมปาก และพูดถึงการทำรัฐประหารรอบใหม่ เมื่อประชาชนออกมาเสนอให้แก้ไขหรือยกเลิก 112

พูดง่ายๆ 112 มีไว้ปกป้องทหารเป็นหลัก

การเริ่มเข้าใจว่าทหารคือศัตรูหลักของประชาธิปไตย และ กฏหมาย 112 ถูกใช้เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของทหารเป็นหลัก ไม่ได้ทำให้การต่อสู้ง่ายขึ้นเท่าไร แต่อย่างน้อยมันช่วยให้เราชัดเจนว่าเราสู้กับใคร แต่เรายังต้องหาทางกำจัดอำนาจทหารที่มาจากการใช้อาวุธและความรุนแรงอย่างที่เราเห็นที่ผ่านฟ้าและราชประสงค์เมื่อปี ๒๕๕๓

แน่นอนบทความนี้จะถูกตัดสินโดยทหารและพรรคพวกว่า “ผิดกฏหมาย 112” แต่มันไม่ใช่เพราะบทความนี้สร้างภาพว่ากษัตริย์ภูมิพลอ่อนแอ มัน “ผิด 112” เพราะมันเปิดโปงบทบาทของทหารในการใช้กษัตริย์ต่างหาก



แกนนำ นปช. เปลี่ยนจากนักต่อสู้ไปเป็นไม้ประดับของรัฐบาล

เราต้องเข้าใจว่าในอดีต รัฐบาลไทยรักไทยและนายกทักษิณ ไม่ต่างอะไรจากทหาร นายทุน และนักการเมืองอื่นๆ ที่พยายามใช้กษัตริย์ภูมิพล เพื่อสร้างความชอบธรรมกับอำนาจตนเองในสังคมที่เต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำ นี่คือสาเหตุที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยของยิ่งลักษณ์พร้อมจะใช้ 112 หนักขึ้นและคัดค้านการปฏิรูปใดๆ อีกสาเหตุคือเขากำลังปรองดองยอมจำนนกับอำนาจทหารด้วย

ในขณะเดียวกัน รัฐบาลพรรคเพื่อไทยทราบดีว่าถ้าไม่มีเสื้อแดงแต่แรก เขาคงไม่ได้ชนะการเลือกตั้งแน่ และเขาทราบดีว่าเสื้อแดงจำนวนมากไม่สบายใจกับการจับมือประนีประนอมกับอำนาจทหาร ดังนั้นจึงมีการแต่งตั้งรัฐมนตรีเสื้อแดงอย่าง ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ในตำแหน่งที่ไม่ค่อยสำคัญ เพื่อเป็นไม้ประดับหลอกลวงและกล่อมขบวนการเสื้อแดงให้นิ่ง ในขณะเดียวกันแกนนำ นปช. อื่นๆ ก็ค่อยๆ สลายพลังการเคลื่อนไหวของขบวนการ เพื่อที่จะเป็นแค่กองเชียร์ของรัฐบาล และกองเชียร์ของรัฐบาลเพื่อไทย ก็เท่ากับเชียร์ให้กับการก้มหัวให้ทหาร

นี่คือยุทธิ์วิธี “การนำนักเคลื่อนไหวมาเป็นพวก” เพื่อมัดมือปิดปากและสลายขบวนการ ในอดีตมีการใช้วิธีนี้ในฟิลิปปินส์หลังการล้มเผด็จการมาร์คอส และในอังกฤษพรรคแรงงานมีความเชี่ยวชาญในวิธีการนี้เป็นพิเศษ เมื่อใช้กับสหภาพแรงงาน



ด้วยเหตุนี้ ขบวนการรณรงค์ให้แก้หรือยกเลิก 112 และขบวนการเพื่อให้ปฏิรูปรัฐธรรมนูญอย่างถอนรากถอนโคนโดยลบล้างผลพวงของรัฐประหาร ๑๙ กันยา มาจากคนก้าวหน้า ทั้งเสื้อแดงและคนอื่น ที่ไม่ได้เป็นกองเชียร์ให้รัฐบาลเพื่อไทย และไม่ได้อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของ นปช. แต่อย่างใด หกเดือนหลังการเลือกตั้ง คนเหล่านี้คือความหวังของทุกคนที่อยากเห็นประชาธิปไตยและวัฒนธรรมพลเมืองเกิดขึ้นอย่างแท้จริงในประเทศของเรา



--
ใจ อึ๊งภากรณ์
+44(0)7817034432
http://redthaisocialist.com/




__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

จีน-เวียดนามแข่งขันดุเดือดในลาว!!!





Mekong Review -- ครั้นแล้วโครงการก่อสร้างศูนย์กลางทางธุรกิจและเขตเมืองใหม่ที่บึงธาตุหลวง ที่ ประชาชนลาวโดยทั่วไปเรียกว่า China Town แห่งนครเวียงจันทน์ซึ่งเป็นโครงการลงทุนของกลุ่มธุรกิจจากจีนนั้นก็มีอัน ต้องประสบกับปัญหาใหญ่เข้าจนได้เมื่อประชาชนลาวที่อาศัยและทำกินอยู่ในเขต บึงธาตุหลวงนั้นต่างพร้อมใจกันไม่ยอมโยกย้ายออกไปจากที่ ดินที่พวกเขาได้อยู่อาศัยและได้ทำกินมาแล้วกว่า 30 ปี

ทั้งนี้โดยถึงแม้ว่ารัฐบาลลาวนั้นจะมีอำนาจตามกฎหมายในอันที่จะเวนคืน ที่ดินจากประชาชนได้อยู่แล้วก็ตาม หากแต่ปัญหาของเรื่องก็อยู่ที่ว่าในการเวนคืนที่ดินนั้นได้มีการกำหนดค่าชด เชยที่ดินให้แก่ประชาชนในอัตราที่ต่ำเกินไป ทั้งๆที่โครงการลงทุนดัง กล่าวนี้หาใช่โครงการพัฒนาเพื่อผลประโยชน์ของสาธารณะแต่อย่างใดไม่

กล่าวก็คือในขณะที่ประชาชนลาวที่จะถูกไล่ที่นั้น มองว่าราคาประเมินของที่ดินในเขตบึงธาตุหลวงในทุกวันนี้จะต้องไม่ต่ำกว่า 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อตารางเมตร หาก แต่ทางการลาวโดยอำนาจการปกครองในเขตนครเวียงจันทน์นั้นกลับมองว่าประชาชนลาว มีสิทธิที่จะได้รับการชดเชยที่ดินเพียงในอัตรา 20 ดอลลาร์สหรัฐต่อตารางเมตรเท่า นั้น เนื่องเพราะที่ดินทั้งหมดในลาวนั้นถือเป็นกรรมสิทธิ์ของรัฐบาลทั้งสิ้น

โดยทางการลาวได้ตกลงที่จะจัดสรรที่ดินในเขตบึงธาตุหลวงให้กับกลุ่มลงทุน จีนถึง 1,600 เฮกตาร์หรือ 10,000 ไร่ ซึ่ง 600 เฮกตาร์ในพื้นที่ดังกล่าวจะดำเนินการพัฒนาให้เป็นสวนสาธารณะที่ล้อมรอบด้วย สวนน้ำในพื้นที่ที่จะพัฒนาให้เป็นเขตที่อยู่อาศัยซึ่งจะสามารถรองรับครอบ ครัวของนักธุรกิจ (จีน) ได้ถึง 3,000 ครอบครัว ส่วนพื้นที่ที่เหลือก็จะพัฒนาให้เป็นเขตการค้าเสรีและศูนย์บริการทางธุรกิจ อย่างครบวงจรด้วยสัมปทานสิทธิในการเช่าที่ดินเป็นเวลาถึง 50 ปี

ในขณะที่ทางการลาวจะได้รับผลประโยชน์จากการที่ได้รับการแบ่งปันหุ้นลมใน สัดส่วน 5% ของมูลค่าการลงทุนเบื้องต้น 88 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่ากลุ่มธุรกิจจีนได้ให้ความช่วยเหลือในการ ก่อสร้างสนามกีฬาแห่งใหม่ให้ลาวที่มีมูลค่าถึง 80 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อรองรับการเป็นเจ้าภาพซีเกมส์ครั้งที่ 25 ปี 2009

แต่เนื่องจากว่าประชาชนลาว ไม่ยินยอมที่จะโยกย้ายออกไปจากที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยในเขตบึงธาตุหลวง ดังกล่าว จึงทำให้ทางการลาวยังคงไม่สามารถที่จะจัดสรรและส่งมอบที่ดินให้กับกลุ่ม ธุรกิจจากจีนได้เลยจนถึงทุกวันนี้ อีกทั้งยังทำให้ทางการลาวต้องปรับลดพื้นที่ที่จะจัดสรรให้กับกลุ่มธุรกิจจีน จากเดิม 1,600 เฮกตาร์ลงมาเหลือเพียง 200 เฮกตาร์เท่านั้นอีกต่างหาก

ทั้งนี้โดยพื้นที่ที่ขาดหายไปถึง 1,400 เฮกตาร์นั้น ทางการลาวก็จะจัดสรรพื้นที่ในเขตอื่นๆให้แทน ซึ่งในช่วงไม่นานมานี้ ทางการลาวก็ได้เสนอพื้นที่ 2 เขตให้กลุ่มธุรกิจจีนเลือก กล่าวคือพื้นที่ที่ต่อเนื่องกับสนามกีฬาแห่งใหม่ ซึ่งอยู่ห่างจากเขตใจกลางของนครเวียงจันทน์ถึงเกือบ 30 กิโลเมตร ในขณะที่เขตบึงธาตุหลวงอยู่ห่างจากใจกลางของนคร เวียงจันทน์เพียง 5 กิโลเมตรเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้จึงทำให้มีแนวโน้มว่ากลุ่มธุรกิจจากจีนจะเลือกพื้นที่ในเขต ที่ 2 ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ต่อเนื่องกับสถานีรถไฟแห่งแรกของลาวที่ท่านาแล้งในเขต บ้านดงโพสีที่ตั้งอยู่ห่างจากสะพานมิตรภาพแห่งแรกระหว่างไทยกับลาว (หนองคาย-นครเวียงจันทน์) เพียงไม่ถึง 4 กิโลเมตร และตั้งอยู่ห่างจากเขตบึงธาตุหลวงเพียง 10 กิโลเมตรเท่านั้นอีกด้วย


แต่แล้วปัญหาของเรื่องก็เกิดขึ้นมาจนได้ เมื่อทางการลาวได้ตกลงอนุมัติให้กลุ่มธุรกิจจากเวียดนาม ลงทุนถึง 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อดำเนินการก่อสร้างโรงแรมระดับ 5 ดาว สนามกอล์ฟระดับมาตรฐานสากล และบ้านพักตากอากาศสำหรับผู้ที่มีอันจะกินจากต่างประเทศบนพื้นที่ 500 เฮกตาร์ในพื้นที่เขตที่ 2 ดังกล่าวไปแล้วเมื่อเร็วๆนี้


แน่นอนว่าการอนุมัติโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของกลุ่มธุรกิจเวียดนามดังกล่าว นี้ไม่เพียงจะเป็นการบีบบังคับให้กลุ่มธุรกิจจากจีนต้องเหลือพื้นที่ที่จะ เลือกได้เพียงแห่งเดียวเท่านั้น หากยังได้สร้างความไม่พอใจให้เกิดขึ้นภายในกลุ่มธุรกิจจีนมิใช่น้อยด้วย

ทั้งนี้เพราะหากจะว่าไปแล้วการลงทุนของจีนและเวียดนามในลาวนั้นได้มี มูลค่า เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา โดยในขณะที่เวียดนามมีมูลค่าการลงทุนสะสมในลาวมากกว่า 1,280 ล้านดอลลาร์สหรัฐแล้วนั้นการลงทุนของจีนในลาวก็นับว่าได้มีการขยายตัวและ เพิ่มมูลค่าสูงขึ้นอย่างรวดเร็วมาก
โดยถึงแม้ว่านับตั้งแต่ปี 1989 เป็นต้นมานั้น การลงทุนของไทยในลาวจะทิ้งห่างจากการลงทุนของทั้งเวียดนามและจีนเป็นอย่าง มากก็ตาม แต่ในเวลานี้สถานะของการเป็นผู้ลงทุนอันดับ 1 ของไทยในลาวนั้นก็ถูกท้าทายจากทั้งสองประเทศนี้อย่างเห็นได้ชัด เฉพาะอย่างยิ่ง การลงทุนของจีนนั้นกำลังจะแซงหน้าไทยภายในปี 2010 อย่างแน่นอน

เพราะการลงทุนของจีนในลาวไม่ได้มีเฉพาะ China Town ในเขตนครเวียงจันทน์เท่านั้น หากยังมีโครงการในลักษณ์เดียวกันนี้เกิดขึ้นทั้งในภาคเหนือและใต้ของลาวอีก ด้วย

ทั้งนี้ก็เนื่องจากว่ากระทรวงแผนการและการลงทุนของลาวได้อนุมัติให้ สัมปทานสิทธิในการเช่าที่ดินระยะยาวบนเนื้อที่ 827 เฮกตาร์ (5,168.75 ไร่) ในเมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในเขตสามเหลี่ยมทองคำระหว่างลาว-ไทย-พม่านั้น ให้กับกลุ่มบริษัทดอกงิ้วคำจากจีนเช่นกันโดยกลุ่มบริษัทดังกล่าวนี้ จะทุ่มเงินลงทุนมากถึง 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อพัฒนาพื้นที่ 827 เฮกตาร์นี้ ให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษเพื่อรองรับเขตการค้าเสรีอาเซียนกับจีนให้ได้อย่าง ครบวงจรภายใน 10 ปีข้างหน้า

ส่วนที่แขวงจำปาสักในเขตภาคใต้ของลาวนั้น บริษัทจากจีนก็ได้รับสัมปทานในการสำรวจและขุดค้นแร่บ็อกไซท์ ซึ่งเชื่อว่าเป็นแหล่งแร่บ็อกไซท์ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและ ในโลกอีกด้วย โดยกลุ่มธุรกิจจากจีนจะทุ่มเงินลงทุนในโครงการนี้คิดเป็นมูลค่ามากกว่า 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐเลยทีเดียว
เพราะฉะนั้น ก็คงจะไม่ใช่เรื่องผิดปกติอีกเช่นกัน ถ้าหากจะมีชาวจีนหลั่งไหลเข้าไปปักหลักทำมาหากินอยู่ในลาวมากขึ้นเรื่อยๆ และได้พากันสร้างเป็น China Town ขึ้นอีกหลายๆแห่งในลาวในอนาคตอันใกล้นี้
ส่วน เวียดนามนั้นก็ไม่น้อยหน้าจีนแต่อย่างใด เพราะการมีสถานะเป็นมหามิตรที่มีความสัมพันธ์แบบพิเศษกับลาวนั้น ย่อมถือว่าเป็นข้อได้เปรียบที่สามารถอำนวยความสะดวกให้กับโครงการลงทุนต่างๆ ของเวียดนามที่จะหลั่งไหลเข้าไปในลาวได้เป็นอย่างดี

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในขณะที่โครงการลงทุนในด้านพลังงานไฟฟ้าของกลุ่มธุรกิจไทยในลาวหลายๆโครงการ ได้คืบคลานไปอย่างเชื่องช้า ทั้งยังมีข่าวคราวข้อขัดแย้งเกี่ยว กับการที่ลาวขอปรับขึ้นราคาขายกระแสไฟฟ้าให้กับไทย ถึงขนาดที่ระดับปลัดกระทรวงพลังงานของไทยได้ประกาศว่า อาจจะพิจารณายกเลิกการรับซื้อกระแสไฟฟ้าจากลาวก็เป็นได้ ทั้งๆที่ส่วนใหญ่เป็นโครงการลงทุนของกลุ่มธุรกิจไทยนั้น


แต่สำหรับความเคลื่อนไหวในกลุ่มธุรกิจด้านพลังงานจากเวียดนามในลาวกลับ ได้ดำเนินไปในทิศทางที่ตรงกันข้ามกับไทย โดยเฉพาะในระยะเพียง 5 ปีมานี้กลุ่มธุรกิจจากเวียดนามได้ลงทุนและกำลังดำเนินการก่อสร้างเขื่อน ผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานน้ำในลาวไปแล้วถึง 3 โครงการคิดเป็นมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 856 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ยิ่งไปกว่านั้น การที่รัฐบาลเวียดนามก็ได้ปรับเพิ่มปริมาณการรับซื้อกระแสไฟฟ้าจากลาวขึ้น จาก 3,000 เมกกะวัตต์เป็น 5,000 เมกกะวัตต์ภายในปี 2020 ทั้งมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเป็นไม่น้อยกว่า 10,000 เมกกะวัตต์ภายในปี 2030 อีกด้วย

ในขณะที่โครงการเขื่อนไฟฟ้าทั้งหมดที่จะก่อสร้างในลาวภายใต้ข้อตกลงซื้อ ขายกระแสไฟฟ้าจากลาวดังกล่าวต่างก็จะเป็นการลงทุนโดยกลุ่มธุรกิจเวียดนาม ทั้งสิ้นด้วยแล้ว จึงเชื่อได้เลยว่าเวียดนามก็จะเป็นอีกประเทศหนึ่งที่จะแซงหน้าไทยในการลงทุน ในลาวในระยะเวลาอันใกล้นี้เช่นเดียวกันกับจีน!!!



__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

!!!ตำรวจคลำเป้า สังหาร-เจ้าลาว!!!
กรณี คนร้ายก่อเหตุอุกอาจ บุกยิงนายอนุวงศ์ เศษฐาธิราช อายุ 50 ปี ชาวลาวสัญชาติอเมริกัน เสียชีวิตพร้อมนางอุไรวัน เศษฐาธิราช อายุ 37 ปี ภรรยา ภายใน ศาลาแก้วกู่ ต.หาดคำ อ.เมืองหนองคาย แหล่งท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัด ระหว่างที่ทั้งคู่เดินทาง เข้ามาเที่ยวในเมืองไทย ค้นในตัวนายอนุวงศ์พบนามบัตรระบุชื่อ “สมเด็จพระเจ้าอนุวงศ์ เศษฐาธิราช องค์ที่ 4” และเอกสารรวมทั้งโปสเตอร์ มีข้อความระบุถึงการเป็นเชื้อ พระวงศ์ชาวลาวรวมอยู่ด้วย ขณะเดียวกัน ตำรวจตรวจสอบประวัติ นายอนุวงศ์ทราบว่า เคยเข้ามาเคลื่อนไหวในภาคอีสาน โดยเมื่อวันที่ 12 ม.ค.ที่ผ่านมา นายอนุวงศ์ได้จัดงาน “ความฮักแพง” ขึ้นที่โรงแรมนภาลัย เขตเทศบาลนครอุดรธานี อ้างว่า เพื่อเชื่อมวัฒนธรรม 2 ชาติ ในเบื้องต้นตำรวจอยู่ระหว่าง เร่งตรวจสอบว่านายอนุวงศ์เป็น “เจ้าลาว” ตัวจริงหรือแอบอ้าง รวมทั้งเกี่ยวโยงกับขบวนการ ต่อต้านลาวด้วยหรือไม่ เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 19 ม.ค. พ.ต.อ.ณัฐวุฒิ พงษ์สิมา รอง ผบก.ภ.จ.หนองคาย เปิดเผยถึงความคืบหน้าของคดีว่า หลังเกิดเหตุได้เรียกสอบปากคำพยานไปแล้ว 3 ปาก คือ นายสุระ ศรีระษา อายุ 49 ปี อยู่ บ้านเลขที่ 492 หมู่ 1 ต.พานพร้าว อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย คนขับรถตู้ นายฉวี ดวงจันทร์ อายุ 54 ปี บ้านเลขที่ 183 หมู่ 4 ต.กองนาง อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย น้าชายของนางอุไรวัน และนางทองมณี ชายสมบัติ อายุ 67 ปี แม่ของนางอุไรวัน โดยนางทองมณีให้การว่า ได้พานางอุไรวันลูกสาวอพยพไปอยู่ที่รัฐนอร์ทแคโรไลนา สหรัฐอเมริกา เมื่อ 27 ปีก่อน จนได้สัญชาติไทย-อเมริกัน ต่อมาลูกสาวได้พบรักกับนายอนุวงศ์ลูกเขย ทำงานเป็นนักวิจัยแห่งหนึ่ง หลังแต่งงานกันแล้วทั้งคู่ได้ย้ายไปอยู่ที่วอชิงตัน ดี.ซี. จากนั้นได้ย้ายกลับมาอยู่ด้วยกันที่รัฐนอร์ทแคโรไลนาอีกครั้ง เมื่อปี 2548 นายอนุวงศ์บอกให้ทราบว่าเป็นเชื้อสายราชวงศ์ลาวจากหลวงพระบาง พร้อมกับจัดทำวีซีดีเกี่ยวกับประวัติตัวเองแจกจ่ายไปทั่วสหรัฐอเมริกา เคยเตือนนายอนุวงศ์แล้วว่าอย่าเปิดเผยฐานะตัวเองว่าเป็นใคร เพราะเกรงว่าจะเกิดอันตราย แต่นายอนุวงศ์ กับลูกสาวไม่เชื่อฟัง จนกระทั่งมาเกิดเหตุดังกล่าวขึ้น
พ.ต.อ.ณัฐวุฒิเปิดเผยอีกว่า จากการตรวจสอบฐานข้อมูลทะเบียนบัตรประจำตัวประชาชน พบว่านางอุไรวัน นามสกุลเดิมคือ “ดวงจันทร์” ซึ่งเป็นนามสกุลแม่ เนื่องจากพ่อเป็นคนลาว อยู่เลขที่ 33 หมู่ 4 ต.กองนาง อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย ซึ่งขณะเกิดเหตุกระเป๋าสะพายของนางอุไรวันหายไป ไม่มีหลักฐานหนังสือเดินทาง หรือเอกสารที่ทางราชการออกให้ติดตัว คาดว่าคนร้ายเอาไปด้วย ตรวจสอบพบว่าทั้งคู่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมา รวม 4 ครั้ง แต่ละครั้งจะตระเวนไปตามโรงเรียนในชนบทภาคอีสานเพื่อนำทุนการศึกษาไปแจกให้ เด็ก นำคอมพิวเตอร์ไปให้สนับสนุนการศึกษา และมีการประชุมกลุ่มหมอลำ อีกทั้งยังติดต่อกับนายดวง จันทร์น้อย ครูเพลงหมอลำ จัดทำวีซีดีเกี่ยวกับประวัติของตัวเอง โดยระบุว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ลาว จากหลวงพระบาง อพยพไปอยู่สหรัฐอเมริกา อยากกลับมาอยู่ประเทศลาว แต่กลับไม่ได้ จึงต้องการมาเมืองไทยเพราะใกล้กับลาว สำหรับศพของทั้งคู่ตอนนี้อยู่ที่ รพ.หนองคาย ต้องรอญาติจากสหรัฐฯมาติดต่อขอรับกลับไปทำพิธีที่สหรัฐฯ
พ.ต.อ.ณัฐวุฒิยังเปิดเผยด้วยว่า ขณะเดียวกันตำรวจได้ประสานกับเจ้าหน้าที่สำนักงาน ปราบปรามยาเสพติด สหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทย หรือ DEA (Drug Enforcement Administration) ตรวจสอบประวัติผู้ตายทั้งสอง ไม่พบว่ามีส่วนเกี่ยวพันกับยาเสพติดแต่อย่างใด จึงมุ่งเป้าการสอบสวนไปที่ประเด็นปัญหาความขัดแย้งส่วนตัวว่าผู้ตายมีความ แค้น ขัดแย้งกับใครบ้างในเมืองไทย ซึ่งก็ได้สั่งการให้ ร.ต.ท.ธีรวัฒน์ ธรรมสอน ร้อยเวรเจ้าของคดี เก็บรวบรวมหลักฐานทั้งหมดให้ ครบถ้วน โดยเฉพาะกระสุนขนาด 11 มม. ที่คนร้ายใช้ ก่อเหตุ ประสานกับจังหวัดใกล้เคียงเกี่ยวกับกลุ่มคนร้ายที่ใช้กระสุนชนิดนี้ เพราะ จ.หนองคาย ไม่มีซุ้มมือปืนอยู่ในพื้นที่ ตรวจสอบทะเบียนรถซึ่งมีพยานจำได้ว่าเป็นรถกระบะ ยี่ห้อเชฟโรเลต สีบรอนซ์เงิน หมวดอักษร บท ตัวเลขจำได้เพียงเลข 6 เบื้องต้นพบว่ามีประมาณ 400 คัน พร้อมกันนี้ก็ให้ตรวจสอบการเดินทางเข้าออกผ่านทางด่านสะพานมิตรภาพไทย-ลาว ว่ามีกลุ่มต้องสงสัยใช้เส้นทางนี้เข้ามาก่อเหตุหรือไม่
ทางด้าน พล.ต.ต.ยุทธนา ปาละนิติเสนา ผบก.ภ. จ.หนองคาย เปิดเผยว่า ตำรวจไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้ประชุมชุดสืบสวนเร่งสางปมคดี ว่าผู้ตายทั้ง 2 คน เข้ามาในประเทศไทยตั้งแต่เมื่อไหร่ และไปทำอะไรที่ไหนบ้าง ขณะนี้มีข้อมูลว่านายอนุวงศ์เคยจัดประชุมที่โรงแรมนภาลัย จ.อุดรธานี เมื่อ 11-12 ม.ค.49 จากพฤติกรรมของคนร้ายทำให้ทราบว่าเฝ้าติดตาม ความเคลื่อนไหวของนายอนุวงศ์อยู่ตลอดเวลา และประสงค์ต่อชีวิตเท่านั้น ที่สำคัญให้ตำรวจสืบสวนด้วยว่านายอนุวงศ์เป็นเชื้อพระวงศ์ ลาวจริงหรือไม่ เพราะในเบื้องต้นตำรวจยังไม่มีข้อมูลใดๆ ต้องขอเวลาประสานข้อมูลกับหลายฝ่ายอีกระยะหนึ่ง ต้องตรวจสอบประวัติย้อนหลัง คาดว่าจะทราบรายละเอียดภายใน 5 วัน
มีรายงานว่า ตำรวจชุดคลี่คลายคดีได้ตรวจสอบย้อนหลังถึงคดีต่างๆ ที่เกิดขึ้น พบว่าในช่วงปี 2548 ที่ ผ่านมา มีชาวลาวถูกฆ่าที่ จ.หนองคาย 3 คดี โดยคาดว่า คดีทั้งหมดอาจจะเกี่ยวโยงกับขบวนการต่อต้านรัฐบาลลาว ขณะเดียวกัน ตำรวจยังได้นำวีดิโอเทปที่นายอนุวงศ์ถ่ายเก็บไว้ขณะมาเที่ยวในเมืองไทย รวมทั้งวีซีดีที่นายอนุวงศ์ จัดทำประวัติตัวเองชุด “ตามรอยพระแก้วมรกต” ไปตรวจ สอบด้วยว่ามีจุดประสงค์ใด และนายอนุวงศ์มีความเกี่ยวโยงกับเชื้อราชวงศ์ลาวหรือไม่ นอกจากนี้ ยังพบด้วยว่านายอนุวงศ์ได้จัดทำเว็บไซต์ www.sethathirath.com และ www.laoplanet.net ตั้งแต่ ปี 2547 มีข้อความส่วนใหญ่ประชาสัมพันธ์ตัวเอง โดยอ้างว่าสืบเชื้อสายราชวงศ์ ล้านช้าง หลวงพระบาง สปป.ลาว รวมทั้งแนะนำโครงการต่างๆ ที่กำลังดำเนินงานอยู่ ส่วนใหญ่เกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรม ของประเทศลาว โบราณวัตถุ โบราณสถานที่สำคัญของ ประเทศลาว รวมทั้งการช่วยเหลือเด็กนักเรียนด้อยโอกาสในชนบทภาคอีสานของประเทศไทย โดยเฉพาะจังหวัดที่มีแนวชายแดนติดกับประเทศลาว
สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานไปทั่วโลกกรณีมือปืนโหดยิงทิ้งนายอนุวงศ์ และนางอุไรวัน โดยสันนิษฐานว่า ชนวนเหตุการสังหารอาจมาจากข้อพิพาทส่วนตัว หรือความขัดแย้งทางการเมืองลาว อย่างไรก็ดี ล่าสุดเอเอฟพีรายงานโดยอ้างการเปิดเผยของตำรวจไทยและเจ้าหน้าที่สถานทูตลาว ว่า ไม่มีหลักฐานบ่งชี้ว่านายอนุวงศ์มีความเกี่ยวข้องกับราชวงศ์ลาว นอกจากนี้ แม่ยายผู้ตายก็กล่าวว่า ทั้งคู่ไม่ได้เป็นเจ้าลาวและเจ้าหญิงลาวแต่อย่างใด ทั้งนี้ ทางสถานทูตลาวในกรุงเทพมหานครเปิดเผยเพียงว่า ทั้งสองคนเดินทางไปสหรัฐฯ เมื่อปี 2518 หลังการโค่นล้มราชวงศ์ลาว
วันเดียวกัน พล.ต.ต.วินัย ทองสอง ผบก.ป. มีคำสั่งด่วนให้ พ.ต.อ.สุทิน ทรัพย์พ่วง ผกก.3 ป. จัดชุดสืบสวนเดินทางลงพื้นที่ จ.หนองคาย ร่วมกับตำรวจท้องที่ และตำรวจสืบสวนภูธรภาค 4 คลี่คลายคดีฆ่านายอนุวงศ์และภรรยา เนื่องจากเป็นคดีอุกฉกรรจ์ คนร้ายลงมืออย่างโหด***ม ที่สำคัญผู้เสียชีวิตทั้งสองคนอาจมีความเกี่ยวพันกับราชวงศ์ของลาว โดยแนวทางสืบสวนของกองปราบปรามมุ่งเน้นไปที่ความขัดแย้งของผู้ตาย ที่เกิดขึ้นภายในประเทศลาวเป็นหลัก โดยเฉพาะความเกี่ยวข้องกับขบวนการกู้ชาติลาว ที่มักมีการลอบสังหารเชื้อพระวงศ์ของลาวที่เดินทางออกนอกประเทศไปอยู่ต่าง แดน แล้วย้อนกลับเข้ามาในประเทศไทย นอกจากนี้ การสอบสวนในทางลับของตำรวจกองปราบปราม พบว่ากลุ่มมือปืนได้เข้ามาสังหารผู้เกี่ยวข้องกับขบวนการกู้ชาติแล้วหลายคดี หลังขบวนการกู้ชาติซึ่งมีฐานปฏิบัติการอยู่ที่สหรัฐอเมริกา ได้พยายามกลับเข้าประเทศลาว เพื่อยึดครองประเทศคืน!
คดีสังหารนายอนุวงศ์และภรรยาที่เกิดขึ้น ตำรวจเชื่อว่าคนร้ายน่าจะเป็นแก๊งเดียวกับที่ก่อเหตุฆ่าพระอุทัยธรรมโสภิต อายุ 64 ปี เจ้าอาวาสวัดสัมมาชัญญาวาส หรือวัดใหม่ ถนนพระยาสุเรนทร์ แขวงบางชัน เขตคลองสามวา กทม. เมื่อวันที่ 18 ต.ค. 2548 ที่ผ่านมา เนื่องจากตรวจสอบประวัติของพระครูอุทัยธรรมโสภิต พบว่ามีเชื้อชาติลาว เกิดที่นครจำปาศักดิ์ ประเทศลาว เดิมเป็นทหารติดยศ “ร้อยเอก” และเป็นหนึ่งในขบวนการกู้ชาติลาว แต่ภายหลังจากบวชแล้วได้เดินทางเข้าประเทศไทย จำพรรษาอยู่ที่วัดปทุมวนาราม กระทั่งโอนสัญชาติเป็นคนไทยในเวลาต่อมา เป็นพระนักวิชาการ ได้รับเชิญไปเป็นวิทยากรบรรยายธรรม ตามสถานที่ราชการหลายแห่ง ศึกษาทางธรรมจนได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นชั้นเอก เทียบเท่าผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวงชั้นเอกในราชทินนามเดิม เมื่อวันที่ 5 ธ.ค. 43 และเป็นเจ้าอาวาสวัดสัมมาชัญญาวาสมาประมาณ 20 ปี ในการสอบสวนทางลับยังพบด้วยว่า พระครูอุทัยธรรมโสภิตได้นำเงินบริจาคส่วนหนึ่ง ไปให้กลุ่มขบวนการกู้ชาติที่อยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกาด้วย!!!

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

เจ้าชายแดงกับการนำพาอันฉลาดส่องใสของพรรคปฏิวัติลาว!!!





การสู้รบอย่างดุเดือดที่สมรภูมิท่าแขก ตรงข้ามฝั่งแม่น้ำโขงกับนครพนม ในต้นปี 1946 ระหว่างทหารฝรั่งเศส ในฐานะเจ้าอาณานิคม กับกองกำลังของคณะรัฐบาลลาวอิสระ ซึ่งประกาศอิสรภาพจากการปกครองของฝรั่งเศสเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 1945 นั้น ถึงแม้ว่าฝ่ายรัฐบาลลาวอิสระจะตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในการสู้รบอย่างราบคาบก็ตาม แต่ด้วยความหาญกล้า และเด็ดเดี่ยวในการเป็นผู้นำในการสู้รบในครั้งนั้นจนตัวเองต้องได้รับบาด เจ็บสาหัสนั้นก็ได้ทำให้พระนามของ เจ้าสุพานุวง เป็นที่กล่าวขานและศรัทธาของประชาชนลาวผู้รักอิสรภาพในเวลานั้นอย่างกว้าง ขวาง ทั้งยังนับเป็นจุดเริ่มของการเสริมสร้างกำลังในการปลดปล่อยชาติลาวจนเป็นผล สำเร็จในอีก 20 ปีต่อมาอีกด้วย
ครั้นเมื่อเวลาได้ล่วงเลยมาจนถึงปัจจุบันนี้ก็ดูเหมือนว่าวีรกรรมอัน อาจหาญแห่งสมรภูมิรบที่ท่าแขกดังกล่าวจะจางหายไปจากการรับรู้ของคนลาวรุ่น ใหม่ไปเสียแล้ว ยิ่งในสถานการณ์ที่ประชาชนลาวเกือบ 6 ล้านคน ต่างก็ต้องดิ้นรนอย่างชนิดที่เรียกว่าปากกัดตีนถีบภายใต้วิกฤติการณ์ทาง เศรษฐกิจและการเงินโลกในเวลานี้ด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้ชื่อเสียงเรียงนามของ เจ้าสุพานุวง นั้นแทบจะกล่าวได้เลยว่าถูกบดบังไปเสียสิ้น!!!
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นับจากการถึงแก่อสัญกรรมอย่างปัจจุบันทันด่วนของอดีตผู้ นำสูงสุดตลอดกาลของพรรคประชาชนปฏิวัติลาวอย่าง ไกสอน พมวิหาน ในช่วงปลาย ปี 1992 ซึ่งทำให้พรรคฯได้ดำเนินการรณรงค์และโฆษณาเพื่อเสริมสร้างภาพลักษณ์ของการ เป็นผู้นำสูงสุดตลอดกาลของ ไกสอน ให้โดดเด่นมาโดยตลอดนั้น ก็ยิ่งทำให้ชื่อเสียงเรียงนามของ เจ้าสุพานุวง กลายเป็นภาพลักษณ์ที่รองลงมาจนถึงขนาดว่าการจัดงานที่เป็นการรำลึกถึง เจ้าสุพานุวง ในโอกาสวันคล้ายวันเกิดในบางปีนั้นเป็นเพียงพิธีกรรมในวงศาคณาญาติเท่านั้น!!!
ยิ่งไปกว่านั้น สถานะทางการเมืองของทายาทและครอบครัวของเจ้าสุพานุวง ยิ่งถดถอยลงเรื่อยๆนับจากการถึงแก่อสัญกรรมของ เจ้าสุพานุวง ในต้นปี 1995 เป็นต้นมาจนถึงขนาดที่ทำให้ คำไซ สุพานุวง บุตรชาย ที่หลุดจากตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงการ เงินและตำแหน่งสำคัญภายในพรรคฯลาวนั้น ต้องขอลี้ภัยทางการเมืองในนิวซีแลนด์นับจากปลายปี 2000 เป็นต้นมาจนเท่าทุกวันนี้อีกด้วย!!!
แต่อย่างไรก็ตาม ชื่อเสียงเรียงนามของ เจ้าสุพานุวง ก็ได้กลับมาสู่การรับรู้ของผู้ คนในลาวอีกครั้งในปีนี้อันถือเป็นปีแห่งการครบรอบวันเกิด 100 ปีของ เจ้าสุพานุวง พอ ดี และที่สำคัญก็คือว่าพรรคฯลาวไม่เพียงจัดงานเฉลิมฉลองโอกาสดังกล่าวนี้ให้ อย่างยิ่งใหญ่เท่านั้น หากยังได้มีการจัดเวทีเผยแพร่วีรกรรมอันยิ่งใหญ่ของ เจ้าสุพานุวง ในอดีตให้เป็นที่รับรู้และซึมซับในกลุ่มคนลาวรุ่นใหม่ในทั่วประเทศอีกด้วย
แน่นอนว่าการจัดงานใหญ่ในลักษณะเดียวกันนี้มิใช่งานแรกของพรรคประชาชน ปฏิวัติลาวเพราะได้มีการจัดให้กับอดีตผู้นำตลอดกาลของพรรคฯอย่าง ไกสอน เป็นประ จำทุกปีอยู่แล้ว ทั้งยังได้มีการสร้างพิพิธภัณฑ์และรูปหล่อครึ่งตัวของ ไกสอน ไปตั้งไว้ในที่ทำการของพรรคฯและรัฐบาลลาวตามเมืองและแขวงต่างๆในทั่วประเทศ อีกด้วย
ส่วนที่ถือว่าเป็นการย้อนยุคไปในอดีตที่ยาวนานมากกว่านั้นก็คือการสร้าง รูปปั้นของ พระเจ้าฟ้างุ้ม ในฐานะเจ้ามหาชีวิตผู้รวบรวม และสถาปนาราชอาณาจักรล้านช้างอันยิ่งใหญ่เมื่อกว่า 650 ปีก่อน ทั้งๆที่พรรคฯลาวนั้นไม่ค่อยจะให้ความสำคัญกับประวัติ ศาสตร์ในอดีตกาลเลย นอกจากการตอกย้ำถึงความโหดร้ายของเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศส และจักรวรรดิ์อเมริกาเป็นสำคัญ
แต่ในเมื่อว่าสถานการณ์โลกได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ในขณะที่ลาวเองก็ไม่ สามารถที่จะอยู่ได้อย่างโดดเดี่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการล่มสลายของเสาหลัก อย่างอดีตสหภาพโซเวียตในปลายทศวรรษที่ 90 เป็นต้นมา ซึ่งทำให้ลาวขาดที่พึ่งทั้งในด้านเศรษฐกิจและการเมืองด้วยแล้ว จึงทำให้พรรคฯลาวจำต้องมีปรับเปลี่ยนทั้งในด้านแนวทางและแนวนโยบายในการนำพา ประเทศชาติภายใต้สิ่งที่เรียกว่า จินตนาการใหม่ New Thinking นับจากปี 1986 เป็นต้นมา!
ทั้งนี้โดยได้เริ่มเปิดประเทศเพื่อทำการค้าและก็รองรับการลงทุนจากต่าง ประเทศ อย่างกว้างขวาง จนในปัจจุบันนี้ก็ปรากฏว่ามูลค่าการค้าต่างประเทศของลาวได้เพิ่มขึ้นจากปี 1985 มากกว่า 15 เท่า ส่วนการลงทุนจากต่างประเทศก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนมีมูลค่าการลงทุนสะสม เกินกว่า 9,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐแล้วในเวลานี้
แต่ในขณะเดียวกัน ลาวก็ไม่สามารถที่จะหลุดรอดจากการถูกกระทบจากปัญหาวิกฤติการณ์ต่างๆที่เกิด ขึ้นจากภายนอกประเทศได้เช่นกัน โดยไม่ว่าจะเป็นวิกฤติการณ์ทางการเงินในเอเชียเมื่อปี 1997 ซึ่งทำให้เงินกีบของลาวตกต่ำลงจากระดับ 35 กีบเป็น มากกว่า 240 กีบต่อ 1 บาท ทั้งยังได้ส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงเป้าหมายของพรรคฯลาวที่จะแก้ไขปัญหาความ ยากจนของประชาชนลาวให้น้อยลงอีกด้วย!
ยิ่งไปกว่านั้น ก็คือในท่ามกลางปัญหาวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจและการเงินโลกที่เป็นอยู่ในเวลา นี้ ก็ยังได้ส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงความศรัทธาของประชาชนลาวที่มีต่อการนำของ พรรคฯลาวอีกต่างหาก เนื่องจากประชาชนลาวได้รับผลกระทบจากวิกฤติอันนี้อย่างกว้างขวาง
โดยกรณีปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจนแล้วในเวลานี้ก็คือผลผลิตข้าวโพดใน ลาวที่มีน้ำหนักรวมมากกว่า 8 แสนตันในเวลานี้ไม่มีตลาดรองรับ เนื่องจากรัฐบาลไทยได้มีคำ สั่งห้ามนำเข้าผลผลิตข้าวโพดจากลาวในระยะนี้เพื่อเป็นมาตรการให้ความช่วย เหลือแก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดในไทยก่อน
ส่วนเกษตรกรลาวที่ได้พากันหันไปปลูกยางพารามากขึ้นเรื่อยๆในตลอดช่วงกว่า 8 ปีมานี้ โดยได้รับการสนับสนุนส่งเสริมจากพ่อค้าไทยและพ่อค้าจีนนั้นก็มีอันต้องได้ รับผลกระทบอย่างหนัก เพราะเกษตรกรลาวไม่เพียงจะต้องเผชิญกับปัญหาราคายางพาราตกต่ำลงอย่างรุนแรง เท่านั้น หากแต่ยังต้องเผชิญกับปัญหาไม่มีตลาดรองรับผลผลิตอีกด้วย เนื่องจากพ่อค้าไทยและพ่อค้าจีนได้ปฏิเสธที่จะรับซื้อผลผลิตดังกล่าวนั่นเอง และที่หนักไปกว่านั้นคือบรรดาพ่อค้าจีนยังได้ประกาศยกเลิกแผนการลงทุนปลูก ยางพาราบนพื้นที่กว่า 2 แสนเฮกตาร์หรือกว้างกว่า 12.5 ล้านไร่อีกต่างหาก
สำหรับในด้านการลงทุนของต่างประเทศในลาวนั้นส่วนใหญ่ก็ยังคงเป็นตัวเลข ที่เป็นเงินทุนจดทะเบียนเท่านั้น เนื่องจากโครงการลงทุนส่วนใหญ่ของต่างประเทศในลาวจะเน้นหนักไปในด้าน อุตสาหกรรมเหมืองแร่และพลังงานซึ่งในเวลานี้ยังคงอยู่ในขั้นตอนของการสำรวจ และศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ ซึ่งนั่นก็หมายความว่ายังไม่มีการนำเงินเข้าไปลงทุนในลาวอย่างแท้จริง นอกจากค่าใช้จ่ายในส่วนของการสำรวจและศึก ษาความเป็นไปได้ของโครงการเท่านั้น
โดยกรณีตัวอย่างที่ชัดเจน ก็คือโครงการลงทุนก่อสร้างเขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้าที่มีเป้าหมายที่จะส่งกระแส ไฟฟ้าขายให้กับ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย EGAT ในปริมาณรวมถึง 7,000 เมกกะวัตต์นับจากปี 2015 เป็นต้นไปนั้น หากแต่จนถึงขณะนี้ก็ปรากฏว่ามีเพียงโครงการเขื่อนน้ำเทิน 2 เท่านั้นที่มีความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม!
ส่วนในด้านแรงงานของลาวนั้นก็ได้รับผลกระทบอย่างหนักเช่นเดียวกัน ยิ่งต้องมาประสบกับมาตรการของรัฐบาลไทย ซึ่งจะไม่ต่ออายุการจ้างแรงงานลาว เขมร และพม่าในปีนี้เพื่อกันตำแหน่งงานไว้รองรับคนไทยที่จะต้องประสบกับการถูก เลิกจ้างด้วยแล้วก็ยิ่งทำให้เศรษฐกิจของลาวนั้นต้องถูกกระทบมากขึ้นไปอีก เพราะจากการสำรวจที่ดำเนินการโดยกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมของลาวเอง นั้นพบว่าในแต่ละปีจะมีก้อนเงินของแรงงานลาวในไทยที่ส่งกลับไปลาวมากกว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้โดยเชื่อว่ามีแรงงานลาวกว่า 4 แสนคนที่ลักลอบทำงานในไทยในทุกวันนี้
ยิ่งไปกว่านั้น ภาคธุรกิจบริการและท่องเที่ยวของลาวก็เป็นอีกด้านหนึ่งที่จะได้รับผลกระทบ อย่างหนักเช่นกันเพราะในจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไปที่ลาว มากกว่า 1.6 ล้านคนในปี 2008 นั้นเป็นนักท่องเที่ยวจากกลุ่มอาเซียนด้วยกันกว่า 80% และมากกว่าครึ่งก็คือนักท่องเที่ยวชาวไทย
ส่วนฉันทนาในลาวอีกกว่า 30,000 ชีวิตก็ยังจะต้องเสี่ยงอย่างสูงที่จะตกงานใน อีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ เพราะตลาดหลักของลาวในการส่งออกเสื้อผ้าสำเร็จรูปนั้นก็คือ สหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกา ในขณะที่อุตสาหกรรมเหมืองแร่ทองคำและแร่ทองแดงที่สร้างเงินตราต่างประเทศให้ กับลาวได้มากกว่า 580 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปีที่แล้วก็มีอันต้องลดการส่งออกแล้วในเวลานี้ เพราะราคาแร่ทองแดงในตลาดโลกได้ลดต่ำลงกว่า 50% แล้ว ในขณะที่รายได้จากการส่งออกไม้ในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมาของแผนการฯปีนี้ก็ปรากฏว่าสามารถปฏิบัติได้เพียงไม่ถึง 28% ของเป้าหมายที่วางไว้เท่านั้น
โดยภายใต้สภาพการณ์เช่นนี้ ก็ทำให้รัฐบาลลาวไม่มีทางเลือกมากนักในอันที่จะ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เดินไปได้ และทางเลือกหนึ่งที่รัฐบาลลาวได้ประกาศออกมาอย่างชัดเจนแล้วในเวลานี้ ก็คือการขอความช่วยเหลือจากต่างประเทศเพิ่มมาก ขึ้นกว่าปีที่ผ่านๆมา!!!
ยิ่งไปกว่านั้นการเปิดประเทศที่เป็นการนำเอาระบบเศรษฐกิจทั้งหมดของลาวไป ผูกติดไว้กับกลไกเโลกทุนนิยมนั้น ก็ทำให้พรรคฯลาวนั้นต้องมีการปรับเปลี่ยนวิธีคิดและการนำพาประเทศชาติอยู่ ไม่น้อยเช่นกัน เพราะการเปิดประเทศดังกล่าวนี้ยังหมายถึงการเปิดให้ประชาชนลาวมีโอกาสได้รับ รู้ข่าวสารและข้อมูลต่างๆจากภายนอกทั้งที่เป็นคุณและเป็นโทษต่อการนำของ พรรคฯลาวด้วยนั่นเอง!
ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้พรรคฯลาวจำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนและพัฒนาตนเองให้เท่าทันกับ สถานการณ์โลกอยู่ตลอดเวลา และในขณะเดียวกัน ก็ยังมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปลูกจิตสำนึกแห่งชาติลาวให้คงอยู่ ซึ่งนั่นก็หมายถึงความอยู่รอดปลอดภัยของพรรคฯลาวด้วยเช่นกัน
เพราะฉะนั้น การรณรงค์และโฆษณาให้ประชาชนลาวได้รับรู้และสำนึกถึงความเสียสละและวีรกรรม อันยิ่งใหญ่ของ เจ้าสุพานุวง ในการต่อสู้เพื่ออิสรภาพ และเอกราชอันสมบูรณ์ของชาติในทุกวันนี้ ก็คือยุทธวิธีหนึ่งที่พรรคฯลาวได้เลือกใช้ในเวลานี้!!!




__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

เขตพิเศษต้นผึ้ง-สามเหลี่ยมทองคำ : LAO PDR =อาณานิคมใหม่ของจีน!!!


ยาม เช้าในปลายปี ๒๕๕๑ คนหนุ่มส่วนหนึ่งของบ้านกว๊านรีบตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ก่อนเวลาทำงานปกติของคน ลาว ๑ ชั่วโมง เพราะพื้นที่ทำงานในเขตพิเศษซึ่งกำลังก่อสร้างบ่อนกาสิโนใช้เวลาของจีน โดยนาฬิกาของจีนเร็วกว่าลาว ๑ ชั่วโมง การทำงานที่ฝืนวิถีเวลาการทำงานเข้าและออกจากเขตก่อสร้างไม่กระทบเท่ากับ วิถีวัฒนธรรมที่แตกต่างกันของคนลาวและคนจีน รวมทั้งการไม่ตั้งใจจะให้คนลาวได้ใช้แรงงานในพื้นที่ ทำให้ต่อมาเขตก่อสร้างบ่อนกาสิโนต้นผึ้งมีคนงานจากจีนเท่านั้นที่เข้าถึงงาน ได้


จากเมืองห้วยทรายเลาะถนนไปตามริมแม่น้ำโขงขึ้นไปจนถึงเมืองต้นผึ้งและ เมืองมอม มีอิทธิพลของจีนกระจายอยู่ทั่ว ไม่ว่าจะการสนับสนุนงานชนเผ่าแขวงบ่อแก้วในปีนี้ ตลาดจีนในห้วยทราย ถนนริมฝั่งโขงในเขตต้นผึ้งไปจนถึงบ่อนกาสิโน รวมทั้งการปิดกั้นสายน้ำยอนเพื่อผลิตเขื่อนไฟฟ้าป้อนเขตพิเศษบ่อนกาสิโน และการเช่าพื้นที่บนดอยสูงของแขวงในการปลูกสวนยาง การเช่าที่ดินเล็กๆ ในที่ราบเชิงดอย ปลูกแตงโม ปลูกพืชผัก เลี้ยงหมู เป็ด ไก่ ฯลฯ


เขตบ่อนกาสิโนต้นผึ้งหรือเขตพิเศษของกลุ่มทุนว้ากับจีนในนามบริษัทดอกงิ้วคำ มีเจ้าเหว่ยเป็นหัวหน้าคณะเจ้าของที่มีเครือข่ายยาเสพติดและการค้ามนุษย์ ด้วย แผ่อิทธิพลร้ายต่อผู้คนมากมายในเมืองต้นผึ้งและแขวงบ่อแก้ว ถนนจากบ้านปากยอนตัดตรงไปสู่บ่อนกาสิโนกำลังก่อสร้าง บ่อนเปิดไปแล้วส่วนหนึ่งตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่กำลังขยายการก่อสร้างเพิ่มเติมต่อไปทั้งกลางวันและกลางคืนบนพื้นที่ทำนา ปลูกข้าวได้ดีที่สุดในเมืองต้นผึ้ง รถขุดทรายจากชายฝั่งโขงและดอนกลางโขงวิ่งเข้าออกเขตวังปลาของชาวบ้านตลอด เวลา ชาวบ้านบ้านกว๊านได้รับผลกระทบโดยตรงมากที่สุด ตอนเย็นย่ำค่ำวันหนึ่งชายชาวลาวเข้าไปในเขตที่นาตามปกติ เพื่อดูน้ำท่าในผืนนาของตน กลับถูกคนจีนในเขตพิเศษแห่งนี้จับถ่ายรูปพร้อมสายไฟของพวกเขาแล้วยัดข้อหา ว่า โจรขโมยของ ส่งไปเข้าคุกในเมืองห้วยทราย



เริ่มต้นบริษัทนี้ได้สัมปทานในที่ดินในการใช้เป็นเขตพิเศษจากเวียงจันจำนวน ๘๒๗ แฮกตาร์ แต่ในปีต่อมาก็ขอสัมปทานต่อจนเป็น ๓,๐๐๐ แฮกตาร์ ว่ากันว่า เมื่อสามารถเสร็จสิ้นในช่วงแรกทั้งหมดแล้วจะขยายเนื้อที่ออกเพิ่มต่อไป คาดว่าชาวต้นผึ้ง ๕๐ หมู่บ้าน ๕๐,๐๐๐ คน จะได้รับผลกระทบทั้งเมือง กล่าวกันว่า พื้นที่เขตพิเศษของจีนที่ได้มานี้แลกเปลี่ยนกับการสร้างสนามกิฬา สร้างถนนหนทางในเวียงจัน เหตุการณ์เช่นนี้ได้เกิดขึ้นเช่นเดียวกันในเขตบึงธาตุหลวงซึ่งเป็นพื้นที่ ศักดิ์สิทธิ์บูชาของคนลาว รวมทั้งเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำสำคัญไม่ให้น้ำท่วมเวียงจัน ชาวจีนจำนวน ๓,๐๐๐ ครอบครัวจะเข้ามาอยู่โดยมีข้อแลกเปลี่ยนกับการก่อสร้างต่างๆ เพื่องานซีเกมส์ซึ่งลาวเป็นเจ้าภาพในปีที่ผ่านมา ทว่าถูกคัดค้านจากคนเวียงจัน และบรรดาผู้นำของลาว ทำให้กลุ่มคนจีนเหล่านี้ย้ายมาสนใจเมืองเชียงแมนฝั่งตรงข้ามหลวงพระบาง เมืองมรดกโลก ทว่าด้วยกฏข้อห้ามของเมืองมรดกโลกที่ไม่ยินยอมให้สร้างสิ่งปลูกสร้างขนาดสูง ใหญ่ในเชียงแมน ทำให้กลุ่มคนจีนเหล่านี้ต้องกลับไปที่บึงธาตุหลวงอีกครั้ง อิทธิพลของจีนที่แผ่มาในเขตอินโดจีนนี้ ไม่เหมือนคนจีนรุ่นก่อนที่มีเพียงเสื่อผืนหมอนใบแล้วมาพึ่งพิงพึ่งพาอาศัยทำ มาหากินอย่างรู้จักวัฒนธรรมคนอุษาคเนย์ ทว่าคนจีนรุ่นทุนนิยมคอมมิวนิสต์นี้ มาด้วยเงินทุนในกระเป๋าใหญ่หนาหนัก พร้อมจะกว้านซื้อ แย่งชิงทรัพยากรของคนในลุ่มน้ำโขงไปได้ในทันที รวมทั้งความไม่เข้าใจในวัฒนธรรมของลาว และการทำตัวของสมาคมชาวจีนราวกับมีสิทธิสภาพนอกอาณาเขตในลาว ทำให้คนลาวรู้สึกอึดอัดและทุกข์ยากยิ่งขึ้นกว่าก่อน


ในพื้นที่บ่อนกาสิโน ร้านอาหาร โรงแรมที่พัก สนามมวย สถานบันเทิง ร้านซักรีด โรงน้ำแข็งน้ำดื่ม (ในพื้นที่ป่าชุมชนของชาวบ้านซึ่งตัดไม้ใหญ่ออกแล้ว) คอกเลี้ยงหมู ปลูกผัก และงานอื่นๆ มีคนงานจากบ้านกว๊านเพียง ๖ คนเท่านั้นที่ยังมีงานทำในพื้นที่พิเศษนี้ นอกนั้นเป็นคนจีน คนพม่า รวมทั้งมีรายงานว่า การค้าประเวณี การค้ามนุษย์และยาเสพติดเป็นน้ำเลี้ยงสำคัญเช่นเดียวกับการพนันของบ่อนนี้ ลูกค้าส่วนใหญ่คือคนจีน ทั้งจีนจากแผ่นดินใหญ่ สิงคโปร์ ไต้หวัน ฮ่องกง และนักพนันผู้ร่ำรวยของไทย โดยมีรายงานอีกว่า คนร่ำรวยบางส่วนของเมืองห้วยทรายเริ่มติดบ่อนจนมีหนี้สินล้นพ้นตัวไปแล้วก็ มี


ตามกำหนดการ ชาวบ้านกว๊านจะถูกอพยพในต้นเดือนม.ค. ๒๕๕๔ ที่จะถึงนี้ แต่คาดว่าการเตรียมที่และสร้างบ้านแบบนิคมจัดสรรบนที่ราบเชิงดอยเนื้อที่ ๔๒ แฮกตาร์ อาจจะล่าช้าไปถึงเดือน พ.ค. ปีหน้า โดยมีการเวนคืนที่ดินทั้งที่นาและที่ดินบ้านไปแล้วในปีนี้ ทว่ามีบางส่วนที่ไม่ยอมขายให้บริษัท โดยมีที่นาอยู่เคียงข้างบ่อนกาสิโนต่อไป ราคาเวนคืนที่นาเป็นเงิน ๒๐,๐๐๐ บาท ที่ดินบ้าน ๓๐,๐๐๐ บาท พร้อมการรื้อถอนบ้านเก่าให้ไปใช้ประโยชน์ ผู้ยอมรับการโยกย้ายจะสามารถเข้าไปอยู่ในบ้านใหม่ บนที่ดินใหม่แบบนิคมโดยตัวเปล่า แบบบ้านมี ๓ ประเภท ๖ แบบ คือ ประเภท A เนื้อที่ ๘๐๐ ตร.ม. B เนื้อที่ ๖๐๐ ตร.ม. และ C เนื้อที่ ๔๐๐ ตร.ม. ในแต่ละประเภทจะมีแบบบ้าน ๒ แบบ รวม ๖ แบบ ให้เลือก โดยมีชาวบ้านยอมย้ายแล้ว ๑๑๔ หลังคาเรือน ชาวบ้านที่ไม่ยอมย้ายยังรอดูว่า สิ่งที่บริษัทสัญญาไว้ว่าจะทำให้ จะเป็นดังที่ว่าหรือไม่ หากไม่ คงต้องเห็นน้ำตาชาวลาวรินหลั่ง โดยเป้าหมายต่อไปคือบ้านเพียงงาม ที่อยู่ใกล้ๆ บ้านกว๊านมาทางบ้านต้นผึ้ง ซึ่งจะถูกอพยพโยกย้ายเช่นกัน


“เราขอวิหารและพระประธานไว้ในที่เดิม แต่เขาบอกว่า ต้องย้ายไปด้วย เราเลยว่าหากย้ายก็อย่าให้บุบสลายแม้นิดเดียว เขาบอกว่า เขาทำได้ เราก็อยากรู้ว่า เขาทำอย่างไร นี่มันสำคัญมากเลย ย้ายได้แม้กระทั่งวัด เราขอให้เขาทำพิธีวางใจบ้านสะดือเมือง และพิธีย้ายวัดด้วย... เราไม่เข้าใจ เขาจะทำอะไรก็ทำเอาได้หมดสิ้นเลย...” ชาวบ้านคนหนึ่งบอก นอกจากนี้ที่สำคัญกว่านั้นคือ กลุ่มทุนจีนกลุ่มนี้ได้ร่วมกับทางกลุ่มทุนท้องถิ่นไทยด้วย โดยพวกเขาได้วางแผนขีดแผ่นที่ไว้แล้วว่า ในสามเหลี่ยมทองคำทั้งหมด ทั้งส่วนของเชียงแสน-ไทย ท่าขี้เหล็ก-พม่า ยอมเป็นเขตพิเศษด้วยในอนาคต นี่คืออิทธิพลที่แผ่เข้ามาของกลุ่มทุนยาเสพติด การพนัน การค้ามนุษย์ แล้วผู้คนท้องถิ่นจะอยู่อย่างไร ในสภาวะเขตพิเศษอาณานิคมใหม่ของจีนซึ่งไม่มีศาสนานอกจากบูชาเงินตรา

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

Casino -บ่อนสวรรค์ในลาว - Savan-Seno!!!









เป็น อีกบ่อนคาสิโนหนึ่งที่อยู่ติดกับจังหวัดมุกดาหารที่ปัจจุบันมีสะพานทอดผ่าน สู่ถนนหมายเลข 9 สู่ลาว – เวียดนามได้อย่างง่ายดาย และความง่ายดายนี้ก็เป็นต้นเหตุให้คนไทยถูกดึงไปบ่อนคาสิโนอย่างง่ายดายเช่น กัน เป็นอีกบ่อนหนึ่งที่ผมตั้งชื่อไว้ว่า บ่อนสวรรค์ปฏิเสธ หรือบ่อนที่ สวรรค์เซย์โน


ก่อน จะเข้าเรื่องบ่อนขอปูพื้นก่อนว่า เขตเศรษฐกิจพิเศษสะหวัน-เซโนตั้งอยู่ในแขวงสะหวันนะเขตซึ่งมีชายแดนทางทิศ ตะวันตกติดกับจังหวัดมุกดาหารของไทยและทิศตะวันออกติดกับเมืองดานังของ เวียดนาม พื้นที่ของโครงการแบ่งได้เป็น 2 ส่วน ได้แก่=



- พื้นที่ส่วน A มี เนื้อที่ 305 เฮกตาร์ (1 เฮกตาร์ เท่ากับ 6.25 ไร่) ตั้งอยู่ที่เมืองไกสอน พมวิหาร (เมืองคันทะบุรีเดิม) ทั้งนี้ องค์การเขตเศรษฐกิจพิเศษสะหวัน-เซโน (Savan-Seno Special Economic Zone Authority : SEZA) ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักนายกรัฐมนตรี มีแผนจะมุ่งพัฒนาให้พื้นที่ส่วนนี้เป็นเขตอุตสาหกรรมผลิตเพื่อส่งออก (Export Processing Zone) รวมถึงเป็นที่ตั้งของอุตสาหกรรมสนับสนุน (Supporting Industry) และศูนย์กลางของธุรกิจบริการ

- พื้นที่ส่วน B มีเนื้อที่ราว 20 เฮกตาร์ ตั้งอยู่ที่เมืองอุทุมพอน ห่างจากพื้นที่ส่วน A ไปทางทิศตะวันออกตามถนนหมายเลข 9 ราว 30 กิโลเมตร SEZA มีแผนจะมุ่งพัฒนาพื้นที่ส่วน B ให้เป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้า ซึ่งประกอบไปด้วยคลังสินค้า (Warehouse) ศูนย์รวบรวมและกระจายสินค้า (Hub and Spokes) สถานีบรรจุและแยกสินค้ากล่อง (Inland Container Depot : ICD) และสถานีพักตู้คอนเทนเนอร์และโรงจอดรถบรรทุกสินค้า(Container Yard and Truck Terminal)



ซึ่งในเขตเศรษฐกิจพิเศษสะหวัน-เซโนของรัฐบาล สปป.ลาว เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษที่อยู่ใกล้กับ เขตเศรษฐกิจพิเศษลาวบาวในจังหวัด Quang Tri ของเวียดนาม ปัจจุบัน การพัฒนาเขตเศรษฐกิจลาวบาวของเวียดนามคืบหน้าไปมากจนพร้อมที่จะรองรับการ เข้ามาตั้งฐานการผลิตของนักลงทุนได้ทันที อีกทั้งยังอยู่ใกล้กัท่าเรือดานังกว่าในเชิงการแข่งขันเชิงภูมิรัฐศาสตร์ถือ ว่าทั้งสองเขตนี้กำลังชิงความได้เปรียบกันอยู่



ใน โซนเอของเขตเศรษฐกิจพิเศษ ที่ประกอบด้วย พื้นที่พักอาศัยและบริการ และ พื้นที่อุตสาหกรรม ก็มีโครงการโรงแรมระดับ 5 ดาว ที่เรียกวันว่า Entertainment Complex ตั้ง อยู่บ้านหนองเดิน เมืองไกสอนพรหมวิหาร แขวงสะหวันนะเขต ใกล้กับสะพานมิตรภาพ 2 (มุกดาหาร - สะหวันนะเขต) ซึ่งเปิดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไปเที่ยวแล้ว และยังจะมีโครงการอื่นๆเปิดตัวตามมา ซึ่งครบสมบูรณ์แบบในปลายปี 2009 นี้

ก่อนหน้านี้ นายจอห์น โบด์วิน (JOHN BALDWIN) ประธานผู้บริหารระดับสูงบริษัท ซันนัมอินเวสเม้นส์ จำกัด (Sanum Investments Limited) ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในโครงการโรงแรมสะหวันเวกัสและคาสิโน เปิดเผยว่า




เดิมกิจกรรมหลักของบริษัท คือ การให้กู้ยืมเงินในนาม บริษัท บริดส์แคปิตอล จำกัด ตั้งแต่ปี 1997 ได้เริ่มลงทุน อยู่ที่จังหวัดภูเก็ตเกี่ยวกับการให้กู้ยืมเงินด้านอสังหาริมทรัพย์ โดยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่เกาะไซปัน สหรัฐอเมริกา ซึ่งขณะนั้นประเทศไทยเริ่มมีปัญหาทางเศรษฐกิจ และ ธนาคารก็หยุดให้เงินกู้ จึงเป็นโอกาสที่จะเข้าไป ปล่อยเงินกู้ ในประเทศไทยและก็เป็นจุดเริ่มต้นที่บริษัท ได้มีความสนใจที่จะมาลงทุนในทวีปเอเชียโดยแยกออกมาจากบริษัทแม่ที่อยู่เกาะ ไซปัน หลังจากเริ่มให้กู้ยืมเงินที่ภูเก็ตก็ได้ขยายกิจการไปทางยังมาเก๊า ประเทศจีน พนมเปญ ประเทศกัมพูชา และ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว)

นาย จอห์น กล่าวว่า โดยปกติแล้วบริษัทจะสนใจทำธุรกิจด้านรีสอร์ทและโรงแรมมากกว่าคาสิโน แต่สาเหตุที่เข้ามาลงทำทุนในกิจการโรงแรมสะหวันเวกัสและคาสิโน เพราะถูกเชิญให้มาร่วมลงทุนและเมื่อศึกษาแล้วเห็นว่ามีความคุ้มค่า จึงได้ตัดสินใจเข้ามาลงทุนบริหาร ทั้งนี้ สะหวันเวกัส และคาสิโนจะมีความแตกต่างกับคาสิโนทั่วไปโดยเฉพาะในชายแดนกัมพูชาซึ่งมีแค่ ห้องพักกับคาสิโนเท่านั้น ส่วนสะหวันเวกัสและคาสิโนจะมีทั้งสวนน้ำ ร้านอาหารนานาชาติ แหล่งช็อปปิ้ง ศูนย์บันเทิง สปา ร้านดิ้วตี้ฟรี เป็นต้น



ใน ส่วนของแผนกลยุทธ์มีการวางเป้าหมายในการดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทุกทุกมุมโลก บนแนวคิดที่ว่านักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ชอบที่จะมีประสบการณ์ และสัมผัสกับสิ่งใหม่ๆ เสมอ ขณะที่คาสิโนในกัมพูชาค่อนข้างจะมีแต่ลูกค้าระดับสูงหรือวีไอพีเท่านั้นที่ เข้าไปใช้บริการ แต่สำหรับสะหวันเวกัสและคาสิโนจะเน้นให้บริการลูกค้าทั่วไป รวมทั้งนักท่องเที่ยวที่ต้องการเข้ามาหาประสบการณ์อื่นๆนอกจากการเล่นคาสิโน เช่น ช็อปปิ้ง สปา ว่ายน้ำ รับประทานอาหาร หรือมาเที่ยวชมแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติอื่นๆ ของแขวงสะหวันนะเขต โดยปัจจุบันได้รับการติดต่อจากบริษัทท่องเที่ยวเข้ามาเป็นจำนวนมากกว่า100 บริษัท ทั้งจาก ประเทศสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น เวียดนาม และประเทศไทย เพื่อที่จะพาลูกทัวร์มาพัก และใช้บริการของสะหวันนะเวกัสและคาสิโน



โครงการ แรก ของสะหวันนะเวกัสและคาสิโน ใช้งบประมาณในการก่อสร้างประมาณ 70 ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา เป็นตึกสูง 3 ชั้น ประกอบด้วยห้องพัก 180 ห้อง ห้องเกมส์ คาสิโนที่มีพื้นที่ขนาด 4,950 ตารางเมตร แบ่งเป็นเครื่องเล่นสล็อต 300 เครื่อง โต๊ะเกมส์ 80 โต๊ะ ร้านอาหารนานาชาติ เคาน์เตอร์บาร์เครื่องดื่ม ศูนย์บันเทิง สปา แหล่งช็อบปิ้งที่ทันสมัยและสระว่ายน้ำที่ใหญ่ที่สุดในภาคใต้ของ สปป.ลาว ส่วนโครงการที่ 2 เป็นตึกสูง 10 ชั้นอยู่บริเวณด้านหลังของโครงการแรก ใช้งบประมาณในการก่อสร้างประมาณ 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกาประกอบด้วย ไนต์คลับ เซาว์น่า จากุชซี่ ศูนย์ดูแลสุขภาพ นวดแผนโบราณ ซึ่งจุดประสงค์หลักของโครงการที่ 2 คือ ห้องประชุมสัมมนา และเน้นสร้างรีสอร์ท ให้สมบูรณ์แบบที่สุดในแขวงสะหวันนะเขต







ก่อนหน้านี้ บริษัทซันนัม อินเวสเม้นส์ จำกัด (ซันนัม) ได้ลงทุนในมาเก๊า กัมพูชา ไทย เกาะกวม(Guam) และ สปป.ลาว นอกจากโครงการสะหวันเวกัสแล้ว บริษัทยังได้มีแผนการลงทุนโครงการ ปากซองเวกัส สปา รีสอร์ท และคาสิโน ที่เมืองปากซอง แขวงจำปาสัก ปัจจุบัน บริษัทกำลังก่อสร้างรีสอร์ท และศูนย์บันเทิง ขนาดใหญ่ พร้อมด้วย สวนน้ำ ซึ่งเรียกว่า The kingdom of Dreams (ราชอาณาจักร แห่งความฝัน) ในใจกลางเมืองเสียมเรียบ ใกล้กับอังกอร์ ภายในรีสอร์ทประกอบด้วย ร้านอาหาร แบบบุฟเฟ่ต์ ขนาดใหญ่ที่สามารถรองรับลูกค้าได้ถึง 1,500 คน และหมู่บ้านเทศกาลต่างๆที่มีการละเล่นรูปแบบในเทศกาล สินค้าหัตถกรรมและแหล่งช็อปปิ้ง นอกจากนี้ ยังได้ก่อสร้างโรงภาพยนตร์ IMAX ที่ทันสมัยอีกด้วย นอกจากนั้น บริษัทยังได้ดำเนินการพัฒนาสถานที่เล่นเกมส์คาสิโนอีก 3 แห่ง ในชายแดนกัมพูชา โดยใช้ชื่อว่า The Casino Kingdom ด้วย



นาย จอห์น กล่าวว่า ก่อนที่จะเข้ามาลงทุนทำธุรกิจสะหวันเวกัสและคาสิโนได้มีการสำรวจตลาดก่อน แล้ว พบว่า มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวใน สปป.ลาวประมาณ 2 แสนคนต่อปี โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากประเทศไทยจะนิยมเดินทางเข้ามามากที่สุดเป็นอันดับ แรก และยังพบว่าคนไทยจะนิยมเล่นไพ่บัคคาร่ามากที่สุด อย่างไรก็ตามกฎหมาย สปป.ลาว มีข้อห้ามไม่ให้คนลาวเข้ามาเล่นคาสิโนโดยเด็ดขาด แต่สามารถเข้ามาใช้บริการอย่างอื่นได้ในสะหวันเวกัสและคาสิโนได้ ซึ่งก็ไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด เพราะมีจุดประสงค์ที่จะให้บริการด่านคาสิโนแก่นักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ แล้ว และได้ตั้งเป้าในการคืนทุนไว้ โดยคาดว่าน่าจะมีรายได้ประมาณร้อยละ 20 ของมูลค่าการลงทุนกลับคืนมาในแต่ละปี



ก่อน หน้านี้ ทางบริษัท ก็ตั้งศูนย์ฝึกอบรมให้กับพนักงานที่จะมาทำงานกับทางสะหวันเวกัส และคาสิโน โดยพนักงานส่วนใหญ่จะเป็นชาวลาวประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่เหลือมาจากประเทศอื่นๆ อาทิเช่น อินเดีย ฟิลิปปินส์ ไทย เป็นต้น ทั้งนี้ในโครงการแรกจะมีการจ้างพนักงานประมาณ 700-800 คน สำหรับให้บริการแก่ลูกค้าในส่วนของคาสิโนเป็นพิเศษ คือ การจัดให้บริการรถรับ-ส่งฟรี อาหารฟรี และจะมีของขวัญมอบให้เพื่อเป็นการคืนทุนแก่ลูกค้าด้วย ประกอบกับขณะนี้สนามบินสะหวันนะเขตได้เปิดให้บริการแล้ว โดยมีตารางบิน 3 เที่ยวต่อสัปดาห์ในเส้นทาง สะหวันนะเขต – เวียงจันทน์


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

เจ้าชายแดงกับการนำพาอันฉลาดส่องใสของพรรคปฏิวัติลาว!!!





การสู้รบอย่างดุเดือดที่สมรภูมิท่าแขก ตรงข้ามฝั่งแม่น้ำโขงกับนครพนม ในต้นปี 1946 ระหว่างทหารฝรั่งเศส ในฐานะเจ้าอาณานิคม กับกองกำลังของคณะรัฐบาลลาวอิสระ ซึ่งประกาศอิสรภาพจากการปกครองของฝรั่งเศสเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 1945 นั้น ถึงแม้ว่าฝ่ายรัฐบาลลาวอิสระจะตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในการสู้รบอย่างราบคาบก็ตาม แต่ด้วยความหาญกล้า และเด็ดเดี่ยวในการเป็นผู้นำในการสู้รบในครั้งนั้นจนตัวเองต้องได้รับบาด เจ็บสาหัสนั้นก็ได้ทำให้พระนามของ เจ้าสุพานุวง เป็นที่กล่าวขานและศรัทธาของประชาชนลาวผู้รักอิสรภาพในเวลานั้นอย่างกว้าง ขวาง ทั้งยังนับเป็นจุดเริ่มของการเสริมสร้างกำลังในการปลดปล่อยชาติลาวจนเป็นผล สำเร็จในอีก 20 ปีต่อมาอีกด้วย
ครั้นเมื่อเวลาได้ล่วงเลยมาจนถึงปัจจุบันนี้ก็ดูเหมือนว่าวีรกรรมอัน อาจหาญแห่งสมรภูมิรบที่ท่าแขกดังกล่าวจะจางหายไปจากการรับรู้ของคนลาวรุ่น ใหม่ไปเสียแล้ว ยิ่งในสถานการณ์ที่ประชาชนลาวเกือบ 6 ล้านคน ต่างก็ต้องดิ้นรนอย่างชนิดที่เรียกว่าปากกัดตีนถีบภายใต้วิกฤติการณ์ทาง เศรษฐกิจและการเงินโลกในเวลานี้ด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้ชื่อเสียงเรียงนามของ เจ้าสุพานุวง นั้นแทบจะกล่าวได้เลยว่าถูกบดบังไปเสียสิ้น!!!
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นับจากการถึงแก่อสัญกรรมอย่างปัจจุบันทันด่วนของอดีตผู้ นำสูงสุดตลอดกาลของพรรคประชาชนปฏิวัติลาวอย่าง ไกสอน พมวิหาน ในช่วงปลาย ปี 1992 ซึ่งทำให้พรรคฯได้ดำเนินการรณรงค์และโฆษณาเพื่อเสริมสร้างภาพลักษณ์ของการ เป็นผู้นำสูงสุดตลอดกาลของ ไกสอน ให้โดดเด่นมาโดยตลอดนั้น ก็ยิ่งทำให้ชื่อเสียงเรียงนามของ เจ้าสุพานุวง กลายเป็นภาพลักษณ์ที่รองลงมาจนถึงขนาดว่าการจัดงานที่เป็นการรำลึกถึง เจ้าสุพานุวง ในโอกาสวันคล้ายวันเกิดในบางปีนั้นเป็นเพียงพิธีกรรมในวงศาคณาญาติเท่านั้น!!!
ยิ่งไปกว่านั้น สถานะทางการเมืองของทายาทและครอบครัวของเจ้าสุพานุวง ยิ่งถดถอยลงเรื่อยๆนับจากการถึงแก่อสัญกรรมของ เจ้าสุพานุวง ในต้นปี 1995 เป็นต้นมาจนถึงขนาดที่ทำให้ คำไซ สุพานุวง บุตรชาย ที่หลุดจากตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงการ เงินและตำแหน่งสำคัญภายในพรรคฯลาวนั้น ต้องขอลี้ภัยทางการเมืองในนิวซีแลนด์นับจากปลายปี 2000 เป็นต้นมาจนเท่าทุกวันนี้อีกด้วย!!!
แต่อย่างไรก็ตาม ชื่อเสียงเรียงนามของ เจ้าสุพานุวง ก็ได้กลับมาสู่การรับรู้ของผู้ คนในลาวอีกครั้งในปีนี้อันถือเป็นปีแห่งการครบรอบวันเกิด 100 ปีของ เจ้าสุพานุวง พอ ดี และที่สำคัญก็คือว่าพรรคฯลาวไม่เพียงจัดงานเฉลิมฉลองโอกาสดังกล่าวนี้ให้ อย่างยิ่งใหญ่เท่านั้น หากยังได้มีการจัดเวทีเผยแพร่วีรกรรมอันยิ่งใหญ่ของ เจ้าสุพานุวง ในอดีตให้เป็นที่รับรู้และซึมซับในกลุ่มคนลาวรุ่นใหม่ในทั่วประเทศอีกด้วย
แน่นอนว่าการจัดงานใหญ่ในลักษณะเดียวกันนี้มิใช่งานแรกของพรรคประชาชน ปฏิวัติลาวเพราะได้มีการจัดให้กับอดีตผู้นำตลอดกาลของพรรคฯอย่าง ไกสอน เป็นประ จำทุกปีอยู่แล้ว ทั้งยังได้มีการสร้างพิพิธภัณฑ์และรูปหล่อครึ่งตัวของ ไกสอน ไปตั้งไว้ในที่ทำการของพรรคฯและรัฐบาลลาวตามเมืองและแขวงต่างๆในทั่วประเทศ อีกด้วย
ส่วนที่ถือว่าเป็นการย้อนยุคไปในอดีตที่ยาวนานมากกว่านั้นก็คือการสร้าง รูปปั้นของ พระเจ้าฟ้างุ้ม ในฐานะเจ้ามหาชีวิตผู้รวบรวม และสถาปนาราชอาณาจักรล้านช้างอันยิ่งใหญ่เมื่อกว่า 650 ปีก่อน ทั้งๆที่พรรคฯลาวนั้นไม่ค่อยจะให้ความสำคัญกับประวัติ ศาสตร์ในอดีตกาลเลย นอกจากการตอกย้ำถึงความโหดร้ายของเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศส และจักรวรรดิ์อเมริกาเป็นสำคัญ
แต่ในเมื่อว่าสถานการณ์โลกได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ในขณะที่ลาวเองก็ไม่ สามารถที่จะอยู่ได้อย่างโดดเดี่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการล่มสลายของเสาหลัก อย่างอดีตสหภาพโซเวียตในปลายทศวรรษที่ 90 เป็นต้นมา ซึ่งทำให้ลาวขาดที่พึ่งทั้งในด้านเศรษฐกิจและการเมืองด้วยแล้ว จึงทำให้พรรคฯลาวจำต้องมีปรับเปลี่ยนทั้งในด้านแนวทางและแนวนโยบายในการนำพา ประเทศชาติภายใต้สิ่งที่เรียกว่า จินตนาการใหม่ New Thinking นับจากปี 1986 เป็นต้นมา!
ทั้งนี้โดยได้เริ่มเปิดประเทศเพื่อทำการค้าและก็รองรับการลงทุนจากต่าง ประเทศ อย่างกว้างขวาง จนในปัจจุบันนี้ก็ปรากฏว่ามูลค่าการค้าต่างประเทศของลาวได้เพิ่มขึ้นจากปี 1985 มากกว่า 15 เท่า ส่วนการลงทุนจากต่างประเทศก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนมีมูลค่าการลงทุนสะสม เกินกว่า 9,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐแล้วในเวลานี้
แต่ในขณะเดียวกัน ลาวก็ไม่สามารถที่จะหลุดรอดจากการถูกกระทบจากปัญหาวิกฤติการณ์ต่างๆที่เกิด ขึ้นจากภายนอกประเทศได้เช่นกัน โดยไม่ว่าจะเป็นวิกฤติการณ์ทางการเงินในเอเชียเมื่อปี 1997 ซึ่งทำให้เงินกีบของลาวตกต่ำลงจากระดับ 35 กีบเป็น มากกว่า 240 กีบต่อ 1 บาท ทั้งยังได้ส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงเป้าหมายของพรรคฯลาวที่จะแก้ไขปัญหาความ ยากจนของประชาชนลาวให้น้อยลงอีกด้วย!
ยิ่งไปกว่านั้น ก็คือในท่ามกลางปัญหาวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจและการเงินโลกที่เป็นอยู่ในเวลา นี้ ก็ยังได้ส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงความศรัทธาของประชาชนลาวที่มีต่อการนำของ พรรคฯลาวอีกต่างหาก เนื่องจากประชาชนลาวได้รับผลกระทบจากวิกฤติอันนี้อย่างกว้างขวาง
โดยกรณีปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจนแล้วในเวลานี้ก็คือผลผลิตข้าวโพดใน ลาวที่มีน้ำหนักรวมมากกว่า 8 แสนตันในเวลานี้ไม่มีตลาดรองรับ เนื่องจากรัฐบาลไทยได้มีคำ สั่งห้ามนำเข้าผลผลิตข้าวโพดจากลาวในระยะนี้เพื่อเป็นมาตรการให้ความช่วย เหลือแก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดในไทยก่อน
ส่วนเกษตรกรลาวที่ได้พากันหันไปปลูกยางพารามากขึ้นเรื่อยๆในตลอดช่วงกว่า 8 ปีมานี้ โดยได้รับการสนับสนุนส่งเสริมจากพ่อค้าไทยและพ่อค้าจีนนั้นก็มีอันต้องได้ รับผลกระทบอย่างหนัก เพราะเกษตรกรลาวไม่เพียงจะต้องเผชิญกับปัญหาราคายางพาราตกต่ำลงอย่างรุนแรง เท่านั้น หากแต่ยังต้องเผชิญกับปัญหาไม่มีตลาดรองรับผลผลิตอีกด้วย เนื่องจากพ่อค้าไทยและพ่อค้าจีนได้ปฏิเสธที่จะรับซื้อผลผลิตดังกล่าวนั่นเอง และที่หนักไปกว่านั้นคือบรรดาพ่อค้าจีนยังได้ประกาศยกเลิกแผนการลงทุนปลูก ยางพาราบนพื้นที่กว่า 2 แสนเฮกตาร์หรือกว้างกว่า 12.5 ล้านไร่อีกต่างหาก
สำหรับในด้านการลงทุนของต่างประเทศในลาวนั้นส่วนใหญ่ก็ยังคงเป็นตัวเลข ที่เป็นเงินทุนจดทะเบียนเท่านั้น เนื่องจากโครงการลงทุนส่วนใหญ่ของต่างประเทศในลาวจะเน้นหนักไปในด้าน อุตสาหกรรมเหมืองแร่และพลังงานซึ่งในเวลานี้ยังคงอยู่ในขั้นตอนของการสำรวจ และศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ ซึ่งนั่นก็หมายความว่ายังไม่มีการนำเงินเข้าไปลงทุนในลาวอย่างแท้จริง นอกจากค่าใช้จ่ายในส่วนของการสำรวจและศึก ษาความเป็นไปได้ของโครงการเท่านั้น
โดยกรณีตัวอย่างที่ชัดเจน ก็คือโครงการลงทุนก่อสร้างเขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้าที่มีเป้าหมายที่จะส่งกระแส ไฟฟ้าขายให้กับ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย EGAT ในปริมาณรวมถึง 7,000 เมกกะวัตต์นับจากปี 2015 เป็นต้นไปนั้น หากแต่จนถึงขณะนี้ก็ปรากฏว่ามีเพียงโครงการเขื่อนน้ำเทิน 2 เท่านั้นที่มีความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม!
ส่วนในด้านแรงงานของลาวนั้นก็ได้รับผลกระทบอย่างหนักเช่นเดียวกัน ยิ่งต้องมาประสบกับมาตรการของรัฐบาลไทย ซึ่งจะไม่ต่ออายุการจ้างแรงงานลาว เขมร และพม่าในปีนี้เพื่อกันตำแหน่งงานไว้รองรับคนไทยที่จะต้องประสบกับการถูก เลิกจ้างด้วยแล้วก็ยิ่งทำให้เศรษฐกิจของลาวนั้นต้องถูกกระทบมากขึ้นไปอีก เพราะจากการสำรวจที่ดำเนินการโดยกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมของลาวเอง นั้นพบว่าในแต่ละปีจะมีก้อนเงินของแรงงานลาวในไทยที่ส่งกลับไปลาวมากกว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้โดยเชื่อว่ามีแรงงานลาวกว่า 4 แสนคนที่ลักลอบทำงานในไทยในทุกวันนี้
ยิ่งไปกว่านั้น ภาคธุรกิจบริการและท่องเที่ยวของลาวก็เป็นอีกด้านหนึ่งที่จะได้รับผลกระทบ อย่างหนักเช่นกันเพราะในจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไปที่ลาว มากกว่า 1.6 ล้านคนในปี 2008 นั้นเป็นนักท่องเที่ยวจากกลุ่มอาเซียนด้วยกันกว่า 80% และมากกว่าครึ่งก็คือนักท่องเที่ยวชาวไทย
ส่วนฉันทนาในลาวอีกกว่า 30,000 ชีวิตก็ยังจะต้องเสี่ยงอย่างสูงที่จะตกงานใน อีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ เพราะตลาดหลักของลาวในการส่งออกเสื้อผ้าสำเร็จรูปนั้นก็คือ สหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกา ในขณะที่อุตสาหกรรมเหมืองแร่ทองคำและแร่ทองแดงที่สร้างเงินตราต่างประเทศให้ กับลาวได้มากกว่า 580 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปีที่แล้วก็มีอันต้องลดการส่งออกแล้วในเวลานี้ เพราะราคาแร่ทองแดงในตลาดโลกได้ลดต่ำลงกว่า 50% แล้ว ในขณะที่รายได้จากการส่งออกไม้ในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมาของแผนการฯปีนี้ก็ปรากฏว่าสามารถปฏิบัติได้เพียงไม่ถึง 28% ของเป้าหมายที่วางไว้เท่านั้น
โดยภายใต้สภาพการณ์เช่นนี้ ก็ทำให้รัฐบาลลาวไม่มีทางเลือกมากนักในอันที่จะ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เดินไปได้ และทางเลือกหนึ่งที่รัฐบาลลาวได้ประกาศออกมาอย่างชัดเจนแล้วในเวลานี้ ก็คือการขอความช่วยเหลือจากต่างประเทศเพิ่มมาก ขึ้นกว่าปีที่ผ่านๆมา!!!
ยิ่งไปกว่านั้นการเปิดประเทศที่เป็นการนำเอาระบบเศรษฐกิจทั้งหมดของลาวไป ผูกติดไว้กับกลไกเโลกทุนนิยมนั้น ก็ทำให้พรรคฯลาวนั้นต้องมีการปรับเปลี่ยนวิธีคิดและการนำพาประเทศชาติอยู่ ไม่น้อยเช่นกัน เพราะการเปิดประเทศดังกล่าวนี้ยังหมายถึงการเปิดให้ประชาชนลาวมีโอกาสได้รับ รู้ข่าวสารและข้อมูลต่างๆจากภายนอกทั้งที่เป็นคุณและเป็นโทษต่อการนำของ พรรคฯลาวด้วยนั่นเอง!
ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้พรรคฯลาวจำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนและพัฒนาตนเองให้เท่าทันกับ สถานการณ์โลกอยู่ตลอดเวลา และในขณะเดียวกัน ก็ยังมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปลูกจิตสำนึกแห่งชาติลาวให้คงอยู่ ซึ่งนั่นก็หมายถึงความอยู่รอดปลอดภัยของพรรคฯลาวด้วยเช่นกัน
เพราะฉะนั้น การรณรงค์และโฆษณาให้ประชาชนลาวได้รับรู้และสำนึกถึงความเสียสละและวีรกรรม อันยิ่งใหญ่ของ เจ้าสุพานุวง ในการต่อสู้เพื่ออิสรภาพ และเอกราชอันสมบูรณ์ของชาติในทุกวันนี้ ก็คือยุทธวิธีหนึ่งที่พรรคฯลาวได้เลือกใช้ในเวลานี้!!!



__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ยุทธการ บ้านร่มเกล้า!!!

สงคราม บ้านร่มเกล้าเกิดจากกรณีพิพาท ระหว่างประเทศไทยกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ณ บ้านร่มเกล้า อำเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก อันเนื่องมาจากปัญหาเส้นเขตแดนที่อ้างสนธิสัญญาคนละฉบับ!!!
ลาวได้ส่ง กำลังทหารเข้ามายึดพื้นที่ส่วนที่เป็นปัญหา ไทยส่งกำลังทหารเข้าผลักดัน เกิดการปะทะกันด้วยกำลังทหารของทั้ง 2 ฝ่ายอย่างหนักหน่วงในช่วงเดือนธันวาคม 2530 ไปจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2531 มีการหยุดยิงเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2531
เหตุการณ์เกิดขึ้นใน ช่วงปลายของยุคพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์
ทั้งนี้โดยมีพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา 15 ปี มีผู้ใช้เรื่องนี้กล่าวหาพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ในทางดูถูกดูแคลน
ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว เชื่อว่าสงครามร่มเกล้าครั้งนั้นเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธได้รับราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ อันมีศักดิ์รามาธิบดี ชั้นมหาโยธิน!
ความจริง ถ้าคำนึงถึงข้อเท็จจริงว่าผู้ที่ได้รับราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมี ศักดิ์รามาธิบดีนี้จะต้องดื่มน้ำพระพิพัฒน์สัตยาแช่คมหอกคมดาบและผ่านพิธี โองการแช่งน้ำ ในอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาดาราม วัดพระแก้ว ซึ่งก็คือการดื่มน้ำถวายสัตย์สาบานต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถือเป็นเกียรติยศสูงสุดแก่นายทหารและข้าแผ่นดิน ข้อกล่าวหาทั้งหลายก็ไม่น่าจะเกิดขึ้น!
แต่หลายปีมานี้พล .อ.ชวลิต ยงใจยุทธก็ดี กองทัพไทยก็ดี ต่างไม่ปริปากพูดถึงเรื่องนี้ ยอมกลืนเลือดข่มกล้ำความเจ็บช้ำน้ำใจที่อาจจะมีอยู่บ้างไว้ เชื่อว่า เหตุผลหนึ่งก็เพื่อไม่ต้องการให้กระทบกระเทือนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ !
ทำ ให้นักฉวยโอกาสเหยียบย่ำซ้ำเติมมาโดยตลอด
สงครามบ้านร่มเกล้าไม่น่า จะเป็นเพียงไทยรบกับลาว หากแต่มีเวียดนามยืนอยู่เบื้องหลัง! เป็นจุดล่อแหลมครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ไทย
ความลับที่ไม่เคยเปิด เผยคือไทยได้รับความช่วยเหลือจากจีนในครั้งนั้นด้วย !!
ก่อนอื่น ต้องทำความเข้าใจสถานการณ์ของบ้านร่มเกล้าเสียก่อน
ตาม สนธิสัญญา ระหว่างไทยกับฝรั่งเศส พ.ศ. 2451 กำหนดให้ลำน้ำเหืองเป็นเขตแดนสยาม-ฝรั่งเศส แต่ปีถัดมาพนักงานสำรวจทำแผนที่พบว่ามีน้ำเหือง 2 สาย ฝรั่งเศสตัดสินเอาเองโดยไม่ได้แจ้งให้กรุงเทพฯทราบ เลือกสายน้ำที่ทำให้ตนได้ดินแดนมากขึ้นหน่อย ลาวรับช่วงถือเขตแดนนี้ !
แต่ ลำน้ำเหือง 2 สายนั้นไม่ตรงกับแนวลำน้ำในปัจจุบันที่ปรากฏในแผนที่สหรัฐทำให้รัฐบาลไทย ช่วงสงครามเวียดนาม ลำน้ำในปัจจุบันเรียกว่าเหืองป่าหมัน ไม่ใช่ชื่อที่เคยปรากฏในเอกสารใด ๆ เมื่อพ.ศ. 2450 - 2451
เขตแดน ตรงนั้นไม่มีปัญหาอะไร จนกระทั่งปี 2530 ลาวอ้างว่าบริเวณบ้านร่มเกล้าเป็นของลาว เนื่องจากแผนที่คนละฉบับกับไทย ซึ่งอาจจะเกิดจากความผิดพลาดในการสำรวจเมื่อปี 2450
ช่วงปี 2510 - 2520 พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย พคท. เคลื่อนไหวรุนแรงที่จะยึดอำนาจรัฐ พื้นที่ติดต่อเขตลาวในเขตนี้ ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของชาวเผ่าม้ง ถูกใช้เป็นพื้นที่หลบซ่อนและปฏิบัติการ เพราะสามารถข้ามลำน้ำเหืองเข้ามาในเขตไทยได้ง่าย และบริเวณพื้นที่นี้กลายเป็นยุทธบริเวณอันสำคัญระหว่างทหารกับพคท.
ชาว ม้ง ซึ่งเป็นแนวร่วมสำคัญของพคท. ถูกปราบปรามอย่างหนัก หนีข้ามลำน้ำเหืองเข้าไปในเขตลาว
ช่วง ปี 2525 สถานการณ์ในอินโดจีนเปลี่ยนแปลง ประกอบกับนโยบาย 66/2523 ของรัฐบาลไทยคือใช้ยุทธศาสตร์ การเมืองนำทหาร ทำให้ชาวม้งตัดสินใจกลับเข้ามาตามโครงการเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย กองทัพภาคที่ 3 ได้ตัดถนนสายยุทธศาสตร์และแนวชายแดนจากอำเภอนาแห้ว จังหวัดเลย ขึ้นไปสิ้นสุดที่บ้านร่มเกล้า
กลายเป็นเขตสัมปทานป่าไม้ มีการจัดตั้งชุดทหารพรานคุ้มครองที่ 3405 ขึ้น
และนั่นคือจุดเริ่ม ต้นของปัญหา !
วัน ที่ 31 พฤษภาคม 2530 ทหารลาวยกกำลังเข้ามาในพื้นที่ซึ่งฝ่ายไทยอ้างว่าอยู่ในเขตอำเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก ทำลายรถแทรกเตอร์ของบริษัทป่าไม้เอกชนเสียหาย 3 คัน มีผู้เสียชีวิต 1 คน หายสาบสูญ 1 คน ทหารพรานชุด 3405 เข้าปะทะกับทหารลาว
วัน ที่ 1 มิถุนายน 2530 ทหารลาวเข้าโจมตีม้งที่บ้านร่มเกล้า โดยอ้างว่าเป็นการกวาดล้างม้งที่เคลื่อนไหวต่อต้านทางการลาว และมีทหารลาวอีกชุดหนึ่งยกกำลังข้ามพรมแดนเข้ามาที่เขตบ้านนาผักก้าม และบ้านนากอก อำเภอนาแห้ว จังหวัดเลย ยิงราษฎรไทยตาย 1 คน จับกุมตัวไป 6 คน หนีรอดมา 1 คน โดยกล่าวหาว่าราษฎรเหล่านั้นลักลอบเข้าไปตัดไม้ในลาว
ขณะ นั้นสหรัฐเผ่นออกไปจากเอเชียแล้ว ทิ้งอาวุธยุทโธปกรณ์จำนวนมากไว้ในเวียดนาม ทางอีสานใต้มาถึงตะวันออกกองพลใหญ่ของเวียดนามจ่อคอหอยอยู่ ทางอีสานเหนือภายใต้ชื่อทหารลาว แต่ความจริงน่าจะเป็นกองกำลังผสมของหลายชาติ โดยมีชาติมหาอำนาจยืนทะมึนอยู่ข้างหลัง ทั้งได้ใช้เทคโนโลยีสูงยิ่งในการบัญชาการ
ยามนั้นกองทัพไทยปกป้อง เอกราชอธิปไตยจนแม้กระสุนปืนใหญ่ก็ไม่เหลือ ที่ระดมมาจากมิตรประเทศในอาเชียนก็หมดสิ้น
พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธสั่งการให้อดีตทูตไทยประจำสาธารณรัฐประชาชนจีน คือ พ.อ.อมรรัตน์ จินตกานนท์ ร่วมกับ “คณะทำงานลับ” คนหนึ่ง และทีมงานของเขา ติดต่อประสานงานกับกองทัพจีน!!!
นำไปสู่กระบวนการ “วิธีการพิเศษ” ลำเลียงทั้งปืนใหญ่และกระสุนจากจีนมาใช้ !!!
ปืนใหญ่และกระสุนปืนใหญ่ ชุดนั้นมีความหมาย 2 นัย นัยแรกตรงไปตรงมา คือเป็นยุทโธปกรณ์เสริมและทดแทน นัยที่สองที่อาจจะสำคัญกว่าก็คือเป็นเสมือนสัญลักษณ์ของ “สาส์น” ที่ต้องการ “สื่อ” ต่อฝ่ายตรงกันข้าม
ลักษณะ กระสุนชนิดใหม่ที่ถูกยิงออกไปทำ ให้เกิดความเข้าใจว่าศึกครั้งนี้ไทยไม่ได้รบโดยโดดเดี่ยวแล้ว จึงเป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้มีการเจรจา และถอนทหารออกจากแนวรบ
อาจกล่าว ได้ว่าเป็นชัยชนะโดยไม่ต้องรบ
แน่นอนว่าวิถีทางในการรักษาเอกราช อธิปไตยของชาตินับแต่ประวัติศาสตร์มา คือ วิถีทางการทูต และวิถีทางการทหาร ต้องใช้วิธีทั้งสองตามสถานการณ์ และอย่างพลิกแพลง มีแต่คนโง่เท่านั้นที่ใช้แต่ทางใดทางหนึ่ง คำพูดที่ว่า “สู้ตาย” เป็นเรื่องเหลวไหลที่นักการทหารชั้นยอดจะไม่ยอมใช้ เพราะเขาใช้แต่คำว่าสู้เพื่อชนะ เพื่อบรรลุเป้าหมายทางยุทธศาสตร์
เป้า หมายทางยุทธศาสตร์ของไทยคือการรักษาเอกราชอธิปไตยของไทยโดยไม่ให้บอบช้ำต่อ การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ
หลัง จากเหตุการณ์ร่มเกล้าแล้ว ความจริงคนไทยควรจะได้รู้ว่าใครคือมิตรแท้!!! แต่การนำความจริงมาเปิดเผยในบางสถานการณ์ย่อมไม่เป็นผลดี เช่น สมมติว่าในช่วงนั้นประกาศให้รู้ทั่วกันว่าไทยไม่ได้รบกับลาวประเทศเดียว ก็เสมือนเท่ากับประกาศสงครามกับเวียดนามและสหภาพโซเวียตโดยตรง มีหรือที่ศึกจะไม่ใหญ่ขึ้น และถ้าเป็นเช่นนั้นใครจะรับผิดชอบต่อเอกราชอธิปไตยของชาติ
เมื่อตอบ คำถามนี้ก็จำเป็นอยู่เองที่จะต้องกล่าวว่า เป็นโชคดีของประเทศไทยที่พคท.กับเวียดนามและลาวเข้ากันไม่ได้ ขณะเดียวกันจีนก็หันมาสัมพันธ์กับไทยในลักษณะรัฐต่อรัฐ มากกว่าพรรคต่อพรรค
นี่ เป็นผลส่วนหนึ่งจากที่การที่พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธเดินทางไปเจรจาความเมืองกับเติ้งเสี่ยวผิงในขณะนั้น !

1.. มีมหาอำนาจมาช่วยลาวรบจริง
2.. ด้วยเทคโนโลยี จาก มหาอำนาจ ทำให้เขาเหนือกว่าเราในช่วงแรกของสงคราม เป็นต้นว่า
เขามี เรดาห์ซึ่งสามารถจับ วิธีการยิงปืนใหญ่ของเราได้ ดังนั้นเราจึงต้อง ย้ายที่ตั้งปืนใหญ่ทันทีเมื่อยิงเสร็จ
3.. เรื่อง อาวุธจากจีนนั้น ว่าคงเป็นแค่ประเด็นเสริม
4.. จริง ๆ แล้ว เพราะว่า ทางไทยได้ส่งหน่วย รบพิเศษ ไปปฏิบัติการในแนวหลังของฝ่ายตรงข้าม ในลักษณะสงครามกองโจร
ทำให้ ฝ่ายตรงข้ามเกิดวิกฤตขึ้น เนื่องจากขาดการส่งกำลังบำรุง
5..จาก หัวข้อกระทู้ เบื้องหลัง....ไทยไม่ได้แพ้ สรุปได้ว่า จาก
ที่ได้ส่ง หน่วยรบพิเศษไปปฏิบัติการในแนวหลัง ของฝ่ายตรงข้าม
ทำให้ ทางลาว ต้องส่งผู้แทนมาเจรจา กับ ไทย เพื่อเจรจา ขอ สงบศึก ซึ่ง ในมุมมองของทางการเมืองและทหารแล้ว
ประเทศคู่สงครามประเทศใด ขอเจรจาก่อน หมายถึง ขอยอมแพ้แล้วนั่นเอง!!!
จากการปะทะกันระหว่างทหารไทย และลาวนั้น มีรายงานจากบางหน่วยแจ้งว่ามีฝ่ายลาวมีทหารต่างชาติบัญชาการรบ
อาจ เป็นคนรัสเซีย และถูกทหารไทยยิงตายไปหลายคนกองทัพไทยไม่ได้ให้ข้อมูลกับเรื่องนี้มากนัก จากการปะทะหลายครั้ง
บาง หน่วยรายงานว่า ทหารที่เข้าใจว่าเป็นทหารลาว บางคนพูดร้องสั่งการเป็นภาษาเวียดนาม คาดว่าเป็นกองกำลังผสมระหว่างเวียดนาม
และลาวที่รบกับไทย ในการรบที่บ้านร่มเกล้านี้จึงไม่ใช่กรณีพิพาทระหว่างไทยกับลาวธรรมดา
ระบบ อาวุธและการติดต่อสื่อสารในการรบที่ทางฝ่ายลาวใช้นั้น ทันสมัยมาก สามารถรู้พิกัดที่ตั้งปืนใหญ่ของไทย
และยิงตอบกลับอย่างรวดเร็ว อีกทั้งมีการรบกวนระบบการสื่อสารของทหารไทย ซึ่งกองทัพประชาชนลาวคงไม่มีระบบที่ทันสมัยอย่างนี้
ที่ตั้งบนเนิน ๑๔๒๘ มีการดัดแปลงการตั้งรับอย่างดี บังเกอร์เป็นคอนกรีต เสริมเหล็ก ลักษณะเป็นเนินเขาบีบแคบ
ในการเข้าตีต้องเข้าตีจากด้านหน้าอย่างเดียว ทำให้ฝ่ายไทยเสียเปรียบในการรบ หากจะต้องทำการรบในกรอบปกติ
๑๑ ธันวาคม ๒๕๓๐ กระทรวงการต่างประเทศแจ้งว่าลาวมีความประสงค์ที่จะให้มีการเจรจาเพื่อปรับ ปรุงความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศขึ้น
เป็นครั้งที่ ๓ หลังจากการเจรจาสองครั้งที่ผ่านมาคือครั้งแรก ๑๘ สิงหาคม ๒๕๓๐ ครั้งที่สอง ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๐
ประสพความล้มเหลว หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าทุก ๆ ครั้งที่ฝ่ายลาวเกิดการสูญเสียในการรบอย่างหนัก จะยื่นเจรจา
เพื่อให้ ทางไทยชะลอการรุก และทำการเสริมกำลังของฝ่ายลาว และปรับปรุงการตั้งรับ
๑๖ ธันวาคม ๒๕๓๐ กระทรวงการต่างประเทศลาวเชิญอุปทูตไทยเข้ารับบันทึกช่วยจำ มีเนื้อความว่า เครื่องบินไทยละเมิดน่านฟ้าลาว
และทำการทิ้งระเบิด พื้นที่แขวงไทรบุรีของลาว รวมทั้งมีการยิงปืนใหญ่ใส่บริเวณต่างๆของลาวอีกด้วย
สำหรับในกรณี นี้นั้นจากการวิเคราะหของหลายฝ่ายกล่าวว่า เนื่องจากเนิน ๑๔๒๘ เป็นที่ตั้งที่ดี การเข้าตีต้องเข้าตีจากด้านหน้า
ทางลาวตั้งฐานปืนใหญ่ ด้านหลัง ซึ่งเป็นแนวเขาซับซ้อน ยากต่อการค้นหา และยิงตอบกลับ ในช่วงนั้นมีข่าวว่า
กองทัพไทยประกาศว่าหากจะทำการบุกข้ามแม่น้ำโขงเข้า ไปก็ต้องทำหากสถานการณ์ยังไม่คลี่คลาย ซึ่งมีผู้ใหญ่หลายฝ่ายออกมามาปราม
ใน เรื่องนี้ เพราะไม่อยากให้สถานการณ์รุนแรงจนกลายเป็นสงครามเต็มขั้นระหว่างไทยกับลาว
และ จากการรบในช่วงแรกที่ทางไทยเข้าตีตามกรอบคือเข้าทางด้านหน้าได้รับการต้าน ทานอย่างหนัก และยากต่อการเคลื่อนกำลัง
จึงมีการใช้เครื่องบินรบ เอฟ ๕ เข้าไปทิ้งระเบิดบนเนิน ๑๔๒๘ และที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ในเขตลาว จนเสียหายยับเยิน เช่น
สนามบินบ้านน้ำทาของลาว จากภาพถ่ายทางอากาศเนิน ๑๔๒๘ ราบเป็นหน้ากลองไม่มีต้นไม่เหลืออยู่เลย เพราะถูกระดมยิงจากปืนใหญ่
และ การทิ้งระเบิดจากเอฟ ๕ แต่ทางลาวมีที่ตั้งแข็งแรง และเตรียมการตั้งรับอย่างดี บางรายงานกล่าวว่าเมื่อไม่สามารถเข้าไปตรง ๆ ได้
กองทัพไทย ได้ส่งหน่วยสงครามพิเศษ แทรกซึมเข้าไปในพื้นที่ของลาว เพื่อทำการโจมตีระบบส่งกำลังบำรุง และค้นหาที่ตั้งปืนใหญ่
ทำให้การ ปฏิบัติการของลาวถูกกดดันมากยิ่งขึ้น ซึ่งทางการไทยได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบในการรบใหม่เนื่องจากมีการสูญเสีย กำลังพล
และไม่สามารถรุกคืบหน้าได้!!!
๒๑ มกราคม ๒๕๓๑ มีการปรับยุทธวิธีการสู้รบครั้งใหญ่ต่อยุทธการภูสอยดาว เพราะไทยเริ่มมีการสูญเสียมากขึ้น และเพื่อลดความสูญเสียดังกล่าว จึงมีการปรับปรุงยุทธการรบให้เหมาะสมยิ่งขึ้นต่อยุทธภูมิที่เป็นอยู่ ทางไทยเริ่มมีการใช้การรบนอกแบบ และได้ผล สร้างความกดดันต่อการปฏิบัติการของฝ่ายลาวเป็นอย่างมาก!

๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๑ นายไกรสอน พรมวิหาร นายกรัฐมนตรีลาวได้ส่งสาสน์ถึงพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรีของไทย เสนอให้ทหารทั้งสองฝ่ายพบแก้ไขปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้โดยเร็ว ลาวพร้อมที่จะส่งคณะผู้แทนทหารมากรุงเทพมหานคร และยินดีที่จะต้อนรับคณะผู้แทนทหารของประเทศไทย ที่จะเดินทางไปนครเวียงจันทน์เพื่อปรึกษาหารือ
๑๒ ก.พ. ๓๑ ชุดรบผสมที่ ๑ ลาดตระเวนเฝ้าตรวจเส้นทาง ระหว่าง บ้าน นาหินใต้ ไปยังบ้านนาดง หลังจากนั้น ลาดตระเวนต่อไปพบ รถบรรทุกทหารลาว ประมาณ ๑๐๐ นาย พร้อม รถคุ้มกัน ๑ คัน
ชุดปฏิบัติการ ที่ ๒ วางระเบิดดักรถถังที่ เส้นทาง บ.กุ่มบ้าน , หนองหลวง , บ้านน้ำพุ ซึ่งคาดว่าเป็นเส้นทางการส่งกำลังบำรุง
๑๓ ก.พ. ระเบิดดักรถถังที่วางไว้ได้ผล รถส่งกำลังฝ่ายลาว เสียงระเบิดดังขึ้น เวลา ๑๔ ๐๐ น.
๑๕.ก.พ. ๓๑ ชุดรบผสมที่ ๒ ตรวจพบฐานปฏิบัติการของทหารลาว จึงได้ร้องของปืนใหญ่เพื่อทำลาย
๑๔. ก.พ. ๓๑ ชุดรบผสมที่ ๓ เฝ้าตรวจบริเวณ เนิน ๑๖๖๒ พื้นที่เป็นป่ารกทึบยากแก่การปฏิบัติการ ทำให้ต้องใช้ความระมัดระวังในการปฏิบัติการมากขึ้น
ชุด รบผสมที่ ๔ ได้ตรวจพบ คลังเก็บสิ่งอุปกรณ์ ฝ่ายตรงข้าม มีอาคาร ๓ หลัง โดยมีการระวังป้องกันที่ตัวอาคารเป็นอย่างดี
๑๕ ก.พ. ๓๑ เสียงปืนใหญ่ดังขึ้นใกล้ เนิน ที่ชุดรบผสม เฝ้าตรวจอยู่ ชุด รบผสมที่ ๓ ได้ตรวจพบ ที่ตั้งปืนใหญ่ ๒ จุด , จึงได้รายงานและร้องขอการยิงเพื่อทำลาย
ชุด รบผสมที่ ๔ ชุดรบผสมที่ ๔ ปฏิบัติการ ซุ่มโจมตี ๒ จุด ตามเส้นที่ เข้า ออกจากคลัง
๑๖ ก.พ. ๓๑ ชุดรบผสมที่ ๑ ได้ปะทะ กับ กองหลอนประจำหมู่บ้าน ๑๑ นาย สบทบด้วยทหารเวียดนาม ๒ นาย และทหารลาว ๘ นาย ผลจาการปะทะ ฝ่ายตรงข้าม เสียชีวิต ๒ นาย จับ กองหลอน ได้ ๒ นาย ฝ่ายเรา เสียชีวิต ๒ นาย โดยที่หลังจากนั้น ชป. ๒ ต้องเคลื่อนย้ายออกจากพื้นที่ โดยที่ ได้ร้องขอ การยิงสนับสนุน ของปืนใหญ่ให้ลงยัง ฐานลอย ที่ ตั้งไว้ หลังจากออกจากฐาน ๓๐ นาที ซึงคาดเวลาเป็นเวลาที่ กำลังส่วนใหญ่ของ ลาวคงตามมาถึงพอดี
ชุดรบผสมที่ ๒ แทรกซึมกลับ
ชุดรบผสมที่ ๔ ตรวจพบอาคารอีก ๓ หลัง ซึง คาดว่าเป็นที่พักของทหารที่มาสับเปลี่ยนกำลังหรือพักผ่อน จึงได้รายงานให้หน่วยเหนือทราบ
๑๗ ก.พ. ๓๑ ชป. ๑ ถอนตัวกลับ
ชุด รบ ผสมที่ ๔ วางระเบิดสังหารตามเส้นทาง เข้า จากบ้าน ดงตาล ไปยัง คลังเก็บสิ่งอุปกรณ์ โดยที่ระหว่างการวางระเบิดสังหาร ได้มีข้าศึกจำนวนหนึ่ง เคลื่อนที่มายังที่ที่ชุดกำลังวางระเบิด เนื่องจากชุดได้มีการวาง เคลย์โมในการระวังป้องกันอยู่แล้ว จึงได้ กดจุดระเบิดเคลย์โมทันที ทำให้ข้าศึกเสียชีวิตทันที และทำให้ต้องถอนตัวไปยังเนิน และร้องขอ ปืนใหญ่เพื่อทำการยิง ทำลายเป้าหมายดังกล่าว กระสุนที่ใช้ในงานนั้นประมาณ ๕๐ นัด และมีคำสั่งให้จบภารกิจทันทีหลังจากทำลายที่หมายดังกล่าวเรียบร้อย
ใน การปฏิบัติการของแต่ละชุดรบผสม ซึ่งในแต่ละชุดรบผสม ก็ได้แยก ออกเป็นชุดย่อย ไปอีกไปปฏิบัติการลาดตระเวนค้นหาพิสูจน์ทราบ วางระเบิด ซุ่มโจมตี มีบางชุดที่ อาจจะไปพบอะไรมาก บางชุด ก็แทบเอาชีวิตไม่รอด บางชุด ก็ประสบความสำเร็จ บางชุดก็มีการสูญเสีย คงไม่สามารถที่จะนำมาเล่ารายละเอียดได้ทั้งหมด แต่จากการปฏิบัติการในร่มเกล้า นอกจากหน่วยรบพิเศษจะมีความภาคภูมิใจอยู่เงียบ แล้ว ได้ให้ข้อคิด บทเรียนหลายอย่าง และนำมาซึ่งการสร้างหน่วยกำลังรบเดินดินที่มีความพร้อมรบสูงสุดในประเทศไทย
จุด ที่น่าสังเกตของเหตุการณ์ครั้งนี้

หลาย ฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่ากรณี พิพาทระหว่างไทยกับลาวครั้งนี้เป็นแรงผลักดันที่ลาวได้รับจากเวียดนามและ โซเวียต ซึ่งพยายามขัดขวางการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับลาวมาตั้งแต่ปี ๒๕๓๐ และเป็นหนึ่งในแผนตัดขาดและยึดภาคอีสานของไทยตามยุทธการตัวL =Operation และรวมภาคอีสานของไทย ลาว เขมร เวียดนาม เป็นสหพันธ์อินโดจีน โดยมีเวียดนามเป็นผู้นำ!!!
ลักษณะภูมิประเทศรูปตัวแอลใหญ่คือพื้นที่ป่า ภูเขาบริเวณรอยต่อจังหวัดพิษณุโลก จังหวัดเพชรบูรณ์ จังหวัดเลย ทอดตัวยาวลงมาทางใต้ตามแนวเทือกเขาเพชรบูรณ์ มาบรรจบกันบริเวณเขาใหญ่ บริเวณรอยต่อ จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดปราจีนบุรี จังหวัดนครนายก และจังหวัดสระบุรี ซึ่งทอดตัวยาวมาจากทิศตะวันตก ตั้งแต่จังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดสุรินทร์ จังหวัดบุรีรัมย์ ตามแนวเทือกเขาพนมดงรัก เขาบรรทัด เขากำแพง และบรรจบกันที่ เขาใหญ่ อ.ปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา
ใน ช่วงดังกล่าวบางรายงานแจ้งว่ามีทหารเวียดนามในลาวประมาณ ๖๐,๐๐๐ คน และในเขมรประมาณ ๑๕๐,๐๐๐ คน ซึ่งอาจจะต้องการเปิดศึก ๒ ด้าน ให้ไทยพะว้าพะวงทั้งการรุกที่บ้านร่มเกล้าตีเจาะมาทางเหนือ และตีรุกเข้ามาที่ช่องบกทางใต้ เพื่อตัดและยึดภาคอีสาน เลยหากรณีมาอ้าง เพื่อทำการรบ
จากการปะทะกันระหว่างทหารไทยและลาวนั้น มีรายงานจากบางหน่วยแจ้งว่าฝ่ายลาวมีทหารต่างชาติบัญชาการรบ อาจเป็นคนรัสเซีย และถูกทหารไทยยิงตายไปหลายคน กองทัพไทยไม่ได้ให้ข้อมูลกับเรื่องนี้มากนัก จากการปะทะหลายครั้งบางหน่วยรายงานว่า ทหารที่เข้าใจว่าเป็นทหารลาว บางคนพูดร้องสั่งการเป็นภาษาเวียดนาม คาดว่าเป็นกองกำลังผสมระหว่างเวียดนามและลาวที่รบกับไทย ในการรบที่บ้านร่มเกล้านี้จึงไม่ใช่กรณีพิพาทระหว่างไทยกับลาวธรรมดา
๒.๑.๖ ระบบอาวุธและการติดต่อสื่อสารในการรบที่ทางฝ่ายลาวใช้นั้น ทันสมัยมาก สามารถรู้พิกัดที่ตั้งปืนใหญ่ของไทย และยิงตอบกลับอย่างรวดเร็ว อีกทั้งมีการรบกวนระบบการสื่อสารของทหารไทย ซึ่งกองทัพประชาชนลาวคงไม่มีระบบที่ทันสมัยอย่างนี้

ในกรณีการทิ้ง ระเบิดใส่ฝ่ายเดียวกันเองนี้ เป็นประเด็นที่มีการถกเถียงกันมาก มีรายงานหลายกระแส เช่น
๑. เกิดจากความผิดพลาดในการประสานงานระหว่างกองกำลังภาคพื้น และเครื่องบินที่จะเข้าทิ้งระเบิด เช่น ทางภาคพื้นมีการแจ้งยกเลิกการโจมตี แต่กองทัพอากาศไม่ได้รับแจ้ง เมื่อมีการแจ้งยืนยันการทิ้งระเบิดที่เป้าหมาย มีการแจ้งกลับว่าให้ทำการโจมตีได้
๒. เกิดการรบติดพันรุนแรง และประชิด ไม่สามารถระบุเป้าหมายที่แน่นอนได้ ในสงครามเวียดนามหรือกรณีอิรักครั้งล่าสุดยอดทหารสหรัฐที่เสียชีวิตจากการ ยิงหรือทิ้งระเบิดฝ่ายเดียวกันมีจำนวนมาก
๓. ทหารไทยยึดฐานทหารลาวได้ก่อนกำหนดการณ์ และมีการเคลื่อนกำลังปะทะติดพัน ไม่สามารถแยกแนวรบที่ชัดเจนได้ ตอนที่นักบินทิ้งระเบิดลงไปโจมตี
๔. ทางลาวทำการรบกวนระบบการสื่อสารของไทย มีการดักฟัง ทำการถอดรหัส และรวมทั้งมีการเลียนเสียงการสั่งการ ซึ่งได้รับอุปกรณ์ที่ทันสมัยจากรัสเซีย
๕. เกิดการขัดแย้งกันในกองทัพ และสายทางการเมือง ที่ต้องการแย่งอำนาจการเมืองจากทางทหาร เลยทำการสร้างความแตกแยกในกองทัพ และมีการให้ข้อมูลแก่ฝ่ายตรงข้ามเกี่ยวกับแผนการรบ ๆลๆ เนื่องจากในช่วงนั้น ส.ส. หลายคน อดีตเคยเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยมาก่อนและมีความสัมพันธ์กับ ทหารบางกลุ่ม บางคนเคยเป็นสมาชิกของเขมรแดง หลังจากนโยบาย ๖๖/๒๓ จึงเข้ามาต่อสู้ทางการเมือง อีกทั้งฝ่ายทหารยังแตกแยกเรื่องการบังคับบัญชา
๖. การวางแผนการรบที่ผิดพลาด ขาดความยืดหยุ่นในการรบและการตั้งรับ และเรื่องยุทโธปกรณ์ที่ไม่พร้อม รวมทั้งการประเมินกำลังและขีดความสามารถของฝ่ายตรงข้ามต่ำไป
บทเรียนและ การเปลี่ยนแปลงที่ได้จากสงครามครั้งนี้ =
๑. หลังจากที่พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกรัฐมนตรี มีการประกาศนโยบาย เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า มีการไปเยี่ยมเยียนกันของผู้นำทางทหารของไทย ที่ลาว และเวียดนาม เพื่อกระชับความสัมพันธ์ รวมทั้งลดความตึงเครียดทางการทหารระหว่างกัน ปัจจุบันไทยกับลาวมีการร่วมมือกันมากขึ้นในด้านต่าง ๆ พัฒนาเศรษฐกิจ แต่ลาวก็ดำเนินนโยบายกับไทยอย่างระมัดระวัง เพราะกลัวไทยครอบงำและเข้าแทรกแซงทางสังคม และวัฒนธรรม เนื่องจากขนบธรรมเนียมและประเพณีที่ใกล้เคียงกัน!!!

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

เกียรติยศย่อมเกิดจากการกระทำที่สุจริต!
ถ้าคุณหัวเสีย คุณจะเสียหัว!
อย่าไล่สุนัขให้จนตรอก อย่าต้อนคนให้จนมุม!
อำนาจที่ปราศจากเหตุผล คือ อำนาจของคนพาล อำนาจที่ปราศจากความเมตตา คือ อำนาจที่นำมาซึ่งความปราชัย!
ถ้าคุณคิดจะเป็นใหญ่ คุณก็จะได้เป็นใหญ ถ้าคุณคิดอยากเป็นอะไร คุณก็จะได้เป็นสิ่งนั้น!
เพราะแสวงหา มิใช่เพราะรอคอย เพราะเชี่ยวชาญ มิใช่เพราะโอกาส เพราะสามารถ มิใช่เพราะโชคช่วย ดังนี้แล้ว "ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน"!
นกทำรังให้ดูไม้ ข้าเลือกนายให้ดูน้ำใจ!
ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด ผู้ที่เล็กที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด ผู้ที่มีเกียรติ คือ ผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น!
จริงคือลวง ลวงคือจริง ถ้าคุณคิดว่าข้าศึกมีทางเลือกเพียง 2 ทาง จงแน่ใจได้ว่าเขาจะเลือกทางที่ 3!
ถ้าสติไม่มา ปัญญาก็ไม่มี!
มังกรถ้าไร้หัว หางก็ตีกันเอง ถ้าคานบนเอน คานล่างก็เบี้ยว ถ้าเสาเอกเฉียง เสาโทก็เฉ!
คนมองไม่เห็นการณ์ไกล ภัยก็จะมาถึงตัว คนไม่รู้จักตัดไฟ ภัยก็จะน่ากลัว!
ยามเรืองรุ่งพุ่งเปรี้ยงดุจเสียงฟ้า แม้เทวายังสยบหลบทางให้ จะหยิบดาวเดือนชมก็สมใจ คงร้องให้วันหนึ่งแน่ คราวแพ้มี!
ไม้คดใช้ทำขอเหล็กงอใช้ทำเคียว แต่ คนคดเคี้ยวใช้ทำอะไรไม่ได้เลย!
เล่นหมากรุก อย่าเอาแต่บุกอย่างเดียว เดินหมากรุกยังต้องคิด เดินหมากชีวิต จะไม่คิดได้อย่างไร!
เมื่อเสียหลักก็ต้องหลบอย่างฉลาด เมื่อพลั้งพลาดต้องรู้หลึกใส่ปลีกหาง ค่อย ๆ คิด ค่อย ๆทำ ค่อยคลำทาง จึงจะย่างสู่จุดหมายเมื่อปลายมือ!
ปลาใหญ่มักตายน้ำตื้น!
เกียรติยศย่อมเกิดจากการกระทำที่สุจริต!
ถ้าสติไม่มา ปัญญาก็ไม่มี!
เมื่อใครสักคนหนึ่ง ทำผิด ท่านอย่าเพิ่งตำหนิหรือต่อว่าเขา เพราะถ้าท่านเป็นเขาและตกอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นเดียวกับเขา ท่านอาจจะตัดสินใจทำเช่นเดียวกับเขาก็ได้!
การบริหารคือการทำงานให้สำเร็จโดยอาศัยมือผู้อื่น!
ผู้ปกครองระดับธรรมดา ใช้ความสารมารถของตนอย่างเต็มที่ ผู้ปกครองระดับกลาง ใช้กำลังของคนอื่นอย่างเต็มที่ ผู้ปกครองระดับสูง ใช้ปัญญาของคนอื่นอย่างเต็มที่!
อ่านคนออก บอกคนได้ ใช้คนเป็น!
เมื่อนักการฑูตพูดว่า "ใช่ หรือ อาจจะ" เขามีความหมายว่า "อาจจะ" เมื่อนักการฑูตพูดว่า "อาจจะ" เขามีความหมายว่า "ไม่" เมื่อนักการฑูตพูดว่า "ไม่" เขาไม่ใช่นักการฑูต เพราะนักการฑูตที่ดีจะไม่ปฏิเสธใคร!
เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า "ไม่" หล่อนมีความหมายว่า "อาจจะ" เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า "อาจจะ" หล่อนมีความหมายว่า "ใช่ หรือ ได้" เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า "ใช่ หรือ ได้" หล่อนไม่ใช่สุภาพสตรี!
คิดทำการใหญ่ อย่าสนใจเรื่องเล็กน้อย!
ตาสามารถมองเห็นสิ่งที่ไกลได้ แต่ไม่สามารถ มองเห็นคิ้วของตน คนส่วนใหญ่ใส่ใจกับผลได้ระยะสั้นเท่านั้น แต่คนฉลาดอย่างแท้จริงจะมองไปยังอนาคต!
อำนาจที่ปราศจากเหตุผล คือ อำนาจของคนพาล อำนาจที่ปราศจากความเมตตา คือ อำนาจที่นำมาซึ่งความปราชัย!
ยามเรืองรุ่งพุ่งเปรี้ยงดุจเสียงฟ้า แม้เทวายังสยบหลบทางให้ จะหยิบดาวเดือนชมก็สมใจ คงร้องให้วันหนึ่งแน่ คราวแพ้มี!
ตัดไผ่อย่าไว้หน่อ ฆ่าพ่ออย่าเหลือลูก คิดทำการใหญ่ ใจคอต้องเหี้ยมหาญ!
ข้าพเจ้ายอมทรยศต่อคนทั้งโลก ดีกว่าให้คนในโลกทรยศต่อข้าพเจ้า!
เป็นแม่ทัพแล้วไม่กล้าตัดหัวคน เป็นแม่ทัพที่ดีไม่ได้!
คนฉลาดปราดเปรื่อง เขานั่งนิ่งสงวนคม!
ไม่มีใครเลี้ยงอาหารใครเปล่า ๆ โดยไม่หวังผลประโยชน์ตอบแทน!
ศัตรูที่ร้ายเหลือ ไม่เท่าเกลือเป็นหนอน!
ความรู้ คือ อำนาจ!
นั่งภูดูเสือ กัดกัน!
เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมียอดคน ฉะนั้นจึงอย่าประมาท!
ถ้าเป็นกษัตริย์ แล้ว ไม่โลภ ก็ เป็นกษัตริย์ ที่ดีไม่ได้ ถ้าเป็นนักบวชแล้วโลภ ก็ เป็นนักบวช ที่ดีไม่ได้!
ตาสามารถมองเห็นสิ่งที่ไกลได้ แต่ไม่สามารถ มองเห็นคิ้วของตน!
น้ำไหลลงสู่ที่ต่ำฉันใด เราก็กลายเป็นคนฉลาดในช่วงเวลาลำบากฉันนั้น!
ดวงอาทิตย์ทำให้ทุกสิ่งกระจ่างชัด แต่ เรายังต้องทำความเข้าใจในส่วนที่มืด ซึ่งยังคงดำรงอยู่ !

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ศึกร่มเกล้า!!!

สมจิตต์ ชมะนันทน์ นามเดิม "พญา อินทรีบางเขน" พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 15 ขณะติดยศพันโท ดำรงตำ แหน่งผู้บังคับการกองพันทหารราบ นำ ผู้ใต้บังคับบัญชาในสงครามเกาหลี จนองค์การ สหประชาชาติ ขนานนามให้เป็น "กองพันพยัคฆ์น้อย" เจรจาสร้างสันติภาพยุติศึก เขาเป็นผู้อยู่เบื้องหลังในการหย่า ศึกร่มเกล้า ระหว่างไทย-ลาว เมื่อปี 2531!!!
การ ศึกครั้งนั้นถ้าไม่มี เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ สงครามที่ยืดเยื้อนานถึง 3 เดือน อาจจะไม่ยุติได้ง่าย และสันติภาพไทย-ลาว อาจจะยังไม่ชื่นมื่นมาถึงวันนี้!
ร่มเกล้า ศึกชิงดินแดนไทย-ลาว ด้านบ้านร่มเกล้า อ.ชาติตระการ จ.พิษณุโลก กับบ้านนาบ่อน้อย อ.บ่อแตน จ.ไชยะบุรี ของลาว
เกิด ขึ้นเพราะเหตุใด ฝ่ายลาวอ้าง ปลายเดือนมิถุนายน 2530 มีกองกำลังทหารไทยส่วนหนึ่ง เข้าไปเป็นกองกำลังคุ้มครองพ่อค้าไม้เถื่อน ที่เข้าไปลักลอบตัดไม้ในดินแดนประเทศลาว แล้วส่ง กลับเข้ามาขายในไทย!!!

ส่วน ทางการไทย ไม่มีการแถลงชัด บอกได้แต่เพียงว่า น่าจะมาจาก 3 สาเหตุ 1. เป็นแผนเวียดนาม ยุยงให้เตรียมบุกรุกยึดครองภาคอีสานของไทย 2. เวียดนามไม่ต้องการให้ไทย-ลาว รัก ใคร่สมานฉันท์ ด้วยเกรงจะทำให้อุดมการณ์ คอมมิวนิสต์ ในลาวเสื่อม!!!
3. พื้นที่ลาวในบริเวณนี้เป็นเขตอิทธิพลนายพลวังเปา ลาวขวา ต้อง การล้มล้างการปกครอง รัฐบาลฝ่ายซ้ายของลาว ตั้งกองกำลังบุกรุกดินแดนไทย!

18 พ.ย.2530 ทหารไทยลาดตระเวน ไปถูกกับระเบิดลาวเสียชีวิต นับแต่นั้น ศึกร่มเกล้า ก็เกิดขึ้น!
ใครจะผิดจะถูก!!! เหตุการณ์ผ่านเลยมานาน แต่ที่รู้กัน สงคราม ร่มเกล้า มี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้บัญชาการ ทหารบก!
หลายสถานการณ์ในสงครามร่มเกล้าหลายคนยังพอจำได้ ฝ่ายไทยหน้า แตกขนาดหมอไม่รับเย็บ!!!

ถ้า ไม่มี พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งขณะนั้นเป็นนายทหารนอกราชการ อำนาจวาสนาแค่ ส.ส.ร้อยเอ็ด และหัวหน้าพรรคชาติประชาธิปไตย หน้าตาเมืองไทย อาจจะแตกยับไปมากกว่านี้!!!
ขณะ ศึกร่มเกล้า เริ่มปะทุ ฝ่ายทหารได้มาขอคำปรึกษาจาก "พญาอินทรี บางเขน" เพื่อหา ทางยุติศึกที่อาจจะบานปลาย กลายเป็นสงครามระหว่างประเทศ จากพื้นฐาน ขณะเป็นนายกรัฐมนตรี พล.อ.เกรียงศักดิ์เป็นผู้เริ่มต้นสร้างสัมพันธ์อันดีกับลาว!
รัฐบาล ก่อนหน้านั้น ดำเนินนโยบายการเมืองระหว่างประเทศผิดพลาด สร้างปัญหากระทบกระ ทั่งกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะประเทศที่ปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ เนื่องจากดำเนิน นโยบายแบบขวาตกขอบ
นโยบายนี้ มีผลให้ไทย-ลาว มีปัญหากรณีเรือ นปข.!!!

เมื่อ พล.อ.เกรียงศักดิ์ก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี มีการรื้อฟื้นสัมพันธไมตรีกับลาวใหม่ มีการ เดินทางไปเยือนลาวอย่างเป็นทางการ และเชิญ ฯพณฯ ไกสอน พมวิหาน นายกรัฐมนตรี ลาว มาเยือนไทยอย่างเป็นทางการ
หลังการแถลงการณ์ร่วมกัน เมื่อปี 2522 สัมพันธภาพระหว่างไทย-ลาว ที่เสื่อมทราม ก็เริ่มดีขึ้นมาได้ระดับหนึ่ง!
คำ แนะนำจาก "อินทรีบางเขน"ของฝ่ายทหารไทย ได้ข้อสรุปเบื้องต้น จะยุติศึกร่มเกล้าได้ ต้อง ให้ทหารทั้งฝ่ายไทย-ลาว มาจับเข่าคุยกัน ปรับความเข้าใจ
นายวงศ์ พลนิกร อดีต ส.ส.หนองคาย ซึ่งมีความสนิทสนมกับ พล.อ.เกรียงศักดิ์ และคุ้นเคย กับฝ่ายลาว จึงได้รับมอบหมายให้เป็นทูตเดินทางไปเจรจา!

ผล...ผู้นำทหารลาวยินดีจะเจรจา ในเงื่อนไขให้ทหารไทยไปเจรจาที่นครเวียงจันทน์
แต่ ขณะนั้นศึกร่มเกล้าทวีความรุนแรง ถึงขั้นใช้อาวุธหนัก ปืนใหญ่ เครื่องบินทิ้ง ระเบิด ผู้นำทหารไทยไม่แน่ใจในการที่จะเดินทางไปเจรจาที่ลาว
วัน ที่ 6 ม.ค. 2531 พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ส่งสารด่วนถึงผู้นำลาว ในฐานะที่เป็นผู้ร่วม ลงนามในแถลงการณ์ร่วมกัน เมื่อปี 2522 ผ่านเอกอัครราชทูตลาวประจำประเทศไทย เพื่อยืนยันความต้องการปรับความเข้าใจของฝ่ายไทย...อีกครั้ง!

พร้อมกับสาร ทูตส่วนตัวของพลเอกเกรียงศักดิ์ได้เดินทางไปเจรจากับผู้นำทหารลาว ฝ่ายลาวยัง ยืนยันให้ฝ่ายไทยไปเจรจาที่เวียงจันทน์เหมือนเดิม!
ถ้าผู้นำทหารไทยเดินทางมาเองไม่ได้ ส่งผู้แทนฝ่ายไทยชั้นสูงซึ่งมีอำนาจเต็มไปก็ได้
ฝ่ายไทยยังคงยืนยัน ผู้นำทหารลาวต้องมาเจรจาที่กรุงเทพฯ หรือจังหวัดชาย แดนก็ได้....

ฝ่ายลาวก็ยังยืนยันคำเดิม!!!
ระหว่าง การเจรจาศึกร่มเกล้ารุนแรงยิ่งขึ้น หลายฝ่ายเกรงว่า แนวรบจะขยายเป็นสงครามใหญ่ หากผู้นำทหารทั้งสองฝ่ายยังคงตั้งแง่ไทยไม่ยอมไปลาว ลาวไม่ยอมมาไทย!!!

สถานการณ์ขั้นนี้ "พญาอินทรี"ตัดสินใจบินเข้าลาวด้วยตัวเอง!!!

ผมตกลงไปนี่ ต้องการจะสงวนชีวิตลูกหลานไทย ที่จะต้องสูญเสียไปโดยไม่จำเป็นอีกจำนวน เท่าไรก็ไม่ทราบ!!!
พญา อินทรีบางเขน เปิดใจภายหลัง วิตกว่าการรบพุ่งระหว่างไทย-ลาว ขยายกลายเป็นสงคราม ระหว่างประเทศไทยกับประเทศอินโดจีน จึงตัดสินใจไปลาว
ไปในฐานะส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับผลประโยชน์ทางการเมืองหรือหวังอะไรทั้งสิ้น!

พล. อ.เกรียงศักดิ์บินเข้าลาวเย็นวันที่ 6 ก.พ.2531 ไปถึงวันรุ่งขึ้นเจรจากับผู้นำทหารลาว อีกวัน เจรจากับผู้นำประเทศลาว ได้ผล...ฝ่ายลาวยินดีที่จะเดินทางมากรุงเทพฯ ในวันที่ 16 ก.พ. 2531
แม้ การเจรจาหาข้อยุติสงครามเริ่มต้นขึ้นได้ แต่ข้อยุติก็ไม่ง่าย วันแรกไม่มีความคืบหน้า วันที่ สอง การเจราครึ่งเช้ายังไม่ลงตัวเรื่องระยะทางที่จะแยกทหารออกจากแนวสู้ เนื่องจากฝ่ายไทย ต้องการให้ถอยห่างมา 3 กม. ฝ่ายลาวต้องการ 2 กม.!!!
"พญาอินทรี" ติดตามผลการเจรจาที่บ้านพักบางเขน.....

เที่ยง วันนั้น มีการเชิญผู้นำทหารฝ่ายลาวมารับประทานอาหารกลางวัน ด้วยอา หารมิตรภาพ ข้าวปุ้น ไก่ย่างส้มตำ และอาหารสำคัญที่ขาดไม่ได้ สูตรเฉพาะของ"พญาอินทรี" แกงเขียวหวานเนื้อใส่บรั่นดี
เมนูอาหารลือลั่น ที่นักข่าวยุคนั้นจำนวนไม่น้อยเคยลิ้มลอง!

พร้อม กัน มีการเชิญอดีตรัฐมนตรีที่เคยเดินทางไปสร้างสัมพันธ์อันดีกับลาวเมื่อครั้ง เจ้าของบ้าน เป็นนายกรัฐมนตรี บรรยากาศความสัมพันธ์อันชื่นมื่นในวันเก่าๆได้หวนกลับมา เจ้าของบ้านจับ มือผู้นำทหารลาวแนบแน่น ขณะกล่าวว่า.....
ข้อยเข้าใจ เห็นใจในความหนักใจ และความรับผิดชอบอันใหญ่หลวงของท่าน แต่เมื่อนึกถึง คำพูดที่ผู้นำของท่านได้กล่าวต่อหน้าท่านในระหว่างที่มีการปรึกษาหารือกัน ว่า เราต้องช่วยกัน ยุติสงครามระหว่างพี่น้องไทย-ลาวครั้งนี้ให้ได้!
ทั้งสองฝ่ายจะต้องมีความเด็ดเดี่ยว หากจะมีสิ่งใดที่เล็กๆ น้อยๆ ยังเป็นอุปสรรคอยู่ ก็ควรจะ ต้องปล่อยไว้ก่อน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ทั้งสองฝ่ายปรารถนาคือ การยุติสงครามให้ได้โดยเร็วที่สุด!
ส่วนเส้นแนวเขตและระยะทางเพื่อแยกกำลังทหารออกจากกันนั้นเป็นเพียง การ สมมติขึ้น เพื่อให้การหยุดยิงเป็นผลสำเร็จเท่านั้น

ข้อย เชื่อว่าผู้นำทางการเมือง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ก็คงจะเห็นด้วยกับ ประเด็นนี้ แม้จะมีข้อเล็กๆ น้อยๆ ที่ยังไม่สมบูรณ์บ้าง
การเจรจารอบบ่ายเริ่มขึ้น.....สี่โมงเย็นโทรศัพท์ในบ้านบางเขนดังขึ้น แจ้งมาว่า การเจรจาตกลง กันได้ 2 เรื่อง

1. จะเริ่มหยุดยิง ตั้งแต่เวลา 08.00 น. ของวันที่ 19 ก.พ. 5231
2. ทั้งสองฝ่ายจะแยกกำลังทหารออกจากแนวสู้รบออกไปฝ่ายละ 3 กม. ภายใน 48 ชม. นับแต่ เวลาเริ่มหยุดยิง

ผลการเจรจาคืบหน้ามาถึงขั้นนี้ คนใกล้ตัวเล่าว่า "อินทรีบางเขน" วางหูโทรศัพท์ แล้วก็ตะโกนลั่น!!!
สำเร็จแล้ว!!! สำเร็จแล้ว!!! เราดับไฟสงครามไทย-ลาว ได้แล้ว!!!

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

การปกครองระบอบเผด็จการ!!!

ระบบการเมืองการปกครองแบบเผด็จการ หมายถึง= ระบบการเมืองการปกครองที่ให้ความสำคัญกับผู้ปกครองหรือรัฐบาลมากกว่าเสรีภาพส่วนบุคคล ประชาชนไม่มีสิทธิเข้าไปมีส่วนในการปกครอง เป็นแต่เพียงต้องปฏิบัติตามคำสั่งหรือนโยบายของรัฐบาลอย่างเคร่งครัด!!!

ระบบการเมืองการปกครองแบบเผด็จการทุกรูปแบบ จะยึดหลักการที่เหมือนกัน คือ ปรัชญาการใช้กำลัง ซึ่งถือว่าผู้เข้มแข็งมี อิทธิพลและกำลังย่อมมีสิทธิได้รับอำนาจการปกครอง โดยถือว่าอำนาจคือ ธรรม แนวคิดในเรื่องเผ็ดการทางการเมืองส่วนใหญ่มักจะมองจากข้อเขียนและแนวปฏิบัติ ของ เบนิโต มุสโสลินี ผู้นำของ อิตาลี และ อดอร์ฟฮิตเลอร์ ผู้นำของเยอรมนีในช่วงสงครามครั้งที่สองแต่ความจริงเผด็จการมีมาแต่โบราณกาลแล้ว ซึ่งอาจแบ่งความหมายของเผ็ดการได้เป็น 3 ฐานะด้วยกันคือ=

1.เผด็จการในฐานะที่เป็นแนวคิดทางการเมือง! แนวคิดทางการเมืองของระบอบเผด็จการเชื่อว่ารัฐเป็นเสมือนผู้ที่ เพียบพร้อมไปด้วยคุณธรรมดี ความถูกต้อง และความยุติธรรม รัฐเป็นผู้ถ่ายทอดความดีงามเหล่านี้ไปสู่ประชาชน ประชาชนจึงมีหน้าที่ที่จะต้องเชื่องฟัง ปฏิบัติตามคำสั่งของรัฐ ส่วนตัวแทนของรัฐออกคำสั่งให้ประชาชนปฏิบัติตาม ก็คือ ผู้นำ ซึ่งอาจมีผู้นำที่มีอำนาจสูงสุดเพียงผู้เดียว หรืออาจเป็นกลุ่มผู้นำก็ได้ อุดมการณ์ของระบบเผด็จ การนั้นถือว่าผู้นำเป็นผู้ที่มีลักษณะพิเศษ ที่สามารถล่วงรู้เจตนารมณ์ของประชาชนได้อย่างถูกต้องการกระทำได ของผู้นำจึงเป็นการกระทำไปด้วยเจตนารมณ์ของประชาชน ผู้นำจึงอยู่ในฐานะที่ทำอะไรได้ทุกอย่างโดยไม่มีความผิด ฉะนั้นการ ที่มีผู้ขัดขวางหรือไม่เห็นด้วยกับผู้นำจะถูกกล่าวหาเป็นผู้หวังจะทำลายชาติ และ ประชาชน!!!
2.เผด็จการในฐานะที่เป็นรูปแบบการปกครอง! การปกครองเผด็จการโดยทั่วไป หมายถึงระบอบร่วมอำนาจของผู้ปกครอง คือ ผู้ปกครองต้องยึดอำนาจรัฐไว้ได้ ส่วนใหญ่มักจะใช่วิธีการรุนแรงในการได้มาซึ่งอำนาจนั้น เช่น การทำรัฐประหารโดยผู้นำรัฐประหารหรือผู้นำเผด็จเหล่านี้พยายามใช่วิธีการ ทุกอย่างเพื่อที่จะรักษาอำนาจนั้นไว้ และขยายอำนาจเพิ่มมากขึ้นซึ่งอาจมีการจัดสรรตำแหน่งทางการเมือง ที่สำคัญๆในระหว่างกลุ่มผลประโยชน์ผู้ใกล้ชิดหรือญาติมิตรคุมกองกำลังที่ มีอาวุธทั้งทหาร! และ ตำรวจ!
3.เผด็จการในฐานะที่เป็นวิธีชีวิต! หมายถึง ความเชื่อ ค่านิยม แนวคิด ตลอดจนแนวปฏิบัติของคนในสังคม ซึ่งอาจเป็นสังคมประชาธิปไตยก็ได้ โดยมีความเชื่อว่าคนเราเกิดมาแต่ละคนย่อมมีความแต่ต่างกันในทุกด้าน ผู้ที่ด้อยกว่าต้องเชื่อฟังและปฏิบัติตามผู้ที่เหนือกว่า ทั้งนี้ เพื่อจะให้สังคมอยู่รอดปลอดภัยและก้าวหน้าอย่างเป็นเอกภาพ ความเชื่อระบอบเผด็จการกลุ่มนี้จึงพยายามไม่ให้ความขัดแย้งขึ้น ในสังคมซึ่งเสมือนเป็นตัวบ่อนทำลายเสถียรของสังคมและนิยมใช้อำนาจในการ ขจัดขัดแย้งมากกว่าที่จะใช้วิธีการประนีประนอม !!!



--------------------------------------------------------------------------------
From: soun1000@hotmail.co.uk
To: laosnetworkroom@googlegroups.com
Subject: RE: ນັກ ເຄື່ອນໄຫວຍິງ ນາງ Bui Thi Minh Hang ທີ່ຖືກຕັດສິນໃຫ້ ໄປຢູ່ໃນສູນດັດສ້າງ ເປັນເວລາ ສອງປີ.
Date: Sun, 29 Jan 2012 20:26:08 +1100


ນັບຖືທຸກໆທ່ານ
ຕໍ່ໜ້າສະພາບການຄວາມເຄັ່ງຕຶງກ່ຽວກັບຂໍ້ຂັດແຍ່ງລະຫວ່າງຈີນແລະວຽດນາມຮູ້ບໍ່ ວ່າວຽດນາມຕ້ອງການຫຍັງ?
ຜຂ ຍັງປະທັບໃຈຕໍ່ຄໍາເວົ້າຂອງເຈົ້າໜ້າທີ່ຣະດັບສູງຂອງຜູ້ນໍາສະຫະຣັຖທີ່ເວົ້າເຖີງເລື້ອງສິດທິມະນຸດໃນວຽດນາມ,
ຝ່າຍວຽດນາມໄດ້ແຈ້ງໃຫ້ທາງການສະຫະຣັຖຊາບກ່ຽວກັບລາຍການອາວຸດທີ່ຕົນເອງຕ້ອງການ ຝ່າຍ ສຫຣ ກໍມີຄວາມ
ຕ້ອງການຂາຍເຊ່ນກັນ ແຕ່ແທນທີ່ຈະເວົ້າກັນຕົກລົງກັນໃນວົງເງິນທີ່ມີມູນຄ່າຣາຄາຊໍ້າຜັດເອົາເລື້ອງສິດທິມະນຸດມາເປັນ
ຂໍ້ຕໍ່ລອງ (ໝາຍຄວາມວ່າອາວຸດທີ່ວ່ານັ້ນຕ້ອງຂາຍໃຫ້ສະເພາະປະເທດໃດທີ່ນັບຖືສິດທິມະນຸດ)ມາເບິ່ງຄວາມຢາກໃສ່ກັນ
ວຽດນາມຄືຊິມີຄວາມຢາກຫຼາຍກວ່າ ສຫຣຢາກ .ແຕ່ສຫຣບໍ່ໄດ້ສະແດງຄວາມຢາກທໍ່ວຽດນາມສະແດງ...ທັ້ງໆທີ່ຢາກຂາຍ
ຢູ່ພໍຕາຍແຕ່ວ່າວາງມາຕຫຼີ້ນໂຕທ່າໃຫ່ຍແບບເອົາເລື້ອງສິດທິມະນຸດມາກ່ອນເງິນ ຖ້າຊິເວົ້າວ່າສຫຣຈະຂາຍອາວຸດໃຫ້ສະເພາະ
ແຕ່ປະເທດໃດທີ່ບໍ່ເປັນຄອມມູຍນິສເທົ່ານັ້ນ ,ກໍສາມາດເວົ້າໄດ້ແຕ່ມັນຊິທໍຣະມານຄົນທີ່ຢາກໄດ້ໂພດເກີນໄປ ແຄ່ນັ້ນມັນກໍຊໍ່າ
ກັບວ່າຖືກເຕະຕັດລໍາແລ້ວ ...ແຕ່ຊິໃຫ້ສຫຣແກ້ບັນຫາຂອງລາວນັ້ນ,ລາວບໍ່ແມ່ນຕົ້ນເຫດຂອງບັນຫາ ຖ້າສຫຣກອດຄໍແກວ
ລົງມາຕີເຂົ່າໄດ້ມື້ໃດ ? ເອີ້...ຖ້າເບີ່ງໂລດພວກຜູ້ນໍາພັກລັດລາວເພີ່ນຊິພາກັນໂຕນເວທີຖີ້ມປີ່ຖີ້ມຂຸ່ຍ !ຖ້າເບິ່ງເອົາ...ເຮົາໄດ້ເຫັນ
ຣິດເດຊຂອງບັກກາມາແລ້ວເວລາບິນໄປຈັບບ່ອນໃດບ່ອນນັ້ນມັກມີເຫດ !ບິນໄປຈັບຢູ່ຕາເວັນອອກກາງບ່ອນນັ້ນກໍມີເຫດ ,ບິນກັບ
ມາແຖວເອເຊັຍອີກແຫ່ງມາຫຼາຍຈັບຢູ່ອອສເຕຣເລັຍແດ່,ຟິລິບປິນແດ່,ວຽດນາມແດ່,ເກົາຫຼີແດ່.....ເບີ່ງແລ້ວມັນຄືເປັນລາງບອກເຫດ! ! ! ! !

ຮັກແພງ

ສ.ດວງມາລາ




--------------------------------------------------------------------------------
Date: Sat, 28 Jan 2012 21:43:18 -0800
From: toum.rasika@yahoo.com
Subject: Re: ນັກ ເຄື່ອນໄຫວຍິງ ນາງ Bui Thi Minh Hang ທີ່ຖືກຕັດສິນໃຫ້ ໄປຢູ່ໃນສູນດັດສ້າງ ເປັນເວລາ ສອງປີ.
To: laosnetworkroom@googlegroups.com


ທ່ານ ພີ່ນ້ອງລາວທີ່ນັບຖື


ການຈັບກຸມນັກຕໍ່ຕ້ານ ເພື່ອປະຊາທິປະໄຕ ໃນວຽດນາມໄດ້ເຮັດແທ້ທຳຈິງ ຢູ່ໃນດິນແດນຂອງວຽດນາມເອງ
ການທີ່ໃຊ້ສິດໃນການຕໍ່ເວົ້າຕໍ່ວ່າ ຢ່າງເປີດເຜີຍ ກໍເພາະທາງການໄດ້ເຊັນສັນຍາບັຕ ຮັບຮອງເອົາ ສົນທິສັນຍາ
ສາກົລ ວ່າດ້ວຍສິດທິພົລເມືອງ ແລະ ສິດທິການເມຶອງນັ້ນ ແລ້ວ.


ຣັຖບານ ວຽດນາມ ກໍ່ບໍ່ໄດ້ປະຕິບັດ ຜູ້ໃດຜິດກໍຕັດສິນສົ່ງໄປສູນດັດສ້າງ ໂລດ.


ສຳລັບການຕໍ່ສູ້ປະຊາທິປະໄຕໃນລາວ ຍັງເຮັດເປັນຮຸບຊົງຮ້ອງຮຽນຢ່າງເປັນທາງການ ໄປຫາທາງ ເມືອງ ທາງກຳ
ແພງນະຄອນ ແລະ ທາງສະພາ ເຣຶ່ອງຈະແກ້ໄຂ ກໍ່ເປັນອີກເຣື່ອງນຶ່ງ.
ສ່ວນການແນະນຳ ການນາບຂູ່ນັ້ນ ກໍເຮັດເປັນ ລາຍບຸກຄົນໄປ


ແຕ່ສູນກັກກັນ ຫລື ສູນດັດສ້າງ ຂອງຄົນລາວ ໄດ້ສ້າງຕັ້ງຂຶ້ນ ແຄມແມ່ນ້ຳຂອງ ຢູ່ໃນຣະຫວ່າງ ວຽງຈັນ ຫາ
ຫລວງພຣະບາງ ແລະ ບໍ່ໄດ້ມີການປະກາດເປັນທາງການ. ທາງອົງການສາກົລ ກຳລັງ ຊອກຫາທີ່ຕັ້ງ ແຕ່ຍັງ
ບໍ່ທັນໄດ້ຮັບການລາຍງານເທື່ອ ວ່າແມ່ນຢູ່ໃຫ້ຄຽງບ້ານໃດແທ້,


ສ່ວນບັນດານັກຕໍ່ສູ້ປະຊາທິປະໄຕ ຂອງລາວນອກນີ້ ແມ່ນບໍ່ມີການຢັ້ງຢືນວ່າຖືກຈັບ ຫລື ກັກຢູ່ຕາມ ສຖານທີ່
ຕ່າງຯ ຂອງອຳນາດການປົກຄອງ. ແຕ່ມີການສົງໄສວ່າ ຖືກ ຢາສັ່ງ ແລ້ວກັບມາຕາຍຢູ່ປະເທດທີ່ເຂົາ ເຈົ້າຕັ້ງຖິ່ນ
ຖານຢູ່ ຫລັງຈາກ ກັບມາຮອດ ຣະຫວາງ 2-6 ເດືອນ ນີ້ມີຈຳນວນຫລາຍທ່ານ ຕາມທີ່ໄດ້ເຫັນມາແລ້ວ.


ນັບຖື
ຕ. ຣາສິກາ




Sent: Sunday, 29 January 2012 8:27 AM
Subject: ນັກ ເຄື່ອນໄຫວຍິງ ນາງ Bui Thi Minh Hang ທີ່ຖືກຕັດສິນໃຫ້ ໄປຢູ່ໃນສູນດັດສ້າງ ເປັນເວລາ ສອງປີ.



ທ່ານ Robertson ເວົ້າວ່າ “ຕາມທີ່ພວກເຮົາຮູ້ກັນ ຢ່າງໜ້ອຍມີ 33 ຄົນແລ້ວ ທີ່
ຖືກຈໍາຄຸກໃນປີນີ້ ຍ້ອນວ່າໄດ້ໃຊ້ສິດຂອງຕົນເອງໃນການປາກເວົ້າ, ການຄົບ​ຄ້າ​
ສະມາຄົມ​ກັນ ຫລືໂຮມຊຸມນຸມກັນຢ່າງສັນຕິ. ນັບຕັ້ງແຕ່ການຖືປ້າຍປະທ້ວງ ຫລື
ຂຽນຄໍາເຫັນລົງໃນອິນເຕີແນັດ ຊຶ່ງສິ່ງຕ່າງໆເຫລົ່ານີ້ ຄວນໄດ້ຮັບການປົກປ້ອງ
ຢູ່​ໃນ​ຫວຽດນາມ ເພາະວ່າຫວຽດນາມໄດ້ໃຫ້ສັຕຕະຍາບັນ ຫລືລົງ​ນາມຮັບຮອງ
ເອົາສົນທິສັນຍາສາກົນວ່າ​ດ້ວຍສິດທິພົນລະເມືອງແລະສິດທິການເມືອງນັ້ນແລ້ວ."

hrw.org
ນັກເຄື່ອນໄຫວຍິງ ນາງ Bui Thi Minh Hang ທີ່ຖືກຕັດສິນເມື່ອ ໝໍ່ໆມານີ້ ໃຫ້ໄປຢູ່ໃນສູນດັດສ້າງເປັນເວລາສອງປີ.ໃນຈໍານວນພວກທີ່ໄດ້ຖືກຈັບ
ກຸມເມື່ອໝໍ່ໆມານີ້ ລວມມີນັກ
ເຄື່ອນໄຫວຍິງ ນາງ Bui Thi
Minh Hang ທີ່ຖືກຕັດສິນໃຫ້
ໄປຢູ່ໃນສູນດັດສ້າງ ເປັນເວລາ
ສອງປີ.
ທ່ານ Robertson ໄດ້ຮຽກຮ້ອງ
ໃຫ້ລັດຖະບານສະຫະລັດ ສືບຕໍ່
ດໍາເນີນການກົດດັນຕໍ່ລັດຖະບານ
ຫວຽດນາມ ​ເພື່ອໃຫ້ປ່ອຍຕົວ
ພວກນັກເຄື່ອນໄຫວທັງຫລາຍ.
ບົດ​ລາຍ​ງານ​ຂອງກຸ່ມ​ປົກ​ປ້ອງ​ສິດທິ​ມະນຸດໄດ້ນໍາອອກເຜີຍແຜ່ ນຶ່ງມື້ລຸນຫລັງທີ່ຄະນະ
ຜູ້ແທນສະຫະລັດ ທີ່ນໍາໂດຍສະມາຊິກສະພາສູງ John McCain ແລະ Joseph
Lieberman ໄດ້ຕັກເຕືອນຫວຽດນາມວ່າ ການ​ເສີມຂະຫຍາຍສາຍພົວພັນ ທາງທະຫານ ສອງຝ່າຍກັບສະຫະລັດ ແມ່ນຂຶ້ນຢູ່ກັບການປັບປຸງປະຫວັດດ້ານການນັບຖືສິດທິມະນຸດ
ຂອງຫວຽດນາມ.


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ร่วมกันผนึกกำลัง ทำให้ข้อเสนอนิติราษฎร์เป็นจริง

จากห้องสัมมนาสู่ภาคสนาม




ใจ อึ๊งภากรณ์




ในสังคมการเมืองไม่มีอะไรหยุดนิ่งคงที่ อันนี้เป็นหลักวิภาษวิธีมาร์คซิสต์ และหลักศาสนาพุทธด้วย หลังการเลือกตั้งเมื่อปีที่แล้วที่นำไปสู่รัฐบาลพรรคเพื่อไทย และหลังการจับมือกันเสมือนมิตรแท้ระหว่างรัฐบาลยิ่งลักษณ์กับทหารมือเปื้อนเลือด พร้อมกับการคล้อยคลานตามก้นรัฐบาลของแกนนำเสื้อแดง นปช. เส้นแบ่งในสังคมไทยระหว่าง “คนก้าวหน้าที่รักเสรีภาพประชาธิปไตย” กับ “คนล้าหลังที่อยากให้ไทยเป็นทาสต่อไป” ไม่ใช่ระหว่างเสื้อแดงกับเสื้อเหลืองอีกต่อไป เส้นแบ่งอยู่ระหว่างผู้ที่สนับสนุนข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์รวมถึงข้อเสนอของคณะรงรงค์แก้ไขมาตรา 112(ครก. 112) กับทุกคนที่ต้องการปกป้องความมืดป่าเถื่อนล้าหลังของสังคมเผด็จการไทย

เป็นที่น่าเสียดาย (แต่เราไม่ควรแปลกใจ) ที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์อยู่ในกลุ่มหลัง ที่น่าเสียดายมากกว่านั้นคือดูเหมือนแกนนำ นปช. ก็อยู่ในกลุ่มที่ปกป้องความมืดด้วย แต่ประเด็นสำคัญคือเสื้อแดงทุกคนต้องตั้งคำถามว่าตัวเองยืนอยู่ตรงไหน

แต่ละคนที่คลานเข้าไปในที่มืด คงมีข้อแก้ตัวต่างๆ นาๆ ในที่นี้ผมไม่ได้พูดถึงทหารมือเปื้อนเลือดหรือพวกเสื้อเหลือง เพราะเขาเหล่านั้นมีส่วนในการสร้างที่มืดแต่แรก และในกรณีทหารที่ฆ่าประชาชนเป็นประจำ เขาได้ดิบได้ดีจากการสร้างยุคมืดและการใช้กฏหมาย 112 ในการปกป้องสิ่งที่เขาทำมาตลอด ผมพูดถึงคนเสื้อแดงที่เลิกสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตย และเปลี่ยนประวัติศาสตร์ของขบวนการเสื้อแดงให้กลายเป็นว่าเสื้อแดงสู้และเสียสละเสียชีพเพื่อให้ ยิ่งลักษณ์ เฉลิม และณัฐวุฒิ เป็นรัฐมนตรีเท่านั้น เพราะลองย้อนกลับไปคิดว่าในช่วงที่ชุมนุมใหญ่ที่ราชประสงค์ พวกเราทุกคนรวมถึงคนที่เสียสละในพื้นที่ คิดและพูดแบบนั้นหรือไม่ ไม่เลยมีการพูดถึงอุดมการณ์ประชาธิปไตยมากกว่า

ถ้าเราเขี่ยข้อแก้ตัวไร้สาระต่างๆ นาๆ ของฝ่ายที่จับมือกับขบวนการยุคมืดออกไป จะเห็นว่าข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์กับ ครก. 112 เป็นเรื่องสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตยพื้นฐาน เพราะถ้าเราไม่ลบผลพวงของรัฐประหาร ๑๙ กันยา และไม่นำคนที่สั่งฆ่าประชาชนและฉีกรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยด้วยความรุนแรงมาลงโทษ รัฐประหารและการเข่นฆ่าประชาชนจะเกิดซ้ำแล้วซ้ำอีก และถ้าเราไม่แก้หรือยกเลิก 112 ประเทศไทยก็จะยังคงมีกฏหมายเผด็จการที่ปิดปากประชาชนไม่ให้พูดในเรื่องสำคัญๆ ทางการเมือง และไม่ให้วิจารณ์พฤติกรรมของกองทัพที่อ้างกษัตริย์ตลอด นอกจากนี้คนบริสุทธิ์ที่โดนขังในคุกป่าเถื่อนของไทยด้วยกฏหมายนี้ก็จะไม่มีวันถูกปล่อย มันเข้าใจง่ายครับ ดังนั้นการอ้าง “ปรองดอง” เพื่อไม่แตะ 112 และไม่แตะทหารของนักการเมืองเพื่อไทยทั้งหมด และเสื้อแดงบางคน เป็นเพียงการนำใบบัวเล็กๆ มาปิดไดโนเสาร์ที่ตายทั้งตัว

อาจารย์ในกลุ่มนิติราษฎร์ และแกนนำ ครก. 112 เขาก้าวเข้ามาเพื่อจุดไฟนำทางไปสู่การพัฒนาประชาธิปไตย ถ้ามองว่าเป็นกิฬาวิ่งแข่ง อาจมองว่ารับหน้าที่ต่อจาก บก.ลายจุด และแกนนำเสื้อแดงก่อนหน้านั้นที่เคยนำการต่อสู้แต่ตอนนี้ล้มไปข้างทางแล้ว

ประเด็นสำคัญคือ ท่านผู้อ่าน และกลุ่มเสื้อแดงหรือกลุ่มนักกิจกรรมที่คุณคลุกคลีด้วย กำลังเลือกข้างไหน คุณและพรรคพวกจะเลือกอยู่กับคนที่ต้องการปกป้องความมืดป่าเถื่อนล้าหลังของสังคมเผด็จการไทย หรือคุณจะเลือกข้าง นิติราษฎร์ กับ ครก. 112? และผมขอเน้นคำว่า “พรรคพวก” เพราะการเปลี่ยนสังคมไม่เคยเป็นเรื่องที่ปัจเจกทำได้ด้วยการนั่งคิด หรือแค่ไปนั่งฟังสัมมนาในฐานะผู้บริโภคความรู้ เราต้องมีพลังที่มาจากการรวมกลุ่มกับคนอื่น และลงภาคสนาม

เราจะร่วมผนึกกำลังเพื่อทำให้ข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์และ ครก. 112 เป็นจริงได้อย่างไร? ผมไม่มีสูตรวิเศษอะไร และมันเป็นเรื่องที่เราต้องเร่งคิด ผมเพียงแต่รู้ว่าถ้าเสื้อแดงทุกคนไม่ถามตัวเองว่าเลือกข้างไหน แล้วถามกลุ่มเสื้อแดงที่รู้จักกันว่าพวกเรามีจุดยืนอย่างไร พลังเพื่อการเปลี่ยนแปลงจะไม่เกิด ถ้านิสิตนักศึกษาและนักวิชาการที่สนับสนุน นิติราษฎร์และ ครก. 112 ไม่จงใจรวมกลุ่มเพื่อเคลื่อนไหวกับคนอื่น พลังเพื่อการเปลี่ยนแปลงจะไม่เกิด และถ้านักสหภาพแรงงานที่มีอำนาจซ่อนเร้นทางเศรษฐกิจ ไม่ถามตนเองและเพื่อร่วมขบวนว่าจะเลือกข้างไหน พลังเพื่อการเปลี่ยนแปลงก็จะไม่เกิดเช่นกัน ....แต่แค่นั้นก็ไม่พอ

การเปลี่ยนแปลงสังคมไม่ว่าจะเป็นในไทย อียิปต์ ยุโรป หรือในกลุ่ม Occupy ที่สหรัฐ ไม่เคยเกิดขึ้นได้ถ้าไม่มีการชุมนุมเดินขบวน ถ้าไม่มีการประท้วงโดยหลากหลายวิธี และถ้าไม่มีความพยายามที่จะนัดหยุดงานด้วย ซึ่งแน่นอนสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ปัจเจกที่ไม่สังกัดกลุ่มอะไรทำได้

และเมื่อเราต้องทำงานเป็นกลุ่ม มันแปลว่าเราต้องพร้อมจะประนีประนอมบ้างเพื่อสามัคคีขบวนการภายใต้จุดยืนร่วมที่จะนำไปสู่เสรีภาพและประชาธิปไตย ผมเองมองว่าในเรื่อง 112 ควรยกเลิกเลยโดยไม่มีเงื่อนไข เพราะเป็นกฏหมายเผด็จการ แต่ผมพร้อมจะร่วมขบวนกับคนที่มีข้อเสนอแบบ ครก. 112 โดยไม่เสียเวลาในการทะเลาะอะไรเล็กน้อยๆ ที่ไม่สร้างสรรค์ในขั้นตอนนี้

สุดท้ายนี้ฝ่ายคลั่งสถาบันชอบเบี่ยงเบนประเด็นด้วยข้อกล่าวหาและคำถามโง่ๆ เพื่อไม่ต้องมาถกในเนื้อเรื่องจริง คำถามหนึ่งคือเขาถามพวกเราว่า “พ่อแม่ไม่สั่งสอนในทางที่ถูกหรือยังไง” ในกรณีผมพ่อแม่ผมสั่งสอนให้เคารพประชาธิปไตย สิทธิเสรีภาพ และความเสมอภาคของพลเมืองทุกคนโดยไม่มีข้อแม้ คือไม่ควรมีสูงมีต่ำ และพ่อแม่ผมสอนให้คัดค้านเผด็จการทหารมือเปื้อนเลือดมาตลอด แต่จริงๆ แล้วมันไม่สำคัญ คนที่มองว่าเรื่องแบบนี้สำคัญคงจะเป็นคนที่พ่อแม่สอนให้ตอแหลทางการเมือง ปิดกั้นประชาธิปไตย และสนับสนุนทหารมือเปื้อนเลือดมั้ง? และผมก็สงสัยว่าพ่อแม่ของคนเหล่านี้มีส่วนในการเข่นฆ่าประชาชนที่สนามหลวงในวันที่ ๖ ตุลาค ๒๕๑๙ หรือมีส่วนในการไล่อาจารย์ปรีดีออกจากประเทศก่อนหน้านั้นหรือไม่



--
ใจ อึ๊งภากรณ์
+44(0)7817034432
http://redthaisocialist.com/



__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ประวัติศาสตร์ ระหว่างไทย และลาว ที่หลายคนไม่เคยทราบมาก่อน!!!



ทำไมเจ้าอนุจึงต้องปราชัย!!!

สงครามเจ้าอนุวงศ์ เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2369-71 ต้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3. 2367-94 เป็นประวัติศาสตร์ตอนที่สำคัญมากทั้งในประวัติศาสตร์ไทยและในประวัติศาสตร์ลาว ในประวัติศาสตร์ไทยบันทึกว่าสงครามครั้งนี้เป็นสงครามของพวกกบฏ หัวหน้ากบฏคือเจ้าอนุวงศ์เป็นคนไม่ดี !
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อครั้งดำรงพระยศเป็นกรมหมื่นเจษฎา บดินทร์ ทรงเลื่อนตำแหน่งเจ้าอนุวงศ์ที่ทูลขอให้พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงแต่งตั้งเจ้าราชบุตร โย่ของเจ้าอนุวงศ์ขึ้นเป็นเจ้านครจำปาศักดิ์ เพราะเชื่อในความจงรักภักดีในเจ้าอนุวงศ์ซึ่งเคยช่วยไทยรบกับพม่ามาหลาย ครั้ง แต่เมื่อเจ้าอนุวงศ์ทรงเป็นกบฏในต้นรัชกาลที่ 3 พระองค์จึงทรงแค้นพระทัยมากทรงสั่งให้ทำลายเวียงจันทน์มิให้เป็นเมืองอีกต่อไป

ในประวัติศาสตร์ลาวถือว่า สงครามเจ้าอนุวงศ์เป็นสงครามที่ควรยกย่อง เพราะเป็นสงครามปลดแอกลาวให้พ้นจากการเป็นเมืองขึ้นของไทย ผลของสงครามใหญ่หลวงนักโดยเฉพาะการกวาดต้อนประชากรจากเวียงจันทน์และลาวฝั่ง ซ้ายแม่น้ำโขงเอามาตั้งถิ่นฐานในภาคกลางและภาคอีสาน จนเป็นเหตุให้ประชากรลาวเหลือน้อยมาจนทุกวันนี้ปัจจุบันประเทศลาวมีประชากร 5.7 ล้านคน ภาคอีสาน 21.7 ล้านคน ในปี พ.ศ. 2546 แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นที่จะเสนอในบทความนี้ ประเด็นที่จะนำเสนอคือ วิเคราะห์สาเหตุของความพ่ายแพ้ของเจ้าอนุวงศ์เพื่อให้หายสงสัยว่ากองทัพเจ้า อนุวงศ์แพ้เพราะอะไร เพราะฝ่ายไทยมีอาวุธดีกว่าหรือเพราะฝ่ายไทยมีกำลังมากกว่า หรือเพราะฝ่ายลาวประเมินกำลังพันธมิตรและศัตรูผิด หรือเพราะหลายๆ ปัจจัย โดยจะกล่าวถึงสาเหตุของสงครามและสงครามโดยสังเขปเสียก่อน=

(บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการวิจัยประวัติศาสตร์อีสาน 2322-2488)
สาเหตุของสงครามโดยสังเขป!!!

หลักฐานที่เป็นทางการที่สุด ของฝ่ายไทยคือประชุมจดหมายเหตุเรื่องปราบกบฏเวียงจันทน์ ซึ่งสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงเรียบเรียงไว้ สรุปได้ดังนี้

1. ไทยปกครองลาวและภาคอีสานทั้งหมดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2322
ปลายแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ไทยปกครองลาวเป็น 3 ส่วน คือ แคว้นหลวงพระบาง แคว้นเวียงจันทน์ และแคว้นจำปาศักดิ์ แต่ละแคว้นไม่ขึ้นแก่กัน แต่ขึ้นกับกรุงเทพฯ
ช่วงปลายรัชกาลที่ 2 เกิดกบฏสาเกียดโง้งในปี พ.ศ. 2362 เป็นกบฏของชาวข่าในพื้นที่ภาคใต้ของลาว กองทัพของเวียงจันทน์โดยการนำของเจ้าราชบุตรโย่ ราชบุตรองค์ที่ 3 ของเจ้าอนุวงศ์ปราบกบฏข่าลงได้ เจ้าอนุวงศ์ทรงเสนอให้รัชกาลที่ 2 ทรงตั้งเจ้าราชบุตรโย่ให้เป็นเจ้าครองแคว้นจำปาศักดิ์ ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ของไทยส่วนหนึ่งไม่เห็นด้วยเพราะเกรงว่าจะทำให้เจ้า อนุวงศ์ทรงมีอำนาจมากเกินไป แต่รัชกาลที่ 2 ทรงเชื่อกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ว่า ถ้าลาวเข้มแข็งจะช่วยป้องกันมิให้ญวนขยายอำนาจเข้ามา
การที่รัชกาลที่ 2 ทรงตั้งเจ้าราชบุตรโย่เป็นเจ้าครองแคว้นจำปาศักดิ์ส่งผลให้เจ้าอนุวงศ์มี อำนาจเพิ่มขึ้นมาก "เพราะสามารถจะบังคับบัญชาว่ากล่าวบ้านเมืองทางชายพระราชทานอาณาเขตได้ ตั้งแต่ด้านเหนือลงมาตลอดด้านตะวันออกจนต่อแดนกรุงกัมพูชา เจ้าอนุวงศ์ก็มีใจกำเริบขึ้น"

2. เจ้าอนุวงศ์ทูลขอแบ่งพวกครัวชาวเวียงจันทน์
ที่กวาดต้อนมาสมัยกรุงธนบุรีกลับเวียงจันทน์ รัชกาลที่ 3 ทรงปฏิเสธ เพราะหากทรงยอมก็จะมีคนกลุ่มอื่นที่ไทยกวาดต้อนมา "พากันกำเริบ" เอาอย่างบ้าง เมื่อไม่พระราชทานตามประสงค์เจ้าอนุวงศ์รู้สึกอัปยศกลับขึ้นไปเวียงจันทน์ก็ ตั้งต้นคิดกบฏ

3. เจ้าอนุวงศ์ทรงเห็นว่าการที่ญวนขยายอำนาจเข้ามาในเขมรตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 2
ไทยก็ยอมเพราะไทยเกรงจะเกิดศึกกระหนาบทั้งพม่าและญวน เจ้าอนุวงศ์ทรงเอาใจออกห่างจากไทยไปฝักใฝ่ญวน หากเวียงจันทน์แยกตัวจากไทยก็คงได้ญวนเป็นที่พึ่งไทยก็อาจไม่กล้าทำศึกหลาย ด้าน

4. มีข่าวลือถึงเวียงจันทน์ในปี พ.ศ. 2369 ว่าไทยวิวาทกับอังกฤษ
อังกฤษจะยกทัพเรือมาตีกรุงเทพฯ จึงเป็นโอกาสเหมาะที่เวียงจันทน์จะออกหน้าก่อการกบฏ
เพื่อความเป็นธรรมต่อเจ้าอนุวงศ์จึงนำเหตุผลฝ่าย ลาวมาเปรียบเทียบกับหลักฐานฝ่ายไทย นักประวัติ ศาสตร์ลาวที่เด่นที่สุดเป็นที่ยอมรับของลาวในสมัยสังคมนิยมก็คือ ดร. มยุรี และ ดร. เผยพัน เหง้าสีวัทน์ ได้วิเคราะห์สาเหตุของสงครามเจ้าอนุวงศ์ไว้ดังนี้=

1. เพราะนโยบายของ "บางกอก" ที่พยายามทำให้ "ลาว" กลายเป็น "สยาม"
ทำให้ลาวกลายเป็นแขวงหนึ่งของสยาม โดย ดร. มยุรี-ดร. เผยพันตี ความจากสักเลกในภาคอีสานในต้นรัชกาลที่ 3 ว่าเป็นความพยายามที่จะกลืนชาติลาว

2. ไทยกดขี่ลาวมาก!!!
โดยดอกเตอร์ทั้งสองได้ยกกรณีไทยใช้ให้คนลาวไปตัดต้นตาลที่สุพรรณบุรี แล้วขนไปสมุทรปราการ กับเกณฑ์ชาวลาวไปตัดไม้ไผ่ 5,000 ลำ เพื่อเอาไปปิดขวางปากน้ำเพื่อป้องกันการโจมตีของอังกฤษ

3. เจ้าอนุวงศ์ถูกขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายไทยหลายคนพูดจาทำกิริยาดูหมิ่นดูถูกเจ้าราชวงศ์!!!
โอรสองค์รองของเจ้าอนุวงศ์ และเป็นผู้ควบคุมคนลาวไปตัดต้นตาลที่สุพรรณบุรีขนไปปากน้ำไม่พอใจเรื่องที่ คนไทยดูหมิ่น และกดขี่คนลาวดังกล่าวมาก ถึงกับไปทูลเจ้าอนุวงศ์ว่า "ข้าพเจ้าไม่ขอเป็นขี้ข้าพวกไทยแล้ว"!!!

4. ประเด็นเศรษฐกิจ!!!
ไทยพยายามปิดล้อมในการส่งสินค้าออกไปทางเขมรซึ่งขุนนางไทยผูกขาดการค้าอยู่ การขูดรีดส่วยจากลาวก็เป็นสาเหตุของการทำสงครามครั้งนี้ด้วย
สงครามเจ้าอนุวงศ์โดยสังเขป!!!

สงครามในยุค 180 ปีก่อนของไทยต่างจากสงครามในสมัยปัจจุบันที่เราเห็นในข่าวโทรทัศน์เป็นอย่าง มาก กล่าวคือ ในยุคนั้นสงครามมีเป้าหมายหลักอยู่ที่การเก็บทรัพย์จับเชลยกลับมาไว้ที่ เมืองหลวงของตน ส่วนการยึดครองพื้นที่เป็นเป้าหมายรอง หากมีกำลังมากก็ยึดครองพื้นที่ของศัตรูด้วย หากมีกำลังไม่มากพอก็ตั้งเจ้าพื้นเมืองปกครองในฐานะประเทศราช ซึ่งวิธีหลังนี้ไทยใช้กับล้านนา ล้านช้าง เขมร และหัวเมืองมลายู

สำหรับเจ้าอนุวงศ์เป้าหมายใน การทำสงครามคือการปลดแอกจากการเป็นเมืองขึ้นของไทย สำหรับวิธีการปลดแอกที่เจ้าอนุวงศ์ทรงวางแผนเอาไว้คือ ระดมพลจากเมืองที่เวียงจันทน์บังคับบัญชามาไว้ที่เวียงจันทน์กับจำปาศักดิ์ เพื่อฝึกทหารให้พร้อมรบยิ่งขึ้น แล้วส่งขุนนางพร้อมทหารส่วนหนึ่งออกไปเกลี้ยกล่อมเมืองต่างๆ ในภาคอีสานให้เข้าร่วมกับฝ่ายเจ้าอนุวงศ์ ส่วนการเข้าตีกรุงเทพฯ ถ้าตีได้ก็ตี ถ้าดูท่าทีกรุงเทพฯ มีการป้องกันที่เข้มแข็งก็ไม่ตี แต่จะกวาดต้อนประชากรตามหัวเมืองรายทางที่กองทัพลาวผ่านกลับเอามาไว้ที่ เวียงจันทน์และจำปาศักดิ์

นอกจากนี้เจ้าอนุวงศ์ยังได้ ส่งทูตไปชักชวนเกลี้ยกล่อมให้ญวน หลวงพระบาง หัวเมืองล้านนามีน่าน แพร่ ลำปาง ลำพูน และเชียงใหม่ เข้ามาช่วยพระองค์ด้วย เพราะลำพังเวียงจันทน์-จำปาศักดิ์ กำลังน้อยกว่าฝ่ายไทยมาก ทูตที่ส่งไปญวนไปก่อนการระดมพลที่เวียงจันทน์ของเจ้าอนุวงศ์ แต่แคว้นและหัวเมืองอีก 6 แห่งที่กล่าวข้างบนส่งไปหลังจากมีการระดมพล หมายความว่าเจ้าอนุวงศ์ทรงตัดสินพระทัยทำสงครามก่อนที่จะรู้ผลว่าอาณาจักร ญวน แคว้นและหัวเมืองอีก 6 แห่ง จะเข้าร่วมสงครามกับพระองค์หรือไม่ อันนี้เป็นการตัดสินพระทัยที่รีบร้อนเกินไป เพราะปรากฏภายหลังจากสงครามดำเนินไปแล้วว่าอาณาจักรญวน กับแคว้นและหัวเมืองอีก 6 แห่ง มิได้เข้าช่วยในสงครามครั้งนี้ แต่ถึงตอนนั้นก็สายไปเสียแล้ว

สำหรับ เมืองในอีสานที่เจ้าอนุวงศ์ทรงส่งขุนนางและทหารไปเกลี้ยกล่อม ปรากฏว่าผลของการเกลี้ยกล่อมมีระดับที่แตกต่างกัน กล่าวคือ มี 2 เมืองที่เข้าร่วมอย่างเต็มที่คือ นครพนมกับจัตุรัส อีก 9 เมืองที่เข้าร่วมไม่เต็มที่เท่า 2 เมืองแรก คือ ขุขันธ์ สระบุรี หล่มสัก ชนบท ยโสธร สุรินทร์ ปักธงชัย ขอนแก่น สกลนคร และเมืองที่เจ้าเมืองไม่เข้าร่วมและถูกทหารฝ่ายเจ้าอนุวงศ์ฆ่าตายคือ เจ้าเมืองเขมราฐ กาฬสินธุ์ ภูเวียง ภูเขียว ชัยภูมิ หล่มสัก และขุขันธ์ สำหรับ ขุขันธ ตอนแรกให้ความร่วมมือดีมาก แต่ภายหลังเจ้านครจำปาศักดิ์ เจ้าราชบุตรโย่เกิดไม่ไว้ใจจึงฆ่าเสีย

สำหรับการสงครามกล่าวโดยย่อก็คือ กองทัพฝ่ายเจ้าอนุวงศ์ตอนแรก ช่วง 6 เดือนจากเดือนตุลา คม พ.ศ. 2369-มีนาคม พ.ศ. 2369 นับอย่างปัจจุบัน พ.ศ. 2370 มีกำลังประมาณ 17,660 – 35,000 คน ช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม พ.ศ. 2370 มีกำลังประมาณ 40,000 – 50,000 คน
กองทัพลาวยกเข้ามา 2 สายหลัก=
สายแรกยกจากเวียงจันทน์เข้ามาทาง 2 ทาง คือ หนองบัวลำภู กับสกลนคร!!!
จากหนองบัวลำภูตรงมายึดเมืองโคราช ส่วนทางสกลนคร ยกมาทางกาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด ตามลำดับ

สายที่สองยกมาจากจำปาศักดิ์เข้ามาทางอุบลราชธานี!!!
แล้วแยกเป็นสองทาง ทางหนึ่งยกไปทางสุวรรณภูมิ อีกทางยกไปทางศรีสะเกษ ขุขันธ สังขะ สุรินทร์ บุรีรัมย์ ประโคนชัย นางรอง การปะทะกันระหว่างกองกำลังของฝ่ายกู้ชาติเวียงจันทน์-จำปาศักดิ์ กับเมืองรายทางมีน้อยมาก ส่วนหนึ่งเพราะเห็นด้วยกับการกระทำของฝ่ายกู้ชาติ แต่เจ้าเมืองกรมการเมืองส่วนหนึ่งไม่เห็นด้วยเพราะเป็นกบฏ และเกรงจะต้องเผชิญกับการตีโต้ของฝ่ายไทย แต่เจ้าเมืองไม่มีกำลังจะต่อต้านกองกำลังของฝ่ายกู้ชาติจึงต้องทำเป็นเออออ เห็นด้วยกับฝ่ายกู้ชาติ

กองทัพฝ่ายเวียงจันทน์-จำปาศักดิ์ กวาดต้อนประชากรจากพื้นที่เขตโคราช-ลุ่มน้ำชีตอนต้น 11 เมือง พื้นที่ลุ่มน้ำชีตอนกลางถึงตอนปลาย 7 เมือง พื้นที่ตอนใต้ 9 เมือง พื้นที่ลุ่มน้ำป่าสัก 8 เมือง รวม 35 เมือง เมืองที่ใกล้กรุงเทพฯ ที่สุดคือเมืองสระบุรี เมืองศูนย์กลางการปกครองหลักของฝ่ายกรุงเทพฯ ในภาคอีสานและลาวคือเมืองโคราชก็ยึดอยู่ 37 วัน ก็ถูกกวาดต้อนประชากรราว 18,000 คน หากรวมประชากรทั้ง 35 เมืองที่ถูกกองทัพฝ่ายเวียงจันทน์-จำปาศักดิ์ กวาด ต้อนไปรวมประมาณ 54,320 - 95216 คน






__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

การกบฏของเวียงจันทน์-จำปาศักดิ์ครั้งนี้ "ประกาศการกู้ชาติ" ในต้นเดือนตุลาคม พ.ศ. 2369!!!
ระดมพลและฝึกทหารราว 3 เดือน ระหว่างกลางเดือนตุลาคม-กลางเดือนมกราคม พ.ศ. 2369 นับอย่างปัจจุบัน พ.ศ. 2370 แล้วจึงเคลื่อนกำลัง มายึดเมืองโคราชในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ วันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2369 รัฐบาลที่กรุงเทพฯ จึงทราบข่าวกบฏ หลังจากที่ฝ่ายกบฏได้ดำเนินการไปแล้วเกือบ 5 เดือน วันที่รัฐบาลทราบข่าวกบฏยกกำลังมาถึงเมืองสระบุรี ซึ่งห่างจากกรุงเทพฯ เพียง 110 กิโลเมตร และใช้เวลาเดินทัพเพียง 3-4 วัน แสดงให้เห็นว่าการข่าวของไทยล้าหลังมาก แต่โชคดีของฝ่ายไทยที่กองทัพฝ่ายกบฏมิได้บุกกรุงเทพฯ แต่ตัดสินใจยกทัพกลับพร้อมกับเก็บทรัพย์จับเชลยกลับเวียงจันทน์-จำปาศักดิ์

กบฏครั้งนี้ใหญ่หลวงมากในสายตาของรัฐบาลไทย!!!
เห็นได้จากการออกคำสั่งเกณฑ์กำลังจากหัวเมืองทั้งภาคกลาง ภาคเหนือ ขึ้นไปจนถึงหลวงพระบาง แม้กระทั่งภาคใต้เกณฑ์ไปถึงเมืองนครศรีธรรมราช แต่อย่างไรก็ตามกำลังหลักที่รัฐบาลไทยได้ใช้ในการรบจริงๆ เป็นกำลังจากภาคกลางและภาคเหนือตอนล่าง พิษณุโลก พิจิตร นครสวรรค์ กำแพงเพชร สุโขทัย พิชัย ตาก เชียงทองเดิน

กองทัพไทยเดินทัพเข้าสู่ภาคอีสาน 5 ทาง!!!
คือ เข้าอีสานใต้ทางประโคนชัย บุรีรัมย์ ตีค่ายมูลเค็งที่พิมาย สุวรรณภูมิ ยโสธร อุบล ราชธานี จำปาศักดิ์ จากจำปาศักดิ์ตีขึ้นไปตามแม่น้ำโขงผ่านเขมราฐ มุกดาหาร นครพนม สกลนคร ทัพนี้มีบทบาทเด่นที่สุด แม่ทัพคือ พระยาราชสุภาวดีหรือเจ้าพระยาบดินทร์เดชาในเวลาต่อมา ทัพที่ 2 ยกเข้ามาทางปากช่องโคราช มุ่งเข้าตีหนองบัวลำภู ทัพที่ 3 ผ่านสระบุรี ด่านขุนทด แล้วไปทางเดียวกับทัพที่ 2 ทัพที่ 4 ผ่านสระบุรี เข้าตีเพชรบูรณ์ หล่มสัก ทัพที่ 5 จากพิษณุโลก เข้าตีหล่มสัก แล้วแบ่งส่วนหนึ่งยกขึ้นไปทางด่านซ้าย เมืองเลย มีเป้าหมายที่เวียงจันทน์ อีกส่วนหนึ่งจากหล่มสัก เข้าตีเมืองหนองบัวลำภู

กองกำลังหลักของฝ่ายเวียงจันทน์-จำปาศักดิ์ มี 5 แห่ง!!!
ตั้งรับอยู่ที่ค่ายมูลเค็ง ยโสธร หล่มสัก หนอง บัวลำภู และเวียงจันทน์ การรบที่ดุเดือดที่สุดคือการรบ ที่หนองบัวลำภูซึ่งฝ่ายลาวต่อต้านอย่างเหนียวแน่นในการรบวันที่ 3-4 พฤษภาคม และ 10-12 พฤษภาคม พ.ศ. 2370 ในที่สุดฝ่ายไทยก็ตีแตกทุกแห่ง
เจ้าอนุวงศ์เมื่อทรงทราบว่าหนองบัวลำภูแตกก็เสด็จหนีไปเมืองญวน

กองทัพไทยยึดเมืองเวียงจันทน์ในวันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2370!!!
หลังจากรัฐบาลไทยทราบข่าวกบฏประมาณ 3 เดือน กับ 1 สัปดาห์ นับว่ากองทัพไทยมีประสิทธิภาพสูงทีเดียว แต่การกบฏมิได้ยุติเพียงนั้น เพราะภายหลังจากฝ่ายไทยเก็บทรัพย์ จับเชลยกลับมาแล้ว เจ้าอนุวงศ์ซึ่งเสด็จลี้ภัยการเมืองอยู่ในเมืองญวน 1 ปี 78 วัน ก็เสด็จกลับเข้าเมืองเวียงจันทน์อีก พร้อมกับคณะทูตญวนซึ่งเดินทางเข้ามาเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษให้เจ้าอนุวงศ์ ใน วันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2371
หลังจากมาถึงเวียง จันทน์ได้ไม่ถึง 2 วัน ทหารลาวก็ฆ่าฟันทหารไทย 300 คน ที่รักษาการณ์ในเวียงจันทน์ตายเกือบหมด
เจ้าพระยาราชสุภาวดีได้รวบรวมกำลังทหารแถวเมืองเสลภูมิ ยโสธรยกกลับมาตีโต้กองกำลังของฝ่ายลาวซึ่งนำโดยราชวงศ์ที่บ้านบกหวาน ใต้เมืองหนองคายลงมาเล็กน้อย สู้กันจนแม่ทัพทั้งสองบาดเจ็บ แต่ในสุดกองทัพลาวก็แตก!
ทัพไทยเข้ายึดเวียงจันทน์ได้เป็นครั้งที่สองในวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2371!!!
ส่วนเจ้าอนุวงศ์เสด็จหนีไปเมืองญวนเหมือนครั้งก่อน แต่ไปไม่รอดเจ้าน้อยเมืองพวนได้แจ้งที่ซ่อนของเจ้าอนุวงศ์ให้ฝ่ายไทยทราบ ฝ่ายไทยจึงจับเจ้าอนุวงศ์และเชื้อพระวงศ์ส่งกรุงเทพฯ พร้อมทำลายเมืองเวียงจันทน์เสียราบ เจ้าอนุวงศ์และเชื้อพระวงศ์ถูกขังประจานที่ท้องสนามหลวง 7-8 วัน ก็ป่วยเป็นโรคลงโลหิตพิราลัยเมื่อชันษาได้ 61 ปี ครองราชย์จาก พ.ศ. 2347-70 รวม 23 ปี เป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของเวียงจันทน์!!!

วิเคราะห์สาเหตุความพ่ายแพ้ของเจ้าอนุวงศ์!!!

หลักฐานที่ใช้วิเคราะห์หา สาเหตุความพ่ายแพ้ของเจ้าอนุวงศ์ มาจากหลักฐานชั้นต้น คือจดหมาย เหตุรัชกาลที่ 3 ซึ่งบันทึกในขณะเกิดเหตุโดยเฉพาะรายงานของแม่ทัพนายกองขุนนาง บันทึกคำให้ การของเชลยที่ไทยจับมาหลายคน ตลอดจนนิราศทัพเวียงจันทน์ ซึ่งหม่อมเจ้าทับทรงนิพนธ์ พระองค์ทรงเป็นทหารของกรมหมื่นเสนีย์บริรักษ์ซึ่งเป็นแม่ทัพหน้าในการรบที่ หนองบัวลำภู ทรงเห็นเหตุการณ์รบอันดุเดือดด้วย นิราศทัพเวียงจันทน์นี้ สำนักพิมพ์มติชนได้ตีพิมพ์เผยแพร่ใน พ.ศ. 2544 เป็นเอกสารชั้นต้นที่สำคัญมาก สำหรับการศึกษาสงครามเจ้าอนุวงศ์ สาเหตุของความพ่ายแพ้ของเจ้าอนุวงศ์ตรงตามตำราของซุนวู และเหมาเจ๋อตุงที่กล่าวไว้ว่า "รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง" แต่เจ้าอนุวงศ์ทรงรู้เฉพาะกำลังฝ่ายตน แต่ทรงไม่รู้กำลังฝ่ายศัตรูคือฝ่ายไทย ประเมินผิดในฝ่ายที่พระองค์ทรงคิดว่าเป็นพันธมิตรของพระ องค์ คือญวน, หลวงพระบาง, เชียงใหม่, ลำพูน, ลำปาง, แพร่, และ น่าน ดังจะวิเคราะห์เป็นข้อๆ ดังนี้=

1. เจ้าอนุวงศ์ทรงประเมินกำลังฝ่ายไทยผิด!!!
คิดว่าแม่ทัพนายกองรุ่นใหม่ๆ ที่เก่งๆ คงจะมีน้อยกว่าแม่ทัพนายกองรุ่นเก่าสมัยรัชกาลที่ 1 ซึ่งเป็นการประเมินที่ผิด สงครามเจ้าอนุวงศ์ทำให้เห็นแม่ทัพไทยที่เก่งกาจกล้าหาญหลายคน อาทิ กรมหมื่นนเรศโยธี แม่ทัพหน้าบริเวณลุ่มน้ำชีตอนต้น เจ้าพระยาราชสุภาวดี แม่ทัพไทยด้านอีสานกลาง อีสานตะวันออก และพระยาเพชรพิไชย แม่ทัพหน้าลุ่มน้ำป่าสัก


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

2. เจ้าอนุวงศ์ทรงประเมิน พันธมิตร ของพระองค์ผิดพลาดไปหมด!!!
ทรงคิดว่า "ลาวพุงดำ" อันประกอบไปด้วย เชียง ใหม่ ลำพูน ลำปาง แพร่ และน่านจะเข้าช่วยพระองค์ พระองค์ทรงส่งทูตไปชักชวนลาวพุงดำเหล่านี้ ซึ่งเป็นลาวด้วยกัน ไทยปกครองแบบประเทศราชตั้งแต่ พ.ศ. 2317 ก่อนไทยปกครองล้านช้าง 5 ปี บางเมือง เช่น น่านมีความสนิทสนมกับเจ้าราชบุตรเหง้าของเจ้าอนุวงศ์มากขนาดดื่มน้ำสาบาน เป็นเพื่อนแท้กันมาแล้ว

สำหรับหลวงพระบาง!!!
เจ้าอนุวงศ์ก็ส่งทูตไปเกลี้ยกล่อมมาเป็นพวก ถึงแม้จะเคยขัดแย้งกันมาก่อนหน้านั้นหลายครั้งกับเวียงจันทน์ แต่เจ้าอนุวงศ์ทรงมองหลวงพระบางในแง่บวกคิดว่า คราวนี้เป็นศึกระหว่างลาวกับไทย อย่างไรเสียหลวงพระบางกับเวียงจันทน์ก็เป็นลาวด้วยกัน อย่างไรเสียน่าจะช่วยลาวมากกว่าไปช่วยไทย เจ้าอนุวงศ์ทรงสนิทสนมกับปลัดจันทา ปลัดน้อยยศ 2 คนนี้เป็นปลัดกองเมืองสระบุรี เป็นลาวพุงดำ ปลัด 2 คนนี้ไปเกลี้ยกล่อมหัวเมืองล้านนาทั้งหมดามาช่วยเวียงจันทน์หลายครั้ง ส่วนเมืองน่านก็มีหนังสือไปบอกให้เมืองแพร่ ลำปาง เชียงใหม่ยกทัพมาช่วยเวียงจันทน์ตีกรุงเทพฯ โดยในหนังสือนั้นบอกว่าให้ยกทัพมาช่วยรัชกาลที่ 3 ซึ่งถูกกรมพระราชวังบวรฯ แย่งชิงอำนาจ

แต่ล้านนาก็มิได้ตกหลุมพรางง่ายๆ!!! เพราะการเป็นกบฏต่อไทยเป็นเรื่องใหญ่มาก ไทยมีประเทศราชมาก ไทยจะเกณฑ์หัวเมืองประเทศราชที่เหลือมาปราบกบฏเหมือนที่กำลังทำต่อ เวียงจันทน์ ประเทศราชใดไม่มาช่วยตามคำสั่งของรัฐบาลไทยก็ถือเป็นกบฏไปด้วย ดังนั้นทางที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับประเทศราชก็คือ อยู่ฝ่ายไทย แต่ก็อยู่ฝ่ายไทยอย่างฉลาดคือยกทัพไปเวียงจันทน์แต่ไปอย่างช้าที่สุด
เมื่อไปถึงไทยก็ยึดเวียงจันทน์เรียบร้อยแล้ว ส่วนหลวงพระบางก็เข้ากับฝ่ายไทยเหมือนล้านนา กล่าวโดยสรุปพันธมิตรที่เจ้าอนุวงศ์ทรงคาดหวังว่าจะอยู่ฝ่ายพระองค์เมื่อตอน เริ่มต้นของสงคราม แต่ต่อเมื่อเคลื่อนทัพไปไกลแล้วก็ทรงพบว่าหลวงพระบางและ 5 หัวเมืองล้านนาไม่มีทีท่าชัดเจนว่าจะอยู่ฝ่ายพระองค์ พระองค์จึงทรงขอร้องให้หัวเมืองล้านนาทั้งห้าวางตัวเป็นกลาง พระองค์ก็ทรงพอพระทัยแล้ว แต่พระองค์ก็ต้องทรงผิดหวัง เพราะหัวเมืองทั้ง 6 แห่งที่กล่าวข้างต้นเข้ากับฝ่ายไทยทั้งหมด

สำหรับญวน!
เป็นอาณาจักรที่เจ้าอนุวงศ์ทรงคาดหวังมากว่าจะเป็นพันธมิตรของพระองค์ ทรงส่งทูตไปเจรจาหลายครั้ง ขอร้องให้ญวนโจมตีไทยทางปากน้ำเจ้าพระยา ยังมิทันได้คำตอบจากญวน พระองค์ก็ทรงตัดสินพระทัยทำสงครามไปแล้ว องค์ต๋ากุนแม่ทัพใหญ่ของญวนในญวนใต้เห็นด้วยที่จะทำสงครามกับไทย แต่จักรพรรดิมินหม่างทรงรู้ว่าราชวงศ์จักรีมีพระคุณต่อจักรพรรดิยาลองในการ ทำสงครามกอบกู้ราชวงศ์ เหวียนขึ้นมาได้ การมาช่วยลาวโจมตีไทยก็เหมือนคนอกตัญ ญู ประกอบกับขณะนั้นเกิดอหิวาต์ระบาดในเมืองญวนคนตายเป็นจำนวนมาก จากเหตุผลดังกล่าวญวนจึงวางเฉยต่อการชักชวนของเจ้าอนุวงศ์ดังกล่าว

ตอนที่เจ้าอนุวงศ์ทรงบอกให้หัวเมืองล้านนาทั้งห้าวางตัวเป็นกลางนั้น พระองค์ยังทรงหวังว่าจะได้กำลังจากญวนมาช่วยเพราะพบหลักฐานในเอกสารชั้นต้น เป็นหนังสือที่แจ้งให้หัวเมืองล้านนาตอนหนึ่งว่า เรากับเมืองญวนเท่านั้นก็สำเร็จโดยง่าย นี่คือการประเมินที่ผิดพลาดอย่างสำคัญของเจ้าอนุวงศ์

สำหรับอังกฤษ!
เจ้าอนุวงศ์ทรงประเมินท่าทีผิดพลาดก่อนประเมินรัฐและหัวเมืองอื่น เป็นความผิดพลาดที่สำคัญกว่าความผิดพลาดอื่นด้วย เพราะปัจจัย ที่ทำให้เจ้าอนุวงศ์ทรงตัดสินพระทัยว่าถึงเวลาแล้ว ที่เวียงจันทน์จะต้องประกาศเอกราชจากไทยก็คืออังกฤษนั่นเอง กล่าวคือ ในช่วงที่พระองค์ประทับอยู่ในกรุงเทพฯ เป็นเวลาที่ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับอังกฤษไม่ดีนัก อังกฤษส่งทูตคือกัปตันเฮนรี่ เบอร์นี่ มาเจรจาเพื่อทำสัญญาทางไมตรีและการค้ากับไทย ตั้งแต่วันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2368 เจรจาอยู่ 3 เดือนก็ยังไม่ยุติ
เจ้าอนุวงศ์ก็เสด็จกลับเวียงจันทน์ และต่อมาก็มีข่าวลือไปถึงเจ้าอนุวงศ์ที่เวียงจันทน์ว่าไทยมีเรื่องกับอังกฤษ ดังปรากฏในจดหมายเหตุ ร.3 จ.ศ. 1187 เลขที่ 5/ข ว่า "เรา เจ้าอนุวงศ์" ได้ยินข่าวทัพเรืออังกฤษก็มารบกวนปากน้ำ...น่าที่เราจะยกกองทัพใหญ่ไปตี กรุงเทพฯ ก็เห็นได้โดยง่ายเพราะเราจะเป็นทัพกระหนาบ ทัพอังกฤษเป็นทัพหน้าอยู่ปากน้ำ ไทยก็จะพว้าพวังทั้งข้างหน้าข้างหลัง คงจะเสียทีเราเป็นมั่นคงไม่สงสัย"
ข้อมูลเรื่องอังกฤษจะรบกับไทยนี้จึงเป็นข้อมูลที่สำคัญยิ่ง ต่อชะตาของเวียงจันทน์ เป็นเรื่องที่โชคร้ายมากที่เจ้าอนุวงศ์ทรงเชื่อข้อมูลนี้ จึงทรงตัดสินพระทัย "กู้ชาติ" ทั้งๆ ที่กำลังทหารของพระองค์ยังไม่มากพอจะต่อกรกับไทยตามลำพัง ในแผนการสงครามกู้ชาติของพระองค์จึงมีอังกฤษเป็นพันธมิตร ที่ไม่ได้เซ็นสัญญา ที่รบกับไทยทางด้านปากน้ำเจ้าพระยา ส่วนฝ่ายเวียงจันทน์ตีไทยทางด้านเหนือและอาจจะมีญวนช่วยตีทางด้านปากน้ำอีก ทัพ หากเป็นไปตามแผนที่จินตนาการไว้นี้ไทยจะต้องแย่แน่ๆ ฝ่ายเวียงจันทน์เองก็รบง่ายขึ้น ไม่ต้องใช้กำลังมากมายก็อาจเอาชนะไทยได้ ในจินตนา การของพระองค์ยังทรงดึงล้านนาและหลวงพระบางให้ช่วยตีไทยทางเหนืออีกด้วย

แต่ จินตนาการสงครามของพระองค์ต้องล้มเหลวเพราะเมื่อเวลาทำสงครามจริงพันธมิตรใน จินตนาการของพระองค์กลับไม่ได้เกิดขึ้นจริง อังกฤษก็เซ็นสัญญาเบอร์นี่กับไทย ตั้งแต่วันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2369. 4 เดือนหลังจากพระองค์เสด็จออกจากกรุงเทพ ญวนก็ไม่ได้ยกทัพมา หลวงพระบางและล้านนาไทยทั้งห้าก็ไม่ได้มาช่วยพระองค์ จึงมีแต่กำลังของเวียง จันทน์-จำปาศักดิ์เท่านั้นก็ต้องรบกับไทยตามลำพัง


เรื่องอังกฤษรบกับไทย!
แม้ในเวลาต่อมาเจ้าอนุวงศ์คงจะทรงทราบว่าไม่จริง แต่นักประวัติศาสตร์ไม่ทราบว่าพระองค์ทรงทราบความจริงตอนไหน อาจจะเป็นตอนที่มาถึงโคราชแล้วก็ได้ ตอนที่กองทัพเวียง จันทน์มาถึงโคราชที่แรก แจ้งกับกรมการเมืองโคราชว่า ยกทัพมาช่วยกรุงเทพฯ รบกับอังกฤษและขอเบิกข้าวจากฉางหลวงเมืองโคราช โดยอ้างว่าจะเอาไปเป็นเสบียง กรมการเมืองโคราชก็ไม่เคยทราบเรื่องไทยรบกับอังกฤษ


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ปกติเรื่องสำคัญขนาดนี้สมุห์นายกจะต้องรีบแจ้งเจ้าเมืองโคราชให้ทราบอยู่ แล้ว เพื่อเกณฑ์กองทัพเสบียง แต่นี่ไม่มีหนังสือแจ้งจึงดูจะไม่ค่อย เชื่อคำกล่าวอ้างของฝ่ายเจ้าอนุวงศ์ แต่ด้วยกองทัพที่ยกมามากมาย กรมการเมืองจึงต้องยอมเปิดฉางข้าวให้กองทัพฝ่ายเจ้าอนุวงศ์ กองทัพของเจ้าอนุวงศ์ตั้งมั่นอยู่ที่โคราชถึง 37 วันจึงถอนกลับเวียงจันทน์ ที่ตั้งอยู่นานคงรอตรวจสอบข้อมูลเรื่องกองทัพญวนและอังกฤษ เรื่องกองทัพเรืออังกฤษไม่เพียงแต่ทำให้เจ้าอนุวงศ์ทรงตัดสินพระทัยประกาศ เอกราช แต่ทำให้ฝ่ายไทยเองก็สับสนพลอยระแวงว่าอังกฤษจะทำมิดีมิร้ายกับไทยหรือไม่

กล่าวคือ ในระหว่างที่ไทยเคลื่อนทัพจากภาคกลางสู่ภาคอีสานแล้ว เจ้าเมืองนครศรี ธรรมราชมีใบบอกถึงกรุงเทพฯ ว่า กองเรืออังกฤษ 5 ลำมาจอดที่ปีนัง ไม่ทราบว่าจะมุ่งไปทางใด เขาจึงไม่อาจนำทัพมาช่วยกรุงเทพฯ ด้วยตนเอง แต่ให้พระยาพัทลุงบุตรชายคนโตนำทัพ 5,000 คน มาช่วยกรุงเทพฯ รบกับเวียงจันทน์

ข่าวร้ายนี้ทำให้รัชกาลที่ 3 ทรงเรียกกองทัพที่ส่งมารบในอีสานกลับ 3 กองทัพ คือ กองทัพเจ้าพระยาพระคลัง กองทัพกรมหมื่นพิพิธภูเบนทร กองทัพกรมหมื่นสุรินทรรักษ์ แต่ม้าเร็วมาแจ้งทันเพียง 2 กองทัพที่อยู่หลังสุด 2 กองทัพนี้จึงกลับมารักษากรุงเทพฯ

ที่ยกเรื่องอังกฤษมายืดยาวก็ เพื่อจะบอกว่าการที่เจ้าอนุวงศ์ทรงเชื่อว่าอังกฤษคงจะมีเรื่องกับไทยแน่ เป็นข่าวที่มีมูล ไม่ใช่เป็นจินตนาการที่ไร้เหตุผล แต่โชคร้ายสำหรับเจ้าอนุวงศ์ตรงข่าวนี้ไม่จริง หากไทยรบกับอังกฤษจริง เวียงจันทน์ก็คงกู้ชาติสำเร็จไปแล้วในสงครามครั้งนั้น

3. การกวาดต้อนประชากรอีสานเป็นจำนวนมาก!
หากดูผิวเผินจะเป็นผลดีต่อฝ่ายเจ้าอนุวงศ์ในเรื่องของการเพิ่มพลเมืองเพิ่ม กำลังทหาร แต่ถ้าพิจารณาให้ลึกแล้วเป็นการสร้างปัญหาแก่ฝ่ายเจ้าอนุวงศ์ไม่น้อย กล่าวคือต้องแบ่งกำลังทหารส่วนหนึ่งมาควบคุมผู้อพยพไม่ให้ก่อความวุ่นวาย หรือโจมตีฝ่ายลาวแบบที่เกิดที่ทุ่งสำริดซึ่งทำให้จำนวนทหารจะใช้รบจริงลดลง ความทุกข์ยากของผู้อพยพจากการเดินทาง การขาดแคลนอาหาร การเจ็บป่วย และการต้องสูญเสียทรัพย์สมบัติเนื่องจากไม่อาจขนย้ายไปได้ ทำให้ผู้อพยพไม่พอใจจนเกิดการต่อต้านจากผู้อพยพหลายที่ เช่น ชาวบ้านด่านลำจาก อุบลราชธานี ศรีสะเกษ เป็นต้น ซึ่งการต่อต้านของ 2 กรณีหลังทำให้เจ้านครจำปาศักดิ์พ่ายแพ้อย่างรวดเร็ว ในตอนท้ายของสงคราม

4. เจ้าเมืองอีสานหลายเมืองไม่ยอมให้ความร่วมมือกับฝ่ายเจ้าอนุวงศ์!
บางเมืองก็ต่อต้านจนถูกประหาร เจ้าเมืองที่ถูกฝ่ายเจ้าอนุวงศ์ประหารมีเจ้าเมืองกาฬสินธุ์ เขมราฐ ชัยภูมิ ภูเวียง ภูเขียว หล่มสัก และขุขันธ์ เมืองหลังนี้เคยให้ความร่วมมือดีมาก แต่ตอนหลังเกิดระแวงจึงถูกประหาร การประหารชีวิตเจ้าเมืองเป็นเรื่องใหญ่มากเพราะเจ้าเมืองทุกแห่งมีญาติ พี่น้องบ่าวไพร่มาก และญาติพี่น้องส่วนมากก็เป็นผู้บริหารเมืองนั้นๆ ด้วย จึงเท่ากับเจ้าอนุวงศ์ทรงสร้างศัตรูขึ้นมากมาย

5. อาวุธของฝ่ายเจ้าอนุวงศ์ที่มีประสิทธิภาพ เช่น ปืนคาบศิลามีน้อย!
ตัวอย่างเช่นการรบที่ค่ายหนองบัวลำภู ค่ายนี้เป็นปราการป้องกันเวียงจันทน์ที่สำคัญมาก เป็นค่ายที่มีความกว้าง 640 เมตร และยาวถึง 1,200 เมตร รวมความยาวของกำแพงค่าย 3,680 เมตร แต่มีทหารรักษาค่ายเพียง 2,300 คน และมีปืนคาบศิลาเพียง 190 กระบอก และไม่มีปืนใหญ่เลย ทหารจำนวนหนึ่งไม่มีหอก ดาบ ปืน แต่ใช้กระบองและไม้ไผ่เสี้ยมปลายแหลมเป็นอาวุธ ที่ทหารเหล่านี้ไม่ได้รับแจกอาวุธดีๆ เพราะไม่มีอาวุธจะแจก หรือเพราะทหารเหล่านี้เป็นทหารเกณฑ์จากเมืองอื่นๆ ที่ไม่ค่อยแน่ใจในความจงภักดีนักก็ได้ ทหารเวียงจันทน์และจัตุรัสเท่านั้นที่มีหอก ดาบ หรือปืนได้ หรือเป็นทั้งไม่ค่อยมีอาวุธจะแจกและไม่ค่อยไว้วางใจก็เลยไม่ได้รับอาวุธดีๆ

6. ความประมาทของฝ่ายเวียงจันทน์!
ในกรณีอพยพชาวโคราชทำให้เกิดการลุกฮือของชาวโคราชที่ทุ่งสำริด โจมตีทหารที่คุมมาตายเกือบหมด และทหารที่ส่งมาปราบก็ถูกโจมตีแตกกลับไปถึง 2 ครั้ง มีทหารฝ่ายเวียงจันทน์ตายในการสู้รบประมาณ 1,200-3,000 คน เป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ของฝ่ายเวียง จันทน์ น่าจะส่งผลให้ความมั่นใจในตัวเองและขวัญของฝ่ายนี้ลดลง เพราะชาวโคราชกลุ่มนี้เกือบทั้งหมดเป็นชาวบ้านไม่ใช่ทหารก็ยังรบแพ้ ถ้ารบกับกองทหาร ไทยที่อาวุธเพียบพร้อมจะขนาดไหน การรบครั้งนั้นเป็นผลให้คุณหญิงโม ผู้นำการรบคนหนึ่งได้รับการยกย่องเป็นท้าวสุรนารี วีรสตรีของไทย อย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้ว นอกจากนี้น่าจะมีผลให้จำนวนสัดส่วนของทหารที่ควบคุมผู้อพยพสูงขึ้นในเวลาต่อ มา เพราะ จำนวนทหารที่ควบคุมขบวนผู้อพยพ 18,000 คน มีเพียง 200 คน หรืออัตราส่วนทหาร 1 คน ต่อผู้อพยพ 90 คน ซึ่งน้อยเกินไปจนเกิดความพ่ายแพ้ที่ทุ่งสำริด ซึ่งฝ่ายเวียงจันทน์ต้องจำไปนานแสนนาน

กล่าวโดยสรุปความปราชัยของเจ้าอนุวงศ์!!!
เกิดจากการประเมินกำลัง พันธมิตรผิดพลาดเป็นอย่างมาก เพราะลำพังกำลังทหารฝ่ายเวียงจันทน์-จำปาศักดิ์ ก็มิอาจสู้กำลังทหารฝ่ายไทยอยู่แล้ว เจ้าอนุวงศ์ทรงฝากความหวังไว้กับอังกฤษ ซึ่งมิได้เป็นพันธมิตรโดยตรงของพระองค์ แต่เป็นพันธมิตรทางอ้อม หากอังกฤษโจมตีปากน้ำเจ้าพระยา ไทยจะต้องแบ่งกำลังส่วนใหญ่เอาไว้ต้านอังกฤษ นอกจากนี้เจ้าอนุวงศ์ยังทรงฝากความหวังไว้กับญวนว่าจะเข้าโจมตีทางปากน้ำ เช่นกัน แต่ทั้งอังกฤษและญวนมิได้โจมตีไทยดังที่คาดไว้ ทำ ให้ไทยทุ่มกำลังส่วนใหญ่มาทางอีสาน เจ้าอนุวงศ์ยังทรงฝากความหวังไว้กับหลวงพระบางและหัวเมืองล้านนาทั้งห้า หวังว่าจะช่วยพระองค์ตีไทยทางด้านเหนือ แต่ความเป็นจริงตรงกันข้าม หัวเมืองทั้งหกยกทัพมุ่งไปที่เวียงจันทน์ การถูกเจ้าเมืองอีสานหลายเมืองต่อต้าน จนต้องประหารชีวิตเจ้าเมืองถึง 6 เมือง ล้วนแต่มีผลในทางลบอย่างยิ่งต่อเจ้าอนุวงศ์

ส่วนปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้พระองค์ทรงปราชัย ก็คือ
ปริมาณอาวุธที่ทันสมัย เช่น ปืนคาบศิลาซึ่งเป็นอาวุธยาว ทหารฝ่ายไทยมีมากกว่า แม้อาวุธพื้นฐานคือหอก ดาบ ทหารส่วนหนึ่งของฝ่ายเวียงจันทน์ก็ไม่มี มีแต่กระบองและไม้ไผ่เสี้ยมปลายแหลม การกวาดต้อนประชากรอีสานกลับไปเวียงจันทน์-จำปาศักดิ์เป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดความทุกข์ยากต่อคนเหล่านี้จนหลายเมืองเกิดการต่อต้าน โดยเฉพาะการต่อต้านของชาวเมืองโคราช แล้วทหารฝ่ายเวียงจันทน์ปราบไม่ได้ทำให้ขวัญกำลังฝ่ายเวียงจันทน์ตกต่ำ และต้องนำทหารที่ต้องใช้รบมาคุมเชลยที่เหลือมากขึ้น ทำให้ทหารที่ใช้รบของฝ่ายเวียงจันทน์ลดลง

ปัจจัยเหล่านี้มีส่วนทำให้เจ้าอนุวงศ์ทรงปราชัยในสงครามกู้ชาติครั้งนั้น!!!




__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

http://www.facebook.com/profile.php?id=100001263301389&ref=tn_tnmn#!/profile.php?id=100002637944890

ເຫັນໂສມຫ້ນາຂອງຕະກຸນຣາຊວົງ ຄມນ ລາວແດງ ທີ່ເພດເອ້ກັນຈົນກາຍເປັນຕູເພັດຍ້າຍທີ່ໄດ້ແລ້ວ ຫັນມາຊົມຄວາມສວຍງາມຂອງຣາຊວົງຂ້າງບ້ານເບີ່ງວ່າ ເຕັມ ຖົນນ ເມືອງ ກທມ ມີ ປາ baleines ແລະ ເສືອໂຄ່ງໄຫ່ຍ ທັງ10ຊາວໂຕແລ່ນເຕັມບ້ານເຕັມເມືອງເລີຍ ເອົາລົງໄປສຸ ປິ 1994 ຫັວຫ້ນາໂຈນຫ້ນາດຳຈັບມືກັບໂຈນຫ້ນາແຫລ້ກັນເຫັນມາຈົນໄດ້ ພີ່ນ້ອງລາວ ໃນຣາຊອານາຈັກໄທຍ ກ່ວາ40ລ້ານ ທັງ7 ລ້ານ ໃນ ຣາຊອານາຈັກ ຄມນລາວແດງ ພ້ອມທັງລາວນອກ1ລ້ານຄົນຢາກເຫັນພວກເພີ່ນອວດອ້າງເພັດຊາອຸກັນເດ ????? ອົດໄຈໄວ້ ບໍ່ຕາຍຄົງຈະໄດ້ເຫັນແທ້!!!

clanຂອງສະເດັດ ປທ ປະເທດ ແລະ ສະເດັດນາຍົກ ປໍສາມປໍສີ່ ວັນເວລາຜ່ານໄປ ເກືອບ40ປິ ເມື່ອໂຄດວົງເຂົາເຂົ້າມາສູ່ສັງຄົມຜູ້ດິ ວຽງຈັນ ໄສ່ເກິບປາອີ່ຮື ສົ້ງຂາດຫ້ນາເສືອຂາດຫລັງ ວັນເວລາຜ່ານໄປ ລູກຫລານສະເດັດຍັງກ້າລົດລະຄວາມຣັ່ງມີລ້ຳລວຍອວດຫລອກໂລກຈົນໄດ້ ໄສ່ເກີບອີ່ແຕ້ະໃຫ້ລາວນອກ ຫັວຂັວນຈົນຂີ້ແຕກຂິ້ແຕນ ວ່າຕະກຸນພວກເຂົາມັນທຸກຍາກສ່ຳໄດ

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 



รายละเอียดของการจัดการพื้นที่ชายแดนตามรายงานมีดังต่อไปนี้!!!
เวียดนาม-ลาว:
แนว ชายแดนระหว่างเวียดนามและลาว ยาวประมาณ 2,340 กิโลเมตร ยืดยาวตลอด 10 จังหวัดของเวียดนามคือ จังหวัดเดี่ยนเบียน จังหวัดเซินลา จังหวัดทาญฮว้า จังหวัดเหงะอาน จังหวัดห่าติ๋ญ จังหวัดกว๋างบิ่ญ จังหวัดกว๋างตริ จังหวัดเถื่อเทียน-เว้ จังหวัดกว๋างนาม และจังหวัด กอนตุม ติดต่อกับ 10 แขวงฝ่ายลาวคือ แขวงพงสาลี แขวงหลวงพระบาง แขวงหัวพัน แขวงเชียงขวาง แขวงบอลิคำไซ แขวงคำม่วน แขวงสะหวันนะเขต แขวงสาละวัน แขวงเซกอง และแขวงอัตตะปือ

แนวชายแดนระหว่างเวียดนามและลาวส่วนใหญ่ผ่านยอดเขา หรือเนินเขาและผ่านป่าทึบโซนร้อน ความสูงจากระดับน้ำทะเลต่ำสุดประมาณ 300 เมตร สูงสุดประมาณ 2,700 เมตร บริเวณช่องทางต่างๆ มีระดับสูงเฉลี่ยประมาณ 500 เมตร บางแห่งสูงเกิน 1,000 เมตร ระหว่างสองประเทศเป็นเทือกเขาสูงเป็นรูปร่างแนวชายแดนธรรมชาติคือ ทิศเหนือตั้งแต่อาปา จ๋าย สามแยกชายแดนจีน-ลาว-เวียดนาม อยู่ในตำบลสิ๊นเถิ่ว อำเภอเหมื่องแญ้ จังหวัด เดี่ยนเบียน ลงไปเป็นเทือกเขาภูสามเสา ทิศใต้ตั้งแต่จังหวัดทาญฮว้า เข้ามาเป็นเทือกเขาเตรื่องเซิน

ช่องเขาบางแห่งได้กลายเป็นช่องทาง เชื่อมต่อสองประเทศ ส่วนตามช่วงชายแดนต่างๆ เกือบทั้งหมดเป็นภูเขา เต็มไปด้วยสิ่งกีดขวางอันตราย การสัญจรยากลำบาก

พลเมืองทั้งสองฝั่ง ชายแดน ส่วนมากเป็นชนเผ่า ชนกลุ่มน้อย อยู่กันเบาบาง ตามหมู่บ้านต่างๆ ห่างไกลกันมาก และห่างไกลแนวชายแดน ความเป็นอยู่ทางวัตถุ และจิตใจของเพื่อนร่วมชาติชนเผ่าต่างๆ ส่วนมากของสองประเทศยังขาดแคลนและล้าหลังมาก การคมนาคมไปมาระหว่างสองประเทศและในบริเวณชายแดนของแต่ละประเทศยากลำบากที่ สุด ดูเหมือนยัง ไม่มีถนนสำหรับยานยนต์ ยกเว้นช่องทาง 2-3 แห่ง ตามชุมชน ถนนบางสายมีมาตั้งแต่สมัยสงคราม หรือมีทางเปิดใหม่ตามเส้นทางชักลากไม้ในป่าแต่ทรุดโทรมมาก

บริเวณ ใกล้ชายแดนมีศักยภาพในการพัฒนาเศรษฐกิจของสองประเทศ นาน มาแล้วประชาชนสองประเทศที่บริเวณชายแดนมีความสัมพันธ์ทางชนเผ่าเกี่ยวดอง เป็นเครือญาติ และช่วยเหลือกันในการดำเนินชีวิต

ประวัติการเป็นรูปร่างแนวชายแดนเวียดนาม-ลาว

1. สมัยอาณานิคมฝรั่งเศส ได้มีการกำหนดชายแดนระหว่างเวียดนาม-ลาว โดยคำบัญชาของผู้สำเร็จราชการอินโดจีนคำบัญชาปี 2436, คำบัญชาปี 2438, คำบัญชาปี 2439, คำบัญชาปี 2443, คำบัญชาปี 2447 และคำบัญชาปี 2459

ขณะ เดียวกันกับการปรับปรุงที่ดินตามคำบัญชาต่างๆ ของผู้สำเร็จราชการอินโดจีน อาณานิคมฝรั่งเศสได้ดำเนินการปรับปรุงแนวชายแดน และปรากฏบนแผนที่ Bonne มาตราส่วน 1/100,000 ของสำนักงานภูมิประเทศอินโดจีนพิมพ์เมื่อปี 2488

2. หลังจากปี 2518 สองประเทศพยายามเจรจาเกี่ยวกับชายแดนอาณาเขตในเดือนกุมภาพันธ์ 2519 เป็นเอกฉันท์ใน หลักการใช้แผนที่ Bonne มาตราส่วน 1/100,000 ของสำนักงานภูมิประเทศอินโดจีน ปี 2488 เพื่อแก้ไขปัญหาชายแดนระหว่างสองประเทศ สถานที่ใดไม่มีในแผนที่ของสำนักงานภูมิประเทศอินโดจีนปี 2488 ก็ให้ใช้แผนที่ที่พิมพ์หลังหรือก่อนนั้น 2-3 ปี

วันที่ 18 กรกฎาคม 2520 ตัวแทนสองรัฐเวียดนามและลาว ได้ลงนามสนธิสัญญาปักปันชายแดนแห่งชาติระหว่างประเทศสาธารณรัฐสังคมนิยม เวียดนามและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวที่กรุงเวียงจันทน์ การเจรจาเสร็จสิ้นและลงนามสนธิสัญญาปักปันชายแดนแห่ง ชาติ เป็นชัยชนะยิ่งใหญ่ของสองพรรคสองรัฐบาลและประชาชนสองประเทศ ประทับรอยก้าวสำคัญในกระบวนการสร้าง ชายแดนเวียดนาม-ลาว ให้เป็นชายแดนสันติภาพ มิตรภาพ เสถียรภาพ และความร่วมมือพัฒนายั่งยืน

ปี 2521 สองฝ่ายเริ่มดำเนินงานปักหลักเขตตลอดแนวชายแดนเวียดนาม-ลาว และเสร็จสิ้นภารกิจนี้เมื่อปี 2530 บนตลอดแนวชายแดนเวียดนาม-ลาว ได้มี การก่อสร้างระบบหลักเขตแดนแห่งชาติจำนวน 199 หลัก!

ขณะเดียวกันในช่วง นี้ สองประเทศ ได้แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับชายแดนระหว่างสองประเทศ เช่น การโอนที่ดิน การส่งมอบประชาชนและทรัพย์สินระหว่าง สองฝ่าย สอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศ แบบธรรมเนียมระหว่างประเทศ และสะท้อนความเป็นจริงของแนวชายแดน ประวัติศาสตร์ระหว่างสองประเทศ

สอง ฝ่ายได้รับรองผลต่างๆ ข้างต้น ในข้อตกลงเพิ่มเติมสนธิสัญญาปักปันชายแดนแห่งชาติระหว่างประเทศสาธารณรัฐ สังคมนิยมเวียดนามและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว 24 มกราคม 2529 พิธีสารว่าด้วยการปักหลัก เขตตลอดแนวชายแดนแห่งชาติระหว่างประเทศสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามและ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว 24 มกราคม 2529 ข้อตกลงเพิ่มเติมสนธิ สัญญาว่าด้วยการปักหลักเขตตลอดแนวชายแดนแห่งชาติเวียดนามและลาว 16 ตุลาคม 2530

หลังจากแล้วเสร็จขั้นต้นในภารกิจปักหลักเขตบนพื้นที่จริงเมื่อ ปี 2530 สองฝ่ายได้ลงนามเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ชายแดนวันที่ 1 มีนาคม 2533 และพิธีสารเพิ่มเติม ข้อตกลงเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ชายแดนวันที่ 31 สิงหาคม 2540 มุ่งหมายสร้างพื้นฐานทางนิตินัยอย่างครบถ้วนให้แก่ภารกิจป้องกันและบริหาร ชายแดนระหว่างสองประเทศ

3. ได้มีการก่อสร้างหลักเขตแดนแห่งชาติในช่วงเวลาที่สองประเทศยังประสบความ ลำบากหลายอย่าง อาทิ เศรษฐกิจยังไม่พัฒนา เทคนิคยังจำกัดจึง ยังตอบสนองความต้องการของระบบหลักเขตให้มีเสถียรภาพยั่งยืนตามแบบแผนไม่ได้

ความ หนาแน่นหลักเขตจึงเบาบาง เฉลี่ยกว่า 10 กิโลเมตรต่อ 1 หลักเขตมีบางแห่งกว่า 40 กิโลเมตรต่อ 1 หลักเขต เพราะฉะนั้นแนวชายแดนบนพื้นที่จริงในบางแห่งจึงไม่ชัดเจน กองกำลังบริหารและประชาชนสองข้างชายแดนไม่รู้แนวชายแดนชัดเจน!

หลัก เขตทั้งหลายได้รับการออกแบบและก่อสร้างยังไม่สอดคล้องกับเงื่อนไขภูมิประเทศ ธรณีวิทยา สภาพอากาศตามบริเวณชายแดน รวมทั้งขนาดหลักเขตเล็กเกินไป คุณภาพไม่ดี หลักเขตเกือบทั้งหมดจึงทรุดโทรมและเสียหาย จนถึงปัจจุบันจึงต้องสร้างฐานรากหลักเขต เกือบทั้งหมดให้แข็งแรง ในห้วงหลายปีผ่านมา สองฝ่ายได้เปิดและยกระดับหลาย ช่องทาง พร้อมกับมีการก่อสร้างโครงการใหม่ๆ ที่กว้างใหญ่ทันสมัย ชุมชนหลายแห่งใกล้ชายแดนพัฒนาแข็งแรง ดังนั้นระบบหลักเขตเก่าจึงไม่เหมาะสมบนพื้นที่จริง โดยเฉพาะตามบรรดาช่องทาง สถานที่ ชุมชนที่มีประชาชนผ่านไปมา ก่ออุปสรรคให้แก่การบริหารชายแดน

เริ่ม จากความจริงข้างต้น ความมุ่งมั่นในการบริหารชายแดนอย่างมั่นคงยั่งยืน มีส่วนส่งเสริมความสัมพันธ์พิเศษเวียดนาม-ลาว ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2551 เวียดนามและลาวดำเนินแผนปฏิบัติภารกิจอย่างเป็นทางการ เสริมความหนาและบูรณะ ระบบหลักเขตแห่งชาติระหว่างสองประเทศ ตามทิศทางทันสมัย ยั่งยืน และเอกภาพบนตลอดแนวชายแดน มีหลักเขตที่เสริมความหนาและบูรณะแล้วรวมจำนวน 792 หลัก ประกอบด้วยหลักเขตขนาดใหญ่ 16 หลัก หลักเขตขนาดกลาง 190 หลักและหลักเขตขนาดเล็ก 586 หลัก ระยะเวลาดำเนินการตามแผนเริ่มตั้งแต่ปี 2551 ในนั้น อันดับแรก ให้ปักหลักเขตในบริเวณ ที่มีช่องทางและบริเวณที่มีถนนคมนาคมสัญจรสะดวก มุ่งเสริมสร้างความร่วมมือ ติดต่อแลกเปลี่ยนการพัฒนาเศรษฐกิจ และความสงบเรียบร้อยทางสังคมบริเวณชายแดน!

วัน ที่ 18 มกราคม 2551 เวียดนามและลาวได้ร่วมกับกัมพูชาปักหลักเขตที่สามแยกชายแดน และวันที่ 26 สิงหาคม 2551 ที่นครฮานอย ได้มีพิธีลงนามข้อตกลง กำหนดชุมทางชายแดนระหว่างสามประเทศ วันที่ 5 กันยายน 2551 ที่ช่องทาง ลาวบ๋าว-แดนสะหวัน สองฝ่ายได้ประกอบพิธีเปิดหลักเขตคู่หมายเลข 605 นี่เป็นหลักเขตแรกเริ่มภารกิจอย่างเป็นทางการสำหรับการเสริมความหนาและบูรณะ หลักเขตแดนแห่งชาติระหว่างสองประเทศ นับถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2554 สองฝ่ายได้กำหนดที่ตั้งหลักเขต 462 แห่ง และได้ก่อสร้างที่ตั้งหลักเขต 333 แห่ง สองฝ่ายจะแล้วเสร็จภารกิจปักหลักเขตบนพื้นที่จริง ในปี 2555 และแล้วเสร็จพิธีสาร แผนที่รับรองผลในปี 2557

ล่าสุด สำนักข่าวเวียดนามรายงานว่า เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคมที่ผ่านมา ที่ช่องทางแห่งชาติลาไล จังหวัดกว๋างตริ-ลาไลแขวงสาละวัน ลาว ได้มีพิธีเปิดหลักเขตแดนแห่งชาติหมายเลข 635 ระหว่างชายแดนสองประเทศ

โห่ เซวิน เซิน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศเวียดนาม และประธานคณะกรรมการชายแดนแห่งชาติ ประธานคณะกรรมการร่วมปักหลักเขต แดนเวียดนาม-ลาว และบุนเกิด สังสมสัก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศลาว และประธานคณะกรรมการร่วมปักหลักเขตแดนลาว-เวียดนาม ร่วมกับแกนนำจังหวัดกว๋างตริ และแกนนำแขวงสาละวัน พร้อมประชาชนบริเวณช่องทางของสองประเทศได้เข้าร่วมพิธี

ได้มีการ เริ่มก่อสร้างหลักเขตแดนแห่งชาติหมายเลข 635 ตั้งแต่วันที่ 3 กันยายน 2553 ก่อนหน้านี้หลักเขตใหญ่แห่งนี้เดิมเป็นหลักเขตคอนกรีตหมายเลข R16 ปักอยู่กลางช่องทางแห่งชาติลาไล ถือเป็น 1 ใน 16 หลักเขตใหญ่ตลอดแนวชายแดนเวียดนาม-ลาว และเป็นหลักเขตใหญ่หนึ่งเดียวระหว่างจังหวัดกว๋างตริ และแขวงสาละวัน

ด้วย ความพยายามของคณะกรรมการชี้นำปักหลักเขตจังหวัดกว๋างตริ ท้องถิ่นที่สองประเทศมอบอำนาจ ให้ก่อสร้างหลักเขต ภายใต้การกำกับดูแลของผู้เชี่ยวชาญกฎหมายและเทคนิคของสองประเทศ จนถึงวันนี้งานก่อสร้างหลักเขตใหญ่หมายเลข 635 ได้แล้วเสร็จด้วยคุณภาพดีแน่นหนา แสดงถึงความถูกต้องของที่ตั้งแนวชายแดนระหว่างสองประเทศที่บริเวณช่องทาง หลักลาไล-ลาไล สร้างความสะดวกให้แก่ภารกิจบริหารชายแดนที่ยั่งยืน และส่งเสริมการติดต่อสัญจรผ่านช่องทาง

สุนทรพจน์ในพิธีเปิด โห่ เซวิน เซิน เน้นย้ำว่าความสำเร็จของงานนี้เป็นรอยจารึกสำคัญ ส่งเสริมกระบวนการทำขึ้นใหม่ และเพิ่มความหนาของระบบหลักเขตแดนระหว่างสองประเทศเวียดนาม-ลาว โดยเฉพาะระหว่างจังหวัดกว๋างตริกับแขวงสาละวัน เปิดโอกาสใหม่ อนาคตสดใสให้แก่ช่องทางลาไล-ลาไล เปลี่ยนสถานที่แห่งนี้ให้เป็นจุดหยุดแวะและเป็นที่หมายนัดพบสำหรับนักท่อง เที่ยว รวมทั้งนักลงทุน ภายในและต่างประเทศ ทำให้พื้นที่เขตแดน แห่งนี้เป็นจุดแสงสว่างตัวอย่างเกี่ยวกับความร่วมมือและการพัฒนา

เห งียน เกวิน จิ๊ญ รองประธานคณะกรรมการประชาชนจังหวัดกว๋างตริ และประธานคณะกรรมการชี้นำปักหลักเขตที่จังหวัดกว๋างตริ กล่าวว่ากว๋างตริเป็นจังหวัดแรกใน 10 จังหวัดที่มีแนวชายแดนร่วมกับลาว ได้รับเลือกให้ดำเนินการนำร่องภารกิจปักหลักเขตแห่งชาติ!

ภายหลัง พยายามดำเนินงานกว่าสองปี ทั่วทั้งระบบ 31 ใน 35 หลักเขตแห่งชาติระหว่างจังหวัดกว๋างตริ และแขวง สะหวันนะเขต ได้ก่อสร้างแล้วเสร็จกับเหตุการณ์เปิดหลักเขตใหญ่หมายเลข 635 จังหวัดกว๋างตริและแขวงสาละวันให้คำมั่น สัญญาว่าจะประสานงานแนบแน่นต่อไปใน งานจัดการก่อสร้างบรรดาหลักเขตที่เหลือ จะพยายามจนถึงสิ้นปี 2555 ให้แล้วเสร็จงานปักหลักเขตบนพื้นที่จริงระหว่างสองฝ่าย!!!

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

http://www.manager.co.th/IndoChina/ViewNews.aspx?NewsID=9550000012571

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ความสำนึกทางการเมืองPolitical Consciousness!!!
ความสำนึกทางการเมืองของประชาชน หมายถึง การที่ประชาชนมีความสามารถที่จะเรียนรู้ที่จะทำความเข้าใจ มีความสามารถแยกแยะเรื่องราวต่างๆ เหตุการณ์ต่างๆ ผสมผสาน เปรียบเทียบและสามารถตัดสินใจต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง อันเนื่องมาจากเหตุผลและเหตุการณ์ทางการเมือง รวมทั้งมีปฏิกิริยาต่อการเปลี่ยนแปลงที่มีผลต่อตน โดยการแสดงออกด้วยการตอบโต้ ถ้าผลของการเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นไปในทางลบต่อผลประโยชน์ เช่น สิทธิเสรีภาพและความเป็นธรรมหรือแสดงการสนับสนุน ถ้าเรื่องนั้นๆ สามารถอำนวยประโยชน์ให้กับตนปฏิกิริยาดังกล่าวอาจจะเป็นไปในลักษณะใดนั้น ตอบโต้ หรือ สนับสนุน ก็ได้ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัย สภาพแวดล้อมและบรรยากาศทางการเมือง สังคมและ เศรษฐกิจซึ่งปัจจัยต่างๆนี้จะเป็นเงื่อนไขสำคัญที่บ่งบอกถึงระดับความสำนึก ทางการเมืองของประชาชนในประเทศนั้นๆ ความสำนึกทางการเมืองของประชาชน จึงเป็นความรู้สึกและความเข้าใจทางการเมืองในฐานะเจ้าของประเทศที่จะนำไปสู่ การมีส่วนร่วมในการเมืองในลักษณะต่างๆ เช่น การเข้าเป็นสมาชิกพรรคการเมือง เป็นสมาชิกกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ การใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้ง การแสดงความคิดเห็นทางการเมือง โดยผ่านพรรคการเมือง สื่อ หรือสถาบันอื่นๆที่เป็นของเอกชนหรือของรัฐบาล การเข้าร่วมประชาพิจารณ์ในเรื่องใดๆเพื่อหาขอยุติ การเดินขบวนเรียกร้องในเรื่องที่ไม่ชอบธรรมต่างๆ ถือเป็นความรับผิดชอบของคนในสังคมโดยทั้งสิ้น และรวมไปถึงการบริหารงานของรัฐบาล การที่ตัวประชาชนรู้จักสิทธิ หน้าที่และความรับผิดชอบ เป็นต้น ความสำนึกทางการเมืองกับการมีส่วนร่วมในทางการเมือง Political Participation มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิด ประชาชนจะมีส่วนร่วมทางการเมืองมากน้อยแค่ไหนอย่างไรขึ้นอยู่กับระบบทางการ เมือง สังคมและเศรษฐกิจ ของประเทศนั้นๆ เช่น สังคมที่ปกครองในระบอบเผด็จการ อำนาจปกครองที่บุคคลเพียงคนเดียวหรือกลุ่มคนบางกลุ่ม การมีส่วนร่วมในทางการเมืองของประชาชนก็จะจำกัด หรือถูกบังคับให้เข้ามามีส่วนร่วมในทางการเมืองในทางที่จะสนับสนุนผู้ปกครอง เท่านั้น ถ้าสังคมนั้นยึดถือระบบการแสดงออกซึ่งความสำนึกทางการเมืองในทางที่จะสนับ สนุนการปกครองและมีส่วนรวมของประชาชนก็จะมีมากกว่าในระบอบเผด็จการ

ความสำนึกในทางการเมืองของประเทศนั้นเป็นสิ่งที่สามารถพัฒนาได้ถ้าประชาชนมี โอกาสพัฒนาความสำนึกในทางการเมืองและความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของการเมืองการ ปกครองในฐานะเจ้าของแผ่นดิน เจ้าของประเทศ หากประชาชนมีความสำนึกทางการเมือง ประชาชนจะรู้สึกภาคภูมิใจที่เกิดมาบนแผ่นดิน รู้สึกรักและหวงแหน เต็มใจที่จะทำกิจกรรมต่างๆเพื่อให้เกิดการพัฒนาเช่น ประชาชนเต็มใจที่จะเสียภาษี ประชาชนรักสาธารณะสมบัติเป็นต้น

การมีส่วนร่วมทางการเมือง Political Participation!!!

ความหมายของคำว่า การมีส่วนร่วมทางการเมืองPolitical Participation มีผู้ให้ความหมายและแนวคิดมากมายหลายอย่างต่างกันออกไป ซึ่งพอที่จะสรุปความหมายของการมีส่วนร่วมทางการเมือง เป็นข้อๆ ได้ดังนี้คือ=

การมีส่วนร่วมทางการเมือง หมายถึง กิจกรรมของประชาชนตามสิทธิที่กฎหมายกำหนด โดยเฉพาะสิทธิในการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง สิทธิที่จะเข้าสมาคมหรือก่อตั้งพรรคการเมืองหรือกลุ่มผลประโยชน์ สิทธิที่จะอุทธรณ์ต่อรัฐบาล สิทธิเกี่ยวกับการพูด ชุมนุม และการพิมพ์อย่างอิสระ และเป็นกิจกรรมซึ่งมุ่งหมายเพื่อมีอิทธิพลต่อรัฐบาลในการเลือกตั้งเจ้า หน้าที่ของรัฐ รวมถึงการเข้ามีส่วนร่วมต่อการปกครองโดยกระทำกิจกรรมต่าง ๆ เกี่ยวกับการปกครอง

การมีส่วนร่วมทางการเมือง หมายถึง การกระทำด้วยความสมัครใจของสมาชิกในสังคม เพื่อที่จะคัดเลือกผู้ปกครอง และมีอิทธิพลต่อการกำหนดนโยบายสาธารณะทั้งทางตรงและทางอ้อม กิจกรรมเหล่านี้คือ การลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง การติดตามข่าวสารทางการเมือง การช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือพรรคการเมือง การติดต่อสัมพันธ์กับผู้แทนราษฎร และยังมีลักษณะของความกระตือรือร้นทางการเมืองที่พิจารณาจากการสมัครเป็น สมาชิกพรรคการเมืองอย่างเป็นทางการ การช่วยรณรงค์หาเสียง การแข่งขันกันเป็นเจ้าหน้าที่พรรคการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ

การมีส่วนร่วมทางการเมือง หมายถึง กิจกรรมต่าง ๆ ตามความสมัครใจของสมาชิกในสังคมการเมืองที่จะเลือกกระทำ ซึ่งมีจุดมุ่งหมายทั้งทางตรงและทางอ้อมที่ต้องการมีอิทธิพลต่อการกำหนด นโยบายหรือการดำเนินการของรัฐบาล ในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ รวมทั้งอาจจะเป็นกิจกรรมง่าย ๆ เช่น การพูดคุยถกเถียงปัญหาการเมือง การไปใช้สิทธิเลือกตั้ง หรือการสมัครรับเลือกตั้งเป็นตัวแทนของประชาชน เป็นต้น ซึ่งการกระทำอาจจะผิดหรือถูกต้องตามกฎหมาย อาจใช้หรือไม่ใช้ความรุนแรง อาจจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จผลหรือกระทำโดยสำนึกทางการเมืองหรือถูกชักจูงระดม พลังก็ได้

จากที่กล่าวมาข้างต้นอาจสรุปความหมายของ การมีส่วนร่วมทางการเมืองได้ดังนี้ คือ การมีส่วนร่วมทางการเมือง หมายถึง การที่ประชาชนมีสิทธิตามระบบการเมืองและกฎหมายกำหนดให้กระทำได้เป็นการกระทำ ที่ต้องเกิดขึ้นด้วยความสมัครใจของตัวประชาชนเอง เพื่อให้มีอิทธิพลต่อการกำหนดนโยบายของรัฐทั้งการเมืองการปกครองระดับท้อง ถิ่นและการเมืองการปกครองระดับชาติ อย่างไรก็ตาม แม้การมีส่วนร่วมทางการเมืองการปกครองของประชาชนจะเป็นไปตามสิทธิที่ระบบการ เมืองและกฎหมายกำหนดให้กระทำได้ เช่น อนุญาตให้ประชาชนสามารถรวมตัวเพื่อชุมนุมคัดค้าน หรือแสดงความคิดเห็นต่อนโยบายต่าง ๆ ของรัฐได้ แต่ก็สามารถที่จะทำให้การมีส่วนร่วมในบางเหตุการณ์ดำเนินไปโดยถูกต้องตาม กฎหมาย และอาจลุกลามเป็นการกระทำที่ละเมิดกฎหมายหรือผิดกฎหมายได้ เช่น การขว้างปา ต่อสู้ทำร้ายร่างกาย การใช้ความรุนแรงกัน หรือแม้กระทั่งการชุมชุนแล้วมีอาวุธซึ่งถือว่าผิดกฎหมายหรือแม้กระทั่งการ ชุมชุนกันแล้วทำให้ประชาชนกลุ่มอื่นเดือดร้อน นอกจากนี้ การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนอาจเกิดขึ้นด้วยความสมัครใจ เนื่องจากความเข้าใจในสิทธิประโยชน์ที่ตนจะพึงมีพึงได้จากการมีส่วนร่วม นั้น หรือเกิดขึ้นเพราะการถูกหลอกล่อ โดยการชักจูง เพื่อหวังผลประโยชน์ทางการเมืองของบุคคลบางคนหรือบางกลุ่ม ดังปรากฏอยู่ในการเมืองของหลายประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศด้อยพัฒนาและกำลังพัฒนา ที่กลุ่มผู้มีอำนาจอิทธิพลทางการเมืองอาศัยประโยชน์จากความไม่รู้ ไม่เข้าใจ ทางการเมืองของประชาชนโดยการชักจูง ระดมพลัง โดยทำให้ประชาชนเข้าใจผิดในข้อเท็จจริงของสถานการณ์ทางการเมืองหรือการใช้ อามิสสินจ้างรางวัลเป็นปัจจัย เพื่ออาศัยพลังของประชาชนนั้น ๆ สนับสนุนสร้างความชอบธรรมเพื่อการคงอยู่ในอำนาจทางการเมืองของตน หรือกำจัดคู่ต่อสู้ทางการเมือง เหล่านี้จัดเป็นการมีส่วนร่วมทางการเมืองทั้งสิ้น!!!

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ປະວັດສາດຕັວຈີງບໍ່ແມ່ນເຈົ້າສຍາມ­ຂຽນຂື້ນແນ່ນອນລະ

ແຕ່ແມ່ນນັກຄົ້ນຄັ້ວອິສຣະ ດຽວນີ້ ແມ່ນແຕ່ ວີທຍຸສຽງ ອມຣກ ທີວໍຊີງຕັນຍັງໄດ້ໄຟຂຽວຈາກຣັຖບານ­ກາງໃຫ້ຂຽນຄວາມຈີງກ່ຽວກັບຊົນຊາດເ­ຊື້ອລາວເກືອບເຄີ່ງຮ້ອຍລ້ານໃນ ປທ ນີ້ຢ່າງຢ່າງເຖິງຖອງທີ່ ສູດ ເຂົ້າ google ແລ້ວຕີ Lao History in Issan or ไทยลาวแยกกันเถร

Royal Lao.คนลาวด่าอี่สมเด็จย่า

ปื้ม จาก หลวงพระบาง ถีงเวียงจันทน์โดย มล สุรสวัสดี็ สุขสวัดดี็

สำนักพีมพ็ เมืองโบราณ กทม 2535/1992

ห้นา122+124..ในกรณีประเทศลาวก็­เช่นกัน นับแต่สมัยกรุงธนบุรีเป็นต้นมา จนถีงสมัยรัชการที่5

ปเทศลาวได้ถุกกำหนดบทบา

ทให้ เปันประเทศราช หรือส่วนหนิ่งของ ประเทศ(ไทย)สยาม มาโดยตลอดจนกระทั้งถุกฝรั่งเศสช­วง ชีงลาวไปจาก ไทยเมื่อ เหตุการณ็ รศ 112 (พศ 2437 คศ 1893 )ชื้งอาจารย็ชาญวีทย์ เกษตรศีรี เหันว่า ถ้าฝรั่งเศส ไม่มาชีงลาวไปจากไทย ก็น่าเชื่อว่าจะไม่มี

ห้นา 75

ดั่ง นี้ตลาบใดที่ ชาวลาวอยังคงกีนข้าวเหนียวกันอย­ุ่ เช่นเดียวกับชาวลาวล้านนา และ ลาว ภาค ตวอชหน ตลาบนั้นการแสดงออกถีงความเป็นช­าตีลาว ก็หนีไม่พ้น ประเพณีและวัฒนธรรมเนื่องใน พระพุทธศาสนา ฮีด12ครอง14ชื้งต่างไปจากโจรสยา­มของพวกเราจรีงๆเลียนี้

ประเทศลาวอยุ่ในแผนที่โลก เพราะในฐานะประเทศราชของกรุงรัต­นโกสีนทร์ ลาวจะต้องถุกกลืนจนกลายเปันส่วน­หนื่ง ของ ราชอาณาจักรสยาม ในที่ สุด เช่นเดียวกับ ลาว ล้านนา ปัจจุบัน ใน กรนีนี้ อาจารย์ชานวีทย์ ได้กล่าวอย่างตีตลกว่า ลาว ปัจจุบน อาจต้องขอบคุณฝรั่งเสสด้วยช้ำไป

ห้นา 75

ดั่ง นี้ตลาบใดที่ ชาวลาวอยังคงกีนข้าวเหนียวกันอย­ุ่ เช่นเดียวกับชาวลาวล้านนา และ ลาว ภาค ตวอชหน ตลาบนั้นการแสดงออกถีงความเป็นช­าตีลาว ก็หนีไม่พ้น ประเพณีและวัฒนธรรมเนื่องใน พระพุทธศาสนา ฮีด12ครอง14ชื้งต่างไปจากโจรสยา­มของพวกเราจรีงๆเลียนี้





__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

เปรียบเทียบการเมืองลาว-พม่า !!!


การเมืองลาวนอกจากจะมีการปกครองด้วยพรรคคอมมิวนิสม์ มีศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ และมีระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ยังมีประเด็นสำคัญที่น่าสนใจและซับซ้อนอย่างมากที่จะได้พิจารณาในงานชิ้นนี้ โดยในงานนี้จะตอบคำถามสำคัญ 3 ข้อ ดังนี้=

ประเด็นสำคัญทางการเมืองลาวที่สะท้อนลักษณะเฉพาะของเอเชียตะวันออกเฉียง ใต้ โดยการศึกษาจะทำการเปรียบเทียบประเทศ “ลาว” กับ “พม่า” ด้วยประเด็นสำคัญที่มีการถกเถียงในเชิงรัฐศาสตร์ ทั้งในเรื่องชนชั้นนำ ศาสนา ชาตินิยม และระบบเศรษฐกิจ
ลักษณะสำคัญอื่น 2 ประการอันเกี่ยวข้องกับส่วนแรก ที่สะท้อนลักษณะเฉพาะของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือหนึ่ง “ประชาธิปไตย” และสอง “ทหาร”
การศึกษาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เป็นบทเรียนสำหรับการเมืองการปกครอง!
ส่วนที่ 1:

การศึกษาในส่วนแรกจะกล่าวถึงสภาพทั่วไปของสถาบันทางการเมืองของประเทศลาว และจะพิจารณาในประเด็นสำคัญทางการเมืองลาวเพื่อเปรียบเทียบกันพม่า โดยมีประเด้นสำคัญที่มีการถกเถียงในเชิงทฤษฏีทางรัฐศาสตร์ คือ ชนชั้นนำ ศาสนา ชาตินิยม และระบบเศรษฐกิจ
การปกครองและสถาบันทางการเมืองลาว!!!
ในการศึกษาการปกครองลาวสามารถใช้วิธีการเปรียบเทียบของ Arend Lijpharโดยสามารถพิจารณาได้ดังนี้=
-ที่มาของอำนาจบริหาร (executive power sharing) รวมอยู่ที่สภาแห่งชาติ และเลขาธิการพรรคประชาชนปฏิวัติลาว
-ความสัมพันธ์จะหว่าวฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติ (balanced executive-legislative relation) มีลักษณะเชื่องโยงอำนาจ (fusion of power) ฝ่ายบริหาร (รัฐบาล) และประธานประเทศ มาจากความเห็นชอบของสภาแห่งชาติ
-ระบบสภาเป็นแบบสภาเดี่ยว (unicameralism) คือสภาแห่งชาติ ทำหน้าที่เป็นนิติบัญญัติ
-พรรคการเมืองเป็นระบบพรรเดียวที่มีความสัมพันธ์กับการปกครองของรัฐ (party-state) คือ พรรคประชาชนปฏิวัติลาวที่เป็นพรรคคอมมิวนิสม์
-มีระบบการตรวจสอบอำนาจผ่านสภาแห่งชาติ และมีวาระในการดำรงตำแหน่งของฝ่ายนิติบัญญัติและบริหาร คือ 5 ปี
-หลักความเป็นใหญ่โดยมีรัฐธรรมนูญที่เป็นลายลักษณ์อักษร (written constitution)
-อำนาจในการควบคุมความชอบด้วยกฎหมายของฝ่ายบริหารอยู่ที่ศาลประชาชนและ องค์การอัยการประชาชน แต่ไม่สามารถวินิจฉัยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ (non-Judicial review) ในการกระทำของสภาแห่งชาติ
-โครงสร้างรัฐมีลักษณะเป็นรัฐเดี่ยว (unitary state) และรวมศูนย์อำนาจ (centralization)
เมื่อพิจารณาการปกครองลาวแล้วพบว่าอำนาจในสถาบันการเมืองต่างๆ มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดและรวมศูนย์อยู่ที่พรรคประชาชนปฏิวัติลาวที่เป็นพรรค คอมมิวนิสม์ โดยการทำงานของพรรคจะมีโครงสร้างดังนี้=

สมัชชาพรรค (Party Congress) เป็นเพียงตรายางรอบรับการตัดสินใจของผู้นำพรรคฯ
คณะกรรมการเมือง (Political Bureau) เป็นศูนย์กลางอำนาจที่แท้จริงในการตัดสินใจนโยบายสำคัญของรัฐบาล
คณะเลขาธิการพรรค (Secretariat) ทำหน้าที่แทนคณะกรรมการกลางในช่วงที่ไม่มีการประชุมสมัชชาพรรค และยังทำหน้าที่ในงานประจำและการประสานงานต่างๆ
คณะกรรมการกลาง (Central Committee) เป็นแกนนำของพรรคฯ ที่มีความรับผิดชอบในงานระดับสูง
คณะกรรมการประจำสำหรับหน่วยการปกครองท้องถิ่นที่แตกย่อยมาจากคณะกรรมการกลาง มีลักษณะคล้ายผู้ว่าราชการจังหวัดที่ทำงานเป็นทีม
นอกจากนี้ยังมี “องค์กรแนวลาวรักชาติ/สร้างชาติ” ที่เป็นผู้แทนจากลุ่มการเมืองและสังคมต่างๆ ในการเข้ามาดูแลในประเด็นสาธารณะ
ทั้งหมดในหัวข้อนี้จึงทำให้เห็นภาพรวมของการปกครองและสถาบันการเมืองของ ลาว ซึ่งจะเป็นการฟูพื้นฐานในการทำความเข้าใจในประเด็นทางการเมืองในส่วนต่อไป


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ประเด็นสำคัญทางการเมืองลาว เปรียบเทียบพม่า !!!
การศึกษาการเมืองลาวมีประเด็นที่น่าสนใจที่มีการถกเถียงในเชิงรัฐศาสตร์ ทั้งในเรื่องชนชั้นนำ ศาสนา ชาตินิยม และระบบเศรษฐกิจ ที่ในงานนี้จะนำมาเปรียบเทียบกับประเทศพม่าทำให้สามารถสะท้อนภาพรวมของการ เมืองเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประเทศในแผ่นดินใหญ่ (mainland) ทั้งเวียดนาม พม่า กัมพูชา และ ไทย
1. ชนชั้นนำทางการเมืองลาวกับการปฏิวัติ 1975 เปรียบเทียบกรณีชนชั้นนำพม่า !!!
ชนชั้นนำทางการเมือง (political elites) เป็นทฤษฏีทางรัฐศาสตร์ที่สำคัญในการศึกษาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในด้านการ เปลี่ยนแปลงทางการเมืองและเสถียรภาพทางการเมือง การศึกษาประวัติศาสตร์ลาวสมัยใหม่มีช่วงสำคัญที่ทำให้เห็นภาพของการต่อสู้ ของชนชั้นนำทางการเมืองของลาวคือช่วงการปฏิวัติ 1975 ที่พรรคคอมมิวนิสม์ลาวได้รับชัยชนะ แม้ว่าก่อนการปฏิวัติ 1975 ลาวจะมีพรรคการเมืองหลายพรรคแต่ก็ยังกระจัดกระจายและอ้างอิงตัวเองกับกลุ่ม ชนชั้นนำในสังคม ที่สามารถแยกชนชั้นนำลาวได้ออกเป็น 4 ฝ่ายสำคัญคือ=

ฝ่ายเจ้าศักดินา เป็นกลุ่มของสถาบันกษัตริย์ ประกอบด้วยเจ้ามหาชีวิต, เจ้าเพชรรัตน์ที่เป็นมหาอุปราช และสมเด็จเจ้าสว่างวัฒนาที่เป็นกษัตริย์คนสุดท้าย กลุ่มนี้ไม่มีอำนาจทางการเมืองเพราะถูกริดรอนจากเจ้าอาณานิคมและการแบ่งแยก การปกครองเป็นส่วนๆในลาว
ฝ่ายขวา เป็นกลุ่มทางการเมืองที่สหรัฐอเมริกาสนับสนุนเพราะมีนโยบายต่อต้านลัทธิ คอมมิวนิสต์ อีกทั้งการที่ปี 1958 ที่พรรคแนวลาวรักชาติชนะการเลือกตั้งอย่างท่วมท้นทำให้อเมริกากลัวการขยาย ตัวของสังคมนิยมในภูมิภาคนี้มาก ฝ่ายนี้ประกอบไปด้วยท่านกระต่าย สะโสฤทธิ์, ท่านผุย ชนะนิกร, นายพลภูมี หน่อสะวัน และเจ้าบุญอุ้ม ณ จำปาศักดิ์ ฐานที่มั่นอยู่ทางใต้
ฝ่ายซ้าย เป็นกลุ่มที่ได้รับเอาความคิดแบบสังคมนิยมและคอมมิวนิสต์มาจากจีน ต้องการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงสังคมโดยพยายามหาแนวร่วมรักชาติ และเคลื่อนไหวฝ่าน “ขบวนการปะเทดลาว” และได้พัฒนาต่อไปเป็น “พรรคแนวลาวรักชาติ” และ “พรรคปฏิวัติลาว” กลุ่มนี้ประกอบด้วนเจ้าสุภานุวงศ์, ภูมี วงศ์วิจิตร, กินิม พลเสนา และไกสอน พรหมวิหาร ฐานที่มั่นอยู่ทางเหนือ
ฝ่ายกลาง เป็นกลุ่มที่พยายามประนีประนอมข้อเรียกร้องของทั้งฝ่ายซ้ายและขวาโดยพยายาม ตั้งรัฐบาลผสมถึงสามครั้งในปี 1957 (หลังฝรั่งเศสถอนตัวเพราะความผ่ายแพ้ในเดียนเมียนฟูและข้อตกลงเจนิวาที่จะ ถอนกำลังจากอินโดจีน อีกทั้งยังเข้าสู่ช่วงของสงครามเย็น), 1962 (หลังการรัฐประหารของร้อยเอกกองแล), 1974 (ข้อตกลงปารีส 1973 ที่เกี่ยวกับสงครามเวียดนามและข้อตกลงหยุดยิงที่กระทบถึงลาว) แต่ไม่ประสบความสำเร็จ แม้ว่าจะได้ถือครองอำนาจในช่วงสั้นๆหลังจากการรัฐประหารของร้อยเอกกองแล (ปี 1960) ยึดอำนาจจากฝ่ายขวา (รัฐบาลผุย ชนะนิกร) และตั้งเจ้าสุวรรณภูมาเข้ามาเป็นนายก เพื่อดำเนินนโยบายประเทศไม่ให้เอียงไปหาโลกเสรีหรือคอมมิวนิสต์ แต่ไม่นานก็ถูกเจ้าบุญอุ้มนำกองกำลังปรามกบฏเข้ามายึดอำนาจคือจนทำให้เจ้า สุวรรณภูมาต้องไปตั้งรัฐบาลผลัดถิ่นที่ได้รับความร่วมมือจากขบวนการปะเทดลาวฐาน ที่มั่นอยู่ที่เวียงจันทน์ อย่างไรก็ดี ฝ่ายกลางมักถูกจัดกลุ่มให้เป็นฝ่ายขวา โดยงานของอนุรัตน์ ฝั่นถึงภูมิ เห็นว่าการตั้งรัฐบาลผสมทั้ง 3 ครั้งต่างเอื้อประโยชน์และเป็นช่วงเวลาที่ฝ่ายขวากำลังพ่ายแพ้ทางการเมือง
การต่อสู้ในการเปลี่ยนแปลงประเทศลาวก่อนปฏิวัติ 1975 แม้สหรัฐอเมริกาจะให้เงินสนับสนุน ข้อมูลทางการทหารจาก CIA และกองกำลังรับจ้าง รวมถึงการทิ้งระเบิดในลาวจำนวนมาก เช่น ที่ทุ่งไหหิน ที่เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญสำหรับสงครามอินโดจีนที่หากสามารถสร้างสนามบินก็ จะสามารถเป็นฐานกำลังครอบคลุมภาคใต้ของจีนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมด รวมถึงสามารถติดตั้งระบบจรวดนำวิถีที่บริเวณสูงของพื้นที่ดังกล่าวได้อีก ด้วย มีการทิ้งระเบิด 16000 ลูกต่อวันและมูลค่าระเบิดกว่าพันล้านเหรียญสหรัฐ แต่ก็ไม่อาจยับยั้งการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงประเทศลาวให้เป็นสังคมนิยมโดยพรรค ปฏิวัติลาวที่สามารถยึดครองประเด็นเรื่อง “ชาตินิยม” และมีประชาชนและพุทธศาสนิกชนเป็นแนวร่วมสนับสนุนไปได้
การปฎิวัติ 1975 ถือว่าพรรคปฏิวัติลาวสามารถได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาด และทำให้ชนชั้นำที่เป็นฝ่ายซ้ายของลาวสามารถครองอำนาจและเปลี่ยนแปลงการ ปกครองให้เป็นการรวมศูนย์อำนาจไว้ที่พรรคและสภาแห่งชาติ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือการเปลี่ยนแปลงชนชั้นนำลาวสามารถจัดการกับชนชั้นนำ กลุ่มอื่นได้อย่างเด็ดขาด และสามารถถือครองอำนาจฝ่ายเดียวไว้ได้แม้ว่าภายหลังจะเกิดปัญหาในทาง เศรษฐกิจก็ตาม
เมื่อเปรียบเทียบกับพม่าจะพบว่าการต่อสู้เปลี่ยนแปลงของพม่าเริ่มต้นจาก การเข้ามายึดครองของญี่ปุ่นเช่นเดียวกับลาว โดยนายพลอองซานได้ก่อตั้งองค์การสันนิบาตเสรีภาพแห่งประชาชนต่อต้านฟาสซิสต์ (Anti-Fascist Peoples Freedom League, AFPFL) ที่ต่อต้านญี่ปุ่นอย่างลับๆ และเป็นหน่วยงานสำคัญในการประกาศเอกราชกับอังกฤษ แต่ก่อนการเปลี่ยนแปลงช่วงที่อังกฤษประกาศเอกราชให้กับพม่า (17 ตุลาคม 1947 – 4 มกราคม 1947) กลับเกิดการลอบสังหารนายพลอองซานในเดือนกรกฏาคม 1947 ทำให้การเปลี่ยนแปลงชนชั้นพม่าเกิดความวุ่นวายและเกิดภาวะไร้ผู้นำทางการ เมืองในการประกาศเอกราช และผู้นำคนต่อมาคือนายพลเนวินที่ปกครองประเทศยาวนานถึง 26 ปี ด้วยการปราบปรามคู่แข่งทางการเมืองและผู้เรียกร้องประชาธิปไตยรอย่างเด็ดขาด ทำให้การเมืองพม่าตกอยู่ในบรรยากาศของการปกครองโดยทหารอย่างยาวนาน แม้จะมีช่วงของการเรียกร้องประชาธิปไตยในปี 1988 ที่มีขบวนการนักศึกษา พระ และมีนางอองซานซูจีเป็นแกนนำ แต่ก็ถูกปราบปรามลงและมีการรัฐประหารเปลี่ยนแปลงชื่อประเทศเป็น “Myanmar”


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

จากนั้นเป็นต้นมาพม่าก็ถูกปกครองโดยทหาร แม้ว่าจะมีการเลือกตั้งในปี 1990 ที่พรรคNLD ของอองซานซูจีชนะ แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงการปกครองของชนชั้นนำทหารไปได้ ทำให้เห็นว่าความผิดผลาดทางประวัติศาสตร์ในช่วงการเปลี่ยนแปลงการปกครองและ การได้รับเอกราชชนชั้นนำพม่าไม่สามารถจัดการการเปลี่ยนแปลงให้ราบรื่น เพราะต้องมาสะดุดหยุดลงด้วยการลอบสังหารนายพลอองซาน ซึ่งกลายเป็นข้อถกเถียงทางประวัติศาสตร์ที่ว่านายพลอองซานเป็นต้นกำเนิดของ การปกครองแบบทหาร (ข้ออ้างของฝ่ายทหาร) หรือนายพลอองซานต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศสู่เอกราชของชาติและประชาธิปไตย (ข้ออ้างของฝ่ายอองซานซูจี)
2. พุทธศาสนากับการเมืองลาว เปรียบเทียบกรณีประเด็นทางพุทธศาสนาและการเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยของพระในพม่า!!!
ศาสนาพุทธกับสังคมลาวมีความใกล้ชิดกันอย่างยิ่ง และในช่วงการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง (1945-1975) ศาสนาพุทธเป็นองค์กรสำคัญในการปลูกฝังจิตสำนึกทางการเมือง ความคิดแบบคอมมิวนิสต์ และคณะสงฆ์ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงประเทศในฐานะที่เป็น หัวใจสำคัญของประชาชนชาวลาว
ลัทธิคอมมิวนิสต์ในลาวเป็น “มาร์คซิสต์” สายเหมา (Maoist) ที่อาศัยวัดและพระเป็นแหล่งเผยแพร่อุดมการณ์คอมมิวนิสต์และเป็นแนวร่วมสำคัญ ของพรรคฯและประชาชนเพราะเหตุผล 3 ประการคือ หนึ่งศาสนาพุทธมีความใกล้ชิดกับประชาชนทั้งในแง่ของพิธีกรรมและการสะสมทุน ท้องถิ่น โดยในพื้นที่ที่มีความเจริญพอสมควรจะนับถือศาสนาพุทธและสร้างชุมชนรอบวัด ส่วนพื้นที่ชนบทในลาวจะเป็นกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆที่นับถือผีสางและผี บรรพบุรุษ ประชาชนที่มีส่วนร่วมในการปฏิวัติคือประชาชนในพื้นที่ชุมชนที่มีความเจริญ และใกล้ชิดศาสนาพุทธ สอง เจ้าอาณานิคมอย่างสยามและฝรั่งเศส ไม่สนใจศาสนาพุทธในลาว รวมถึงการไม่ได้เข้าไปแทรกแซงหรือจัดการ ทำให้ศาสนาพุทธมีความเป็นอิสระมากพอสมควรในการเข้ามีปฏิสัมพันธ์กับชุมชน และสาม ด้วยการที่ประเทศลาวต้องตกเป็นอาณานิคมของประเทศที่ไม่สนใจที่จะพัฒนาลาว และการที่ลาวตกเป็นประเทศที่ต้องรับผลข้างเคียงของสมครามในภูมิภาคนี้ ทำให้ลาวไม่มีความเจริญทางด้านการพัฒนาและการศึกษา ส่งผลให้วัดและพระสงฆ์เป็นแหล่งให้ความรู้การศึกษาแก่ประชาชน ทั้งในเชิงศาสนา ศาสตร์ต่างๆ และความรู้แบบสังคมนิยม ทำให้สังคมนิยมที่เป็นแนวคิดสร้างความเท่าเทียมและลดความเหลื่อมล้ำกับโอกาส ทางการศึกษาที่ศาสนาพุทธมอบให้จึงสอดคล้องกัน
นอกจากเหตุผลดังกล่าวแล้ว พรรคปฏิวัติลาวได้สร้างและผสมศาสนาพุทธกับสังคมนิยม ในข้อเสนอที่พรรคปฏิวัติลาวกล่าวว่าพุทธศาสนาและสังคมนิยมมีเป้าหมายเดียว กันคือ “การกำจัดความทุกข์” ที่ต้องหลุดพ้นจากความทุกข์ซึ่งทุกข์นั้นก็คือการกดขี่จากพวกจักรวรรดินิยมการที่พระพุทธเจ้าถูกสร้างให้เป็นนักสังคมนิยม เพราะท่านทรงสละราชสมบัติทั้งหมดเพื่อหาทางดับทุกข์และสลายชนชั้นในสังคมเดิม และการที่ คำตัน เทพบัวคลี ผู้นำคณะสงฆ์ได้เขียนหนังสือชื่อ “การเมืองกับพุทธศาสนา” ที่ว่าพุทธศาสนาสามารถปรับตัวได้กับหลายระบบสังคม แต่ภายใต้ระบบทุนนิยม พุทธศาสนากลายเป็นเครื่องมือของนายทุนและถูกบิดเบือน ต่างจากในระบบสังคมนิยมที่พุทธศาสนาสามารถปรับมุมมองและปรัชญาให้เข้ากับ ความคิดทางการเมืองใหม่ที่สนับสนุนกระบวนการสังคมนิยมได้
อีกทั้งภายหลังจากชัยชนะของฝ่ายซ้าย ศาสนาพุทธมีความใกล้ชิดกับพรรคปฏิวัติลาวในด้านความเป็นระบบราชการของศาสนา พุทธเนื่องมาจากระบบการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาและการจัดลำดับคณะสงฆ์หลังจาก การปฏิวัติ 1975 พรรคฯ มีหน่วยงานชื่อ Lao United Buddhist Association ในการแต่งตั้งผู้นำคณะสงฆ์และวางระบบการประกอบศาสนพิธีและจัดโครงสร้าง องค์กรทางศาสนาให้ใกล้ชิดกับพรรคและมีแหล่งอบรมความรู้แนวพุทธสังคมนิยม
อย่างไรก็ดี ฝ่ายขวาและจักรวรรดินิยมก็มีความพยายามที่จะใช้พุทธศาสนาในการสร้างความชอบ ธรรมทางการเมืองให้กับตัวเอง เช่น การที่ฝรั่งเศสสั่งให้มีการบูรณะพระธาตุหลวงที่ถูกทำลายในสมัยที่มีสงคราม กับไทย เพื่อนำพระธาตุหลวงมาเป็นสัญลักษณ์ของชาติ (เทียบเคียงกับการสร้างสัญลักษณ์หอไอเฟล สัญลักษณ์ของประเทศฝรั่งเศส) และฝรั่งเศสยังออกกฎควบคุมสงฆ์ในปี 1927 และก่อตั้งสถาบันสงฆ์ในลาวและกัมพูชา อีกทั้งในยุคของจักรวรรดินิยมอเมริกาก็พยายามที่จะบังคับให้พระสงฆ์เผยแพร่ ความคิดต้านคอมมิวนิสม์ จัดชั้นเรียนภาษาอังกฤษให้แก่พระสงฆ์ และให้เงินสนับสนุนในการเผยแพร่พุทธศาสนา แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จในการใช้ศาสนาพุทธ เพราะความขัดแย้งกันเอกของจักรวรรดินิยมกับหลักการทางศาสนา และการที่ศาสนาพุทธอยู่ในระดับชุมชนจึงทำให้การควบคุมทำได้ยาก
ความใกล้ชิดระหว่างพรรคปฏิวัติลาวและพุทธศาสนา ทำให้ศาสนาพุทธเป็นฐานอ้างความชอบธรรมของพรรคปฏิวัติลาวและเป็นแนวร่วมสำคัญ ในการปฏิวัติ 1975 ข้อถกเถียงที่ว่าพรรคคอมมิวนิสต์ในลาวและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็น “ลัทธิสตาลิน” ที่ต่อต้านและมุ่งทำลายศาสนาจึงไม่สามารถอธิบายพรรคปฏิวัติลาวได้ อีกทั้งเพราะการร่วมมือที่สำคัญระหว่างความคิดสังคมนิยมและพุทธศาสนาทำให้ ลาวสามารถปฏิวัติได้สำเร็จ และเปลี่ยนแปลงประเทศโดยใช้การเมืองแบบคอมมิวนิสต์ การปกครองแบบรวมศูนย์ และมีวัฒนธรรมศาสนาแบบพุทธ


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

เมื่อเปรียบเทียบกับพุทธศาสนาในพม่าแล้ว พุทธศาสนาถือว่าเป็นหน่วยสำคัญในการศึกษาและเป็นแหล่งบ่มเพาะความรู้เช่น เดียวกับลาว อีกทั้งในการเคลื่อนไหวทางการเมืองของพม่า เช่น การเรียกร้องประชาธิปไตยของอองซานซูจี ก็ใช้ประเด็นทางศาสนาพุทธ ทั้งเรื่องเมตตาและความกลัว ในการเคลื่อนไหว
พระสงฆ์เป็นสถาบันหลักในสังคมพม่า เนื่องมาจากบทบาทของพุทธศาสนาที่ไม่ได้มีอยู่แค่ในการศึกษาพระธรรมและ ปฏิบัติตามหลักศาสนา แต่ยังครอบคลุมถึงความเป็นอยู่ของประชาชนและเป็นศูนย์กลางของชุมชนเช่นเดียว กับลาว การฟื้นฟูและพัฒนาสังคมในยามที่บ้านเมิงเกิดวิกฤต ตลอดจนการเสริมสร้างภาพลักษณ์และสร้างความชอบธรรมทางการเมืองให้กับชนชั้น ปกครองพม่าในประวัติศาสตร์ตลอดมา
ตัวอย่างของการเคลื่อนของพระสงฆ์ในทางการเมืองคือ ปี 1990 ที่พระสงฆ์ได้รวมตัวกันปฏิเสธไม่ยอมทำสังฆกรรมและประกอบพิธีกรรมทางศาสนาให้ กับกองทัพซึ่งสร้างความตกใจให้แก่กองทัพเป็นอย่างมาก และชัดเจนขึ้นในการประท้วงในปี 2007 ที่พระสงฆ์และประชาชนที่ตื่นตัวทางการเมืองไม่พอใจการผูกขาดอำนาจของพลเอก อาวุโสตานฉ่วยและสภาวะการล้มเหลวทางเศรษฐกิจ เช่น การขึ้นราคาน้ำมัน ที่เป็นแรงบีบคั้นให้พระสงฆ์ต้องออกมาเป็นแนวร่วมกับประชาชนในการประท้วงโดย การตั้งขบวนธรรมยาตราเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจและประกาศให้คณะ ทหารหันมาบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่ประชาชน จึงเป็น “กิจของสงฆ์” ที่จะต้องช่วยเหลือประชาชนในการดับทุกข์และจัดการกับอำนาจผูกขาดที่ไม่เป็น ธรรม การรณรงค์ของพระสงฆ์ เช่น การไม่รับบิณฑบาตรจากกลุ่มผู้นำทหาร การสวดพระสูตรบนลานเจดีย์ชเวดากองและการโบกธงนกยูงซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของ กลุ่มนักศึกษา 8888 ในการเดินขบวนขับไล่เผด็จการทหาร
นอกจากนี้ในเหตุการณ์ปี 2007 ที่ความโดนเด่นของการเคลื่อนไหวอยู่ที่พระสงฆ์ได้มีการตั้งขบวนประท้วงที่มี ยุทธศาสตร์การต่อสู้ที่ลดความรุนแรง ไม่เน้นปะทะหรือจู่โจมกับทหารเหมือนในเหตุการณ์ 8888 แต่เน้นที่การสวดมนต์ภาวนาและการเดินขบวนอย่างสันติ ทำให้ได้รับความเห็นใจจากประชาคมโลกและกลุ่มประเทศตะวันตก ที่แตกต่างจากการประท้วงในยุคอาณานิคมที่ไม่ได้รับแรงสนับสนุนจากประเทศ ตะวันตก จึงทำให้เห็นว่าพระสงฆ์และศาสนาพุทธมีความใกล้ชิดกับการเมืองพม่าและมีส่วน ร่วมในการเคลื่อนไหวคล้ายคลึงกับลาว แต่จะต่างตรงที่ศาสนาพุทธของลาวสามารถยึดครองความหมายของชาตินิยมลาวไว้ได้ และอยู่ข้างเดียวกับพม่า แต่ศาสนาพุทธพม่ากลับอยู่ตรงกันข้ามกับรัฐบาล
3. การต่อสู้และการสร้างความชอบธรรมทางการเมืองด้วย “ชาตินิยม” ของลาว เปรียบเทียบชาตินิยมแบบพม่า!
ในระหว่างการต่อสู้ทางการเมืองของชนชั้นนำลาวทั้งฝ่ายซ้ายและขวาต่างใช้ เรื่อง “ชาตินิยม” มาเป็นประเด็นหลักในการต่อสู้และแย่งชิงมวลชน ซึ่ง “ชาติ” เป็นเพียงชุมชนในจินตกรรมทางการเมือง และจินตนาการขึ้นโดยมีทั้งอธิปไตยและมีขอบเขตจำกัดมาตั้งแต่กำเนิด โดยชาติ ถูกจิตกรรม ขึ้น ลัทธิชาตินิยมจึงไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเอง แต่เป็นสิ่งที่ ประดิษฐ์ ขึ้นมา โดยสามารถแยกพิจารณาออกเป็น 3 ช่วงสำคัญในการเคลื่อนไหวอุดมการณ์ชาตินิยม ดังนี้


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ก่อนการปฏิวัติ 1975!
การเคลื่อนไหวทางการเมืองของทั้งฝ่ายซ้ายและขวาพยายามสร้างความชอบธรรม ทางการเมืองที่มาจากพื้นฐานของลัทธิชาตินิยม ซึ่งเป็นแนวคิดที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นภายใต้กรอบความคิดสมัยใหม่เรื่องรัฐชาติ (nation-state) ที่มีเขตแดนและอำนาจอธิปไตยชัดเจน โดยการเคลื่อนไหวเรื่องชาตินิยมจะเป็นเรื่องการ “กู้ชาติ” แต่มีคำอธิบายที่ต่างกันตามแบบของฝ่ายซ้ายและขวา
สำหรับฝ่ายซ้ายสรรพนิพนธ์ของ ไกสอน พมวิหาน พรรคปฏิวัติลาวใช้ชาตินิยมในเรื่องของ “ความหลากหลาย” ทางเชื้อชาติ ลาวไม่มีการแบ่งแยกชาติพันธุ์ แต่ทุกชาติสามารถสามัคคีกันและร่วมกันต่อสู่เพื่อปกป้องชาติ โดย “ชาติ” คือพื้นที่ในเขตแดนลาวที่ถูกปกครองจากจักรวรรดินิยมและพวกฝ่ายขวา
ส่วนฝ่ายขวา ใช้ประเด็นเรื่องชาตินิยมด้วยการพยายามกีดกันชาติพันธุ์หรือชนกลุ่มน้อยออก ไปจากความเป็นชาติลาว โดยชนกลุ่มน้อยเป็นเพียงคนชั้นสองในสังคมลาว กระต่าย สะโสฤทธิ์ นายกรัฐมนตรีลาวที่มาจากฝ่ายขวาเคยกล่าวไว้ว่า “…อาณาจักรล้านช้าง เหมือนกับประเทศลาวในปัจจุบันที่ผู้คนมีความสามัคคี ถ้าเราแยกชนกลุ่มน้อย เช่น ข่า แม้ว ที่มีเพียงเล็กน้อยและกระจายกันอยู่บนที่สูงออกไป คนทั้งหมดในเมืองลาวล้วนแต่พูดภาษาเดียวกัน เชื่อในผีเดียวกัน ศาสนาเดียวกัน และมีธรรมเนียมปฏิวัติเหมือนกัน…” การใช้ชาตินิยมของฝ่ายขวาที่กีดกันชนกลุ่มน้อยออกไปเช่นนี้ ทำให้ชาตินิยมของฝ่ายซ้ายที่เน้นความสามัคคีระหว่างคนลาวหลายเชื้อชาติได้ เปรียบในแง่ของมวลชนและความชอบธรรมทางการเมืองในการหาแนวร่วมในการปฏิวัติ
อีกทั้งชาตินิยมของฝ่ายซ้ายมีมิติในเรื่องจองการสร้างแนวร่วมทางชนชั้น ระหว่างกรรมาชีพและชาวนา รวมถึงกลุ่มชาติพันธุ์อื่นด้วยคำอธิบายแบบ “กึ่งเมืองขึ้น-กึ่งศักดินา” ในการต่อต้านจักรวรรดินิยม ไม่ว่าจะเป็นฝรั่งเศส อเมริกา หรือบรรดาพันธมิตรทั้งไทยและฝ่ายขวาในลาว

หลังการปฏิวัติ 1975!
หลังจากการปฏิวัติ 1975 รัฐบาลของส.ป.ป.ลาว ได้สร้างความคิดเรื่องชาตินิยมแบบใหม่ ในประเด็นดังต่อไปนี้
-มีการสร้างตราประเทศเป็นสัญลักษณ์ของประเทศขึ้นมาขึ้น โดยมีฟันเฟือง (อุตสาหกรรม) รวมข้าวและทุ่งนา (เกษตรกรรม) สายฟ้า (ความมั่งคั่ง) ดาวทอง (อนาคตที่โชติช่วง) ค้อนและเคียว (กรรมาชีพและชาวนา) เป็นพื้นฐานในการสร้างความเป็นหนึ่งของทุกชาติ ทุกเผ่า และทุกระดับ เพื่อป้องกันและสร้างประเทศ
-มีการกำหนดภาษาลาวให้เป็นภาษาพูดและภาษาราชการ มีการแต่งเพลงชาติใหม่ให้เน้นความหลากหลายทางชาติพันธุ์และต่อต้านนายทุน ศักดินา และจักรวรรดินิยมธงชาติแบบใหม่ที่มีแถบสีแดงบนล่างและมีสีน้ำเงินและดวงจันทร์อยู่ตรงกลาง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของอิสรภาพของลาว แทนที่แบบเดิมที่เป็นช้างและเศวตรฉัตร 9 ชั้น และการเปลี่ยนแปลงวันชาติ เป็นวันที่ 19 กรกฎาคม (วันที่ประกาศเอกราชจากฝรั่งเศส) วันรัฐธรรมนูญ 2 ธันวาคม (วันที่พรรคปฏิวัติลาวยึดอำนาจสำเร็จ)
-ชาตินิยมในกลุ่มชาติพันธุ์ รัฐบาลลาวได้พยายามรักษาความเสมอภาคและความหลากหลายของกลุ่มชาติพันธุ์ ทั้งการให้สิทธิในการทำงาน การศึกษาเล่าเรียน ทำให้ปัญหาเรื่องชาติพันธุ์ในลาวเบาบางลง

ช่วงการเปลี่ยนแปลงสู่ระบบเศรษฐกิจแบบใหม่ 1986-87
จากปัญหาทางเศรษฐกิจและปัญหาปากท้องที่เกิดหลังการปฏิวัติ 1975 นำมาสู่การประกาศใช้นโยบายทางเศรษฐกิจจิตนาการใหม่ (New Thinking) ที่เป็นแนวคิดแบบเสรีนิยมใหม่ที่เน้นการทำงานของกลไกตลาดและดำเนินเศรษฐกิจ ด้วยภาคเอกชน โดยในช่วงเวลาสำหรับแผนเศรษฐกิจใหม่นี้ รัฐบาลลาวได้ใช้นโยบายชาตินิยมควบคู่ไปด้วยเพื่อลดความไม่พอใจของประชาชนจาก ความล้มเหลวในการบริหารงาน โดยชาตินิยมในช่วงการเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจนี้มีสาระสำคัญในเรื่องการขอ ให้ประชาชนแสดงความอดทนและร่วมกันฝ่าฝันอุปสรรคต่างๆ เหมือนสมัยที่เคยร่วมมือกันภายใต้การนำของพรรคเพื่อกอบกู้เอกราชของชาติ
สำหรับชาตินิยมในช่วงการเปลี่ยนแปลงนี้ศัตรูหลักคือ ไทย แม้ไทยจะมีความสำคัญกับลาวอย่างมากในด้านการพัฒนาทุนนิยมในลาวและราชวงศ์ไทย มีความใกล้ชิดกับลาวในหลายด้าน เช่น โครงการพระราชดำริที่นายไกสอน พมวิหาน เข้ามาเยี่ยมชม รวมถึงการที่สมเด็จพระเทพฯ ที่เสด็จเยือนลาวและเขียนหนังสือถึงลาวสม่ำเสมอ แต่รัฐบาลลาวก็เกรงกลัวรัฐบาลไทยและอิทธิพลของไทย เช่น แนวคิดการปกครอง ประชาธิปไตย สิทธิเสรีภาพ และลัทธินิยมกษัตริย์ เป็นต้น
ตัวอย่างของชาตินิยมต่อต้านไทย เช่น การกล่าวหา นิโคล เทริโอ นักร้องไทยที่ตำหนิผู้หญิงลาวว่าสกปรก อีกทั้งการเขียนหนังสือ “ประวัติศาสตร์ลาว” ใหม่ให้ศัตรูของชาติทั้งยุคศักดินาและอาณานิคมคือ สยาม (ไทย) ฝรั่งเศส และอเมริกา อย่างไรก็ดี จากการที่ประชาชนลาวมีจิตใจรักชาติและจิตใจต่อสู้ ทำให้สามารถเอาชนะศัตรูได้ตลอดมา โดยตัวแสดงทางชาตินิยมของชาวลาวที่ต่อต้านไทย เช่น เจ้าฟ้างุ้มมหาราช ที่รวบรวมอาณาจักรล้านช้างและยิ่งใหญ่ที่สุดในภูมิภาคนี้ แม้กระทั่งพระเจ้าอู่ทองยังเกรงกลัวและต้องส่งลูกสาวไปสมรสด้วย และเจ้าอนุวงศ์ ที่เป็นกบฏต่อต้านไทยแม้ว่าจะเป็นองค์ประกันอยู่ที่กรุงธนบุรีตั้งแต่เล็ก เป็นต้น โดยกษัตริย์ทั้งสองได้ถูกสร้างเป้นอนุสาวรีย์สำคัญของลาว และเป็นการหยิบ “เลือก” ใช้กษัตริย์บางคนในการประดิษฐ์กรรมชาตินิยมขึ้นมาในลาวเพื่อต่อต้านและระมัด ระวังความสัมพันธ์กับไทย
นอกจากนี้ ยังมีการใช้ชาตินิยมร่วมกับพุทธศาสนาเพื่อปฏิรูปทางเศรษฐกิจ โดยพุทธศาสนาจะมีหน้าที่ในการแสดงให้เห็นถึง “ความเสื่อมโทรมของค่านิยมเดิม” หรือสิ่งที่ดีงามในอดีตของชนชาติลาวที่กำลังถูกทำลายลงด้วยวัฒนธรรมจากต่าง ชาติ เช่น การแต่งกาย เพลง ที่จะทำลายความเป็นตัวตนของชาติลาวไป โดยชาตินิยมพยายามชูศาสนาพุทธให้เป็นเอกลักษณ์ของชาติและความภาคภูมิใจวัน วัฒนธรรมทางพุทธอันดีงามของชนชาติลาว และสำคัญที่สุดคือการเปลี่ยนแปลงสัญลักษณ์ของลาวโดยใส่ “พระธาตุหลวง” ไปแทน “ค้อนและเคียว” ในตราประเทศ เพื่อแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่เน้นศาสนาพุทธมากกว่าสังคมนิยม และศาสนาพุทธก็ส่งเสริมเศรษฐกิจแบบทุนนิยม แต่ก็พยายามรักษาวัฒนธรรมดั่งเดิมอันดีงามของลาวเอาไว้
หลังจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจนี้ อาจกล่าวได้ว่าการเปลี่ยนจากระบบสังคมนิยมมาเป็นทุนนิยมและเปิดเสรีทาง วัฒนธรรม เป็นสิ่งที่ไม่สามารถดำรงอยู่หรือเปลี่ยนแปลงได้โดยตัวเอง แต่จำเป็นต้องอาศัยชาตินิยมและศาสนาเข้ามาสร้างความชอบธรรมในการเปลี่ยนแปลง ดังกล่าว
ส่วน “ชาตินิยม” แบบพม่า มีความแตกต่างกับชาตินิยมของลาวมาก เพราะชาตินิยมแบบพม่าเป็นการเน้นย้ำชนชาติพม่า โดยพลักชนกลุ่มน้อย เช่น กะเหรี่ยง ออกไปจากความเป็นพม่า โดยการเคลื่อนไหวของนักชาตินิยม (nationalist movement) ในพม่าที่เกิดขึ้นช่วง 1930s เป็นต้นมา เน้นประเด็นเรื่องอัตลักษณ์ของชาวพม่าและการต่อต้านชนกลุ่มน้อย อันเนื่องมาจากเหตุผลที่จักรวรรดินิยมอังกฤษที่ใช้หลักการแบ่งแยกและปกครอง (divide and rule)ให้พวกกะเหรี่ยงปกครองชาวพม่า ทำให้การต่อสู้เรื่องชาตินิยมในการปลดแอกของพม่าจึงต้องต่อต้านทั้งศัตรูภาย นอกคืออังกฤษและศัตรูภายในคือพวกกะเหรี่ยง โดยองค์กรนำในการต่อสู่เรื่องชาตินิยมของพม่าคือ “Dobama Asiayone” (แปลไทยคือกลุ่ม “พวกเราชาวพม่า”) ที่เคลื่อนไหวเพื่ออิสระภาพด้วยประเด็นชาตินิยม


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

อีกทั้งในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กลุ่ม Dobama Asiayone ยังเคลื่อนไหวเพื่อสนับสนุนญี่ปุ่นในการขับไล่พวกอังกฤษออกไปจากพม่า และกลุ่มดังกล่าวนี้ได้พัฒนาไปเป็นกลุ่ม AFPFL ของนายพลอองซาน ที่ยังคงใช้ประเด็นเรื่องชาตินิยมในการเคลื่อนไหวต่อสู้กับอังกฤษ และพยายามปรับความเข้าใจกับกลุ่มกะเหรี่ยง โดยในปี 1945 ได้เจรจากับองค์การกลางกะเหรี่ยง (The Karen Central Organization, KCO) แต่หลังจากที่นายพลอองซานถูกลอบสังหารทำให้การเจรจากับกะเหรี่ยงยากลำบาก ยิ่งขึ้น อีกทั้งความอ่อนไหวของกลุ่มกะเหรี่ยงที่ได้รับความรู้และอาวุธจากอังกฤษ (กะเหรี่ยงคริสต์) ก็ได้มีการรวมกลุ่มเพื่อต่อสู้กับรัฐบาลกลาง ซึ่งหลักจากช่วงเวลาดังกล่าวภายใต้การปกครองของรัฐบาลนายพลเนวินและรัฐบาล ทหารตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็มีนโยบายในการในการปราบปรามชนกลุ่มน้อยอย่าง รุนแรง ในขณะเดียวกันชนกลุ่มน้อยก็ได้ตั้งกองกำลังในการต่อสู้เพื่อเอกราชของตนเอก เช่นกัน
กล่าวโดยสรุปคือ ชาตินิยมแบบลาว เน้นความสามัคคีเรื่องชาติพันธุ์และสร้างแนวร่วมในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยการแบ่งแยกและปกครองของอเมริกากลับเลือกชนชั้นนำทางการเมืองฝ่ายขวา มากกว่ากลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ ทำให้การสร้างแนวร่วมทางชาตินิยมของลาวกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นทำได้ง่าย แต่ชาตินิยมแบบพม่า กลับเน้นที่เรื่องของอัตลักษณ์ของชาวพม่าแต่เพียงชนชาติเดียวโดยชาติพันธุ์ อื่นๆกลายเป็นศัตรู ซึ่งเป็นผลมาจากการแบ่งแยกและปกครองของอังกฤษ ที่ใช้ชนกลุ่มน้อยพวกกะเหรี่ยงเป็นผู้ปกครองชาวพม่าในยุคอาณานิคม
4. ทุนนิยมแบบเสรีนิยมใหม่ เปรียบเทียบลาวและพม่า!!!
เศรษฐกิจแบบเสรีนิยมใหม่ (neo-liberalism) ที่เน้นการทำงานของกลไกตลาดและการแทรกแซงของรัฐต้องมีน้อยที่สุดและมีเพื่อ ทำให้ตลาดทำงานอย่างเป็นปกติเท่านั้น โดยกระแสของทุนนิยมแบบเสรีนิยมใหม่เกิดขึ้นในช่วง 1970 เป็นต้นมา และกระจายไปสู่ประเทศต่างๆ ทั้งไทย (ช่วงเปรม) พม่า และลาว โดยประเทศลาวหลังจากการปฏิวัติ 1975 ได้นำระบบเศรษฐกิจแบบรวมศูนย์อำนาจไว้ที่รัฐ รัฐบาลได้ออกกฎหมายจำนวนมากในการควบคุมการประกอบธุรกิจของเอกชน ควบคุมการเคลื่อนย้ายสินค้าและแรงงาน ยึดกิจการของเอกชน ใช้การผูกขาดการค้าในและระหว่างประเทศโดยรัฐ อีกทั้งยังขึ้นภาษีอัตราก้าวหน้าเพื่อรองรับการข้ออ้างเรื่องการพัฒนาโดยรัฐ และประกาศใช้นโยบายการสร้างกรรมสิทธิ์ร่วม (Collectivization) หรือที่รู้จักกันในชื่อว่าระบบนารัฐ-นารวม (Collectivized agriculture) จัดตั้งสหกรณ์ทั้วประเทศ อันหมายถึงระบบเศรษฐกิจที่แต่เดิมเป็นของเอกชนและชุมชน ต้องเปลี่ยนแปลงมาสู่การควมคุมโดย “แผน” ของรัฐส่วนกลาง
อย่างไรก็ดี ระบบเศรษฐกิจโดยรัฐเช่นนี้สร้างความเสียหายอย่างมากให้กับประเทศ เนื่องด้วยเงินช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกาที่เคยได้รับก่อนการปฏิวัติ 1975 ที่หายไป และผู้ช่วยเหลือด้านเงินทุนอย่างจีนและเวียดนามก็กลับกลายมาเป็นศัตรูเพราะ กรณีการบุกยึดกัมพูชาปี 1978 ทำให้ลาวต้องพึ่งพิงตนเอง และรัฐบาลไม่มีสมรรถภาพเพียงพอในการดูแลระบบเศรษฐกิจของประเทศ ตัวอย่างเช่น ระบบสหกรณ์ที่เคยจัดตั้งขึ้น 2500 แห่งถูกยุบเหลือ 60 แห่งที่สามารถดำเนินการได้ จากความเสียหายทางเศรษฐกิจดังกล่าวทำให้การประชุมสมัชชาใหญ่ของพรรคฯ ครั้งที่ 4 ในปี 1986 ได้มีการประกาศใช้นโยบายทางเศรษฐกิจใหม่ทีชื่อว่า จิตนาการใหม่ (New Thinking) ต่อมาเรียกว่ากลไกเศรษฐกิจใหม่ (New Economic Mechanism)
กลไกเศรษฐกิจใหม่มีฐานคิดแบบทุนนิยมเสรีนิยมใหม่ (Neo-Liberalism) ที่ใช้ “กลไกตลาด” ในการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ โดยประเทศลาวได้นำระบบทุนนิยมแบบตลาดเสรีมาใช้ประยุกต์กับการปกครองที่รวม ศูนย์อำนาจไว้ที่พรรคฯ และรัฐส่วนกลางโดยรัฐได้มีแนวทางในการผ่อนคลายการใช้แผนจากส่วนกลางให้มีขอบเขตเพียงการ ปกครอง ส่วนวิสาหกิจของรัฐสามารถมีแผนของตัวเอง มีการกระจายอำนาจการตัดสินใจให้กับหน่วยงานของรัฐ และเปิดเสรีทางการค้าให้แก่เอกชน ใช้กลไกตลาดในการแลกเปลี่ยนสินค้า ให้อิสระกับผู้ประกอบการ ส่งเสริมการท่องเที่ยว มีการค้าระหว่างประเทศมากขึ้นและเพิ่มเครื่องมือทางการเงิน ทั้งสินเชื่อ อัตราดอกเบี้ย และส่งเสริมการลงทุน] การกระทำดังกล่าวจึงเป็นการเปิดระบบเศรษฐกิจให้กับ “กลไกตลาด” มากขึ้นสำหรับผู้ประกอบการในประเทศ และมีการค้าระหว่างประเทศที่คู่ค้าสำคัญที่สุดก็คือประเทศไทย (ส่วนแบ่งทางการตลาดร้อยละ 34 ในการลงทุนทั้งหมดของลาว
ข้อถกเถียงเกี่ยวกับการใช้ระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมใหม่ในลาวมีทั้งด้าน ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ด้านที่เห็นด้วยมองว่าการส่งเสริมเศรษฐกิจเช่นนี้ทำให้ประเทศลาวมีการพัฒนา อย่างต่อเนื่อง GDP เติบโตร้อยละ 6-7 อย่างต่อเนื่องทุกปี มีการลงทุนจากต่างชาติมากมาย ทำให้เกิดการแข่งขันในการผลิตสินค้าและการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนด้วย การสร้างรายได้จากการประกอบกิจการของเอกชน การท่องเที่ยว มีคุณภาพชีวิตที่ดี สาธารณูปโภคและสุขอนามัย รวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศและการบริโภคสินค้าของประชาชนใน ราคาที่เหมาะสม แต่ในด้านที่ไม่เห็นด้วยกับระบบเศรษฐกิจเช่นนี้ ก็กล่าวว่าการพัฒนาตามทุนนิยมเสรีนิยมใหม่ทำให้เกิดการขูดรีดแรงงานมากขึ้น มีการลดงบประมาณรัฐที่เป็นประโยชน์ของประชาชน เช่น ระบบสาธารณสุขและการศึกษา การคอรัปชั่นในรัฐบาล ระบบอุปถัมภ์ของนักธุรกิจและข้าราชการ การทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จากการสร้างโรงไฟฟ้าและเขื่อน อีกทั้งยังถูกขูดรีดจากทุนภายนอกประเทศทั้งจากไทยและสหรัฐอเมริกา(คู่ค้าอับดับ 1 และ 2)
ข้อถกเถียงทั้งสองทำให้เข้าในสภาพทางเศรษฐกิจของประเทศลาวที่เป็นอยู่ ถึงอย่างไรก็ตามรัฐบาลและประชาชนก็ยังสนับสนุนระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมแบบ เสรีนิยมใหม่ เพราะการเติบขึ้นของประเทศทั้งทางเศรษฐกิจและสังคมทำให้คุณภาพชีวิตของ ประชาชนลาวดีขึ้นและมีโอกาสในชีวิตมากขึ้น อีกทั้งประกอบกับความหวาดกลัวความล้มเหลวทางเศรษฐกิจโดยรัฐทำให้ประชาชนสนับ สนุนแนวทางแบบเสรีนิยมใหม่ในการพัฒนาประเทศ
ส่วนพม่า แม้หลังจากการขึ้นมาของนายพลเนวินที่กล่าวอ้างว่าเป็นนักสังคมประชาธิปไตย ได้วางระบบเศรษฐกิจของพม่าให้รวมศูนย์อยู่ที่รัฐ หน่วยการผลิตทั้งหมดและแผนการผลิตถูกกำหนดโดยรัฐส่วนกลาง ต่อมาปัญหาทางเศรษฐกิจและการเคลื่อนไหวของขบวนการประชาธิปไตยในปี 1988 ทำให้รัฐบาลทหารพยายามปฎิรูปเศรษฐกิจให้เป็นไปในแบบเสรีนิยมใหม่ที่อาศัย กลไกตลาดและการทำงานของภาคเอกชนในการดูแลการผลิตและการแลกเปลี่ยนแปลงในระบบ เศรษฐกิจของพม่า (ช่วงเวลาเดียวกับที่ลาวใช้นโยบายจิตนาการใหม่) รวมไปถึงการเกิดขึ้นของ The Union of Myanmar Foreign Investment Law ในปี 1988 ที่ยินยอมให้ชาวต่างชาติเป็นเจ้าของกิจการทั้งหมด หรือร่วมทุนกับบุคคลธรรมดา หรือนิติบุคคลชาวพม่า โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องมีเงินลงทุนจากต่างประเทศไม่น้อยกว่าร้อยละสามสิบห้า ของเงินลงทุนทั้งหมด
ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ นอกจากพม่าและลาวแล้วยังมีเวียดนามที่ทำการปฏิรูปนโยบายเศรษฐกิจแบบ “รื้อฟื้น” (Doi Moi) ในปี 1986 ที่ใช้กลไกตลาดเสรี การลงทุนจากต่างประเทศ พัฒนาประเทศด้วยอุตสาหกรรมแบบส่งออกผ่านวิสาหกิจทั้งในและนอกประเทศ และลดบทบาทรัฐในการควบคุมเศรษฐกิจ ซึ่งเช่นเดียวกับไทยสมัยพลเอกเปรมที่รัฐไม่เข้าแทรงแซงเศรษฐกิจ โดยปล่อยให้กลไกตลาดทำงานผ่านการลงทุน กิจกรรมของภาคเอกชน และการผลิตเพื่อส่งออก ซึ่งสอดคล้องกับอินโดนิเซียตั้งแต่ปี 1966 เป็นต้นมา นอกจากจะให้ความสำคัญกับการสร้างความมั่นคงทางการเมืองให้กับชนชั้นผู้ ปกครองใหม่และการล้างอิทธิพลคอมมิวนิสม์อย่างถอนรากถอนโคนแล้ว รับบาลของซูฮาโตยังถูกกลุ่มประเทศเจ้าหนี้ (Inter-Government Group on Indonesia: IGGI) 13 ประเทศ โดยมีเนเธอร์แลนด์เป็นประธานกลุ่ม จึงทำให้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และธนาคารโลก (IBRD) กดดันและบีบบังคับให้อินโดนิเซียต้องปรับเปลี่ยนนโยบายทางเศรษฐกิจแบบชาติ นิยม (economic nationalism) ที่เคยใช้มาตลอดหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มาเป็นเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมใหม่ (neo-liberalism) ที่หันมาใช้กลไกตลาดและมือที่มองไม่เห็นทางเศรษฐกิจ (laissez-faire) เพื่อให้สอดคล้องกับเงื่อนไขของกลุ่มเจ้าหนี้ ทำให้เกิดการลงทุนจากต่างชาติ การพัฒนา และการผลิตเพื่อการส่งออก ซึ่งเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจของอินโดนิเซียโดยเชื่อมโยงกับกระแสเศรษฐกิจโลก
ทั้งหมดนี้จึงทำให้เห็นประเด็นทางการเมืองสำคัญที่สะท้อนภาพของการเมือง เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ดีพอสมควร ผ่านการศึกษาประเทศลาวและเปรียบเทียบกับประเทศพม่า ทั้งในเรื่องชนชั้นนำ ศาสนา ชาตินิยม และเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมใหม่

ส่วนที่ 2:
นอกจากประเด็นที่กล่าวไว้ในส่วนแรก การเมืองเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังมีเรื่องสำคัญที่ต้องพิจารณาอีก 2 ประเด็นคือ ประชาธิปไตย และทหารในการเมือง ที่จะกล่าวต่อไปนี้=
1. ประเด็นเรื่องประชาธิปไตยกับการเมืองเอเชียตะวันออกเฉียงใต้!!!
จากส่วนแรกที่ศึกษาเปรียบเทียบการเมืองลาวและพม่าพบว่าการเปลี่ยนแปลงและ เสถียรภาพทางการเมืองจะขึ้นอยู่กับความเป็นหนึ่งเดียวกันขอชนชั้นนำ ซึ่งในประเด็นเรื่องประชาธิปไตยในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีความสัมพันธ์ อย่างยิ่งกับชนชั้นนำ อีกทั้งประธิปไตยในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีหลายรูปแบบ ทั้งประชาธิปไตยที่มีเสถียรภาพ (consolidated democracy) เช่น ฟิลิปปินส์และไทย ประชาธิปไตยครึ่งใบ (semi-democracy) เช่น มาเลเชียและสิงคโปร์ ประชาธิปไตยแบบจอมปลอม (pseudo-democracy) เช่น กัมพูชา และประชาธิปไตยแบบชี้นำ (Guided democracy) เช่น อินโดนิเชีย
นักวิชาการด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเชี่ยวชาญประเทศอินโดนิเซียอ ย่าง Harold Crouch เห็นว่าการร่วมมือกันของชนชั้นนำอาจเป็นอุปสรรคในการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง แม้ว่าจะมีหลายปัจจัยที่ส่งผลให้การเมืองเปลี่ยนแปลง ในทางตรงข้าม ถ้าขาดความเป็นหนึ่งเดียวของชนชั้นนำอาจเป็นการฉุดรั้งไม่ให้สังคมเป็นเสรี และประชาธิปไตย หรืออาจกล่าวได้ว่าประชาธิปไตยและการเมืองที่สมดุลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะเกิดขึ้นเมื่อชนชั้นนำมีความเป็นหนึ่งเดียวกัน โดยชนชั้นนำอาจแสวงหาความชอบธรรมจากระบบพรรคเดียวและใช้นโยบายชาตินิยม เช่น ลาว เวียดนาม หรืออาจหาความชอบธรรมด้วยระบบเลือกตั้ง เช่น ไทย ฟิลิปปินส์ โดยอาจสรุปความสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นนำและประชาธิปไตยได้ดังนี้
ความเป็นหนึ่งเดียวกันของชนชั้นนำ (Elite cohesion) ความแตกแยกของชนชั้นนำ (Elite disunity)
สังคมที่ประชาชนไม่ตื่นตัว (Quiescent constituents) เผด็จการอำนาจนิยมที่มีเสถียรภาพ (Stable authoritarianism) เผด็จการอำนาจนิยมที่ไร้เสถียรภาพ (Unstable authoritarianism)
สังคมที่ประชาชนมีส่วนร่วม (Participatory society) ประชาธิปไตยที่มีเสถียรภาพ (Stable democracy) ประชาธิปไตยที่ไร้เสถียรภาพ (Unstable democracy)
(แผนภาพแสดงความสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นนำและประชาธิปไตย)
จากแผนภาพทำให้เห็นว่าการศึกษาประชาธิปไตยในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต้อง คำนึงถึงระบอบที่มี “เสถียรภาพ” หรือ “ไร้เสถียรภาพ” ที่ตัวแปรคือความเป็นหนึ่งเดียวกันของชนชั้นนำ ส่วนในด้านประชาธิปไตยต้องดูว่าสังคมมีวัฒนธรรมการเมืองที่การมีส่วนร่วมมี มากแค่ไหน หรือประชาชนเป็นเพียงผู้ที่ไม่ตื่นตัวทางการเมือง ตัวแปรดังกล่าวจึงสามารถนำมาศึกษาการเมืองและประชาธิปไตยในเอเชียตะวันออก เฉียงใต้ได้
2. ประเด็นเรื่องทหารกับการเมืองเอเชียตะวันออกเฉียงใต้!!!
ประเด็นสำคัญในการเมืองเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกประการหนึ่งคือ ทหารและความสัมพันธ์ของทหารในการเมือง ทั้งในประเทศที่ปกครองด้วยทหารโดยตรง เช่น พม่า หรือทหารร่วมกับชนชั้นนำของประเทศในการปกครองโดยอ้อม เช่น ไทย ลาว กัมพูชา บรูไน ฯลฯ ไม่ว่าจะรัฐบาลจะเกิดขึ้นโดยทหาร หรือทหารเข้าไปมีผลประโยชน์ในทางการเมืองและเศรษฐกิจร่วมกันรัฐบาล หากพิจารณาเชิงประวัติศาสตร์แล้ว ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้ความสำคัญกับทหารที่เป็น “กองทัพสมัยใหม่” ที่ขึ้นกับรัฐส่วนกลางอย่างมาก เพราะเป็นภูมิภาคที่มีสงครามตลอดเวลาทั้งจากเจ้าอาณานิคม การปลดเอกตนเอง และสงครามกับพรรคคอมมิวนิสม์
ทหารมีความสำคัญในฐานะที่เป็นเครื่องมือของรัฐที่มักจะถูกผลัดดันด้วย อุดมการณ์ “ชาตินิยม” เพื่อจัดการกับศัตรูของชาติ เช่น ในไทยกรณีการปกครองด้วยรัฐบาลทหารของจอมพลสฤษดิ์ ที่ใช้กำลังทหารปราบปรามศัตรูของชาติทั้งพรรคคอมมิวนิสม์และกบฎในภาคเหนือ และอีสาน หรือกรณีทหารพม่าที่ใช้นโยบายชาตินิยมในการจัดการกับชนกลุ่มน้อย และทหารพม่ามีทั้งกำลังที่เป็นอาวุธทางกายภาพ และมีอำนาจในทางความรู้และชาตินิยมผ่านการกล่อมเกลาทางอุดมการณ์และวัฒนธรรม โดยภายในกองทัพได้มีหน่วยงานยุทธศาสตร์ (Office of Strategic Studies) ที่เป็นถังความคิดเรื่องชาตินิยมและการยัดเยียดความรู้ชุดหนึ่งให้กับ ประชาชน
อย่างก็ดี หลายครั้งที่ทหารเข้ามามีส่วนร่วมใน “การพัฒนา” ประเทศทั้งในทางเศรษฐกิจและสังคม เช่น ไทยสมัยจอมพลสฤษดิ์ที่มีการวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พม่าในสมัยนายพลเนวิลที่วางนโยบายการพัฒนาสู่สังคมนิยม (Burmese Road to Socialism) และฟิลิปปินส์สมัยมาร์กอสที่มีนโยบายสังคมใหม่ (New Society) เพื่อพัฒนาประเทศให้เป็นหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยการปฏิรูป เศรษฐกิจระดับรากหญ้า ให้สวัสดิการคนจน และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ที่มักถูกวิจารณ์เป็นนโยบายประชานิยมต้นแบบของภูมิภาคที่มีการคอรัปชั่นและ เอื้อประโยชน์ให้กับพวกพ้อง (crony capitalism) อย่างมหาศาล
กล่าวโดยรวมคือ แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างทหารและการเมืองจะเกิดขึ้นเนื่องมาจากผลของยุค หลังอาณานิคม (post-colonialism) ที่ทำให้ทหารต้องเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมือง หรือพยายามเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์จากการอยู่ในการเมืองของเอเชียตะวันออก เฉียงใต้ ทหารหรือกองทัพถือว่าเป็นกลไกของรัฐ (state apparatus) ที่อยู่คู่กับการเมืองตลอด ต่างจากรัฐบาลและนักการเมืองที่ที่ถือครองอำนาจได้ชั่วคราว ประเด็นสำคัญจึงคือรัฐบาลสามารถประนีประนอมกับกองทัพได้เพียงใด หรือควบคุมกองทัพได้หรือไม่ หรือจะให้กองทัพขึ้นมาปกครองเอง!!!




__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

www.siengserixonlao.com

http://www.youtube.com/watch?v=0DD50VcU-k0&feature=email&email=comment_reply_received

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

สิ่งที่งานวิจัยได้สะท้อนถึงปรากฏการณ์เมียเช่านี้ คือ สังคมชนบทให้การต้อนรับ! แสดงความชื่นชมยินดีไปกับหญิงบริการ!!! เพื่อนบ้านจะมองว่าทหารอเมริกันเป็นบุคคลที่น่านับถือ! ทหารอเมริกันเป็นบุคคลที่มีความรับผิดชอบต่อภรรยา! ให้การเลี้ยงดูอุปการะแก่ญาติพี่น้องของภรรยา! และ ประเด็นหนึ่งที่ส่งผลมาถึงยุคปัจจุบันของปรากฏการณ์เมียเช่า คือความสำเร็จทางด้านเศรษฐกิจและสังคมของบรรดาเมียเช่า โดยวัดจากการยอมรับของคนในหมู่บ้าน ได้กลายมาเป็นแบบอย่างของเส้นทางการดำเนินชีวิตภายหลังจากการมีปัญหาครอบครัว!!!
เหตุผลของการเข้าสู่ธุรกิจการขายบริการทางเพศของหญิงอีสานจนกระทั่งเปลี่ยน รูปมาเป็นความสัมพันธ์ฐานะกึ่งสามีภรรยากับชายชาวต่างชาตินั้น จะเห็นได้ว่ามาจากสภาพทางเศรษฐกิจ ค่านิยมของการมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สงครามเวียดนามมิได้เพียงแต่เป็นจุดกำเนิดของการเจริญเติบโตของการขายบริการทางเพศสำหรับนักท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ยังเป็นจุดกำเนิดของการเปลี่ยนแปลงค่านิยมของผู้หญิงไทบางกลุ่ม โดยเฉพาะผู้หญิงในภาคอีสานให้เห็นว่า การเป็นเมียเช่าของทหารอเมริกันนำมาซึ่งความสะดวกสบายและมีรายได้มาจุนเจือครอบครัว! แต่ในขณะเดียวกันนั้น ภาพอีกมุมมองหนึ่งจากการที่ผู้เขียนเคยได้มีโอกาสพูดคุยกับชาวบ้านในหมู่ บ้านแถบชานเมืองขอนแก่น พบว่าความรู้สึกอีกด้านของชาวบ้านที่มีต่อผู้หญิงที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็น เมียเช่า! นั้นกลับเป็นไปในทางลบ อาทิเช่น เป็นหญิงกล้าช่ำชองเรื่องเพศ เป็นหญิงที่ผ่านการแต่งงานมาแล้ว ต้องการแค่เงิน และไม่รักจริง เป็นการขัดต่อประเพณีและวัฒนธรรมอันดีงามของสังคมชนบทอีสาน ที่ผู้หญิงต้องเป็นกุลสตรี รักนวลสงวนตัว ดังนั้น การเข้าสู่ธุรกิจการขายบริการทางเพศหรือการเป็นเมียเช่าของทหารอเมริกันถึง จะเป็นทั้งเรื่องที่น่าชื่นชมยินดี แต่ก็เป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะขัดกับความรู้สึกของชาวบ้านบางกลุ่มที่เคร่งใน เรื่องของขนบธรรมเนียมประเพณีของชุมชนอีสานดั้งเดิม!!!

เมื่อสงครามเวียดนามสิ้นสุดลงเมื่อปลายเดือนเมษายน พ.ศ. 2518 ทหารอเมริกันหมดภารกิจที่จะต้องประจำอยู่ในประเทศไทย หลายคนได้แต่งงานกับเมียเช่าเหล่านี้ หรือจดทะเบียนสมรสกันที่สถานกงศุลอเมริกาและพากลับประเทศของตน การกระทำดังกล่าวนี้มีผลกระตุ้นให้ผู้หญิงส่วนหนึ่งมองเห็นว่า อาชีพเมียเช่า เป็นอาชีพที่มีอนาคต! บางครั้งโชคดีก็อาจจะได้ไปอยู่ประเทศสหรัฐอเมริกา! เมียเช่าอีกส่วนหนึ่งที่ทหารอเมริกันได้เลิกสัญญาจ้าง เนื่องจากต้องกลับประเทศก็จะแสวงหาทหารอเมริกันรายใหม่ที่จะมาจ้างให้เป็น เมียเช่า คนต่อไป ทำให้หญิงเหล่านี้ได้เข้าสู่วงจรของการขายบริการทางเพศอย่างถาวร ทั้งเมียเช่าและหญิงบริการที่ต่อมาได้แต่งงานไปกับชาวต่างชาตินั้น มีลักษณะเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง คือ ส่วนใหญ่เป็นชาวอีสาน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีวัฒนธรรมผูกพันกับถิ่นฐานเดิม ผู้หญิงเหล่านั้นเมื่อไปอยู่ต่างประเทศก็จะส่งเงินมาช่วยเหลือครอบครัว!ทำให้ครอบครัวกลับพลิกฐานะขึ้นมาเป็นครอบครัวที่มีฐานะดี! นอกจากนี้หญิงเหล่านี้ก็จะหาโอกาสกลับมาเยี่ยมบ้านเกิด เมื่อมาเยี่ยมก็จะมาในสถานภาพทางสังคมที่สูงกว่าเดิม และมักจะเล่าแต่ในสิ่งที่ดีๆ ที่ตนประสบความสำเร็จเท่านั้น การเล่าประสบการณ์ต่างๆ ของหญิงเหล่านี้จะเล่าให้เพื่อนสนิทฟัง แต่เพื่อนสนิทเหล่านี้ส่วนใหญ่ก็จะแต่งงานมีครอบครัวแล้ว เมื่อฟังจบก็ได้แต่มีความชื่นชมในความสำเร็จของเพื่อน จากปากของเพื่อนฝูงก็มีการบอกเล่าต่อๆ กันไปจนทั่วหมู่บ้าน!!!



__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

เมียฝรั่ง(TAI ESAAN) วัฒนธรรมสมัยนิยมในสังคมไทย!!!


การแต่งงานระหว่างผู้หญิงไทยกับผู้ชายชาวต่างชาติ โดยเฉพาะผู้หญิงภาคอีสาน ซึ่งกำลังเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมที่ประจักษ์แก่สายตาของคนไทยทั่วไปอยู่ใน ขณะนี้นั้น บทความชิ้นนี้ต้องการสะท้อนถึงความเป็นมาของปรากฏการณ์ พลวัตของการเปลี่ยนแปลง ตลอดจนผลกระทบทางด้านวัฒนธรรมที่ตามมา อาทิ ค่านิยมของผู้หญิงที่เปลี่ยนแปลไปจากอดีต!!! การปรับตัวของผู้หญิงต่อการเปลี่ยนสถานะของตนเอง การผสมผสานทางวัฒนธรรม ปรากฏการณ์นี้ ผู้เขียนจะขอใช้คำว่า "เมียฝรั่ง"(TAI OR LAO ESAAN) เพื่อให้ง่ายต่อการสื่อสาร !!!

ปรากฏการณ์เมียฝรั่งนับว่าเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวมากในปัจจุบันที่เราได้เห็น ได้ยิน หรือกระทั่งได้สัมผัส เพราะบางครั้งเป็นญาติ เป็นพี่ เป็นน้อง หรือกระทั่งเพื่อนของเราเอง เมื่อพิจารณาดูให้ดี ปรากฏการณ์นี้มีสาเหตุ มีเงื่อนงำหลายอย่างซ่อนเร้นอยู่!!! บทความชิ้นนี้หวังอย่างยิ่งว่าจะก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยน เรียนรู้ในวงกว้าง เพื่อสร้างความเข้าใจของ "คน" ในสังคมต่อพฤติกรรมของ "คน" กลุ่มหนึ่ง และหวังด้วยว่า จะสามารถเปิดบางมุมของสังคมที่ยังไม่เคยถูกเปิด!!! และลดอคติบางอย่างของคนได้บ้าง และท้ายที่สุด บทความชิ้นนี้น่าจะเข้าถึงส่วนเสี้ยวของความจริงที่อยากจะนำเสนอให้ผู้อ่าน ได้ร่วมรับรู้ และร่วมไตร่ตรอง!!!

หากเราย้อนเวลากลับไปกว่า 40 ปีที่ผ่านมา คือ ตั้งแต่ยุคสงครามเวียดนาม พ.ศ. 2503 ช่วงเวลานั้นนับเป็นจุดเริ่มต้นของปรากฏการณ์เมียฝรั่ง ด้วยเหตุผลทางยุทธศาสตร์ทำให้ภาคอีสานถูกเลือกให้เป็นสถานที่ตั้งฐานทัพของทหารอเมริกัน เมื่อมีทหารอเมริกันจำนวนมาก ความต้องการบริการทางเพศของทหารอเมริกันก็มีมากขึ้นตาไปด้วย ผู้หญิงจากหมู่บ้านของภาคอีสานจึงเข้าสู่วงจรนี้ด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจ คือ ความต้องการเงิน!งานวิจัยเรื่อง ลักษณะและความสัมพันธ์ของนักท่องเที่ยวและผู้ขายบริการทางเพศในประเทศไทย!!! พบว่า ยุคของสงครามเวียดนามนั้น เป็นที่มาของค่านิยมที่ว่า การได้แต่งงานกับชาวต่างชาตินั้นผู้หญิงมักจะประสบความสำเร็จในชีวิต! มีอนาคตที่ดีกว่า! ประกอบกับรสนิยมของทหารอเมริกันที่เปลี่ยนไป คือ มีความต้องการหญิงจากภาคอีสานที่มีผิวสีน้ำตาล ซึ่งจากเดิมตลาดบริการทางเพศจะเป็นหญิงจากภาคเหนือที่มีผิวขาว หน้าตาสะสวย การเข้าสู่การเป็นหญิงบริการให้กับทหารอเมริกันของหญิงอีสานนี้ ผู้หญิงจะต้องสามารถออกเที่ยวหรือไปทำกิจกรรมต่างๆ ที่สนุกสนานร่วมกับทหารอเมริกันด้วย! ไม่ใช่แค่การมีกิจกรรมทางเพศเท่านั้น และที่สำคัญต้องเป็นหญิงที่มีความสมัครใจ งานศึกษาชิ้นเดียวกันนี้ยังได้ชี้ว่าลักษณะความสัมพันธ์ที่เริ่มจากการขายบริการทางเพศ!!! ได้พัฒนาไปสู่ความสัมพันธ์แบบกึ่งสามี-ภรรยาระหว่างทหารอเมริกันกับผู้หญิง อีสาน คือ เปลี่ยนรูปแบบความสัมพันธ์จากการเป็นเพียงเพื่อนเที่ยว เพื่อนนอน ไปเป็นความรู้สึกผูกพันกันทางจิตใจ และรูปแบบความสัมพันธ์นี้คือที่มาของคำว่า เมียเช่า!!! ผู้คนในยุคสมัยนั้นต่างเรียกขาน

สิ่งที่งานวิจัยได้สะท้อนถึงปรากฏการณ์เมียเช่านี้ คือ สังคมชนบทให้การต้อนรับ! แสดงความชื่นชมยินดีไปกับหญิงบริการ!!! เพื่อนบ้านจะมองว่าทหารอเมริกันเป็นบุคคลที่น่านับถือ! ทหารอเมริกันเป็นบุคคลที่มีความรับผิดชอบต่อภรรยา! ให้การเลี้ยงดูอุปการะแก่ญาติพี่น้องของภรรยา! และ ประเด็นหนึ่งที่ส่งผลมาถึงยุคปัจจุบันของปรากฏการณ์เมียเช่า คือความสำเร็จทางด้านเศรษฐกิจและสังคมของบรรดาเมียเช่า โดยวัดจากการยอมรับของคนในหมู่บ้าน ได้กลายมาเป็นแบบอย่างของเส้นทางการดำเนินชีวิตภายหลังจากการมีปัญหาครอบครัว!!!
เหตุผลของการเข้าสู่ธุรกิจการขายบริการทางเพศของหญิงอีสานจนกระทั่งเปลี่ยน รูปมาเป็นความสัมพันธ์ฐานะกึ่งสามีภรรยากับชายชาวต่างชาตินั้น จะเห็นได้ว่ามาจากสภาพทางเศรษฐกิจ ค่านิยมของการมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สงครามเวียดนามมิได้เพียงแต่เป็นจุดกำเนิดของการเจริญเติบโตของการขายบริการทางเพศสำหรับนักท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ยังเป็นจุดกำเนิดของการเปลี่ยนแปลงค่านิยมของผู้หญิงไทบางกลุ่ม โดยเฉพาะผู้หญิงในภาคอีสานให้เห็นว่า การเป็นเมียเช่าของทหารอเมริกันนำมาซึ่งความสะดวกสบายและมีรายได้มาจุนเจือครอบครัว! แต่ในขณะเดียวกันนั้น ภาพอีกมุมมองหนึ่งจากการที่ผู้เขียนเคยได้มีโอกาสพูดคุยกับชาวบ้านในหมู่ บ้านแถบชานเมืองขอนแก่น พบว่าความรู้สึกอีกด้านของชาวบ้านที่มีต่อผู้หญิงที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็น เมียเช่า! นั้นกลับเป็นไปในทางลบ อาทิเช่น เป็นหญิงกล้าช่ำชองเรื่องเพศ เป็นหญิงที่ผ่านการแต่งงานมาแล้ว ต้องการแค่เงิน และไม่รักจริง เป็นการขัดต่อประเพณีและวัฒนธรรมอันดีงามของสังคมชนบทอีสาน ที่ผู้หญิงต้องเป็นกุลสตรี รักนวลสงวนตัว ดังนั้น การเข้าสู่ธุรกิจการขายบริการทางเพศหรือการเป็นเมียเช่าของทหารอเมริกันถึง จะเป็นทั้งเรื่องที่น่าชื่นชมยินดี แต่ก็เป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะขัดกับความรู้สึกของชาวบ้านบางกลุ่มที่เคร่งใน เรื่องของขนบธรรมเนียมประเพณีของชุมชนอีสานดั้งเดิม!!!



__________________
« First  <  Page 5  >   Last »  sorted by
 
Quick Reply

Please log in to post quick replies.



Create your own FREE Forum
Report Abuse
Powered by ActiveBoard