ລາວໂຮມລາວ ເພື່ອປະຊາທິປະໄຕ

Members Login
Username 
 
Password 
    Remember Me  
Post Info TOPIC: ພວກຜູ້ນຳລາວຂາຍຊາດ ຂາຍແຜ່ນດິນ
Anonymous

Date:
RE: ພວກຜູ້ນຳລາວຂາຍຊາດ ຂາຍແຜ່ນດິນ
Permalink   
 


สถานการณ์สงครามอิรัก หลังการโค่นล้ม ซัดดัม ฮุสเซ็น!!!
เหตุและผลของการทำสงครามรุกรานอิรัก:ของสหรัฐ อเมริกา ก่อนที่สหรัฐอเมริกาจะทำสงครามรุกรานประเทศอิรักเพื่อโค่นอำนาจประธานาธิบดี ซัดดัม ฮุสเซ็น นั้น ประธานาธิบดี จอร์จ บุช ได้อ้างเหตุผลหลัก 2 ประการต่อชาวอเมริกันและชาวโลกคือ

อิรักมีอาวุธทำลายร้ายแรง Weapons of Mass Destruction – WMD ไว้ในครอบครอง
ซัดดัม ฮุสเซ็น ผู้นำของอิรักให้การสนับสนุน กลุ่มก่อการร้ายอัลกออิดะ Al-Qaedaของ โอซามะ บิน ลาเด็น
แต่หลังจากสหรัฐอเมริกาได้โค่นล้มประธานาธิบดีซัด ดัมและได้เข้ายึดครองอิรักเป็นเวลานานกว่าหนึ่งปี ปรากฏว่าไม่พบหลักฐานดังกล่าวตามที่ประธานาธิบดีบุชได้กล่าวอ้างแต่อย่างใด คณะกรรมาธิการข่าวกรองของวุฒิสภาของสหรัฐอเมริกา Senate Intelligence Committee ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อตรวจสอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ ได้ข้อสรุปและเปิดเผยต่อคนอเมริกันและชาวโลกอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ.2547 ว่า สหรัฐอเมริกาได้รุกรานอิรักโดยอาศัยข้อมูลข่าวกรองที่ล้าสมัย ไม่ถูกต้อง และเป็นข้อมูลที่ไม่ชอบธรรมที่ ประธานาธิบดีบุชใช้อ้างในการทำสงคราม นอกจากนี้ คณะกรรมาธิการชุดนี้ยังพบว่า สำนักข่าวกรองกลางCIA ไม่สามารถหาหลักฐานที่น่าเชื่อมาแสดงว่า ซัดดัมกับอัลกออิดะ เป็นพันธมิตรกันไม่ว่าจะมองในแง่มุมใดก็ตาม
อย่างไรก็ตาม ฮันส์ บลิกซ์Hans Blix อดีตหัวหน้าผู้ตรวจสอบอาวุธในอิรักของสหประชาชาติUNMOVICได้แสดงความเห็นโดยการให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์รายวันฉบับหนึ่งของประเทศสเปน เมื่อวันที่ 9 เมษายน พ.ศ.2546 ว่า ผู้นำของสหรัฐอเมริกาและอังกฤษได้วางแผนที่จะรุกรานอิรักไว้ล่วงหน้ามาเป็น เวลานานแล้ว และผู้นำทั้งสองประเทศนี้โดยพื้นฐานแล้วไม่ได้สนใจว่าคณะตรวจสอบอาวุธของสห ประชาชาติจะค้นหาอาวุธ WMD ในอิรักพบหรือไม่ '(The Nation, April 10, 2003) ด้วยเหตุนี้จึงเป็นเรื่องไม่น่าแปลกที่ผู้นำสหรัฐอเมริกาและอังกฤษไม่ ปรารถนาให้คณะผู้ตรวจสอบอาวุธของสหประชาชาติได้ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป เพื่อพิสูจน์ว่าอิรักมีอาวุธที่มีอานุภาพทำลายร้ายแรงอันจะเป็นภัยคุกคามต่อ สหรัฐอเมริกา ต่อภูมิภาค และต่อโลกตามข้อกล่าวหา ทั้งนี้เพราะเกรงว่าหากให้เจ้าหน้าที่ของสหประชาชาติในอิรักปฏิบัติหน้าที่ ต่อไป และไม่สามารถค้นพบอาวุธดังกล่าว ผู้นำของทั้งสองประเทศนี้จะไม่สามารถมีข้ออ้างอันชอบธรรมเพื่อทำสงคราม “รุกราน” อิรักได้!
แม้ว่าในที่สุด สหรัฐอเมริกาจะประสบผลสำเร็จในการ ใช้กำลังโค่นล้มประธานาธิบดีซัดดัมของอิรักแล้วก็ตาม แต่ผู้นำของสหรัฐอเมริกากลับต้องเผชิญกับปัญหาสำคัญมากขึ้น โดยในเดือนมิถุนายน พ.ศ.2547 ชาวอเมริกาส่วนใหญ่ ร้อยละ 54 เริ่มมีความเห็นว่าการทำสงครามของสหรัฐอเมริกาในอิรักนั้นเป็นสิ่งที่ผิด พลาด! และมากกว่าครึ่งหนึ่ง ร้อยละ 51ของชาวอเมริกากลับมีความเห็นว่าไม่รู้สึกปลอดภัยขึ้นหลังจากการโค่นซัดดัม แล้ว (Time, July 5, 2004) ทั้ง ๆ ที่ผู้นำของสหรัฐอเมริกาพยายามอ้างอยู่เป็นระยะ ๆ ว่า สหรัฐอเมริกาและโลกมีความปลอดภัยมากขึ้นเมื่อขจัดซัดดัมได้แล้ว
จนกระทั่งถึง ปัจจุบันทั้งๆ ที่สหรัฐอเมริกาได้โอนอำนาจการบริหารประเทศให้แก่ชาวอิรักในทางทฤษฎีแล้วก็ ตาม ปัญหารากเหง้าทางด้านความมั่นคงในอิรักนั้น อยู่ที่ผู้นำสหรัฐอเมริกามีความเชื่ออย่างผิดๆ ว่า ชาวอิรักจะต้อนรับสหรัฐอเมริกาด้วยความยินดีปรีดาที่มาเข้าโค่นล้มซัดดัม แต่ความจริงชาวอิรักถึงแม้ว่ามีจำนวนไม่น้อยที่ไม่ชอบซัดดัม แต่ก็เกลียดการรุกรานของสหรัฐอเมริกา จากการสำรวจความคิดเห็นชาวอิรักโดยคณะผู้ปกครองชั่วคราวของพันธมิตร Coalition Provisional Authority หรือ CPA เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2547 พบว่า ร้อยละ 92 ของชาวอิรักเห็นว่ากองกำลังที่นำโดยสหรัฐอเมริกาในอิรักเป็นผู้ยึดครอง occupiers มีเพียงแค่ร้อยละ 2 ของชาวอิรักเท่านั้นที่เห็นว่ากองกำลังต่างชาติดังกล่าวเป็นผู้ปลดปล่อย liberators พวกตน (Guardian Unlimited Online, June 16, 2004)
นอกจากนี้แล้ว จากการสำรวจความเห็นของชาวอิรักโดยศูนย์วิจัยและยุทธศาสตร์ศึกษาแห่งอิรัก Iraq Centre for Research and Strategic Studies หรือ ICRSS เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2547 พบว่าชาวอิรัก 2 ใน 3 หรือร้อยละ 66 คัดค้านการปรากฏตัวทางทหารของชาวต่างชาติที่นำโดยสหรัฐอเมริกา มีเพียงร้อยละ 22 ของชาวอิรักเท่านั้นที่เห็นว่าอิรักกำลังก้าวเข้าสู่สันติภาพและความมี เสถียรภาพมากขึ้น (The Nation, July 14, 2004)
แต่ไม่ว่าสหรัฐอเมริกาจะรุกรานอิรักด้วยเหตุผลใดก็ตาม การทำสงครามของสหรัฐอเมริกาได้นำความสูญเสียทั้งชีวิตมนุษย์และทรัพย์สินของ ชาวอิรักจำนวนมหาศาล! เฉพาะชาวอิรักที่เป็นพลเรือนต้องเสียชีวิตไปมากกว่า 13,000 คน ทหารอเมริกันเองก็เสียชีวิตร่วม 1,000 คน
ลักดาร์ บราฮิมี Lakhdar Brahimi ทูตสหประชาชาติ U.N. envoy ได้กล่าวไว้อย่างกระชับว่า การรุกรานอิรักที่นำโดยสหรัฐอเมริกานั้น เป็นการทำสงครามที่ไร้ประโยชน์!!! เป็นการสร้างปัญหามากกว่าแก้ไขปัญหา และได้นำการก่อการร้ายมาสู่อิรัก! และนายบราฮิมียังกล่าวอีกด้วยว่า รัฐบาลชั่วคราวของอิรักเผชิญกับการท้าทายที่จะต้องพิสูจน์ว่าตนไม่ใช่ หุ่นเชิดของสหรัฐอเมริกา! ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะทำได้ในเมื่อยังมีทหารต่างชาติ 150,000 คนอยู่ในประเทศอิรัก (Japan Time, July 27, 2004)
อนาคตของอิรัก!!!
หลังจากเป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่า อิรักมิได้มีอาวุธทำลายร้ายแรง ตามที่ผู้นำสหรัฐอเมริกาและอังกฤษกล่าวอ้าง ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางทั้งในสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ ตลอดจนในประชาคมโลกว่า ผู้นำสหรัฐอเมริกาและอังกฤษได้กล่าวอ้างภัยคุกคามของอิรักยุคซัดดัม! อย่างเกินความจริง รวมทั้งการอ้างหลักฐานเท็จเพื่อสร้างความชอบธรรมในการทำสงครามในอิรักดังกล่าวแล้ว ถึงกระนั้น ผู้นำสหรัฐอเมริกาและอังกฤษรวมทั้งคนอีกจำนวนไม่น้อยในประเทศตะวันตก ก็ยังมีความเห็นว่า การใช้กำลังโค่นล้มอำนาจเผด็จการของซัดดัมลงได้ก็นับว่าเป็นสิ่งที่คุ้มค่า! แล้วทั้งนี้เพราะค่านิยมของตะวันตก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องประชาธิปไตย! สิทธิมนุษยชน human rights เศรษฐกิจแบบตลาด และหลักนิติธรรม rule of law เป็นค่านิยมสากล ฉะนั้น การใช้กำลังต่อประเทศอิรักเพื่อส่งเสริมค่านิยมเหล่านี้จึงเป็นเรื่องที่ชอบธรรมอย่างยิ่ง ความเห็นในทำนองนี้ทำให้เกิดคำถามสำคัญอย่างน้อยสองประการด้วยกันคือ=

ประการแรก มีประเทศในตะวันออกกลางหลายประเทศที่เป็นพันธมิตรใกล้ชิดกับประเทศสหรัฐ อเมริกา และเป็นประเทศที่ยอมให้สหรัฐอเมริกาใช้ฐานทัพของตน เช่น ซาอุดิอาระเบีย คูเวต บาห์เรน กาตาร์ เป็นต้น ซึ่งมีปัญหาในการฝ่าฝืนค่านิยมตะวันตกไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า “ระบอบซัดดัม” แต่เหตุใดสหรัฐอเมริกาและพันธมิตรจึงมิได้ใช้กำลังโค่นล้มผู้นำของประเทศ เหล่านี้ และเปลี่ยนระบอบการปกครองให้เหมือนกับที่สหรัฐอเมริกา และ พันธมิตรต้องการ สร้างขึ้นในอิรักหลังจากโค่นล้มซัดดัมไปแล้ว!
ประการที่สอง การเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองในประเทศใด โดยกองกำลังต่างชาติ จะประสบความสำเร็จตามเป้าหมายในการสร้างประชาธิปไตยได้หรือไม่ โดยเฉพาะในอิรักซึ่งมีเงื่อนไขภายในประเทศที่เป็นอยู่ในปัจจุบันที่ไม่เอื้อ อำนวยต่อการเปลี่ยนแปลงเป็นประชาธิปไตยได้อย่างฉับพลัน!
จากประสบการณ์ทางประวัติศาสตร์ในกรณีของ ญี่ปุ่น และ เยอรมนี ยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ที่สามารถมีการปกครองแบบประชาธิปไตยได้อย่างค่อนข้างมั่นคงนั้น เป็นผลมาจากวิวัฒนาการทางการเมือง สังคม และเศรษฐกิจภายในของญี่ปุ่นและเยอรมนีมากกว่าจะเป็นผลมาจากการยึดครองของ สหรัฐอเมริกา และการยึดครองญี่ปุ่นและเยอรมนีของสหรัฐอเมริกาภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ยุติ เป็นการยึดครองที่ปราศจากการต่อต้านของประชาชนทั้งสองประเทศนี้ เพราะยอมรับว่าประเทศตนเป็นฝ่ายรุกราน!
ในขณะเดียวกันยังมีประเทศที่ได้เปลี่ยนแปลงการ ปกครองจากระบอบเผด็จการมาเป็นประชาธิปไตยโดยที่ไม่ถูกแทรกแซงจากต่างประเทศ หลายประเทศ เช่น ในยุโรปตะวันออก ได้แก่ โรมาเนีย โปแลนด์ เชโกสโลวะเกีย ฯลฯในภูมิภาคเอเชีย เช่น เกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน และไทย เป็นต้น ประเทศเหล่านี้ขณะที่มีการปกครองโดยระบอบอำนาจนิยมก็ได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จาก สหรัฐอเมริกา!!!
ในกรณีอิรัก เมื่อสหรัฐอเมริกาและอังกฤษส่งกำลังทหารเข้าไปถล่มอิรัก ไม่มีกลุ่มพลังใดที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นพลังประชาธิปไตยที่สามารถลุกฮือ ขึ้นมาปฏิวัติโค่นล้มซัดดัม หรือสามารถผนึกกำลังกันสร้างระบบประชาธิปไตยใหม่ในอิรักได้ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะสาเหตุสำคัญมาจาก การที่สหรัฐอเมริกาและอังกฤษได้ให้การสนับสนุนซัดดัม เพื่อให้ซัดดัมปราบปรามบรรดาพวกฝ่ายค้านทั้งหลายในช่วงทศวรรษ 1980 มหาอำนาจทั้งสองประเทศนี้แน่ใจว่า ซัดดัมจะสามารถปราบกลุ่มต่อต้านเหล่านี้ได้อย่างราบคาบ และนับตั้งแต่อิรักบุกเข้ายึดครองคูเวตในเดือนสิงหาคม พ.ศ.2533 และพ่ายแพ้แก่กองทัพพันธมิตร! ซึ่งนำโดยสหรัฐอเมริกาในนามของสหประชาชาติในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2534 เป็นต้นมา ประชาชนอิรักต้องเผชิญต่อความอดอยากอย่างสาหัส! อีกทั้งโครงสร้างพื้นฐานและอุตสาหกรรมของประเทศได้รับความเสียหายอย่างยับเยินจากการถูกแซงก์ชั่นโดยสหประชาชาติเป็นเวลานานถึง 12 ปี! ใครจะรู้ว่าหากปราศจากการแทรกแซงที่สร้างความหายนะดังกล่าวนี้แล้ว การรวมกลุ่มพลังประชาธิปไตยและพลังของฝ่ายค้านแม้จะอยู่ระหว่างยุคเผด็จการ ของซัดดัมก็ตาม อาจจะประสบความสำเร็จก็ได้ เหมือนอย่างที่เกิดขึ้นในหลายประเทศที่กล่าวเป็นตัวอย่างแล้ว!
ในอนาคต อิรักจะเป็นประชาธิปไตยหรือไม่ยังตอบไม่ได้แน่ชัด!!! ในขณะนี้ เท่าที่ผ่านมาไม่มีประเทศใดตอบได้ด้วยความมั่นใจ แต่ผลที่สุดแล้วชาวอิรักเท่านั้นที่จะเป็นผู้กำหนดชะตากรรมของตนเอง!!! ไม่ใช่มหาอำนาจเช่น สหรัฐอเมริกา หรือ อังกฤษ หรือประเทศอื่นใด!!!

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ສບາຍດີທຸກທ່ານ
ເທົ່າທີ່ອ່ານລາຍລະອຽດກ່ຽວກັບວັດ ຜີສີງ St Leu la forêt Paris France ແຫ່ງນີ້ ເປັນທີ່ເຂົ້າ
ໃຈໄດ້ງ່າຍວ່າ ຄວາມຍຸຕຕິທັມບໍ່ໄດ້ເກີດໃນກູມ່ເຫັນແກ່ຕົວ
ທ່ານວັນໄຊ ແມ່ນໃຜ ? ທ່ານຜູ້ນີ້ຕ້ອງການຫັຽງ ແລະຕ້ອງສ້າງ
ຄວາມແຕກແຍກໃນສົງຄົມຄົນລາວແມ່ນບໍ ? ໃນທັສນະສ່ວນ
ຕົວຂອງຂ້າພະເຈົ້າ ເຫັວ່ານ ຈຳເປັນທີ່ສຸດ ທີ່ຄນະບໍຮີຫານວັດ
ແຫ່ງຄວນຈະສະສາງ ແລະປັດເຂັຍສີ່ງທີ່ໂສກະປົກໂສໂຄກ ທີ່
ເກີດມາໃນສັງຄົມຄົນລາວເປັນເວລາເນີນນານ. ຕົວການແທ້ໆ
ກໍຄື ອາຈານສວັດ, ທ້າວຄຳແຜວ ຮັຖມະນີ, ທ້າວຝຮັ່ງຊົ່ວແປນ
ເຈ ເປັນຕົ້ນເຫດ ຊື່ງຄົນລາວຊາວພຸທຫລາຍແສນຄົນຍົງຕົກ
ຢູ່ໃນເລ້ກົນຂອງພວກກ່ຽວ, ສລູບແລ້ວ ພວກເຂົາແມ່ນຫມວ່ຍ
ໄຕ້ດີນຂອງສັຕຕຮູນັ້ນເອງ ຄຳວ່າ ນັກຕໍ່ສູ້ຢ່າງທ້າວຄຳແຜວ ອວດ
ອ້າງແລະສແດງໃຫ້ຊາວລາວນອກເຫັນນັ້ນ ແມ່ນເລ້ກົນຂອງສັຕ
ຕຮູນັ້ນເອງ ຜູ້ກ່ຽວແລະ ທ້າວຝຮັ່ງຊົວແມ່ນພວກຂບວນການ
ທຳລາຍຄວາມສມາຄີຊາດນັ້ນເອງ.
ພົບກັນໄຫມ່
ສັມມະນາກອນ.

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ทั้งนี้เนื่องจากสหภาพยุโรปต้องการให้ประธานาธิบดี Assad ยุติการละเมิดสิทธิมนุษยชนในซีเรียและดำเนินมาตรการปฏิรูปการเมือง!



ภายใต้การกดดันจากประชาคมระหว่างประเทศต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนในซีเรีย ทำให้ เมื่อ วันที่ 11 พฤษภาคม 2554 ที่ผ่านมา ซีเรียได้ถอนตัวจากการสมัครที่นั่งใน UN Human Rights Council จากที่นั่งของกลุ่มประเทศเอเชียจำนวน 4 ที่นั่ง โดยคูเวตจะสมัครแทนที่ซีเรีย กับประเทศเอเชียอีก 3 ประเทศ คือ อินเดีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ โดยซีเรียอาจจะพิจารณาการสมัครที่นั่งดังกล่าวอีกครั้งหนึ่งในวาระต่อไปในปี 2013

15 พฤษภาคม 2554 กองกำลังทหารของรัฐบาลซีเรียเข้าปราบปรามกลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงรัฐบาลในเมือง Tel Kelakh บริเวณชายแดนซีเรีย – เลบานอน ส่งผลให้มีประชาชนหลายร้อยคนอพยพเข้าไปในเลบานอน!

18 พฤษภาคม 2554 สหรัฐอเมริกาได้มีมติคว้ำบาตรประธานาธิบดี Assad และเจ้าหน้าที่ระดับที่ระดับสูงคนอื่นๆ ที่ไม่ได้ถูกคว่ำบาตรเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม ซึ่งได้แก่ นาย Farouq al-Shara รองประธานาธิบดี นาย Adel Safar นายกรัฐมนตรี นาย Mohammad Ibrahim al-Shaar รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นาย Ali Habib plus Abdul Fatah Qudsiya รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นาย Mohammed Dib Zaitoun ผู้อำนวยการสำนักงานอำนวยการรักษาความมั่นคงทางการเมือง! โดยการคว่ำบาทนี้จะรวมถึงอายัดทรัพย์สินของบุคคลเหล่านี้ที่มีอยู่ในสหรัฐอเมริการวมถึงสถานที่ที่อยู่ในเขตอำนาจของสหรัฐอเมริกา พร้อมกับสั่งห้ามบริษัทใดๆของสหรัฐอเมริกาทำธุรกรรมกับบุคคลเหล่านี้อีกด้วย!

ในวันเดียวกันนั้น ทางการสวิสเซอร์แลนด์ได้สั่งออกมาตรการคว่ำบาตรเจ้าหน้าที่ระดับสูงของซีเรีย 13 ที่ถูกสหภาพยุโรปดำเนินการคว่ำบาตรแล้วในวันที่ 10 พฤษภาคม แต่ได้ยกเว้นตัวประธานาธิบดี Assad

19 พฤษภาคม 2554 กองกำลังทหารของรัฐบาลซีเรียเริ่มถอนกำลังออกจากเมือง Tel Kelakh

20 พฤษภาคม 2554 มีผู้เสียชีวิต 30 คน จากการปราบปรามผู้ประท้วงของกองกำลังของรัฐบาลซีเรียในบริเวณเมือง Baniyas เมือง Homs และเมือง Saqba ชานกรุงดามัสกัส!

21 พฤษภาคม 2554 กองกำลังซีเรียปราบปรามกลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงทั่วประเทศ ยังผลให้มีผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 44 คน ทำให้ขณะนี้มีจำนวนผู้เสียชีวิตจากการปราบปรามของรัฐบาลตั้งแต่วันเริ่มการชุมนุมประท้วงจนถึงวันนี้แล้วไม่ตำกว่า 900 คน!

22 พฤษภาคม 2544 ประชาชนรวมกลุ่มกันตามมัสยิดและศูนย์รวมของย่านต่างๆในเมืองต่างๆของซีเรีย เพื่อวางแผนการชุมนุมประท้วงรัฐบาล ในขนาดเดียวกันก็มีการใช้เฟสบุคในการปลุกระดมประชาชมให้เข้าร่วมการชุมนุมประท้วง และมีการใช้ อีเมล ในการรายงายงานข่าวความเคลื่อนไหวของการชุมนุมตามจุดต่างๆ ทั่วประเทศ!!!

23 พฤษภาคม 2554 สหภาพยุโรปมีมติคว่ำบาตรประธานาธิบดี Assad และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของซีเรียเพิ่มอีก 12 คน เพื่อเพิ่มความกดดันให้รัฐบาลซีเรียยุติการปราบปรามกลุ่มผู้ชุมนุมประท้วง

เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2554 กองกำลังทหารของรัฐบาลซีเรียเข้าปราบปรามประชาชนที่ชุมนุมประท้วงรัฐบาลตามเมืองสำคัญทั่วประเทศ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนกว่า 140 ราย โดยในจำนวนนี้มี 95 รายเป็นประชาชนจากเมือง Homa ซึ่งถูกกองกำลังทหารฝ่ายรัฐบาลปิดล้อมมากว่าหนึ่งเดือนเนื่องจากเป็นศูนย์กลางการต่อต้านรัฐบาล โดยนับตั้งแต่เริ่มมีการชุมนุมประท้วงจนถึงปัจจุบัน คาดกันว่ามียอดผู้เสียชีวิตรวมแล้วกว่า 1,600 ราย! อย่างไรก็ตามจำนวนผู้เสียชีวิตยังไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจน เนื่องจากที่ผ่านมารัฐบาลซีเรียห้ามไม่ให้สื่อมวลต่างชาติเข้าไปทำข่าวในซีเรีย!

เหตุการณ์ดังกล่าว สมาชิกทั้ง 15 ชาติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ยังมีท่าทีและความเห็นที่ไม่สอดคล้องกัน โดยสหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เยอรมนี โปรตุเกส และสหรัฐอเมริกา พยายามจะผลักดันให้คณะมนตรีความมั่นคงมีมติประณามซีเรีย แต่รัสเซียและจีนต่างคัดค้าน รวมทั้งอินเดีย บราซิล และแอฟริกาใต้ ก็คัดค้านการออกมติประณามดังกล่าวนี้เช่นกัน โดยให้เหตุผลว่าการกระทำดังกล่าวจะเป็นการสร้างความชอบธรรมให้กับการแทรกแซงทางการทหารของชาติตะวันตกเช่นเดียวกับกรณีของ ลิเบีย !

วันที่ 3 สิงหาคม 2554 คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติก็สามารถลงมติออกแถลงการณ์ประณามการกระทำของรัฐบาลซีเรียได้ โดยในแถลงการณ์ครั้งนี้ยังได้มีการเรียกร้องฝ่ายที่มีส่วนในเหตุปราบปรามประชาชนดังกล่าวออกมาแสดงความรับผิดชอบด้วย แต่อย่างไรก็ตาม แถลงการณ์ดังกล่าวไม่ได้มีข้อกำหนดหรือมาตรฐานใดๆ ที่จะใช้ในการลงโทษรัฐบาลซีเรียอย่างเป็นรูปธรรม!

สหประชาชาติออกแถลงการณ์เมื่อ 17 ส.ค. 54 ว่า ประธานาธิบดีบาซาร์ อัล อัศซัด ของซีเรียกล่าวกับนายบันคีมูน เลขาธิการสหประชาชาติในระหว่างการสนทนาทางโทรศัพท์ว่า การปราบปรามกลุ่มผู้ประท้วงของเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารในซีเรียได้ยุติลง แล้วตามข้อเรียกร้องของนายบันคีมูนที่ต้องการให้ปฏิบัติทางการทหารและจับกุม กลุ่มผู้ประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยทั้งหมดยุติลงในทันที นอกจากนี้นายบันคีมูน ยังแสดงความวิตกต่อรายงานล่าสุดที่ระบุว่า ซีเรียละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างต่อเนื่อง โดยกองกำลังความมั่นคงของซีเรียได้ใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุต่อพลเรือนทั่วประเทศ พร้อมย้ำข้อเรียกร้องให้มีการสอบสวนรายงานการสังหารและการใช้ความรุนแรง อย่างอิสระรวมทั้งให้สื่อมวลชนเข้าถึงพื้นที่ได้อย่างอิสระ นอกจากนี้ยังเรียกร้องให้ซีเรียให้ความร่วมมือ

กับ สนง.ข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติอย่างสันติโดยเร็ว โดยปราศจากการแทรกแซงของทหารและควรอนุญาตให้ทีมประเมินด้านมนุษยธรรมของสหประชาชาติ เข้าถึงพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์รุนแรงทั้งหมด!!!



__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ซึ่งมีอัตราที่สูงมาก! โดยอาจจะกล่าวได้ว่าประเด็นด้านปัญหาเศรษฐกิจนั้นแรงกระตุ้นสำคัญให้เกิดการเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองขึ้น!

การเคลื่อนไหวทางการเมืองที่เกิดขึ้นในภูมิภาคในครั้งนี้นั้นจะเห็นได้ว่าดำเนินการโดยประชาชนวัยหนุ่มสาว ซึ่งมีจำนวนเกินกว่าครึ่งหนึ่งของประชากรในโลกอาหรับปัจจุบัน โดยมีความเชื่อว่าระบบการปกครองที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนั้นไม่สามารถจะแก้ไขปัญหาทางด้างเศรษฐกิจและสังคมที่ประเทศกำลังประสบอยู่ได้!

สำหรับรูปแบบของการเคลื่อนไหวทางการเมืองครั้งนี้ จะมีการนำเทคโนยีสารสนเทศและเครื่อข่ายการเชื่อมโยงข่าวสารสมัยใหม่ เช่น facebook และ Twitter มาใช้เป็นเครื่องมือในการเคลื่อนไหวและบริหารจัดการชุมชน ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่ามีประสิทธิภาพสูงและเป็นวิธีการชุมนุมที่หน่วยงานรัฐไม่สามารถควบคุมได้ง่ายนัก!

ประเด็นการประท้วงในเกือบทุกประเทศคือ ปัญหาทางการเมือง! การบริหารประเทศ! และปัญหาทางเศรษฐกิจ! โดยไม่ใช่ประเด็นเรื่องศาสนาอิสลาม และก็ไม่ใช่การประท้วงของขบวนการชาตินิยมต่อต้านตะวันตกอีกด้วย ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า การประท้วงในครั้งนี้มีลักษณะเป็น popular uprising!!!

การสัมมานาระบุว่า กระแสการเรียกร้องสิทธิเสรีภาพทางการเมืองของประชาชนรุ่นหนุ่มสาวในภูมิภาคตะวันออกกลาง จะยังคงดำเนินต่อไปอีกระยะหนึ่ง ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความไม่แน่นอน! ความไร้เสถียรภาพ! และ ไร้ระเบียบทางการเมือง! ในภูมิภาคนี้ต่อไปอีกสักระยะหนึ่งเช่นกัน!!!



สถานการณ์ในซีเรีย:

การชุมนุมประท้วงของชาวซีเรียในเมือง Derra ทางตอนใต้ของซีเรีย ซึ่งเริ่มต้นมาตั้งแต่วันศุกร์ที่ 18 มีนาคม 2554 ซึ่งแต่วันมีจำนวนผู้ชุมนุมประท้วงหลายพันคน ทีผ่านมามีประชาชนซีเรียเสียชีวิต ชาวซีเรียที่ออกมาประท้วงได้เรียกร้องเสรีภาพทางการเมืองและการโค่นล้มระบบคอรัปชั่น ในการประท้วงเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2554 ในเมือง Derra ผู้ประท้วงได้ทำการเผาตึกที่ทำการพรรค Baath และสำนักงานบริษัทสื่อสารโทรคมนาคม Syriatel ซึ่งญาติของประธานาธิบดี Assad มีหุ่นส่วนอยู่ด้วย กองกำลังซีเรียได้ใช้ทั้งกระสุนจริงและแก๊ซน้ำตาในการสลายการชุมนุม!!!

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของฝรั่งเศส ได้ประณามทางการซีเรียที่ใช้ความรุนแรงสลายการชุมนุม และเรียกร้องให้ทางการซีเรียปล่อยตัวผู้ประท้วงที่ถูกควบคุมตัว สหรัฐอเมริกา ก็มีท่าทีเช่นเดียวกันและเรียกร้องให้ทางการซีเรียอนุญาตให้ประท้วงโดย สันติ!!!ได้.

นอกจากการประท้วงที่เกิดขึ้นในกรุงดามัสกัสและเมือง Derra แล้ว ยังได้มีการประท้วงย่อยๆ ในเมือง Jasim และเมือง Inkhil ซึ่งมีทำเลตั้งอยู่ใกล้เมือง Derra ด้วย นาย Haitham alk-Meleh วัย 80 ปี ซึ่งเป็นนักกฏหมายและนักต่อสู้ทางการเมืองที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งของซีเรีย กล่าวว่า การประท้วงในซีเรียจะแพร่ขยายไปทุกจังหวัดและรัฐบาลของประธานาธิบดี Asaad จะไม่ยั่งยืน นาย Meleh ถูกคุมขังอยู่เป็นเวลาหลายปีและเพิ่งได้รับการปล่อยตัวเมื่อสองสัปดาห์ที่แล้วภายใต้การนิรโทษกรรมแก่ผู้สูงอายุ!

วันที่ 16 เมษายน 2554 ประธานาธิบดี Bashar al-Assad แห่งซีเรีย ได้กล่าวปราศรัยต่อประชาชนชาวซีเรียผ่านทางสถานีโทรทัศน์โดยมีจุดมุ่งหมาย เพื่อระงับการเคลื่อนไหวประท้วงที่ยืดเยื้อมาเป็นเวลา2 เดือน ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งที่ท้าทายที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนตลอดระยะเวลาที่ได้ ปกครองประเทศซีเรียมากว่า 4 ทศวรรษ ในขณะที่เขาทำพิธีสาบานตนในคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ เขาได้ประกาศข้อเสนอทางกฎหมายชุดใหม่เป็นจำนวนมาก รวมทั้งการให้คำสัญญาที่จะยกเลิกประกาศภาวะฉุกเฉินซึ่งได้ดำเนินมาเป็นระยะ เวลา 48 ปีในเร็ววันนี้ และนอกจากนี้ยังได้แสดงความเสียใจต่อการเสียชีวิตซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่ฝ่าย ต่อต้านรัฐบาลเริ่มก่อความไม่สงบ!

วันที่ 17 เมษายน 2554 ผู้ประท้วงได้ปฏิเสธข้อเสนอในความต้องการของประธานาธิบดี Bashar al-Assad ในการระงับเหตุการณ์ความไม่สงบในประเทศซีเรีย โดยผู้ประท้วงได้ออกมาประท้วงตามถนนและเมือง ในช่วงวันหยุดเฉลิมฉลองวันชาติ ซึ่งเป็นจุดจบของการเป็นอาณานิคมของประเทศฝรั่งเศส! ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่รักษาความมั่นคงฝ่ายรัฐบาลซีเรียได้ตอบโต้ด้วยกองกำลังอย่าง รุนแรง รวมทั้งการยิงโต้ตอบไปยังพิธีฝังศพของกลุ่มผู้ประท้วง และ การจับกุมประท้วง ที่ได้รับบาดเจ็บจากโรงพยาบาล!

วันที่ 19 เมษายน 2554 รัฐบาลได้ออกคำเตือนต่อผู้ประท้วงชาวซีเรียให้ยุติการประท้วงที่ยืดเยื้อมา เป็นเวลากว่า 1 เดือน โดยหลายชั่วโมงต่อมาได้รวบรวมกำลังตำรวจ ทหาร และ กองกำลังอื่นๆเข้าโจมตีกลุ่มผู้ประท้วง ได้มีประกาศจากกระทรวงมหาดไทยซีเรียว่ารัฐบาลได้ปรับการลงโทษผู้ประท้วงให้ รุนแรงขึ้น ในช่วงเวลานั้นที่เมืองโฮมส์ Homs กองกำลังรักษาความมั่นคงได้ยิงโจมตีไปยังกลุ่มผู้ประท้วงนับพันในจตุรัสกลาง เมือง และในขณะเดียวกันรัฐบาลก็ได้ประกาศยกเลิกประกาศภาวะฉุกเฉินที่มีมาหลาย ทศวรรษท่ามกลางการปฏิรูปซึ่งมีความมุ่งหมายชัดเจนที่จะให้เสรีภาพแก่ประชาชน จำกัดอำนาจของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และ เลิกล้มกระบวนการศาลที่ไม่เป็นธรรม!!!

วันที่ 22 เมษายน 2554 เหตุการณ์ความรุนแรงส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 112 คน โดยเหตุการณ์ปราบปรามในวันที่ 22 ถือเป็นวันนองเลือดที่สุดของประเทศ!

วันที่ 23 เมษายน 2554 กองกำลังรักษาความมั่นคงซีเรียยังคงเดินหน้าปราบปรามประชาชนชาวซีเรียต่อเนื่อง โดยกองกำลังได้ยิงกระสุนใส่ประชาชนซึ่งเข้าร่วมการแห่ศพผู้เสียชีวิต ชาวซีเรียที่มีผู้คนกว่าหลายหมื่นคน ส่งผลให้ตัวเลขผู้เสียชีวิตจากการใช้กำลังของกำลังซีเรียได้เพิ่มขึ้น 120 ศพ เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้นักการเมืองซีเรีย 2 ราย และผู้นำศาสนาหลายคน ประกาศลาออก เพราะไม่พอใจต่อกรณีทางการซีเรียที่ใช้กำลังสังหารประชาชน !!!

วันที่ 25 เมษายน 2554 กองทัพทหารซีเรียพร้อมรถถังได้เคลื่อนพลไปยังเมืองเดอราDaraในช่วงก่อนเช้ามืดตามเวลาท้องถิ่น และกราดยิงพลเรือนเพื่อเข้าปราบปรามฝ่ายต่อต้านรัฐบาล นอกจากนั้นยังเข้าบุกค้นบ้านเรือนของประชาชนทีละหลัง เพื่อควบคุมตัวบุคคลต้องสงสัยว่าเป็นผู้ต่อต้านรัฐบาล!

วันที่ 27 เมษายน 2554 กลุ่มเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลกลุ่มใหม่ ซึ่งนำโดยกลุ่มนักเคลื่อนไหวเยาวชนที่หลากหลายได้เผชิญกับความท้าทายว่าพวก เขาจะสามารถที่จะเผชิญหน้าและต้านทานกับบทลงโทษที่รุนแรงของรัฐบาลได้หรือไม่ กลุ่มเคลื่อนไหวนี้มีชื่อว่า National Initiative for Change โดยกล่าวว่าสมาชิก 150 คนในซีเรียเป็นตัวแทนในการต่อต้านผู้นำลิเบีย!

วันที่ 28 เมษายน 2554 ประธานาธิบดี Bashar al-Assad แห่งซีเรีย กำลังเผชิญหน้ากับภาวะความแตกแยกภายในพรรครัฐบาลอย่างหนัก หลังจากที่สมาชิกพรรคบาธ Baath Party มากกว่า 200 คนขอลาออกจากตำแหน่ง หลังเขาใช้ความรุนแรงตอบโต้ต่อประชาชนที่ประท้วงรัฐบาล!

วันที่ 29 เมษายน 2554 ทหารซีเรียได้เข้าโอบล้อมและยังคงกราดยิงกลุ่มผู้ประท้วง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 16 ราย และมีประชาชนกว่าพันคนเดินขบวนออกมาบริเวณถนนเพื่อต่อต้านมาตรการความรุนแรง ของรัฐบาล ซึ่งผู้จัดการเดินขบวนได้เรียกวันนี้ว่า วันศุกร์แห่งความโกรธแค้น Friday of Rage! โดยในวันนี้ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตทั่วประเทศถึง 40 ราย!!!

วันที่ 30 เมษายน 2554 กองกำลังทหารซีเรียได้เข้ายึดที่ตั้งมัสยิดทางตอนใต้ของเมืองเดอรา Dara เพื่อใช้เป็นศูนย์กลางการบัญชาการต่อต้านการประท้วง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 6 คนจากการปฏิบัติการครั้งนี้!

วันที่ 2 พฤษภาคม 2554 กองกำลังรักษาความมั่นคงซีเรียให้เพิ่มมาตรการในการจับกุมในภูมิภาคที่มี กลุ่มผู้ประท้วง และสถานการณ์ความไม่สงบ ยังคงดำเนินต่อไป!!!

ในวันที่ 9 พฤษภาคม 2554 หนังสือพิมพ์ al-Watan ในซีเรียได้ลงข่าวว่า ประธานาธิบดี Bashar al-Assad มีความมั่นใจว่าสถานการณ์ความไม่สงบในซีเรียจะยุติภายในเวลาไม่ช้า และ รัฐบาลซีเรียจะเดินหน้าเกี่ยวกับการปฏิรูปทางการเมืองต่อไป!

กลุ่มพิทักษ์สิทธิมนุษยชนในซีเรียประเมินว่าจนถึงขณะนี้มีผู้ชุมนุมประท้วงเสียชีวิตแล้วประมาณ 600 – 800 คน ในขณะที่ฝ่ายทางการซีเรียกล่าวหาว่า armed terrorists เป็นผู้ก่อการชุมนุมประท้วง ซึ่งยังผลให้มีเจ้าหน้าที่ทหารซีเรีย เสียชีวิตไปแล้วประมาณ 100 คน!

สำหรับปฏิกิริยาจากต่างประเทศนั้น นาย Ban Ki-moon เลขาธิการสหประชาชาติ ได้ประณามรัฐบาลซีเรียที่ใช้วิธีรุนแรงต่อผู้ชุมนุมประท้วงโดยสันติและเรียกร้องให้ยุติวิธีการดังกล่าวโดยทันที และขอให้รัฐบาลซีเรียเคารพในสิทธิมนุษยชนของชาวซีเรียในการแสดงความเห็นและชุมนุมประท้วงโดยสันติ และกล่าวย้ำว่าการเจรจาอย่างสันติและการปฏิรูปการเมืองอย่างจริงจังจะเป็นหนทางที่จะก่อให้เกิดสันติสุขในซีเรียได้!

นอกจากนี้ นาย Ban Ki-moon ยังได้หารือทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดี Assad โดยทางประธานาธิบดี Assad ได้ตกลงให้ทางสหประชาชาติจัดส่ง humanitarian mission ไปยังเมือง Deera เพื่อให้ความช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรมแก่ชาวซีเรียที่ได้รับผลกระทบจากการประท้วง อย่างไรก็ตามฝ่ายทางการซีเรียได้ขอเลื่อนการจัดส่งคณะดังกล่าวของสหประชาชาติออกไปก่อน เนื่องจากสถานการณ์ในเมือง Deera ยังไม่ปกติ

สหภาพยุโรปได้คว่ำบาตรการค้าอาวุธกับซีเรียและได้ห้ามไม่ให้เจ้าหน้าที่ของทางการซีเรียจำนวน 13 คน เดินทางเข้ามาในประเทศสมาชิกของสหภาพยุโรป! พร้อมกันนี้ก็ยังได้ระงับธุรกรรมในทรัพย์สินของบุคคลดังกล่าวในประเทศสมาชิกฯอีกด้วย!

สำหรับแนวโน้มของสถานการณ์ในอนาคตนั้น ยังไม่อาจยืนยันได้อย่างแน่นอนว่าจะยุติลงเมื่อใด เนื่องจากทางฝ่ายรัฐบาลซีเรียยังยืนกรานที่จะปราบปรามผู้ชุมนุมประท้วงต่อไป ในขณะที่ผู้ชุมนุมประท้วงเองก็ยังไม่เดินหน้าประท้วงกันต่อไปอย่างไม่ลดละ แม้จะมีผู้เสียชีวิตและถูกจับกุมเป็นจำนวนมากก็ตาม!

แต่อย่างไรก็ตาม เหตุความรุนแรงยังคงจำกัดอยู่ใน 3 เมืองที่กล่าวไว้ข้างต้น คือ เมือง Deera เมือง Baniyas และเมือง Homs

สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงริยาด ประเทศซาอุดี อาระเบีย ซึ่งมีเขตอาณาครอบคลุมประเทศซีเรีย !


ในวันที่ 13 พฤษภาคม 2554 ประชาชนซีเรียยังคงออกมาเดินขบวนประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยกันตามเมืองต่างๆ

มีการพบปะหารือกันระหว่างนาง Buthania Shaban ที่ปรึกษาของประธานาธิบดี Bashar al –Assad และบรรดาแกนนำของฝ่ายค้านเพื่อหาหนทางยุติความไม่สงบในซีเรีย นอกจากนี้ ประธานาธิบดี Assad เองได้ยืนยันว่าจะไม่มีการยิงใส่ประชาชนที่ออกมาชุมนุมประท้วง แต่อย่างไรก็ตาม ทางการซีเรียก็ยังมีการตรวจตราอย่างเข้มงวดตามจุดต่างๆ โดยเฉพาะบริเวณทางเข้าเมืองที่สำคัญต่างๆ ที่มีการชุมนุมประท้วงอย่างต่อเนื่อง!




เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2554 สหภาพยุโรปได้มีมติคว่ำบาตรเจ้าหน้าที่ระดับสูงของซีเรียจำนวน 13 คน ซึ่งหนึ่งในนั้น มีนาย Maher al-Assad น้องชายของประธานาธิบดี Assad ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บังคับการ Republican Guard และมีอำนาจสูงสุดเป็นลำดับที่สองในซีเรียและในพรรค Baath รองจากตัวประธานาธิบดี Assad เอง เนื่องจากเห็นว่านาย Maher มีบทบาทสำคัญในการสั่งการให้กองกำลังทหารซีเรียสังหารผู้ชุมนุมประท้วง และรวมถึงนาย Rami Makhlouf มหาเศรษฐีเจ้าของกิจการโทรคมนาคม ธุรกิจน้ำมันและก่อสร้าง ในซีเรีย และเป็นญาติของประธานาธิบดี Assad ด้วย โดยมาตรการคว้ำบาตรดังกล่าวรวมถึง การห้ามเดินทางเข้า ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป การระงับธุรกรรมในทรัพย์สินของบุคคลดังกล่าวในสถาบันการเงินของประเทศสมาชิกฯ และยังรวมถึงการห้ามค้าอาวุธกับซีเรียด้วย!

แต่อย่างไรก็ตาม มาตรการดังกล่าวไม่ได้รวมไปถึงตัวประธานาธิบดี Assad


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

The Syrian Arab Republic

ตั้งอยู่ในภูมิภาคตะวันออกกลาง ทิศเหนือติดตุรกี ทิศใต้ติดจอร์แดน ทิศตะวันออกติดอิรัก ทิศตะวันตกติดเลบานอน อิสราเอลและทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

พื้นที่ 185,180 ตารางกิโลเมตร

เมืองหลวง กรุงดามัสกัส Damascus

จำนวนประชากร 21.2 ล้านคน บวกอีก 40,000 ในพื้นที่ของราบสูงโกลาน ซึ่งของจำนวน นั้น 20,000 เป็นอาหรับ 18,000 Druze และ 2,000 Alawitesและ อีก 20,000 ชาวอิสราเอลในนิคมชาวยิว

เชื้อชาติ อาหรับร้อยละ 90.3 เคอร์ดส์ อาร์เมเนียน และอื่น ๆ ร้อยละ 9.7

ภาษา อาหรับเป็นภาษาราชการ ฝรั่งเศส อังกฤษ ใช้กันอย่างกว้างขวาง

ศาสนา มุสลิม สุหนี่ ร้อยละ 74 Alawite, ดรูซและมุสลิมนิกายอื่น ๆ ร้อยละ 16 คริสเตียนร้อยละ 10

วันชาติ 17 เมษายน 2589

การเมืองการปกครอง

แบบสาธารณรัฐภายใต้การปกครองโดยทหาร นับแต่ปี ค.ศ.1963 มีประธานาธิบดีเป็นประมุขของประเทศ เลือกตั้งคราวละ 7 ปี มีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร ประธานาธิบดีแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี

ประมุขของรัฐ Bashar al-ASAD ตั้งแต่ 17 กรกฎาคม 2543

หัวหน้าฝ่ายบริหาร นาย Mustafa Mohammed Miro นายกรัฐมนตรี ตั้งแต่ 13 มีนาคม 2543

รัฐมนตรีต่างประเทศ นาย Walid Al-Mualem

สถาบันทางการเมือง

ได้แก่ สมัชชาประชาชนPeople’s Council or Majlis al-shaabมีสมาชิก 250 คน มีวาระดำรงตำแหน่ง 4 ปี

ฝ่ายบริหาร คณะรัฐมนตรีมีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร

ฝ่ายตุลาการ ระบบกฎหมายตั้งอยู่บนพื้นฐานกฎหมาย อิสลาม และศาลพลเรือน มีศาลพิเศษทางศาสนา, มี 3 ศาล ได้แก่ ศาลสูงสุดSupreme Constritutional Court ศาลสูง High Judicial Courtและศาลความมั่นคงแห่งรัฐ State Security Court

ประวัติศาสตร์:

ซีเรียเคยอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศส และได้รับเอกราชเมื่อวันที่ 17 เมษายน ค.ศ. 1946 ต่อมาในปี ค.ศ. 1970 พันเอก Hafez al – Assad ได้ก่อรัฐประหารยึดอำนาจปกครองประเทศ และในปี ค.ศ. 1971 ได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของซีเรียจนถึงอสัญกรรมเมื่อมิถุนายน 2543 เดือนต่อมา บุตรชายของอดีตประธานาธิบดี Dr. Bashar Al-Assad ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่ของซีเรีย!

ซีเรียเป็นประเทศค่อนข้างปิด โดยเฉพาะในสมัยของประธานาธิบดี Hafez al- Assad เป็นประเทศนิยมอาหรับและมีนโยบายต่อต้านตะวันตก และอิสราเอล นอกจากนั้น ซีเรียมีอิทธิพลต่อเลบานอนในด้านความมั่นคงและการต่างประเทศ ทำให้การเจรจาใด ๆ ระหว่างอิสราเอลกับเลบานอนจะต้องดำเนินการควบคู่ไปกับการเจรจาระหว่างซีเรียกับอิสราเอลด้วย!

Bashar ได้รับการศึกษาจากประเทศตะวันตกทำให้เห็นความสัมคัญของการปฏิรูปประเทศทั้งในด้านการเมืองและเศรษฐกิจซึ่งอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่ และเห็นความจำเป็นต้องเปิดประเทศเพื่อรับการลงทุน และความช่วยเหลือ โดยเฉพาะจากสหรัฐฯ แต่ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเจรจาสันติภาพกับอิสราเอล Bashar คงยึดมั่นนโยบายของบิดา สำหรับความสัมพันธ์กับเลบานอน การถอนกองกำลังอิสราเอลออกจากเลบานอนตอนใต้ฯ เมื่อต้นปี 2543 ได้สร้างแรงกดดันให้ซีเรียทบทวนและพิจารณาความจำเป็นและเหตุผลของการคงกองกำลังของตนประมาณ30,000 นาย ที่นั่น ซึ่งในขณะนี้ ได้มีการลดจำนวนไปบ้างแล้ว!

ความสัมพันธ์กับต่างประเทศ:

- ซีเรียมุ่งเน้นการกระชับความสัมพันธ์กับกลุ่มประเทศอาหรับเป็นสำคัญ นอกจากนั้น การที่ซีเรียเคยอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศส ทำให้ซีเรียมีความสัมพันธ์กับฝรั่งเศสในระดับหนึ่ง แต่ไม่แน่นแฟ้นเท่าความสัมพันธ์ที่เลบานอนมีกับฝรั่งเศส!

การเมืองและการประท้วงในตะวันออกกลาง:

เมื่อวันที่ 22 – 23 พฤษภาคม 2554 องค์กร Farhad Al Salem Center for Dialogue Among Civilizations and Defense of Liberty ซึ่งเป็นองค์กรเอกชนภาคประชาสังคมชั้นนำของคูเวตในการขับเคลื่อนและส่งเสริมประชาธิบไตยและสิทธิเสรีภาพ ตลอดจนสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ได้จัดสัมนาหัวข้อ Renewing Dialogue for Peace and Advancing Freedom and Human Rights in Today’s World โดยเน้นการวิเคราะห์สถานการณ์การเมืองและการประท้วงในตะวันออกกลาง สรุปได้ดังนี้: สถานการณ์ความไม่สงบทางการเมืองในภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ ที่ได้เริ่มก่อตัวตั้งแต่เดือนธันวาคม 2553 โดยเกิดการชุมนุมประท้วงใน 18 ประเทศ โดยมีสาเหตุสำคัญดังต่อไปนี้=

1. การเรียกร้องสิทธิและเสรีภาพในทางการเมือง ซึ่งจะเห็นได้ว่าประเทศส่วนใหญ่ในภูมิภาคนี้มีการปกครองระบบเผด็จการโดยรัฐบาลมีอำนาจผูกขาดการบริหารประเทศมาเป็นเวลานาน และจำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกและเรียกร้องทางการเมืองของประชาชน อีกทั้งภาครัฐยังขาดความโปร่งใส่ในการบริหารประเทศ!

2. ปัญหาความคับแค้นทางเศรษฐกิจ Economic hardship รัฐบาลในประเทศเหล่านี้ปล่อยปละละเลยการพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศ และไม่มีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการนโยบายเศรษฐกิจที่ดี ซึ่งส่งผลให้เกิดปัญหาความยากจน นอกจากนี้แล้ว ประเทศเหล่านี้ยังมีการกระจายรายได้ที่ต่ำ เนื่องจากความมั่งคั่งตกอยู่เฉพาะในกลุ่มผู้สนับสนุนรัฐบาล!ด้วยเหตุนี้ทำให้ปัญหาหลักที่ประเทศเหล่านี้ต้องเผชิญก็คือปัญหาการว่างงาน ซึ่งมีอัตราที่สูงมา


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ใจเย็นๆเพื่อนลาวนอกผู้ลอดตายจากลาวแกวแดงในนอกประเทศอย่าโมโหไปเลย ขพจ ไม่ไช่ศัตรูของท่านหรอกแต่ฝาก
อดิตร์ประวัติศาสตร์ลาวไห้ท่านรู้ไว้เตือนสติอย่าลืมเรื่องราวที่ผ่านมา 37 ปีแล้วที่ชาติลาวถูกแกวแดงยึดครองคนลาวทุกข์
จนมากต้องหนีออกมาเป็นข้าทาสแร็งงานในไทยห้าแสนกว่าคนแล้วเพาะอะไร?ไม่เพราะผู้นำ พัก-ลัด สปปล โง่-ขาดการ
ศึกษาหรึอจรึ่งปกครองชาติ-ปชช ลาวไม่เป็น ลาวนอกก็ขาดความสามัคคีกัน รวมกันไม่ได้...พวกลาวอิสานลาวเก่าของ
ล้านช้างมี35ล้านคนก็ถูกไทยสยามยึดเอาเป็นข้าทาสได้234ปี(1777-2011)ก็อยังโง่อยู่ ตอนนี้ลุกขื้นเลักๆน้อยๆอยากได้
สิทธิเท่าเทียมกับคนไทยสยามก็ถูกเขาฃ่ามาตลอด(พวกเสื้อแดง)เพราะไทยสยามถือว่าเป็นไพร่-ทาสของเขา. วันหนึ่งถ้า
ท่านไม่รวมกันต่อสู้เพื่อชาติลาวก็จะตกเป็นของ Vietnam ของ China แน่นอนเช่นเดียวกับลาวตระวันตกอิสานเสียไห้แก่
สยามประเทศไทย(19แขวง=40ล้านคน)วันนี้ในลาวมีคนVietnam,Chiness เข้ามาเป็นพลเมืืองลาวหลายล้านคนแล้ว...
ขอเตือนเพื่อนลาวด้วยความรักความหวังดีเสมอ...ลุกขื้นสู้เช่นเดียวกับบ้านร่มเกล้า!!!ขพจ จะคอยดูท่านเอง...



__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

นักปกครอง พัก-ลัด สปปล เป็นเผด็จการคอมฯก็เป็นคนลาวเหมือนกันแต่เป็นคนอยู่ไต้คำสั่งของ Vietnam บ่งชี้การทำงาน-
การปกครองทุกๆอย่างในการปกครองประเทศของตนเอง ก็คือคนโง่ในสายตาของต่างชาติ ไม่อยากพัฒนาชาติของตนเอง
ผู้นำ ปชชล ทุกๆคนฉ้อโกงนำเงินออกมาฝาก BANK ในไทยและ AUSTRALIA คนละหลายๆร้อยล้านUS$แต่ ปชชลาว-
ภายในประเทศทุกข์จนหาข้าวกินก็ยากลำบากหนีออกมาหางานในไทยปัจจุบันนี้ 570,000คนแล้ว จะไม่ไ้ห้เรียกว่าลาวโง่-ลาวไม่ฉลาดได้อย่างไร!ถ้า ปชชล ไม่ชอบผู้นำ พัก-ลัด ก็รวมกันต่อสู้ลุกขื้นมาโคล่นล้มมันออกไปเหมือนประเทศอื่นๆ
เขาทำกัน แต่ ขพจ เ็ห็นอพยพลาวนอกลอดตายกลับไปเยี่ยมบ้านเกีดปีละหลายแสนคน...และลาวอพยพลอดตายหลาย
พันคนมีทั้งพระสงข์ในต่างประเทศช่วยเป็นสายลับไห้ สปปล อีกจะไ่่ม่ไ้ห้เรียกว่า คนลาวโง่-ลาวขี้ขลาด-ลาวตาขาว-ลาว
ไ่่ม่กล้า-ลาวมีแต่ปบกับแ่ล่นเืมื่่อเห็นศัตรูมา เหล่านี้ด้อย่างไรลาวโง่เอย...ถ้าัรักชาติเกีดของตนเองแท้ๆำทำไมไม่ช่วยกัน-รวมกันลุกขื้นต่อสู้หมดทุกๆคนลาวทั้งใน-นอกประเทศท่านจะคอยไห้ไครมาช่วยท่าน.ไม่มีไครหรอกคนลาวโง่เอย.....
ก่อนอื่นหมดลาวกับลาวเท่านั้น!!!1778-1893=105ปีข้าทาส สยามประเทศไทย สำหรับลาวอิสาน16แขวงข้าทาสตลอด-
กาลโง่เกีนไป คนลาวอิสาน30ล้านคนโง่เหมือนควายไถนา...1893-1954=61ปีลาวข้าทาสฝรั่งเศสและ1975-2011=35
ปีข้าทาสเวียตนาม นี้คือประวัติศาสตร์ชาติลาวที่เป็นจริงในโลกนี้...น่าละอายแทนคนลาวทั้งในประเทศและนอก!!!!!!!!!
กันลุกขืนสู้กับศัตรู


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

คนลาวที่ลืมประวัติศาสตร์-ลืมอดิต์เก่าๆที่ผ่านมาของชาิติของตนเองแล้ว อนาคตก็ไม่แตกต่างเป็นคนรับไช้และเป็นชนชาติ
ข้าทาสชาติอื่นตลอดไปเช่นอาจักร์ลาวล้านช้างในปัจจุบันนี้ที่ประชาชนถูกแบ่งแยกและขาดความรักความสามัคคีชึ่งกัน-
และกันเอง ชาติไดๆก็ตามถ้าขาดการเรียนรู้ปะวัติศาสตร์ของตนเองแล้วจะไ่ม่เกีดความรักชาติรักตนเองเลย จะถูกชาติอื่น
ปกครองง่ายขื้นและหลอกไช้ได้ตลอดกาลนานเช่นชนชาติ"จามปา"และ"ชนชาติลาว"ในปัจจุบันนี้...





__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

รัฐบาล สปปล จะสืบต่อการฃ่า-ล้างเผ่าพันธุ์ม้งลาวและอดิตร์ปฏิการลาวที่ลอดตายทั้งในประเทศและอยู่ต่างประเทศต่อไป
จนกว่าจะสร้าง"สหพันธุ์เวียตนาม"ได้สำเร็จตามพินัยกรรมของประธาร HO CHI MINH ที่ได้วางนะโยบายไว้ตอนต่อสู้
เอาเอกราช"INDOCHINE"จากฝรั่งเศสมี VIETNAM,CAMBOGE,LAOS รวมกันเป็นอันหนึ่งอันดียวกันเรียกว่า"สามชาติ
อ้ายน้องคือชาติเดียวกัน"นะโยบายสำคัญของ พัก-ลัด สปปล ในขณะนี้ก็คือนำไช้ทิสดี"มติข้อที่5"ที่วางออกไช้ใน1973นำออกมาไช้สร้างความแตกแยกความสามัคคีไม่ไห้คนลาวอพพที่เหลือตายในต่างประเทศรวมตัวกันได้อีกต่อไป
โดยวิธีหลอกไช้คนลาวอพยพเหลือตายที่ไม่เข้าใจการเมืองทำงานเป็นสายลับไห้ในต่างประเทศส่งข่าวการเคลื่อนไหว
ของขบวรการ"ขตล"อยู่นอกประเทศไปไห้ในนั้นก็มีพระสงข์ส่งนอกทั้งไทยและลาวรวมอยู่ดว้ย...ระวังศัตรูของประชา-
ธิปไตยในคราบของนักบวชและคนลาวนอกโง่-ขาดการศึกษา-ขาดการเมือง ทำงานไห้ศัตรูของตนเองเช่นตัวอย่างมีมา
แล้วในปี1973ตอนเช็ญสัญญารวมลาวสองฝ่ายและ1975ตอนคนลาวว่ายข้ามแม่น้ำโขงหนีตายจากลาวแดงคอมฯ......

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

Dear Siengserixonlao radio
You radio is OK now i can listening Loud and clear.
ຮຽນທ່ານຄະນະບໍຣິຫານວິທະຍຸ Siengserixonlao ທີ່ນັບຖື
ພວກເຮົາໄນນາມຄະນະບໍຣິຫານ ຣັຖບານພຣະຣາຊອານາຈັກລາວ( ບໍ່ແມ່ນພັດຖິ່່ນ)
ຂໍສແດງຄວາມຍ້ອງຍໍແລະຊື່ນຊົມຍິນດີໄນລາຍການທີ່ທ່ານນໍາມາທ່າຍທອດອອກອາກາດ ພວກທ່ານເຮັດໄດ້ດີຫລາຍ
ໂດຍສເພາະທ່ານພິທີກອນສຽງຟ້າຜ່າຄໍໂຈນ 500 ແທ້ໆ ຈົ່ງດໍາເນີນຕໍ່ໄປພວກເຮົາຂໍສນັບສນູນເຕັມ 100%
ຖ້າທ່ານອະນຸຍາດພວກເຮົາຈະຊ່ວຍເຮັດໄຫ້ວິທຍຸຂອງພວກທ່ານຮັບຟັງໄດ້ທາງ Cell Phone ຊຶ່ງພວກເຂົາຈະສາມາດຟັງໄດ້
ທົ່ວທຸກຫົນແຫ່ງ At work, in the car,Travel, etc...
Our website: www.royalgovernmentoflao.com

Best Regards.
RGL Support Team
Jack.




2012/4/6

www.siengserixonlao.com

ລາຍການມື້ນິ້ 06.04.12

-ລາວທັງ ປທ ຂາດຄວາມເຊື່ອຫັ້ມນກັບພັກຣັຖ
-ວີທຍຸຂອງພວກເຮົາ ຂອບໄຈມາຍັງທູກໆຄົນທີ່ປ້ອນຂໍ້ມູນ
-ຊາວລາວຖືກຈັບໃນ ປທ ໄທ ຍ້ອນຍາບ້າ
-ຂ່າວຈາກສຳນັກໂຈນປູ້ນຊາດຂາຍເມືອງ

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

Sabaydi amis du Mékong et du forum,

Merci à Boukhay pour cette blague(1) aux multiples interstices métaphoriques(2).
Chacun peut aller de sa propre interprétation.

Sur le plan du développement durable, salubrité (dans les sens de la préservation de l'équilibre des espèces) oblige, la réaction de l'ami lao m'apparaît être la plus sensée et la plus écologique.
Sur ce dernier point, l'attitude des deux autres amis est condamnable car, contrairement à celle plus responsable de l'ami lao, leurs articles jetés dans le Mékong ne sont pas… biodégradables!

Un bon projet ne doit-il pas prévoir une fin avec sa déconstruction et son recyclage?

En espérant la venue de Godot, un excellent WE pascal à tous.
SD

(1) : Résumé de la blague de Boukhay pour ceux qui ne lisent pas le lao :
En attendant l'ami viêt, l'ami lao s'étonne que l'ami thaï jette dans l'eau un téléphone portable démodé.
Ce dernier répond que cela n'est pas un problème car il en possède plusieurs.
A peine arrivé en bicyclette, l'ami viêt jette son vélo dans l'eau.
L'ami lao s'étonne encore et l'ami thaï demande à l'ami viêt pour quelle raison il a fait cela.
Ce dernier répond que cela n'est pas un problème car il en possède plusieurs chez lui et presse les deux amis à aller boire la bière.
L'ami lao regarde à gauche et à droite puis, d'un coup de pied, envoi l'ami viêt dans l'eau.
Surpris, l'ami thaï demande à l'ami lao pourquoi il se comporte d'une telle manière avec l'ami viêt.
Tout naturellement, l'ami lao lui répond : "Chez nous, il y en a tellement des comme lui. En balancer un dans le Mékong, cela ne doit pas poser de problème, non?"
L'ami viêt…
L'ami thaï…>>
(2) : Y compris celle dans le titre en lao de Bounkhay traduit en français dans le titre de ce message

From: Bounkhay Chaleunsouk
To: Véthi Pasathipatay ; "freelaos@yahoogroups.com"
Sent: Thursday, April 5, 2012 9:36 PM
Subject: [Groupe_Vethi_Paxathipatay_lao] ຊວນຫົວຄາຍຄຽດ ເພາະ ບຽດເມຍບໍ່ໄດ້

ຊວນຫົວ ສຽດສີ....ຫລື ສີສຽດ

"ສາມ ສ່ຽວ...ໄທ ວຽດ ລາວ..."


ສາມສ່ຽວນັດກັນ ໄປດື່ມເບຍລາວ ທີ່ແຄມແມ່ນໍ້າຂອງ...ໃນໄລຍະລໍຖ້າ ສ່ຽວວຽດ ທີ່ມາຊ້າ ຢູ່ນັ້ນ... ສ່ຽວໄທ ກໍຈົກໂທລະສັບ ມືຖື Iput ຣູ້ນລ້າສຸດ ອອກມາຈາກຖົງ ແລ້ວແກວ່ງຖີ້ມລົງນໍ້າຂອງ...


ສ່ຽວລາວ: ອ້າວ ມຶງຄືເຮັດແບບນີ້ ?


ສ່ຽວໄທ: ໂອຍ ຢູ່ບ້ານຜົມ ມີຫລາຍ ຖີ້ມດ້າມຫນ່ວຍບໍ່ມີຫຍັງດອກ....


ສ່ຽວ ລາວງົງ...ພໍດີ ສ່ຽວວຽດ ຂີ້ລົດຖີບມາຮອດ ແລ້ວຊາບເລື້ອງເປັນມາ... ກໍ ເລີຍ ຈັບລົດຖີບ ໂຍ່ນລົງນໍ້າຂອງ....


ສ່ຽວລາວ: ອ້າວ ຖີ້ມອີກແລ້ວ...


ສ່ຽວໄທ: ຄຸນ ທຳໄມ ຢ່າງນີ້ !?????


ສ່ຽວວຽດ ກ່າວຢ່າງຖນົງວ່າ: ບ້ານຂ້ອຍມີຫລາຍ ລົດຖີບ ນີ້ ຖີ້ມລົງແມ່ຂອງ ຄັນດຽວບໍ່ມີຫຍັງດອກ...ໄປໆ ດື່ມເບຍດີກວ່າ.


ສ່ຽວລາວ ແນມຊ້າຍ ແນມຂວາ ເລີຍ ຢັນ ສ່ຽວວຽດ ລົງນໍ້າຂອງ....


ສ່ຽວ ໄທ: ທຳໄມ ຄຸນທຳກັບເພື້ອນ ຢວນໄດ້ ຢ່າງນີ້ ????


ສ່ຽວລາວ: ບ້ານເຮົາ ມີຫລາຍຄົລ ຄືສ່ຽວວຽດຄົນນີ້ ຖີບລົງນໍ້າຂອງ ດ້າມຄົລ ບໍ່ເປັນຫຍັງຕິ !!!!!


ສ່ຽວວຽດ:::::


ສ່ຽວໄທ.........

__._,_.___

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

Ce monstre n'est ni myope, ni presbyte. Il est tout simplement aveugle ! Bien qu'il porte des lunettes, il ne voit rien.
Il continue de tromper son peuple. C'est un miracle, selon lui, que le petit peuple lao soit capable de vaincre les colonialistes français
et les impérialistes américains ? Pour les lao en général, ce n'est pas un miracle que vieux monstre soit aussi idiot ! S'il n'était pas idiot
il ne sera jamais choisi par ses camarades du PCV pour occuper la place où il est aujourd'hui. Ce qui est regrettable est que des
jeunes "laonay" d'aujourd'hui soient victimes du terrible lavage de cerveau et soient trompés impitoyablement !
Jusqu'à quand, le peuple lao bien éclairé supporterait-il tel agissement de ce monstre aveugle ?
SOUY



--------------------------------------------------------------------------------
Date: Fri, 6 Apr 2012 13:05:32 -0500
From: specom2009@comcast.net
To: alansananikone@yahoo.com; jeanedarc@gmx.de; anourak2010@yahoo.com; anousack.thamma@sympatico.ca; akeodara63@yahoo.com; ath_dhatpa@yahoo.com; bm2b@yahoo.com; blacksaphire@hotmail.fr; Wkbouarouy@aol.com; brajphoumy@yahoo.com; bk2451969@yahoo.fr; karasa1@hotmail.com; bsoukbandith@yahoo.com; malaikham@aol.com; bounthanh_pousavanh@yahoo.com.au; kchinyavong@cox.net; saveng.vongsavath@hotmail.com; khamkeob@ohsu.edu; chanthalavong@aol.com; khamlay.mounivongs@hotmail.fr; phone@khoxayo.net; amerilao@gmail.com; laodemo@cs.com; drsithuys@yahoo.com; johnanouvong@yahoo.com; k1944@yahoo.com; leonthavone@yahoo.com; kdseri40@gmail.com; kboon12@gmail.com; PHOUTHONE.SOUVANNAVONG@gmail.com; kongpakanh@hotmail.fr; lao_nc@yahoo.fr; laoherald@yahoo.com.au; laopenlao@hotmail.com; laosnetworkroom@googlegroups.com; laotiannet@yahoo.com; lxenexai@hotmail.com; loukmahaxay001@9online.fr; n_sinakhone@yahoo.fr; nouksk@comcast.net; phandouangsy@free.fr; arounp_phanekham@yahoo.fr; phetnaly@hotmail.com; pswhitecondor@gmail.com; khampheophiphak@yahoo.fr; phlanghouamxatlao@ymail.com; phoui@free.fr; ponesomvang@hotmail.fr; schidhalay@hotmail.com; s_rasy@yahoo.com; jaihaklao@gmail.com; saya.salakham@yahoo.com; sery.soum@yahoo.com; serypaul@live.fr; S.NHOYBOUAKONG@gerep.fr; saysitthideth@hotmail.com; songkham1975@hotmail.com; soung95@hotmail.fr; soun1000@hotmail.co.uk; specom2009@comcast.net; fasatharn@hotmail.com; schanthavixay@yahoo.com; bounseum_s@yahoo.fr; toukhaty@hotmail.com; chanthaveunxay@hotmail.com; tduangmalalay@comcast.net; tvongkaysone@gmail.com; touxoua@aol.com; vibone.vongsavath@club-internet.fr; yenvisetx@hotmail.com
Subject: President Choummaly called it ‘a miracle’

Revolutionary first generation’s ideals
President Choummaly called it ‘a miracle’ that a small country like Laos could defeat foreign invaders with far more resources and better-equipped weaponry.
Party Secretary General and Lao President Mr Choummaly Sayasone has called on the youth of today to learn and practice the fine ideals of the country’s first generation of revolutionary leaders.


President Choummaly Sayasone.
The president made the statement at a ceremony on Saturday to mark the relocation of the remains of six members of the Party’s first Politburo, and a group of revolutionary leaders from a later generation, from various resting places to the National Cemetery.
The six deceased leaders were the late President Kaysone Phomvihane, President Souphanouvong, former President Nouhak Phoumsavanh, former Acting President Phoumy Vongvichit, Mr Phoun Sipaseuth and Mr Sisomphone Lorvanxay, with former President Khamtay Siphandone, who is still living, bringing the number of the first generation of revolutionary leaders to seven.
“We are extremely proud to have had these seven leaders as the Party’s wise leadership core for the fighting efforts of our people over many decades,” the President told the crowd of thousands who had gathered for the occasion.
The above-mentioned leaders led Party members, cadres, revolutionary fighters and the country’s multiethnic people along the dangerous road to national independence and liberation, many of whom sacrificed themselves to eventually gain victory, President Choummaly said.
President Choummaly called it ‘a miracle’ that a small country like Laos could defeat foreign invaders with far more resources and better-equipped weaponry.
The victory and collapse of the rule of foreign colonialism eventually saw the proclamation of the Lao People’s Democratic Republic (Lao PDR ) on December 2, 1975.
President Choummaly spoke of the pride of Lao people concerning the struggle for independence and liberation.
“Over Laos’ thousands of years of history, there is no other period that has solidified the country’s reputation throughout the world as the long and tough fight for national independence and liberation of our people under the leadership of the Lao People’s Revolutionary Party and Lao Front for National Construction against the foreign colonialists and their henchmen,” he said.
“We are extremely proud of that achievement.”
After proclaiming the new regime, the country’s leaders, headed by the late President Kaysone, devoted themselves to the protection of the revolutionary achievements. They also laid the foundations for socio-economic and cultural growth as well as the political system of the people’s democratic regime.
The leaders also laid out guidelines for each period and achieved their primary task of protecting and constructing the new regime.
President Choummaly pointed out that the leaders left behind lessons and clear models for the Party to carry out and further enrich, as follows.
Firstly, the leaders are good role models for their ardent patriotism, lofty revolutionary spirit, valiant heroism and confidence in the power of solidarity.
Secondly, the leaders were active in creating, improving and reforming the Party’s guidance to suit the country’s internal and external circumstances and meet people’s needs, while exerting utmost efforts for the benefit of the people.
Thirdly, the leaders set good examples of the importance of unity and amity.
Lastly, they set good models for their adherence to revolutionary conduct and clean lifestyle.
On the same occasion, the remains of a later generation of leaders, including Mr Saly Vongkhamxao, Mr Maychantan Sengmany, Mr Oudom Khatthiya, Mr Somlath Chanthamath, Mr Osakan Thammatheva, Mr Khambou Sounixay, Mr Sompheth Thipmala, and Mr Vaenthong Luangvilay, were also relocated to the National Cemetery.
Source: Vientiane Times



__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 


The Kingdom and people of Siam . T.ll Kualalumpur Singapore Oxford Universty Press 1969. page 28 : The Meikong is a large river flowing through the eastern side of Laos and Cambodia. page 90 : Almost all the siamese opulent... nobles have wives from L A O S , many of whom would be considered pretty. They are of diminutive stature, singularly meek expression, liquid eyes, and graceful movement.They have the art of obtruding the elbow forwards,which is deemed an aristocratic accompliment among the Siamese ladies, who frequently take occasion to exhibit the substile action of their arms, and which could only be produced by very early training.
by John Bowring : The kingdon and people of Siam London 1857.2 Volumes page 432 : The sweet tamarinds ຫມາກຂາມຫວານລາວ หมากขามหวาน ล า ว just broughrt from nordhern Laos country presented to His E Sir John Borwing Knighr!....by his belored friend SPPM Mongkut, the king of Siam,trusting that they would be acceptable if they were curiously different from commen or abundant tamarinds.

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

One of King Anou's granddaughters married king Mongkut (Rama 4) of Siam and was the mother of HRH Princess PRADITHTA SALEE, the king's last surviving chid.Sie died in the 1960's aged over 90. Laotian from the old VIENTIANE land's visiting Bangkok were always welcome at the PRINCESS'S HOME .
from : The laos States an account of the forgoten kingdoms of old Laos by Jeffrey Finestone (1980)

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

http://www.youtube.com/watch?v=i5r_HJkbVOc&feature=relmfu

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

http://www.youtube.com/watch?v=0uZnqWukdn4&feature=share

ຊາຍແດນລາວເລີມທີ່ໂຄຣາຊ ແລະ ທຶມງານໄທ ສ້າງພາບເອົາເດັກນ້ອຍ ເຂົາມາເວົ້າພາສາສຍາມເພື່ອສ້າງພາບວ່າ ສປປລ ເປັນ ປທ ທີ່ຮັບວັທນະທັມຂອງພວກເຂົາຫລາຍທີ່ສຸດ ເພື່ອປົກຄວາມຈີງວ່າ ດຽວນີ້ ວັທນທັມລາວເຂົ້າຫນ້ຽວບໍ່ໄດ້ເຂົ້າໄປຣຸກຣານ ແມ່ນໃນຕັວເມືອງ ກທມ ທຸກຂອກແຄແຈຮັ້ວຫຍັ...ງຈັກດິ້ ນີ້ແມ່ນທ່າເສັຍຂອງພວກໂຈນລາວແດງ ທີ່ ບໍ່ສາມາດເຂົ້າໄປໃນດິນແດນສຍາມ ແລ້ວ ສ້າງບັນຍາກາດແຫ່ງຄວາມຈີງວ່າ ໃນ ປທ ຂີ້ກະຈອກ ນີ້ ມີຄົນລາວ ຫລາຍກ່ວາ40ລ້ານຄົນ ພາສາລາວເປັນພາສາທາງຣາຊການທະຫານ ທາງພາກໄຕ້ ເວລານີ້ ແປວ່າ ຄົນລາວໄປປົກປ້ອງເຂດນຳແດນດິນ ປທ ນີ້ມາແລ້ວ ກ່ວາ ສາມຮ້ອຍ ປິ ໃນອະດິດ ພະະມ້າ ເຄິຍມາບຸກ ປທ ເຫິ້ນນີ້ກ້ວາ20ຄັ້ງ ກະແມ່ນລາວກູນີ້ລະ ເອົາຊິວິດສູ້ໃຫ້ ພວກ ປູ້ນຳຫ້ນາຫມາໂຈນລາວແດງ ຄວນ ຄວນ ຮຽກຮ້ອງສໂຈນ ຕວຕ ໄດ້ແລ້ວ ພວກ ທີ່ຕາຽ ແລະ ບາດເຈັບເປັນ5ຫົກຮ້ອຍຍ້ອນຄາຣໂບມ ທີ່ ປັດຕານາ ສົງຂາ ເວລານີ້ ກະແມ່ນມີແຕ່ລາວກູນີ້ລະ

http://www.facebook.com/#!/anourack.phiphaksa

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

http://www.posttoday.com/อาชญากรรม/147221/รวบเครือข่ายยาบ้า-สาวลาวพร้อมยาบ้า60-000เม็ด

อาชญากรรม
รวบเครือข่ายยาบ้า-สาวลาวพร้อมยาบ้า60,000เม็ด

* 06 เมษายน 2555 เวลา 15:55 น. |
... * เปิดอ่าน 576 |
* comment ความคิดเห็น 0

0Share

ปส.แถลงจับเครือข่ายชาวเขามูเซอ-สาวลาวพร้อมยึดยาบ้าของกลางรวม60,000เม็ด

เมื่อเวลา 11.00 น. ที่กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) พล.ต.ต.จิรโรจน์ กี่ศิริ รองผบช.ปส. พล.ต.ต.อาชวันต์ โชติกเสถียร ผบก.ปส.2 พ.ต.อ.ชยพจน์ หาสุณหะ รองผบก.ปส.2 แถลงจับกุมนายจะป๋า แสงคำ อายุ 29 ปี นายไพรวัล ต๊ะเนย อายุ 35 ปี นางนที ปู่เหล็ก อายุ42 ปี นายจะดุย แสงคำ อายุ 31 ปี น.ส.นาอื่อ สามเต้า อายุ 30ปี และนายนะ จะมู อายุ 30 ปี ทั้งหมดเป็นชาวเขาเผามูเซอ พร้อมของกลางยาบ้า 50,000 เม็ด และรถกระบะ 2 คัน โดยจับกุมได้ที่ ปั้มน้ำมันปตท.ถนนเชียงใหม่-เชียงราย ต.แม่เจดีย์ อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย

พล.ต.ต.จิรโรจน์ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งจากสายลับว่าจะมีกลุ่มนักค้ายาเสพติดเครือข่ายชาวเขา เผ่ามูเซอ จำหน่ายยาเสพติดบริเวณอ.เวียงป่าเป้าและพื้นที่ใกล้เคียง จึงวางแผนล่อยาบ้าซื้อที่ปั้มน้ำมันดังกล่าว จนกระทั่งติดตามจับกุมผู้ต้องหาได้ทั้งหมด ยกเว้นนายจะแฮ จะมู พร้อมพวกอีกคนสามารถหลบหนีไปได้ จากการสอบสวนให้การรับสารภาพ จึงแจ้งข้อหาร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท1(ยาบ้า)ไว้ในครอบครองเพื่อ จำหน่ายและจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต ส่งพนักงานสอบสวนขยายผลดำเนินคดีต่อไป

อีกราย เจ้าหน้าที่ ปส.2 ทำการจับกุม น.ส.หล่าน้อย แก้วสะหวัน อายุ 21 ปี และน.ส.ปี โพทิลาด อายุ 32 ปี ผู้ต้องหาชาวลาว พร้อมของกลางยาบ้า 10,000 เม็ด หลังลักลอบนำยาบ้าจากชายแดน นั่งรถโดยสารสายอุดรธานี-นครราชสีมา เพื่อมาส่งให้ลูกค้าบริเวณสถานีขนส่งนครราชสีมาแห่งที่2 อ.เมือง จ.นครราชสีมา จึงทำการจับกุมตัวได้ที่สถานีดังกล่าว สอบสวนรับสารภาพได้ค่าจ้างคนละ 25,000 บาท

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ສະບາຍດີ ພີ້ນ້ອງ ເພື່ອນຣ່ວມຊາຕ ຮັກແພງແລະນັບຖື

ຂໍອະທີບາຽເນື້ອເພັງຂອງພວກລາວແດງນັ້ນ ມັນບໍ່ເປັນເສຣີມຸງຄຸນຫຍັງ, ບໍ່ມີຄວາມຈີງ, ຕົວະຕົ້ມ ບໍ່ມີສີນທັມ...



ໃນຄວາມເຫັນນັ້ນບໍ່ດີທີ່ສຸດ
ວິຈັຍເບິ່ງເນື້ອຮ້ອງເພງຊາຕລາວໃໝ່ ຄອມມິວນິສ

ຊາດລາວ ຕັ້ງແຕ່ໃດມາ ລາວທຸກທົ່ວໜ້າ ເຊີດຊູສຸດໃຈ
ນຳຄົນລາວໄປທຳຮ້າຍທໍຮະມານຈິດໃຈ ຂ້າຄົນລາວຖີ້ມ ເອົາແກວມາເປັນນາຽ
ຮ່ວມແຮງ ຮ່ວມຈິດ ຮ່ວມໃຈ ສາມະຄີກັນ ເປັນກໍາລັງດຽວ
ເຊັນສັນຍາຖືກຕ້ອງປອງດອງຊາຕ, ມີຈີດໃຈຫລອກລວງຕົວະຕົ້ມ ໃຫ້ແຕກສາມະຄີກັນ
ເດັດດ່ຽວ ພ້ອມກັນກ້າວໜ້າ ບູຊາຊູກຽດຂອງລາວ
ກຽດສັກສີຖືກທຳຮ້າຽ ນັບແຕ່ເຈົ້າແຜ່ນດີລົງມາ ເອົາໄປຂ້າຖີ້ມຢ່າງໃຮ່ກຽດບໍ່ມີປ່າຊະ
ສົ່ງເສີມໃຊ້ສິດເປັນເຈົ້າ ລາວທຸກຊົນເຜົ່າ ສເມີພາບກັນ

ບໍ່ໃຫ້ພວກຈັກກະພັດ ແລະພວກຂາຍຊາດ ເຂົ້າມາລົບກວນ
ຍັງອາໃສຈັກະພັດອາເມຮິກາ ຝຣັງອັງກີດຢູ່ ອາໃສການຊ້ອຽເຫລືອ ຈາກໂລກເສຣີກີນ
ລາວທັ້ງມວນ ຊູເອກກະລາດ ອິດສາລະພາບ ຂອງຊາດລາວໄວ້
ປະເທດລາວ ເໝືອນເຮືອລອຽຢູ່ກາງທະເລ, ແກວ,ຈີນ, ໃທສຍາມ ກຳລັງຍາດກັນ
ຕັດສີນໃຈ ສູ້ຊິງເອົາໄຊ ພາຊາຕລາວໄປ ສູ່ຄວາມວັດທະນາ.
ບໍ່ມີພຣະພອນຈາກພຣະເຈົ້າ ຂາດຄວາມສັກສີດ ຜີດຈາກຄຳຊາບແຊ່ງຄຳສາບານ
ເປັນຄົນເນຣະຄຸນ ບໍ່ຮູ້ບຸນຄຸນ ຍັງມາຂໍກີນນຳຄົນໂຕເອງປ່ອຽດາ ເໝືອນກັບວ່າເອົາຖ່ານໃຟຍອງໃສ່ຫົວ
_______________________________________________________________

ບໍ່ໃຫ້ພວກຈັກກະພັດ ແລະພວກຂາຍຊາດ ເຂົ້າມາລົບກວນ
ເນື້ອເພງຊາດແບບນີ້ ກໍຍັງຈະມີໜ້າໄປຂໍຄວາມດູຕົນສົງສານນໍາຈັກກະພັດຢູ່ບໍ?
ຂໍໃຫ້ຜູ້ຊ່ຽວຊານແປເປັນພາສາ ສາກົລແລ້ວນໍາຂື້ນໄປອົງການສະຫະປະຊາຊາຕ
ໄປເປັນເງື່ອນໃຂໃນການຕໍ່ສູ້.
   
Best Regards,

specom


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ສ່າງສ້ອມແປງ ສາມຊາຕ ອິນໂດຈີນ

ເກີດອຸບັດຕິເຫດຣົດຕໍາ ຮົ້ວທໍານຽບຂາວ, ຫລັງຈາກການສະສາງເຫດການແລ້ວ ເຈົ້າໜ້າທີ່
ຮັບຜິດຊອບໄດ້ຕິດຕໍ່ຫາຊ່າງມາປະມູນຣາຄາ ສອ້ມແປງ. ໄດ້ຕິດຕໍ່ໄປຫາສາມບໍຣິສັດ
ລາວ, ຂເມນ, ແລະວຽດນາມ ສາມຊາຕອິນໂດຈີນມາປະມູນຣາຄາ.

ເປີດໃຫ້ບໍຣິສັດຂເມນໄປສໍາຣວດກ່ອນ:
ສະຫາຍຂະແມ ກໍຈົກເອົາໄມ້ແມຕມາແທກຄວາມກວ້າງຄວາມຍາວ
ຄິດໄລ່ຮຽບຮ້ອຍແລ້ວກໍມາບອກວ່າ $2,500.

ຕໍ່ໄປກໍແມ່ນບໍຣິສັດວຽດມາປະເມີນຣາຄາ:
ສຫາຍວຽດ ກໍເຮັດແບບດຽວກັບສຫາຍຂະແມ ແລ້ວມາບອກຣາຄາປະມູນວ່າ $2,000.

ຕໍ່ໄປກໍແມ່ນທີຂອງບໍຣິສັດລາວ
ນາຍຊ່າງລາວ ບໍ່ເຮັດຄືແກວ ແລະຂແມ ຢ່າງໄປເບິ່ງແລ້ວກໍກັບມາບອກວ່າ $5,000

ເລີຍສ້າງຄວາມສົນໃຈແກ່ຜູ້ທີ່ຈະຈ້າງ ແລະຖາມວ່າ ຄືບໍ່ເຫັນເຈົ້າໄປວັດ ໄປແທກຫຍັງ
ແລ້ວມາບອກວ່າ ຫ້າພັນໂລດ?
ນາຍຊ່າງລາວຫຍັບເຂົ້າມາໄກ້ໆແລ້ວຊື່ມໃສ່ຫູເຈົ້າໜ້າທີ່ວ່າ ຄັນໃຫ້ຂ້ອຍແປງໃນຣາຄາ
$5,000 ຂ້ອຍຈະເອົາໄປຈ້າງຊ່າງແກວ $2,000 ແລະກໍາໄຣ $3,000 ເຮົາປັນກັນຄົນເຄິ່ງ
ຈະວ່າແນວໃດ?.


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ປີ 2015 ມີ ຄົນໂດຍສານ ສີ່ 04 ນັງ ແລະ ນອນລົດໄຟຄວາມໄວສູງ ມາຈາກ ແຂວງ ຄຸນໝິງ (ຄົນລາວ, ຄົວຈີນ, ຄົນອາເມລິກາ ແລະ ຄົນລັດເຊຍ)

1. ຕື່ນເຊົ້າ ກ່ອນຈະກິນອາຫານເຊົ້າ: ຄົນລັດເຊຍ ຈົກແກ້ວເຫລົ້າ ໂວດກາ VODKA ມາໄຂລ້າງມື

2. ຄົນອາເມລິການເຫັນ ກໍ່ຈົກເອົາເງິນ ດອນລາ USD ມາຈີກເປັນຊິ້ນໆໆ

3. ສ່ວນຄົນລາວບໍ່ມີຫຍັງເຮັດຄືເຂົາ ກໍ່ເລີຍຫລຽວເຫັນແຕ່ຄົນໂດຍສານຄົນຈີນ ກໍ່ເລີຍໂດຍດຈັບຊັດລົງປ່ອງຢ້ຽມລົດໄຟທີ່ກຳລັງແລ່ນຢູ່ !

4. ຊາວອາເມລິການ ແລະ ຊາວລັດເຊຍ ກໍ່ເລີຍຕົກໃຈ ແລະ ຮ້ອງໃສ່ ວ່າ: ເຈົ້າເປັນຫຍັງຈຶ່ງຈັບລາວຖິ້ມລົງຈາກລົດໄຟ !

5. ຄົນລາວຕອບວ່າ: ຖິ້ມດ້າມຄົນບໍ່ເປັນຫຍັງດອກ, ຢູ່ ປະເທດຂອງຂ້ອຍ ເກີນມີຫຼາຍ, ບໍ່ດັບສູນດອດ ! ຮຮຮຮຮຮຮ

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ຊວນຫົວ ສຽດສີ....ຫລື ສີສຽດ

"ສາມ ສ່ຽວ...ໄທ ວຽດ ລາວ..."

ສາມສ່ຽວນັດກັນ ໄປດື່ມເບຍລາວ ທີ່ແຄມແມ່ນໍ້າຂອງ...ໃນໄລຍະລໍຖ້າ ສ່ຽວວຽດ ທີ່ມາຊ້າ ຢູ່ນັ້ນ... ສ່ຽວໄທ ກໍຈົກໂທລະສັບ ມືຖື Iput ຣູ້ນລ້າສຸດ ອອກມາຈາກຖົງ ແລ້ວແກວ່ງຖີ້ມລົງນໍ້າຂອງ...

ສ່ຽວລາວ: ອ້າວ ມຶງຄືເຮັດແບບນີ້ ?

ສ່ຽວໄທ: ໂອຍ ຢູ່ບ້ານຜົມ ມີຫລາຍ ຖີ້ມດ້າມຫນ່ວຍບໍ່ມີຫຍັງດອກ....

ສ່ຽວ ລາວງົງ...ພໍດີ ສ່ຽວວຽດ ຂີ້ລົດຖີບມາຮອດ ແລ້ວຊາບເລື້ອງເປັນມາ... ກໍ ເລີຍ ຈັບລົດຖີບ ໂຍ່ນລົງນໍ້າຂອງ....

ສ່ຽວລາວ: ອ້າວ ຖີ້ມອີກແລ້ວ...

ສ່ຽວໄທ: ຄຸນ ທຳໄມ ຢ່າງນີ້ !?????

ສ່ຽວວຽດ ກ່າວຢ່າງຖນົງວ່າ: ບ້ານຂ້ອຍມີຫລາຍ ລົດຖີບ ນີ້ ຖີ້ມລົງແມ່ຂອງ ຄັນດຽວບໍ່ມີຫຍັງດອກ...ໄປໆ ດື່ມເບຍດີກວ່າ.

ສ່ຽວລາວ ແນມຊ້າຍ ແນມຂວາ ເລີຍ ຢັນ ສ່ຽວວຽດ ລົງນໍ້າຂອງ....

ສ່ຽວ ໄທ: ທຳໄມ ຄຸນທຳກັບເພື້ອນ ຢວນໄດ້ ຢ່າງນີ້ ????

ສ່ຽວລາວ: ບ້ານເຮົາ ມີຫລາຍຄົລ ຄືສ່ຽວວຽດຄົນນີ້ ຖີບລົງນໍ້າຂອງ ດ້າມຄົລ ບໍ່ເປັນຫຍັງຕິ !!!!!

ສ່ຽວວຽດ:::::

ສ່ຽວໄທ.........

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ศาลโลก!!!
ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ( International Court of Justice; ICJ) หรือภาษาปากว่า ศาลโลก ( World Court) เป็นศาลซึ่งตั้งขึ้นโดยกฎบัตรสหประชาชาติ เมื่อ 1946 ให้ทำหน้าที่สืบเนื่องต่อจากศาลสถิตยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Permanent Court of Justice; IPCJ) ที่ก่อตั้งเมื่อวันที่ 10 มกราคม 1920 และยุติบทบาทไปพร้อมกับสันนิบาตชาติ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศอยู่ในความควบคุมของสหประชาชาติ และมีบัลลังก์ที่กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ แต่จะออกนั่งพิจารณาที่อื่นก็ได้!
ศาล ยุติธรรมระหว่างประเทศมีอำนาจพิจารณาตัดสินคดีใด ๆ ที่เป็นข้อพิพาทระหว่างประเทศ 2 ประเทศขึ้นไป (contentious case) เช่น ข้อพิพาทเรื่องดินแดนอาณาเขต การละเมิดอำนาจอธิปไตย ปัญหาสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศ หรือแม้แต่กรณีที่เกี่ยวข้องกับเอกชนที่รัฐเป็นผู้ฟ้องแทน ฯลฯ ทั้งนี้ประเทศที่เกี่ยวข้องจะต้องยินยอมรับอำนาจศาลให้เป็นผู้พิจารณาตัดสิน ก่อนเท่านั้น ศาลจึงจะมีอำนาจพิจารณาตัดสินคดีนั้นได้
นอก จากนี้ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศยังมีอำนาจวินิจฉัยเพื่อให้ความเห็นเกี่ยวกับ ประเด็นปัญหาในทางกฎหมายระหว่างประเทศ (advisory opinion) ในกรณีสามกรณีหลัก คือ กรณีแรก ตามที่สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติหรือคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติร้องขอ กรณีที่สอง ตามที่องค์กรอื่นภายใต้สหประชาชาติหรือองค์การชำนัญพิเศษแห่งองค์การสหประชา ชาติร้องขอโดยได้รับการอนุมัติจากสมัชชาใหญ่ และ กรณีที่สาม ตามที่ได้มีการให้อำนาจวินิจฉัยปัญหาไว้โดยสนธิสัญญา!
ผู้ พิพากษาศาลยุติธรรมระหว่างประเทศมี 15 คน อยู่ในตำแหน่งคราวละ 9 ปี คนละวาระเดียว การพิจารณาพิพากษาคดี ต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อย 9 คนนั่งบัลลังก์ จึงจะเป็นองค์คณะ อนึ่ง ศาลจะเลือกประธานและรองประธานศาลเอง!!!


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

Sabaidee ແຟນໆລາວໂຮມລາວ

ທ້າຍສັປດາ ບຸນPâques ຈະມາເຖິງນີ້ ຂໍໃຫ້
ຈົ່ງມີແຕ່ຄວາມມ່ວນຊື່ນເບີກບານລ້ຳລວຍ
ຢ່າໄດ້ມີການພົບພໍ້ກັບຄວາມຫົ່ມນຫມອງເດັດຂາດ
ລາຍການມື້ນິ້
www.siengserixonlao.com


-ອະເມຣີກາເລີມຈະມີສາຍສັມພັນການທູດກັບພະມ້າ
-ຄວາມເປັນບ້າຂອງຈິນແດງໃຊ້ແມ່ນ້ຳຂອງເປັນອາວຸດ
-ເພງຊາດລາວແລະຈໍມໍຂອງທ່ານນາຣົງສີນາຄອນແລະສະຖຽນວົງຄຳຈັນ
-ຂ່າວຈາກສຳນັກງານໂຈນປູ້ນຊາດຂາຍແຜ່ນດິນ

ແລະຄິດວ່າການຕິດຕໍ່ພັວພັນຈະເລີມສັກກະຣາຊໄຫ່ມແຫ່ງ ການຍົກຖານາການຄວາມສມານສສະມັກຄິ
ຕໍ່ສູ້ຕ້ານໂຈນ500ແລະ ຫມາພານຮັບໃຊ້ຂອງພວກເຂົາ ແລ້ວ

ທືມງານ
ວີທຍຸສຽງເສຣີຊົນລາວທີ່ເອີຣົບ


http://www.thairath.co.th/column/pol/page1scoop/250049


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

blankstare too bad and too sad



__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ອ້າງຕາມຫນັງສີພີມລາຍສັປດາຊີ່ດັງຂອງຝຣັ່ງ
L'évènement du jeudi du 20-26/2/92. page 79 ບອກວ່າ ບັກແກວຫັວຂອດ ໄກສອນຜັວອີ່ຫ່າທອງຫວີນ ພໍ່ ບັກນາຍພົນໂທ ສັນຍາລັກ ອາຍຸ 38ປິ ຖືກນາຍຫ້ນາຊາວຝຣັ່ງເສດ ຕົ້ມເງິນມັນ 760 ລ້ານ ດລ

...Si l'on n'est pas regardant sur sa provenance ou sur son authencité, il est certain qu'elle pèse lourd chez Aubert.Mais au bas du document la signature est fausse.Dans le même coffre des bons du gouvernement du Laos,pour 760 millions de Dollars.Pas exactement des faux,ceux-là:Belgacem Boumala et Paul Gleizner un ...associé Luxembourgeois proche de Jean-Pierre Aubert, les ont recus de la main du
ministre des finances du Laos (khamphoui KEOBOUALAPHA), à l'hôtel Pullmann de Luxembourg.Les bons sont remis dans la perspective d'une capitalisation:ils ne seront jamais restitués.Jean Pierre Aubert joue au banquier attrape tout....
ສາລີວົງຄຳຊາວ ຣມຕ ຄັງກ່ອນຄຳຜູຍ(ກ່ອນ75 ຖືບສາມລໍ້ທີ່ເມືອງປາກເຊ) ຖືກຂ້າຕາຍ(ພວກເຂົາທຶ້ນກັນເອງ ແບບດຽວກັນ ພັນເອກເດືອນວົງດາຣາແລະອຶ່ນໆ)ໃນເດືອນ1 ປີ 91 ແລະອ້າງຕາມວາຣະສັນ ປຊທປຕ ທີ່ ປາຣີສ ແີ 92 ຫ້ນາ21 ບອກວ່າຮອງ ນຍ ຣມຕ ເສຖກີດ ການເງີນ ແຜນການ ແລະ ການຄ້າ ຄົນທີ່ 10ຂອງສູນກາງກົມການເມຶອງ
politburo ຄຳຜູຍແກ້ວບັວລະພາ(ຖືກພັກເຕະອອກເລື້ອງເງີນນີ້ລະ ແລ້ວໄປຢູ່ເມືອງເຫົ່ລາງາມ ສາຣະວັນຈົນຮອດມື້ຕາຍ ໃນວັນທີ່21.10.08) ໄດ້ມາຜ່ານເມຶອງປາຣີສກ່ອນຊີໄປປະຊູມໃນນາມ ປທ ທຸກຍາກ ທີ່ສຸດໃນໂລກ ທີ່ ສະວີດເຊີແລນກ່ຽວການຂໍທານຈາກໂລກນາຍທືນ ໄດ້ ປະກາດ ທີ່ ສະຖານລາວແດງເມືອງປາຣີສ ຕໍ່ຫ້ນາຫັນງສືພີມ ນັກການຄ້າ ນັກການເມືອງ(ດຣ ກີທອງວົງໄຊ ຮອງ ຣມຕການຄ້າ) ຈັນທະວົງ ໄຊຍະສີດ ຮອງຣມຕວາງແຜນ ສົມພະຈັນອີນທະວົງ( ຈາກ ສະພາວີໄຈການເມືອງຮ່ວມລູກຊາຍ ສົມບູນ ນ້ອງຊາຍສົມພາວັນ ຄູ່ແຂ່ງທ່ານ ດຣ ບຸນສັງຄຳແກ້ວ) ຟອງສະນີດ ອຸໄທທານີ້(ຈຳປາເມືອງລາວ) ແລ້ວ ປະກ າດ
ຕາ ມ ສັນ ດ າ ນ ຂ ອ ງ ຄົ ນ ຖີ ບ 3 ລໍ້
ຕໍ່ ຫ້ ນາ ປັນ ຍ າ ຊົ ນ ທັງ ຫ ລ າ ຍ ວ່າ ໃ ນ ອ າ ນ າ ຈັ ກ ໂ ຈ ນ ຄມນ ເ ຂົ າ ສັ ງ ຄົ ມ ນີ ຍົ ມ
ດ ຽ ວ ນີ້ ບໍ່ ມີ ແລ້ວ. ຄຳເວົ້າຄຳນີ້ ພວກຫມາພານໂຈນສະຫູມນ ຄມນ ລາວແດງ(ກະຫັນງສືພີມ ປຊທປຕ ທີ່ ຝັຣ່ງນັ້ນລະ) ຖືກຫມາກກະດອງໄຈຂະຫນາດ ທີ່ ຄມນໂຈນ ຫອບກະບານ ມາຫລອກຊາວໂລກ ຮອດເມືອງປາຣີສຈົນໄດ້ ເຖີງ ຂຽນ ໃນຄໍລັມ ຄົນຊື່ ຄຳຜູຍ ໂດຍນັກຂ່າວກະຈອກ(ໄຊຊນະທານາດາບຸດ) ວ່າ ຄັກ ຄັກ ຄັກ ຄັກ ຄັກ ໂຄດແມ່ສູເອີຍ 20ປີ ຜ່ານໄປ ແລ້ວ ຄມນໂຈນຜີຫ່ານີ້ ມັນຫາຍໄປ ແລ້ວ ຈາກ ສັງຄົມ
ແລ້ວ ເຮົາ ຊ່ວຍຊອກຫາຄຳຕອບມາໃຫ້ ລາວທັງໂລກດ້ວຍ

..................
ຂ່າວນີ້ມີການອອກລາຍການແລ້ວ ທີ່
http://tiny.cc/serixonlao
ແລະ ໃນ ເຝສບຸກ
http://www.facebook.com/#!/anourack.phiphaksa



__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

......ໃນສາຍຕາຂອງພວກໂຈນຂາຍຊາດຂາຍແຜ່ນດິນ ທ່ານ ນາຍພົນເຮົາ (ເຊັ່ນດຽວກັບຄຳຜູຍແກ້ວບັວລະພາ ແລະມົ້ງແມ້ວຂ້າອື່ນ)ເປັນນັກການການເມືອງນັກຕໍ່ສູ້ ຊາດນີຍົມ ມືຂາວສອາດ
ແຕ່
ໃນກູ່ມອັນຕະພານ ຂື້ນແລ້ວບໍ່ຍອມລົງ ລົງແລ້ວ ບໍ່ຍອມປະອຳນາດມືດ
ແມ່ນ ທ່ານ ເປັນຄົນບໍ່ດີ
ເຫັນໄດ້ ການຍ້າຍຫລູມຝັງສົບພວກເຂົາຈາກຫລັກ6 ໄປ ຫລັກ 24 ທາງເລກ13
ບໍ່ມີຊື່ ທ່ານ ນາຍພົນ(ແລະ ຄົນອື່ນ.....)ເຮົາເລິຍນໍ!!!!


......................................................

ຫນັງສືພິມ ປຊຊ ທີ່ ທ່ານນາຍພົນໄດ້ເປິດໂສມຫ້ນາໂຈນທັງຫລາຍ ມື້ນີ້ ທີ່ 26.03.2012 ບໍ່ໄດ້ເວົ້າເຖີງຊື່ທ່ານເລີຍ

http://www.pasaxon.org.la/conten/26-3-12/2.htm

ພິທີ​ທໍ​ຊາ​ບຸນ ​ແລະ ​ເຄື່ອນ​ຍ້າຍ​ອັດຖິ​ອະດີດ​ການ​
ນຳ​ຮຸ່ນ​ທຳ​ອິດ ​ແລະ ຜູ້​ອື່ນໆ ​ໄປ​ສູ່​ສຸສານ​ແຫ່ງ​ຊາດ

(ຂປລ): ແຕ່ວັນທີ 23-24 ມີນາ 2012 ນີ້ຢູ່ຫໍພິພິທະພັນ ໄກສອນ ພົມວິຫານ ຫລັກ 6 ນະຄອນຫລວງວຽງຈັນ, ຄະນະບໍລິຫານງານສູນ
ກາງພັກ ປະຊາຊົນ ປະຕິວັດລາວ ໄດ້ຈັດພິທີທຳບຸນ ແລະ ເຄື່ອນຍ້າຍອັດຖິອະດີດການນຳຮຸ່ນທຳອິດ ແລະ ຜູ້ນຳອື່ນໆ ໄປສູ່ສຸສານແຫ່ງຊາດ
ຫລັກ 24 ເຊິ່ງມີທ່ານ ໄກສອນ ພົມວິຫານ, ທ່ານ ສຸພານຸວົງ, ທ່ານ ຫນູຮັກ ພູມສະຫວັນ, ທ່ານ ພູມີ ວົງວິຈິດ, ທ່ານ ພູນ ສີປະເສີດ, ທ່ານ
ສີສົມພອນ ລໍວັນໄຊ, ທ່ານ ສາລີ ວົງຄຳຊາວ, ທ່ານ ໄມຈັນຕານ ແສງມະນີ, ທ່ານ ອຸດົມ ຂັດຕິຍະ(ຖືກຂ້າຕາຍຈາກນ້ຳມືແກວໃນທ້າຍປິ 1999) ທ່ານ ສົມລັດ ຈັນທະມາດ, ທ່ານ ພົນໂທ
ໂອສະກັນ ທຳມະເທວາ, ທ່ານ ຄຳບູ່ ສຸນິໄຊ, ທ່ານ ພົນຕີ ສົມເພັດ ທິບມາລາ ແລະ ທ່ານ ດຣ. ແຫວນທອງ ຫລວງວິໄລ ໂດຍມີທ່ານ ຈູມມາລີ
ໄຊຍະສອນ ເລຂາທິການໃຫຍ່ຄະນະບໍລິຫານງານສູນກາງພັກ ປະຊາຊົນ ປະຕິວັດລາວ, ປະທານປະເທດ ແຫ່ງ ສປປ ລາວ, ບັນດາທ່ານໃນ
ຄະນະກຳມະການກົມການເມືອງສູນກາງພັກ, ຄະນະບໍລິຫານງານສູນກາງພັກ, ຄະນະສະພາແຫ່ງຊາດ, ຄະນະລັດຖະບານຕະຫລອດຮອດພະນັກ
ງານ, ທະຫານ, ຕຳຫຼວດ ແລະ ປະຊາຊົນລາວບັນດາເຜົ່າທົ່ວປະເທດກໍ່ຄືປະຊາຊົນຊາວນະຄອນຫລວງວຽງຈັນເຂົ້າຮ່ວມ. ພິທີທຳບຸນ ແລະ ເຄື່ອນ
ຍ້າຍອັດຖິອະດີດການນຳຮຸ່ນທຳອິດ ແລະ ຜູ້ນຳອື່ນໆໄປສູ່ສຸສານແຫ່ງຊາດດັ່ງກ່າວແມ່ນປະຕິບັດຕາມການຕົກລົງຂອງກົມການເມືອງສູນກາງພັກຄັ້ງ
ວັນທີ 3 ເມສາ 2011 ວ່າດ້ວຍການກໍ່ສ້າງທາດອັດຖິຂອງອະດີດການນຳຮຸ່ນທຳອິດ ແລະ ມະຕິຕົກລົງຂອງຄະນະເລຂາທິການສູນ ກາງພັກກ່ຽວ ກັບການແຕ່ງຕັ້ງຄະນະຮັບຜິດຊອບກະກຽມການເຄື່ອນຍ້າຍອັດຖິອະດີດການນຳຮຸ່ນທຳອິດ ແລະ ຜູ້ນຳອື່ນໆໄປສູ່ສຸສານແຫ່ງຊາດ ຄັ້ງວັນທີ 7 ມີນາ
2012 ເພື່ອສະແດງຄວາມກະຕັນຍຸຮູ້ບຸນຄຸນ ແລະ ຈາລຶກຄຸນງາມຄວາມດີຕໍ່ອະດີດຜູ້ນຳພັກທີ່ໄດ້ອຸທິດຊີວິດ, ເລືອດເນື້ອເພື່ອນຳພາພາລະກິດຕໍ່ສູ້ປົດ
ປ່ອຍຊາດສ້າງວິລະກຳອັນລ້ຳເລີດ ແລະ ກອບກູ້ເອົາຄວາມເປັນເອກະລາດອິດສະຫລະພາບແຫ່ງຊາດນຳເອົາຄວາມສົມບູນພູນສຸກມາສູ່ປະເທດຊາດ
ແລະ ປະຊາຊົນລາວບັນດາເຜົ່າ. ການເຕົ້າໂຮມເອົາອັດຖິຂອງອະດີດການນຳຮຸ່ນທຳອິດ ແລະ ຜູ້ນຳອື່ນໆໄປສະຖິດໄວ້ຢູ່ສະຖານທີ່ດຽວກັນໂດຍການ
ຈັດຕັ້ງພັກ-ລັດ ເປັນຜູ້ປົກປັກຮັກສາ ແລະ ຄຸ້ມຄອງໃຫ້ຍືນຍົງນັ້ນເພື່ອໃຫ້ຄົນຮຸ່ນສືບທອດສັກກາລະບູຊາ ແລະ ຮ່ຳຮຽນເອົາ​​ແບບຢ່າງຕໍ່ໆກັນໄປ,
ເປັນການສຶກສາອົບຮົມປຸກລະດົມຈິດໃຈຮັກຊາດ, ຮັກລະບອບໃຫມ່ຂອງທົ່ວພັກ, ທົ່ວກອງທັບ ແລະ ທົ່ວປວງຊົນລາວ ເພື່ອເປັນກຳລັສັງລວມເຂົ້າໃສ່
ຂະບວນການຊຸກຍູ້ຂະບວນການແຂ່ງຂັນຮັກຊາດ ແລະ ພັດທະນາກໍ່ຄືການຈັດຕັ້ງປະຕິບັດບັນດາຄາດຫມາຍທີ່ໄດ້ກຳນົດໄວ້ໃນມະຕິກອງປະຊຸມໃຫຍ່
ຄັ້ງທີ IX ຂອງພັກປະຊາຊົນ ປະຕິວັດລາວ ໃຫ້ບັນລຸຜົນສຳເລັດທັງເປັນເຫດການທີ່ມີຄວາມສຳຄັນທາງການເມືອງ ແລະ ປະຫວັດສາດ ໂດຍຕິດພັນ
ກັບການຈັດຕັ້ງສະເຫລີມສະຫລອງວັນສ້າງຕັ້ງພັກ ຄົບຮອບ 57 ປີ ໃນປີນີ້ໃຫ້ມີເນື້ອໃນເລິກເຊິ່ງ. ວັນທີ 23 ມີນາ 2012 ເຊິ່ງແມ່ນມື້ຫ້າງຫາກະກຽມ,
ໃນເວລາ 15:30 ໂມງ ໄດ້ເຄື່ອນຍ້າຍອັດຖິຂອງບັນດາອະດີດການນຳທີ່ຢູ່ກະແຈກກະຈາຍໄປລວມກັນຢູ່ເດີ່ນຫໍພິພິທະພັນ ໄກສອນ ພົມວິຫານ ຫລັກ
6: ນັບແຕ່ເວລາ 16:00 ໂມງ ເປັນຕົ້ນໄປກໍ່ໄດ້ມີພິທີຕັ້ງກອງບຸນເພື່ອອຸທິດກຸສົນເຖິງອະດີດການນຳທີ່ລ່ວງລັບໄປແລ້ວ; ຕອນແລງສູດປະລິຕະມຸງຄຸນ
ໂດຍພະສົງ 120 ອົງ. ສ່ວນຕອນຄ່ຳຂອງມື້ດຽວກັນກໍ່ໄດ້ຄົບງັນຕາມຮີດຄອງປະເພນີຢູ່ເດີ່ນຫໍພິພິທະພັນ ໄກສອນ ພົມວິຫານ ຫລັກ 6. ວັນທີ 24 ມີ
ນາ 2012 ຕອນເຊົ້າເວລາ 7:00 ໂມງຈັດພິທີໃສ່ບາດຖວາຍສັງຄະທານພະສົງ 120 ອົງ ຢູ່ເດີ່ນຫໍພິພິທະພັນ ໄກສອນ ພົມວິຫານ ຫລັກ 6: ເວລາ
15:00 ໂມງ ເລີ່ມພິທີເຄື່ອນຍ້າຍອັດຖິການນຳຈາກຫໍພິພິທະພັນ ໄກສອນ ພົມວິຫານ ຫລັກ 6 ໄປ ຍັງສຸສານແຫ່ງຊາດຫລັກ 24. ເວລາ 16:00 ໄດ້
ຈັດພິທີໂຮມຊຸມນຸມຢູ່ສຸສານແຫ່ງຊາດ ຫລັກ 24 ເພື່ອສະດຸດີຜົນງານ ແລະ ໄວ້ອາໄລເຖິງການນຳທີ່ລ່ວງລັບໄປ. ຈາກນັ້ນໄດ້ເອົາອັດຖິເຂົ້າທາດ.............


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

http://www.youtube.com/watch?v=C8MIB_iJ8Ic

ໂຈນລາວແດງສ້າງສັງຄົມລ້າຫລັງມາອວດໂລກ
ອົພຍົບລາວປິ 1975 ມາເຫັນສີ່ງເມື່ອ37ປິກ່ອນແລ້ວ ມາເບີ່ງຄວາມກ້າວຫນ້າພວກມາຈາກຖ້ຳຫັວຂັວນຂີ້ແຕກຂີ້ແຕນ
ເພາະເຂົາຮູ້ວ່າ ຖນົນລ້ານຊ້າງມັນມີມາກ່ອນ ພວກ ຕາບອດເຂົ້າມາໃນປີ 75 ແທ້ໆ


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ສະບາຍດີທ່ານທັງຫລາຍ


ທ່ານໄດ້ເຫັນສາຍຣົດບັສ ວັງວຽງ -​ ອຸດອນ ຯ ວັງວຽງ ແລ້ວຄືວ່າມີການຈະເຮິນ ຍ້ອນວ່າ ມີຊາວຕ່າງປະເທດ ທຸກຫົນແຫ່ງ ສົນໃຈວັງວຽງ
ເປັນພິເສດ ເພາະ ວັງວຽງນີເປັນແຫລ່ງ ຂາຍຊາ ແລະ ຂາຍຢາເສບຕິດ ເພື່ອທົດລອງກິນ ສູບເປັນ Experiences ໄດ້ໂດຍເສຣີ. ດັ່ງນັ້ນ
ໄທຈຶ່ງໄດ້ສວຍໂອກາດຈັດໃຫ້ມີ ການທ່ອງທ່ຽວ ເປັນ ຣາຍການທອ່ງທ່ຽວ ຂອງປະເທດ. ຖ້ານັກທ່ອງທ່ຽວ ຕ້ອງການໄປລາວ ຫລື ວັງວຽງ
ສາມາດ ແລ່ນຈາກ ບາງກອກ ແລະ ສາມາດ ຕໍ່ໄປ ວັງວຽງ ໄດ້ທຸກຯ ວັນ ແລະ ຍັງສາມາດ ບໍຣິການ ຄົນລາວຕ່າງປະເທດ ທີ່ເກີນທາງຯ ຣົດ
ຈາກ ບາງກອກ ໄປວຽງຈັນກໍໄດ້ ໂດຍຜ່ານ ຣົດ ຂອງ ອຸດອນ ສາຍວັງວຽງ.


ການຂຸດບໍ່ທ່ານຫີນ ສາມຫມຶ່ນເມືອງເຟືອງ ກໍມີສ່ວນ ແລະ ໄທຍັງຈະມີການຂຸດຄົ້ນບໍ່ແຮ່ຕ່າງໃນແຂວງວຽງຈັນອີກ.


ມິຕພາບ
ອາຕ




New bus service to Laos
The Transport Co Ltd, under the Ministry of Transport, kicks off its ninth bus route, Friday, linking Thailand and Laos between Udon Thani province in the northeast and Vang Vieng, a resort town in Vientiane province, Laos.

A second-class air-conditioned bus with 46 seats will be used on the route until traffic warrants an upgrade in quality.
The service departs daily at 0700 from Udon Thani with a brief stop in Nong Khai to pick up passengers before heading to the First Thai-Lao Friendship Bridge to clear immigration. The seven-hour trip continue to to Vang Vieng a distance of 166 km from the Lao capital. It arrives at 1400
From Vang Vieng, the bus will depart at 0800 and arrive in Udon Thani at 1500.
The Thai bus will go all the way to Vang Vieng, while a Lao bus will travel through to Udon Thani.
The one-way fare is Bt320 from Udon Thani and 88,000 kip from Vang Vieng.
The distance from Udon Thani to the Thai-Lao border is around 60 km and from the Lao border to Vang Vieng 190 kilometre. Overall distance is 250 km on a smooth divided highway to Nong Khai.

From there driving conditions are poor.
From there driving conditions are poor.
From there driving conditions are poor.
From there driving conditions are poor.
From there driving conditions are poor.

The ministry is also considering a service from Bangkok to Vientiane, but has yet to provide details.
Earlier in January, the Transport Co.Ltd launched a daily bus service from Chiang Mai to Luang Prabang passing Chiang Khong district in Chiang Rai province where it stops to pick up passengers before crossing the Mekong River by ferry.
The route goes through Luang Namta and Udomxai, to Luang Prabang covering 500 km from the Mekong River on pot-holed country roads. The entire trip takes 18 hours.
Once the 4th Thai-Laos Friendship bridge opens in 2013, connecting Chiang Khong with Huay Xai, in Laos, the the second class type will be upgraded to first-class and the fare will increase from Bt1,200 to Bt1,500 one-way.
Other bus routes are: Udon Thani-Vientiane; Nong Khai- Vientiane; Ubon Ratchathani-Pakse; Mukdahan-Savannakhet; Khon Kaen- Vientiane; Nakhon Ratchasima- Vientiane and Nakhon Phanom-Thakaek.

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ຂໍກາບປະທານໂທດຫຼາຍໆທີ່ຜິດພາດ ! ຂພຈ ພະຍາຍາມປັບໂຕເອງໃນການຂຽນ
ສຸດຂີດ,ມັນຮູ້ສຶກວ່າຢາກມົ້ວໜ້າມົ້ວຫຼັງຈັກໜ່ອຍ !ລາງເທື່ອມັນຢາກເລັດລອດອອກມາ
ແບບພະລາດຊະອານາຈັກລາວເກົ່າ,ລາງເທື່ອມັນຢາກອອກມາແບບຊະຕ້າຍພູມີວົງວິຈິດ
ແບບບໍ່ມີຕົວ(ຣ) ຈັກຊິເອົາແບບໃດກັນແນ້ໆ!ອ໊ະ !ເປັນອັນວ່າຂຽນໄປຕາມສໍານຽງສຽງເວົ້າ
ກໍແລ້ວກັນນໍ໊ !ບໍ່ວ່າກັນເນີ້ !ຈັກໜ້ອຍພັດຊິວ່າຮຽນມາຈາກມະຫາວິດທະຍາໄລຖໍ້າຊໍາເໜືອບໍ໊!!
ຄວາມໃດທີ່ຜິດພາດຊ່ວຍສົ່ງຂ່າວເພື່ອແກ້ໄຂແລະປຽ່ນແປງ(ກະລຸນາຕັດທໍາມະວົງສາມາເປັນ
ທໍາມະວົງໃຫ້ດ້ວຍຂອບໃຈ) ຂໍ້ໃດຜິດເຮົາກໍຕ້ອງຍອມຮັບຜິດສັງຄົມຍ່ອມໃຫ້ອາໄພ .ບາດພວກ
ຜູ້ນໍາພັກລັດຫັ້ນຕີ້...ຜິດບໍ່ຍອມຮັບຜິດມັນຕັ້ງເປັນໂຈນໃຈແຂງອີ່ຫຼີ !ສົມນໍາໜ້າແຕ່ມັນຖືກຕີນ
ນາຍພົລພູມີ ໜໍ່ສະຫວັນອັດເອົາ..ອັດເອົາ..ສົມນໍ້າໜ້າ .




--------------------------------------------------------------------------------
From: khammaithammavo@centurytel.net
To: laosnetworkroom@googlegroups.com
Subject: Re: ຂອງຂວັນປີໄໝ່ລາວສໍາລັບຜູ້ນໍາພັກລັດ
Date: Sun, 25 Mar 2012 15:04:09 -0400

ສະບາຍດີ ທ່ານສແວງດວງມາລາ
ທ່ານທອງສີງ ບໍ່ແມ່ນ ທັມມະວົງສາ, ຖ້າແມ່ນທັມມະວົງສາ, ເພີ່ນເປັນນາຽຍົກຢູ່ດຽວນີ້ ຄົງນຳພາປະຊາຊົນທົ່ວປະເທດ ລຸກຂື້້ນປ່ຽນແປງ, ແຕ່ລຸກຂອງລາວແທ້ໆ ເປັນນັກສືກສາຢູ່ ປະເທດໂປໂລດ ກໍ່ຍັງປະທວງຢູ່ສຖານ ໃຫ້ຮັຖບານຄັບໃລ່ແກວອອກຈາກລາວ, ແຕ່ທ່ານ ທອງສີງ ທັມມະວົງສ໌ ນີ້; ແມ່ນແກວສົດດຂ້ຽວ່າ ລາວຮັກແກວ ເອົາເມັຽແກວໃດ5555

Quoting sounsaveng douangmala :

ຊາວລາວຜູ້ມີຈິດສັດທາອັນສູງສົ່ງຄິດຢາກບໍຣິຈາກໂລງສົບເພື່ອເປັນຂອງຂວັນປີໄໝ່ລາວ
ໃຫ້ແກ່ຜູ້ນໍາພັກລັດສປປລ ລວມທັງໝົດ6ຫີບ,ມອບໃຫ້ແກ່ ທ່ານຄໍາໄຕສີພັນດອນ,ທ່ານ
ຈູມມະລີໄຊຍະສອນ, ທ່ານທອງສິງທັມມະວົງສາ ,ທ່ານສີສະຫວາດແກ້ວບຸນທັນ,ທ່ານ
ບຸນຍັງວໍລະຈິດ ແລະທ່ານພົລໂທ ດວງໃຈພິຈິດ ,ໂລງສົບທັງ6ຫີບນີ້ແມ່ນມອບໃຫ້ເພື່ອເປັນ
ສີຣິມົງຄົລແກ່ຜູ້ນໍາດີເດ່ນໃນຮອບປີ ,ຂໍສະເນີທ່ານຄໍາແຟງຊ່ວຍປະສານໃຫ້ເຈົ້າຕົວມາຮັບເອົາ
ໄດ້ນັບແຕ່ວັນທີ01/04/2012 ເປັນຕົ້ນໄປ .ຖ້າທ່ານບໍ່ສາມາດ ກະຣຸນາແຈ້ງມາຍັງຂ້າພະເຈົ້າ
ຢ່າງຊ້າບໍ່ໃຫ້ກາຍວັນທີ12/04/2012 .ແລ້ວຂ້າພະເຈົ້າຈະຕິດຕໍ່ກັບເຈົ້າຕົວໃຫ້ພວກກ່ຽວມາ
ຮັບເອົາດວ້ຍຕົນເອງ.ຄົນອື່ນບໍ່ມີສິດຮັບແທນເດັດຂາດ !ຂອງໃຜຂອງມັນ !ເຂົ້າໃຈ!ແລະບໍ່ມີ
ຄໍາວ່າສະລະສິດເດັດຂາດ !ຊັດເຈນ !(ກະຣຸນາພົກບັດປະຈໍາຕົວມາພ້ອມເວລາຮັບຂອງຂວັນ)

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 


ແມ່ນໃຜຄືຄົນຂາຍຊາດແທ້?
ແມ່ນໃຜຄືຄົນຂາຍຊາດແທ້?
ແມ່ນໃຜຄືຄົນຂາຍຊາດແທ້?
ແມ່ນໃຜຄືຄົນຂາຍຊາດແທ້?

ໂດຍ ນາຍພົນສີງກະໂປສີໂຄດຈຸນລະມະລີ
( ຫນັງສີພີມລາຍວັນ "ປະຊາຊົນ"ຫນັງສຶພິມ ພັກ ຄມນ ລາວແດງ
ສະບັບວັນທີ່ 11+12.02.1094 ສາມປິ ຫລັງ ປຊຊ ໃນ ເອິຣົບທັ່ງ ລະບອບ ຜດກ ລົງ ສູ່ກອງພອນແຫ່ງຄວາມໂຫດຮ້າຍທາຣຸນນານາປະການ)

ຄົນຂາຍຊາດຄືຄົນມີອຳນາດຄອງເມືອງ ໂດຍມີທະຫານຕຳຣວດຄ່ອມຄູ້ມຄອງ ຄົນທັມມະດາ ທ້າວສີລູງສາ
... ຂາຍຜັກຂາຍມີ່ ໃນຕລາດ ກາຍເປັນຄົນຂາຍຊາດໄດ້ຈັກເທື່ອ ເພາະແຮງທຶນຄ້າທຶນຂາຍມັນນ້ອຍແສນນ້ອຍ ເຖີງຈະສໍ້ຈະໂກງເທົ້າໃດ ກະກາຍເປັນຄົນຂາຍຊາດບໍ່ໄດ້ເລີຍ ສະນັ້ນ ຜູ້ຈະເປັນຫລືເອີນຄົນຂາຍຊາດໄດ້ ຕ້ອງເປັນນັກການເມືອງທີ່ ຄອງບ້ານຄູມເມືອງເທົ້ານັ້ນຈະຖືກເອີ້ນວ່າເປັນຄົນຂາຍຊາດໄດ້ ຍ້ອນ ຕ່ອນເງີນຕ່ອນຄຳທີ່ສໍ້ໂກງປົ້ນນັ້ນສູງແສນສູງ
ພໍ່ຄ້າທີ່ສວຍໂອກາດພັວພັນກັບນັກການເມືອງເພື່ອໃຫ້ໄດ້ໃນສີ່ງທີ່ປະມູນເປັນ2ສາມພັນລ້ານ ດລ ພຽງແຕ່ຈ່າຍຄ່ານາຍຫ້ນາໃຫ້ຜູ້ຣັບຜີດຊອບພັກຣັຖແຕ່10% ຮ້ອຍຫລືສອງຮ້ອຍລ້ານ ດລ ກະຕົກຢູ່ໃນກຳມືຂອງຄົນຂາຍຊາດນີ້ໄປແລ້ວບົນຫ້ນາຫນັງສືພີມປະຈຳວັນ ຈະເຫັນນັກລົງທຶນ ກອດຄໍຈັບມືກັບນັກການເມືອງ ຫລື ໃນງານວັດຕ່າງໆ ຈະມີນາຍທຶນໄຈໄຫ່ຍຊ່ວຍເຫລືອກັບການບໍຈາກໃນຕັວເງີນທີ່ສຸງແລະຜີດປົກກະຕີ ຈົນຄົນທັມມະດາເຫັນແລ້ວບອກວ່າຕົກໄຈໃນວົງເງີນນັ້ນມື້ອື່ນມາກະອາດຈະໄດ້ເຫັນຂ່າວວ່າເຂົາຜູ້ນີ້ຖືກຈັບກູມ
ໄປແລ້ວ ຍ້ອນ ຄວາມສໍ້ຄວາມໂກງການຈ່າຍເງີນກ້ອງໂຕະຖືກພົບເຫັນໂດຍອົງການປົກຄອງ
ລາວວຽງຈັນຕ້ານຜດກໂຈນລາວແດງ: ສຳຫລັບພືດຕີກຳຂອງການຂາຍຊາດນັ້ນ ທ່ານ ບອກວ່າມີທາງກົງ+ທາງອ້ອມ9ປະເພດດັ່ງນີ້
1.ຮູ້ເຫັນເປັນໄຈຊັກນຳຄົນຕ່າງຊາດໃຫ້ມາເຮັດການກົດຂີ່ຂູດຮີດຄົນລາວ(ໃນທີ່ນີ້ ທ່ານບໍ່ໄດ້ຫມາຍເຖີງ ຊາວ
ວຽດນາມທີ່ ເຂົ້າມາອາສັຍໃນລາວຕາມສັນຍາແກວລາວປີ77 ແຕ່ຢ່າງດຽວ ທ່ານຫມາຍເຖີງນາຍທຶນຈາກນອກ ປທທັງຫົມດ)ເຮັດໃຫ້ຄົນລາວສ່ວນໄຫ່ຍຕ້ອງທຸກຍາກ ຢ່າງໂງ້ຫັວບໍ່ຂື້ນ ສ່ວນຄົນຕ່າງຊາດກັບກາຍເປັນມະຫາເສດຖື ນາຍທຶນຜູກຂາດແລະຄອບຄູມເສຖກີດສັງຄົມ ກ າ ນ ເ ມຶ ອ ງ ລາວ(ທີ່ນີ້ທ່ານຫມາຍເຖີງອີດຕີພົນແກວໃນລາວ ເພາະທ່ານເອງເຄີຍຕ້ອງຕີ ພັກຣັຖສເມີມາແລະ ຕ້ອງຖືກສົ່ງໄປດັດສ້າງທີ່ຮາໂນຍເລື້ອຍໆ)

‎2.ເມື່ອເປັນຣັຖບານກໍມັນຈະເຊັນສັນຍາທີ່ເສັຍປຽບເພື່ອຂາຍຊາດແລະສີດຜົນປະໂຍດຂອງຊາດລາວເຮົາ
ໃຫ້ແກ່ຣັຖບານຕ່າງປທ ໂດຍສະເພາະຣັຖບານປັດຈຸບັນ ຍອມຮັບເອົາສັນຍາປີ77 ອັນບໍ່ຈຳເປັນມາຕໍ່ຮອງເພື່ອຄອງອຳນາດໄປຢ່າງຢືດຍາວບໍ່ມີວັນຊີ້ນສຸດ ນີ້ຊີ້ບອກວ່າ ປທ ເຮົາຕ້ອງຕົກເປັນເມືອງຂື້ນຂອງຕ່າງຊາດ ແບບພາງໆ ແລະຖືກຜູກມັດແຫ້ນນຫນາເຂົ້າໃນທຸກເວລາ
3.ເຮັດການຄ້າສົງຄາມແລະຫາກີນໃນການເຮັດສົງຄາມໃຫ້ແກ່ ຈັກກະພັດສັງຄົມນີນົມ(ທ່ານຫມາຍໂຊວຽດແລະແກວ)ຮັບເອົາກອງທະຫານເຂົ້າ ປທ ຫລື ຍາມຈຳເປັນຕ້ອງສົ່ງທະຫານໄປຊ່ວຍພວກເຂົາຕາມຄຳສັ່ງ
4.ຮ່ວມສົມທົບກັນລະຫວ່າງກູ່ມຂາຍຊາດຕ່າງໆ ປູ້ນ
ສະດົມແລະກອບໂກຍເອົາຊັພຍາກອນທັມມະຊາດຄື ແຫ່ທາດໃນດີນ ຕັດໄມ້ທຳລາຍປ່າອື່ນໆເພື່ອສົ່ງອອກໄປຂາຍຫາຜົນປະໂຍດໄສ່ຕັວເອງເຮັດໃຫ້ປຊຊທຸກຈົນລົງທຸກວັນ
5.ຄ້າຂອງເຖື່ອນ ຫນີພາສີ ເຮັດໃຫ້ເງີນຕຣາເຮົາຮັ່ວໄຫລອອກນອກຢ່າງຫລວງຫລາຍແຕ່ ປທເຮົາຂາດລາຍໄດ້ທາງພາສີອາກອນມາໄວ້ບຳລຸງປທ ແລ້ວຊ້ຳພັດຕ້ອງກັບມາເກັບພາສີຢ່າງຫນັກກັບຄົນລາວທີ່ ອີດຍາກຢູ່
6.ການສົບທົບຄ້າທາດຍຸກໄຫ່ມ ລໍ້ລວງຊື້ຂາຍຄົນພາຍໃນໄປຂາຍຕ່າງປທ ເພື່ອໃຫ້ຊາດອື່ນກົດຂີ່ໃຊ້ແຮງງານເປັນຂ້ອຍຂ້າຫລືເປັນໂສເພນີ ເກີດຄວາມທຸກຍາກເດືອດຮ້ອນສ້າງຄວາມ
ເສື່ອມເສັຍມາສູ່ ປທ ( ດຽວນີ້ມີແຮງງານລາວຢູ່ໄທ ແລະໂສເພນີລາວກ່ວາ
5ແສນຄົນ ກ່ອນປີ 75 ພາຍໄຕ້ຝ່າຍຂວາສີ່ງນີ້ບໍ້ເຄີຍເກີດຂື້ນໄດ້ແທ້ໆ ທັງໆທີ່ ປທ ກຳລັງຖືກ ຄຸກຄານຈາກສົງຄາມທຸກຮູບແບບ)
7.ສົບທົບຄ້າຢາເສບຕີດໃຫ້ໂທດເປັນການທຳລາຍອານາຄົດຂອງເຍົາວະຊົນແລະ ປຊຊ ເປັນລ້ານໆ(ນາຍພົນແຈ້ງໄຊຍະວົງຫັວຫ້ນາgangພູດອຍ ມີໂຮງຝີ່ນຄ້າໄມ້ຫາເງີນຊູບລ້ຽງທະຫານພັກມາ
ແລ້ວເຄີ່ງ ສັຕວັດ)
8.ການປອມ ປົກສີນຄ້າທີ່ຂາຍໃນແລະຕ່າງປທ ເພື່ອຫັວງກຳໄລຫລາຍໆແຕ່ເປັນອັນຕະລາຍຕໍ່ຜູ້ບໍລີໂພກໃນ ປທ ແລະທຳລາຍຕລາດສີນຄ້າຂອງລາວໃນຕ່າງປທ
9.ການລັກລອບຂົນເງີນແລະຊັບສີນອັນມີຄ່າໄປໄວ້ໃນຕ່າງ ປທ ແລະຕຽມຕັວຈະໄປຕາຍໃນຕ່າງປທໃນຍາມຂັດສົນແຕ່ໃນຍາມສະບາຍກໍຜູກຂາດ ກົດ
ລາວວຽງຈັນຕ້ານຜດກໂຈນລາວແດງ: ຂີ່ຂູດຮີດແລະກອບໂກຍຫາຄວາມຮັ່ງມີ ລ້ຳລວຍຈາກ ປຊຊ ຜູ້ໄຊ້ແຮງງານຊື່ງເປັນຄົນລາວ(ໃຫ້ອ່ານລາຍງານກ່ອນນີ້ ທີ່ເວົ້າເຖີງ ຣມຕແນວລາວຂົນເງີນໄປຝາກກັບຄອບ
ຄັວເຂົາທີ່ ອົສຕຣາລີ)
...........................

ຕົ້ນສະບັບຫນັງສືພິມ ດັ່ງກ່າວ ມາຊອກອ່ານໄດ້ທີ່
Facebook : anourak Phiphaksa


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

http://www.youtube.com/watch?v=gp1H1eaDBi4&feature=player_embedded


ບັກບຸນຍັງວໍຣະຈິດ ນຍ ຄົນ ທີ່ 4 ປະກາດ ວ່າ ປິ 2020 ສປປລ ມັນຊິພົ້ນທຸກ ລາຍໄດ້ຄົນໃນ ປທ ຊີ ຝົ້ງຂື້ນ ຮັ່ງຄື ຄົນ ຄູເວດ ບັກໂຄດແມ່ມືງ ຖ້າ 37 ປິ ແກ້ໄດ້ ແຕ່ສະລິບslip ເມັຍມືງແລ້ວ ແຕ່ຄວາມທຸກຍາກລ້າຫລັງ ຍັງຕີດແທບນຳພີ່ນ້ອງຢູ່ຢ່າງນີ້ ຢ່າງຫວັງເລີຍວ່າ ມັນຈະະຫາຍຈົນໄປໄດ້ ໃນອານາຈັກໂຈນລາວແດງຂາຍຊາດແດກເມືອງມືງຂອງພວກສຸ ຄລີບນີ້ຊີບອກວ່າ ບັນຫາຂອງຊາດທີ່ພວກອັນຕະພານສຸຍັງຈະຕ່ອງສາສາງມີມາກມາຍກ່າຍກອງແທ້ໆເດີ


http://www.facebook.com/chandara.sananikone/posts/341245949260454#!/anourack.phiphaksa

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 


แนวคิด หรือทฤษฎีเกี่ยวกับประชาธิปไตยเสรีนิยม liberalism democracy!!!
แนวคิดเสรีนิยมดั้งเดิม classical liveralism เน้นแนวความคิดที่ว่า มนุษย์เป็นผู้รู้จักเหตุผล! และรู้ดีว่าอะไรเป็นผลประโยชน์ของตน! เมื่อเป็นเช่นนี้แต่ละบุคคลประกอบกิจการต่างๆ และใช้ชีวิตได้อย่างเสรีปราศจากการแทรกแซง!จึงเป็นเงื่อนไขสำคัญที่จะช่วยให้ คนเราสามารถพัฒนาตนเองได้ดีที่สุด! แนวคิดเสรีนิยม!มีสมมุติฐานว่า สังคมมีความผสมกลมกลืนกันและมีความสมดุลกันอยู่ในตัว เมื่อใดที่มีปัญหาเกิดขึ้นก็จะเป็นอยู่เพียงชั่วคราวและจะมีการปรับตัวแก้ไขเองให้กลับคืนสู่สภาวะสมดุลย์ equilibrium อยู่เสมอ และยังมีสมมุติว่า แม้ว่าการแจกแจงความมั่งคั่งและรายได้ระหว่างบุคคลจะมีไม่เท่ากันแต่ก็ไม่ ถึงขนาดที่จะก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมอย่างมากได้ ส่วนระบบเศรษฐกิจนั้นจะเจริญก้าวหน้าอยู่ตลอดเวลาโดยไม่ประสบวิกฤตการณ์หรือ มีภาวะตกต่ำทั้งนี้เนื่องจากการเริ่มต้นจากความด้อยพัฒนาก่อนสมัยปฏิวัติ อุตสาหกรรมมาเป็นความมั่งคั่งในสมัยปฏิวัติอุตสาหกรรมทำให้มีความเชื่อจนเกินไปในความเจริญของระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยม! แนวคิดประชาธิปไตยเสรีนิยมสมัยปัจจุบันได้รับอิทธิพลจากแนวคิดเกี่ยวกับ กลุ่มอิทธิพลเกี่ยวกับกลุ่มผลประโยชน์ interest groups และบทบาทของกลุ่มผลประโยชน์ที่มีต่อสังคมในฐานะที่ทำหน้าที่เป็นแหล่งอำนาจ การรวมกลุ่มของประชาชน! ซึ่งคอยรักษาผลประโยชน์ของกลุ่มชน! และคอยตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐบาล! ตลอดจนมีบทบาทในการสะท้อนความต้องการของประชาชนให้กับรัฐบาลอีกด้วย ในขณะที่เสรีนิยมดังเดิม ซึ่งย้ำบทบาทของปัจเจกบุคคลเสื่อมความนิยมลง แนวความคิดประชาธิปไตยเสรีนิยมโดยกลุ่มผลประโยชน์ก็เข้ามาแทนที่ โดยเป็นรากฐานสำคัญของความคิดประชาธิปไตยเสรีนิยมในปัจจุบัน!
แนวคิดดังกล่าวมีข้อสมมุติว่า 1. ผลประโยชน์ต่างที่มารวมตัวกันนั้น มีลักษณะที่สอดคล้องต้องกันเห็นได้ง่ายชัดเจน และผู้ใดก็ตามที่เป็นตัวแทนหรือเป็นกระบอกเสียงของกลุ่มผลประโยชน์จะแถลง หรือพูดสิ่งใดออกมาก็เป็นไปโดยสอดคล้องกับผลประโยชน์ของคนทุกๆคนในกลุ่ม 2. กลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ ทำหน้าที่เป็นตัวแทนส่วนต่างๆ ของสังคมของชีวิตคนในสังคมได้เป็นอย่างดี ต่างกลุ่มต่างก็คอยถ่วงดุลซึ่งกันและกัน เป็นพลังที่คอยตรวจสอบทัดทานซึ่งกันและกัน! เพื่อป้องกันมิให้กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมีอำนาจและอิทธิพลมากเกินไป counter vailing powers และถ้าจะมีการล้ำหน้ากันอย่างมากมายและปราศจากพลังต้านทาน รัฐบาลก็ควรช่วยส่งเสริมให้เกิดกลุ่มใหม่ที่ทำหน้าที่ทัดทานอำนาจนั้นขึ้นในสังคม! 3.บทบาทของรัฐบาล ได้แก่ การเปิดโอกาสให้กลุ่มผลประโยชน์สามารถเข้าถึงรัฐบาลได้! และทำหน้าที่คล้ายๆ กับกรรมการในการดูแลให้กลุ่มต่างๆ ที่แข่งขันกัน! ทำความตกลงต่อรองกันอย่างสันติวิธี! ภายในกรอบของกฎหมายในกรณีที่มีการขัดแย้งขึ้น!
ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ภายหลังกระแสอุดมการณ์เสรีนิยมนี้ได้เสื่อมความนิยมลงใน ค.ศ. 1945 และในปี ค.ศ. 1989 ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองของประเทศต่างๆ ในยุโรปตะวันออก ภายหลังยุคสงครามเย็น การแข่งขันระหว่างอภิมหาอำนาจ สหรัฐอเมริกา แห่งค่ายทุนนิยมและสหภาพโซเวียตแห่งค่ายสังคมนิยมมาร์กซิสต์ได้สงบลง! โดยสหภาพโซเวียตได้ล่มสลายในที่สุด ในปี ค.ศ.1990จากชัยชนะของระบบการปกครองแบบประชาธิปไตยและระบบทุนนิยม! แนวคิดเสรีนิยมได้กลับมามีอิทธิพลใหม่ต่อนักวิชาการและผู้นำประเทศตะวันตก โดยมีความเชื่อมั่นว่าระบบประชาธิปไตยและการค้าเสรีจะแพร่ขยายไปยังส่วนอื่นๆ ของโลก จะช่วยสร้างสันติภาพ democratic peace แก่สังคมโลก ตลอดจนสหรัฐอเมริกาและฝ่ายพันธมิตรในสงครามอ่าวเปอร์เชียในปี ค.ศ. 1991 และการร่วมมือทางการเมืองระหว่างสหภาพโซเวียตกับสหรัฐอเมริกาในองค์การสหประชาชาติที่สนับสนุนให้สหรัฐอเมริกาและพันธมิตรขับไล่ทหารของอิรักออกจาก คูเวต เป็นการแสดงให้เห็นว่า “สงครามเป็นสิ่งที่ล้าสมัย” ในการขยายอำนาจและผลประโยชน์ เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้ผู้นำสหรัฐอเมริกา
ในขณะนั้น คือ ประธานาธิบดี จอร์ช บุช ประกาศ “ระเบียบโลกใหม่” new world order ในปี ค.ศ. 1991 ให้ “ระบบประชาธิปไตย ระบบการค้าเสรี และสิทธิมนุษยชน” เป็นค่านิยมสากลที่ทุกประเทศควรเคารพและปฏิบัติ ทั้งนี้โดยผู้นำสหรัฐอเมริกาจะดำเนินการลงโทษประเทศต่างๆ ที่ละเมิดต่อ “ระเบียบใหม่ของโลก” ด้วยมาตรการทางเศรษฐกิจ การเมือง หรือแม้แต่กระทั่งทางทหาร เพื่อกดดันให้ประเทศต่างๆ ทั่วโลกโดยเฉพาะประเทศในโลกที่สามที่ยังไม่เป็นประชาธิปไตย หรือละเมิดต่อสิทธิมนุษยชนให้เปลี่ยนแปลงระบบการเมือง เศรษฐกิจและสังคมโดยเร็ว เหตุการณ์ที่กล่าวในข้างต้นนี้สอดคล้องกับการวิเคราะห์ของ Schurmann (1974) ที่ได้แสดงผลงานวิเคราะห์มาก่อน คือ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1974 ไว้ว่า การเมืองระดับโลกและความสัมพันธ์ของประเทศมหาอำนาจ ตามความคิดของ แฟรงคลิน ดี โรสเวลต์ ในเรื่องอุดมคติที่กล่าวถึง การรวมโลกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน one world โดยมีแนวทางประกอบด้วยหนึ่ง การผูกขาดอำนาจนิวเคลียร์ โดยที่ระยะนั้น โรสแวลต์ กำลังจัดการเรื่องความตกลงสันติภาพปลายสงครามโลก ครั้งที่ 2 สหรัฐอเมริกาเป็นเพียงประเทศเดียวที่มีขีดความสามารถนี้!!!
การสร้างองค์การสหประชาชาติเป็นองค์กรโลก! ทำหน้าที่คล้ายรัฐบาลโลกมี “ตำรวจโลก” คอยรักษาความสงบ และสาม ระบบทุนนิยมที่ขยายออกไปทั่วโลก เน้นในเรื่องสิทธิในทรัพย์สินส่วนบุคคลและเสรีภาพในการเดินทางและเลือกถิ่น ที่อยู่ “ดอลล่าร์” เป็นเงินสากล การพัฒนาที่มีต่อมาตามแนวทางของธนาคารโลก และกองทุนระหว่างประเทศที่สหรัฐอเมริการ่วมกับตะวันตกเป็นผู้ควบคุม!
จากความล้มเหลวของลัทธิคอมมิวนิสต์ที่ล่มสลายไป ประกอบกับชัยชนะของสหรัฐอเมริกากับฝ่ายพันธมิตรในสงครามอ่าวเปอร์เชีย จึงได้ทำให้ทฤษฎีหรือแนวคิดแบบเสรีนิยมกลับมาเฟื่องฟู! และได้รับความนิยมมากขึ้น! และจากกระแสการเมืองโลกที่เปลี่ยนไป! แนวคิดหลักของเสรีนิยม ต้องการขยายความเชื่อที่ว่าเป็นการปกครองที่ยึดหลักเหตุและผลของการมีส่วนร่วมของประชาชน!จะนำไปสู่แนวทางเสรีภาพและความยุติธรรม! รวมทั้งมีความเชื่อว่า ระบบทุนนิยม จะนำมาซึ่งสันติภาพระหว่างประเทศ จึงเผยแพร่อำนาจทางการเมืองแบบประชาธิปไตยไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก!!! ตลอดจนขยายแนวการค้าแบบตลาดเสรีที่ไม่มีการควบคุมโดยรัฐบาล ตลอดจนการขายทอดกิจการรัฐให้กับเอกชน privatization เพราะจะช่วยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เป็นต้น ทฤษฎีเสรีนิยม ได้มีแนวคิดแบ่งออกเป็น 3 แบบได้แก่=
1. Liberal Internationalism!
2. Idealism !
3.Liberal Institutionalism! ประชาคมโลกจึงมีการประชุมร่วมมือกันระหว่าง
ประเทศก่อตั้งองค์การสหประชาชาติ! ขึ้นมาเป็นองค์กรตัวแทนนานาประเทศทั่วโลกเข้ามาแทรกแซงแบบสร้างสรรค์ในลัทธิ การปกครอง และเข้าปกป้องอำนาจอธิปไตยของแต่ละประเทศทั่วโลก! มีทั้งเจตนาช่วยเหลือแบบให้เปล่า!!!




--------------------------------------------------------------------------------
To: freelaos@yahoogroups.com
From: loukmahaxay001@9online.fr
Date: Fri, 23 Mar 2012 20:54:10 +0100
Subject: RE: Re : [freelaos] Re : [Laos-Sol] high school.




ຂໍສອດແດ່ທ່ານທີ່ເຄົາຣົບ..

ເພີ່ນວ່າ : ເລືອກຊ້າງ ໃຫ້ເບິ່ງຫາງ

ເລືອກນາງ ໃຫ້ເບິ່ງແມ່…

ຖ້າຈະເລືອກ ຣະບອບການປົກຄອງ

ຈະເລືອກ ແບບໃດກັນ ພີ່ນ້ອງ ???


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ສະບາຍດີທ່ານທັງຫລາຍ


ທາງ Laotians Freedom of Movement ( LFM ) ໄດ້ປະກາດອອກຫລາຍຄັ້ງ ແລະ ໄດ້ອະທິບາຍ ລະອຽດ
ແລວ ເຊັ່ນ ລະບອບຜະເດັດການໃຊ້ ຣະບົບກົດຫມາຍໄມ້ແທງກວຍຕາຫນ່າງ ແທງ ປ່ອງຖືກຫມົດ
ແມ້ແຕ່ທູດ ອະເມຣິກາ ກໍຍັງໄດ້ກ່າວ ໄວ້ ເປັນລາຍລັກອັກສອນ ຢູ່ໃນຄຳຕອບ ທ່ານ ຄຣີສ ທີ່ຢູ່ ໃນເມືອງ
ລາວໄດ້ 11 ປີ ຍັງຖືກ ເຕະອອກຈາກປະເທດ ຍ້ອນຫຍັງ ກະຣຸນາເປີດເບິ່ງເອງ ໃນ www.laovoice.net/


ມິຕພາບ
ອາຕ



Sent: Tuesday, 20 March 2012 4:12 PM
Subject: NGO



NGO ບໍ່ມີອະນຸຍາດ ໃນເຂດພັທນາຂອງຣັຖ
ສິດນີ
2012-03-19
ທາງການລາວ ບໍ່ ອະນຸຍາດ ອົງການ NGO ເຂົ້າໄປ ເຮັດວຽກ ໃນພື້ນທີ່ ການພັທນາ ຂອງ ຣັຖບານ.

Ngo-in-Laos-from-web
ອົງການ ngo ໃນລາວ ທີ່ຢາກຊ່ວຍເຫຼືອ ຊາວບ້ານ ໃນຊຸມຊົນ ທີ່ທຸກຍາກ ແລະກໍາລັງ ຕ້ອງການ ຄວາມຊ່ວຍເຫຼືອ ຢ່າງຮີບດ່ວນ ແຕ່ກໍເຮັດຫຍັງ ບໍ່ໄດ້ຫາກ ຣັຖບານລາວ ບໍ່ອະນຸຍາດ.

ກົດຟັງສຽງ

ອົງການ ສາກົນ ໃນລາວ ຖແລງວ່າ ບັນຫາ ການເຂົ້າ ໄປເຮັດວຽກ ຂອງຫ້ອງການ NGO ໃນພື້ນທີ່ ການພັທນາ ຂອງຣັຖບານ ແມ່ນບໍ່ຖືກ ອະນຸຍາດ ເຊັ່ນ ໂຄງການ ສ້າງເຂື່ອນ ໄຟຟ້າ ຂຸດຄົ້ນແຮ່ທາດ ແລະ ໂຄງການ ພັທນາ ທີ່ບໍ່ຍືນຍົງ ຕ່າງໆ ຂອງຣັຖບານ ຍ້ອນຣັຖບານ ບໍ່ຢາກໃຫ້ ມີບັນຫາ ກັບຊາວບ້ານ ກຸ່ມທີ່ຖືກ ໂຍກຍ້າຍ ດັ່ງເຈົ້າຫນ້າທີ່ ສາກົນ ທ່ານນື່ງເວົ້າວ່າ:
"ເລື້ອງ NGO ນີ້ມີບາງ ໂຄງການເຂົາ ຈະມີບັນຫາ ຣັຖບານ ບໍ່ຢາກ ໃຫ້ເຂົ້າເນາະ ເພາະວ່າເຂົາ ມີແຜນ ຕົວຢ່າງ ວ່າເຂົາຊີ່ ເຮັດເຂື່ອນ ເຂົາໄປ ເຮັດມັນ ກໍບໍ່ຍືນຍົງ ຈື່ງບໍ່ຢາກໃຫ້ ປະຊາຊົນ ຮູ້ ຈື່ງປ່ອຍ ໃຫ້ຫາກີນ ຕາມທັມມະຊາດ ກໍຕ້ອງ ທົນທຸກໄປ".
ທ່ານກ່າວ ຕໍ່ໄປວ່າ ການເຮັດວຽກ ຂອງອົງການ NGO ຕ້ອງການ ຄວາມຮ່ວມມື ຈາກ ຣັຖບານ ແລະ ກໍຕ້ອງເຮັດຕາມ ທີ່ ຣັຖບານ ຕ້ອງການ ຈື່ງຈະເຮັດໄດ້ ເຖີງແມ່ນ ວ່າການສຳຣວດ ໃນເຂດທີ່ ຫວງຫ້າມ ຈະເຫັນ ບັນຫາ ຄວາມທຸກຍາກ ລຳບາກ ຂອງ ປະຊາຊົນ ກໍຕາມ ແຕ່ບໍ່ສາມາດ ດຳເນີນ ໂຄງການ ດ້ວຍຕົນເອງໄດ້ ຕ້ອງໄດ້ຮັບ ອະນຸຍາດ ຈາກ ຣັຖບານກອ່ນ ໂດຍສະເພາະ ໃນເຂດທີ່ ຣັຖບານ ໃຫ້ ສຳປະທານ.

ທ່ານວ່າ ພືດຕິກັມ ດັ່ງກ່າວ ຂອງຣັຖບານ ສົ່ງຜົລກະທົບ ຕໍ່ຊາວບ້ານ ຜູ້ທີ່ ຖືກໂຍກຍ້າຍ ຈາກໂຄງການ ພັທນາ ໃນການໄດ້ ຮັບການຊ່ອຍເຫລືອ ແລະ ຄ່າຊົດເຊີຍ ຮ່ວມທັງ ການພັທນາ ຊິວິດໄຫມ່ ຂອງພວກ ຂະເຈົ້າ. ບາງຄັ້ງກໍຖືກ ເລື່ອນເວລາ ໃນການໃຫ້ ຄ່າຊົດເຊີຍ ແລະ ກໍບໍ່ມີ ອົງການໃດ ເຂົ້າໄປໃຫ້ ການຊ່ອຍເຫລືອ ຂະເຈົ້າ.


http://www.youtube.com/watch?v=_hRNNshOG64&NR=1&feature=endscreen

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

http://www.dailymotion.com/video/x38pl4_orrawee-y-y_music

ລະບອບຜະເດັດການ ຄອມມູນິສ ເຂົາກໍ່ຕ້ອງໃຊ້ ລະບົບຜູກຂາດ ກົລໃກ ຂອງ
ຣັຖ ຢ່າງຮອບດ້ານ....ເບິ່ງປະເທດ ຄມນ ທຸກປະເທດ ກໍເຮັດແນວນັ້ນ : ເຊັ້ນ
ຕົວຢ່າງ ເກົາຫລີເໜືອ , ຄີວບາ, ຂເມນ (ຄົນໃນກຸ່ມ),ສປປລາວ ເອົາເຊື້ອສາຍ
ຄົນໃນກຸ່ມ ແລະຈີນ ກໍ່ຄືກັນ..ຊຶ້ງກໍ່ຍັງບໍ່ເຫຼືອຫລາຍປະເທດແລ້ວທີຍັງເປັນ ຄມນ..
ນອກຈາກ ພັກລັດ ສປປລ ສມອງຂີ້ຫລື້ມທີ່ ຫາກໍແລ່ນນໍາກົ້ນເຂົາ...

ໄດ້ຂ່າວອອກມາ ໃໝ່ໆ ວ່າ ແບັງຄ໌ ໂລກໄດ້ ເຕືອນຈີນແລ້ວ ໃຫ້ລະວາງ ການຜູກ
ຂາດ ດ້ານເສຖກິດ ອອກຈາກກົລໃກ ຂອງຣັຖ..ເຖິງແມ່ນວ່າ ເສຖກິດຈີນໃນປະ
ຈຸບັນຈະຖີບຕົວຂຶ້ນເປັນອັນດັບໜຶ່ງໃນໂລກ ກໍຕາມ ແຕ່ ອີກພາຍໃນ 5 ປີຂ້າງ
ໜ້າ ຈະປະສົບຄວາມຕົກຕໍ່າທີ່ສຸດ ແລະ ຈະສົ່ງຜົລ ກະທົບເສຖກິດ ໂລກນໍາດ້ວຍ;
ຖ້າຫາກວ່າ ບໍ່ປ່ອຍໃຫ້ກຸ່ມເອກກະຊົນດໍາເນີນການໄດ້ ເຕັມສ່ວນ.......

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ທ່ານ king  ຖ້າທ່ານຈະມາຍົກຍອ້ງ ພັກລັດຂອງພວກທ່ານ ຂພຈ ວ່າ

ທ່ານມາຜິດບ່ອນແລ້ວ ແລະພາສາທີ່ທ່ານໃຊ້ ແມ່ນ ການສຶກສາຕ່ຳຫລາຍ

ນີ້ຄືຄຳເຕືອນ



__________________


Member

Status: Offline
Posts: 11
Date:
Permalink   
 

ເຫົ່າກັນເຂົ້າໄປພວກສູ......ມືບໍ່ພາຍແລ້ວຍັງເອົາຕີນປ້ານນຳ້ອີກ



__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ມີການເຜົາອິ່ດາຣາບັກຄຳ ຜ ອ ກ ສຽງ ອມຣກ ແລະ ອິ່ ວຽງໄຊຫລວງໂຄດຊະນະນິກອນ ຫັວໂປ່ໄຫ່ຍ ເອເຊັຍເສີຣິ ທີ 16.03.12 ທີ່




http://tiny.cc/serixonlao






Sent: Friday, 16 March 2012 10:25 PM
Subject:





03-08-2012

ໜຸ່ມລາວຕັດສິນໃຈ ກັບຄືນເມືອຢູ່ ບ້ານເກີດເມືອງນອນ ຫລັງໃຊ້ ຊີວິດຢູ່ຕ່າງປະເທດ ຫລາຍປີ
ລາຍງານໂດຍ ກິ່ງສະຫວັນ ປະຖໍາມະວົງ | ວໍຊິງຕັນ ດີຊີ
·

·

·

·


·

·

·





ຮູບຈາກ: KS

ແສງແກ້ວ ຟຣິຈິດຕະວົງ ຫັລງຈາກໄດ້ໃຊ້ຊີວິດເປັນເວລາຫລາຍປີ ທີ່ ປະເທດການາດາ ບັດນີ້ໄດ້ ກັບຄືນມາຊື່ນບານກັບປ່າດົງພົງໄພ ອັນເປັນ ບ້ານເກີດເມຶອງນອນທີ່ ເມືອງວັງວຽງ ແຂວງວຽງຈັນ.

ລາຍການ​ຊີວິດ​ຊາວ​ລາວ​ໃນ​ຕ່າງ​ແດນຂອງ​ວີ​ໂອ​ເອ ​ແລງ​ມື້​ນີ້ສະ​ເໜີ ການ​ສໍາພາດ​ກັບ
ແສງ​ແກ້ວ ຟຣິຈິດຕະວົງ ໜຸ່ມ​ລາວລູກບ້ານ​ຫລານ​ເມືອງວັງ​ວຽງ ​ທີ່​ໄດ້ອົບ​ພະຍົບ​ໄປ​ຢູ່
ປະ​ເທດ​ກາ​ນາ​ດາ ຫລາຍ​ປີ ​ແຕ່​ແລ້ວ​ກໍ​ໄດ້ຕັດສິນ​ໃຈຍ້າຍ​ກັບ​ຄືນ​ເມືອ​ຢູ່​ບ້ານ​ເກີດ​ເມືອງ​
ນອນ​ ​ຊຶ່ງ​ແສງ​ແກ້ວ ​ຈະ​ມາ​ລົມ​ສູ່​ຟັງ​ວ່າເປັນ​ດ້ວຍ​ເຫດ​ໃດລາວ​ຈຶ່ງ​ໄດ້​ຕັດ​ສີນ​ໃຈ​​ເຮັດ​ແບບ​
ນັ້ນ ​ແລະ​ເວລາ​ນີ້ລາວ​ດໍາລົງ​ຊີວິດ​ແບບ​ໃດ ຢູ່​ປະ​ເທດ​ລາວ​ນັ້ນ. ​ເຊີນ​ທ່ານ​ຕິດຕາມ​ຮັບ
ຟັງ​ຈາກ​ ກິ່ງ​ສະຫວັນ​ ໄດ້​ໃນ​ອັນ​ດັບ​ຕໍ່​ໄປ.

ເ​ມື​ອງວັງ​ວຽງ ​ຕັ້ງ​ຢູ່​ຫ່າງຈາກ ນະຄອນ​ຫລວງ​ວຽງ​ຈັນ ໄປ​ທາງ​ທິດ​ເໜືອປະມານ​ຮ້ອຍ
​ກວ່າ ກິ​ໂລແມດ ​ແລະ ​ໄຊ້​ເວລາ​ເດີນ​ທາງ​ໂດຍ​ທາງ​ລົດປະມານສອງ​ຊົ່ວ​ໂມງ. ​​​​ແຕ່​ລະຍະ
​ທາງຈາກນະ​ຄອນຫລວງ​ວຽງ​ຈັນ ​ເຂົ້າ​​ໄປ​ສູ່​ເມືອງ​ວັງ​ວຽງ​ນັ້ນ ທ່ານຈະ​ສັງ​ເກດ​ເຫັນຖະ
ໜົນຫົນ​ທາງ​ປູຢາງ​ໄປ​ຕະຫລອດ ​ແຕ່​ວ່າການ​ສັນຈອນ​ບໍ່ຫລາຍ. ໃນທັງສອງ​ຟາກ​ທາງ
ທ່າ​ນຈະ​ເຫັນທົ່ງ​ນາ ປ່າ​​ໄມ້ອັນ​ຂຽວ​ງາມ ​​ແລະໝູ່ບ້ານ​ຂອງ​ຊາວ​ຊົນນະບົດທີ່​ເຕັມ​ໄປ​ດ້ວຍ
ຊີວິດ​ການ​ເປັນຢູ່​​ແບບ​ທໍາ​ມະ​ຊາດ. ພໍ​ແຕ່​ລົດ​​ແລ່ນ​ເຂົ້າມາ​ເຖີງ ຕົວເມືອງ​ວັງ​ວຽງ ທ່ານ​ຈະ
ເຫັນຕຶກ ຮ້າ​ນຄ້າ ເຮືອນຫ້ອງ​ແຖວ ​ແລະ ຮ້ານ​ໄມ້ຢາຍ​ໄປຕາມ​ຖະນົນ. ສີນ​ຄ້າທີ່ຫ້ອຍ ​
ແລະວາງ​ຂາຍ​ສ່ວນ​ໃຫ່ຍ​​​ເປັນເຄື່ອງ​ແຫ້ງ​ ເຊັ່ນ​ວ່າ: ​ປາ​ແຫ້ງ, ປາ​ແດກ, ສົ້ມ​ໝູ, ​ຜັກ​ສົດ,
ປາ​ສົດ, ສັດ​ປ່າ, ​ເຄື່ອງ​​ໄຊ້​ຕ່າງໆໃນ​ບ້ານ​ເຮືອນ ​ແລະຮ້ານ​ອາຫານ.





KS



ເ​ມື​ອງ​ວັງ​ວຽງ ​ເປັນ​ເມືອງ​ທີ່​ມີທໍາ​ ມະ​ຊາດອັນສວຍ​ສົດ​ງົດ​ງາ​ມ​​ ເໝືອນ​ດັ່ງ​ຮູ​ບ​​ແຕ້ມ ທີ່​ເທບ​ພະ​ເຈົ້າ​ໄດ້​ສ້າງ​ເອົາ​ໄວ້ ມີພູຜາສູງ​ແຫ​ລ​​ມຢາຍ​ກັນ​ໄປທົ່ວຂົງ​ເຂດ ​ປົກ​ຄຸມ​ໄປ​ດ້ວຍປ່າ​​ໄມ້​ອັນ​ຂຽວງາມ ​ທົ່ງ​ນາທີ່​ກ້ວາງ​​ໄປ​ຈຸ​ເຖິງຕີນ​ພູ ມີໝອກຂາວກົ້ວປົກ​ຄຸມ​ຢູ່​ຕາ​ມຮອມ​ພູ ​ເບິ່ງແລ້ວ ຊີວິດຄົນແລະສັດ​ໃນ​ຂົງ​ເຂດ​ນີ້​​ ແມ່ນເຕັ​​ມໄປ​​ແຕ່​​ຄວາມ​ຮົ່ມເຢັນເປັນສຸກ ຢູ່​ຕາມ​ໝູ່​ບ້ານ​ ມີດອກ​ໄມ້​
ປ່າ​ນາໆ​ຊະນິດ ບານ​ເດຍລະດາດ ຕົ້ນ​ພ້າວ ຕົ້ນ​ຕານ ຕົ້ນໝາກທີ່​ຢືນຢຽດ​ສູູງ ສະ​ແດງ​ໃຫ້
​ເຫັນເຖິງ​ຄວາມ​ອຸດົ​ມສົມບູນ ​ແລະ​ການ​ດໍາລົງຊີວິດທີ່​ມີ​ມາ​​​​ແຕ່ຍາວ​ນານ ໂດຍ​ສະ​ເພາະ​ຢ່າງ​
ຍິ່ງ ສາຍ​ນໍ້າຊອງ​ ທີ່ໄສ​ເຢັນໄຫລ​ຜ່ານໝູ່​ບ້ານ ອັນ​ເປັນ​ໝາກຫົວ​ໃຈຂອງ​ຊາວ​ວັງ​ວຽງ ການ
ດໍາລົງຊີວິດຂອງຊາວ​ເມືອງ​ວັງ​ວຽງ​ທີ່​ມີ​ມາ​ແຕ່​ດຶກ​ດໍາ​ບັນ​ນັ້ນ​ກໍ​ຄື ການປະ​ໂມງ ​​ເຮັດ​​ໄຮ່ເຮັດ
ນາ ​ເຮັດ​ສວນ ​ແລະ ​ໂຮ່​ເນື້ອ​ ທີ່​ກ່າວ​​ມາ​ທັງ​ໝົດ​ນີ້​ມີຊີວິດ​ຊີ​ວາອັນ​ແທ້​ຈິງ​ຊຶ່ງ ຂ້າພ​ະ​ເຈົ້າ ກິ່ງ
​ສະຫວັນ ຜູ້​ລາຍ​ງານ​ຂ່າວ​ນີ້ ​​ໄດ້​ໄປ​ເຫັນ​ເປັນ​ພິຍານ​ຫລັກຖານ​ໃນ​ປີ 2006​ ​ແລະກໍດ້ວຍ
ເຫດຜົນດັ່ງ​ກ່າວ​ມາ​ນີ້ ທ່ານແສງ​ແກ້ວ ຟຣິຈິດຕະວົງ ຈຶ່ງ​ໄດ້​ຕັດ​ສີນ​ໃຈກັບ​ຄືນ​​ເມືອຢູ່​ບ້ານ​
ເກີດ​ເມືອງ​ນອນ​ ຫລັງ​ຈາກ​ທີ່​ໄດ້​ໄປ​ໃຊ້​ຊີວິດ​ຢູ່​ປະ​ເທດ​ການ​າດາ ​ເປັນ​ເວລາ​ຫລາຍ​ປີ ​ຊຶ່ງ
ລາວ​​ເລົ່າ​ຄວາ​ມເປັນ​ມາ​​ໃຫ້​ຟັງດັ່ງ​ນີ້:

ທ່າ​ນ​ແສງ​ແກ້ວ ​ໄດ້​ເຮັດ​ວຽກຢູ່​ໃນ​ໂຮງງານ ຜລິດ​ເຄື່​ອງອາ​ໄລ​ລົດ ​ແຕ່​ເຊົ້າ​ຈົນ​ເທົ້າ​ຄໍ່າ ຫ້າ​ຫາຫົກ​ມື້​ຕໍ່​ອາທິດ ​ເປັນ​ເວລາ​​ເຈັດ​ປີ ຊີວິດການ​

ຫາ​​ເຊົ້າ​ກີ​ນຄໍ່າ ອັນ​ຊໍ້າ​ຊາກດັ່ງ​ກ່າວ​ນີ້ ເຮັດ​ໃຫ້​ແສງ​​ແກ້ວ ຄິດ​ເຖິງທໍາ​ມະ​ຊາດ ​ແລະສິ່ງ​ແວດລ້ອມ ທີ່​ລາວ​ໄດ້​ໜີ​ປະໄປນັ້ນ​ຢູ່ສະ​ເໝີ.

ເມື່ອ​ຫລາຍໆ​ປີຜ່ານມາ​ນີ້ ບັນດາ​ນັກ​ທ່ອງ​ທ່ຽວ​​ໄດ້ໄປພົບ​ເຫັນ​ທໍາ​ມະ​ຊາດ​ອັນ​ລີ້​ລັບ ສວຍ ​ງາມ​ຂອງເມືອງ​ວັງ​ວຽງ ​​ທີ່ບໍ່​ໄດ້​ຖືກ​ແຕະຕ້ອງ​ ຈາກ​ໂລກ​ພາຍ​ນອກມາ​ກ່ອນ. ຜົນ​ທີ່​ຕາມ​ມາ​ ກໍ​ຄື ພວກນັກ​ທອງ​ທ່ຽວຕ່າງປະ​ເທດທີ່​ເປ້​ຖົງ ພາກັນຫລັ່ງ​ໄຫລ ເຂົ້າ​​​ໄປຢ້ຽ​ມຢາ​ມຊື່ນ​ຊົມ

​ກັບທໍາ​ມະ​ຊາດອັນ​ສວຍ​ງາມ​ນັ້ນ ​ແລະ​ມັນ​ເລີ້​ມ​ເຮັດ​ໃຫ້​ຊີວິດການ​ເປັນ​ຢູ່​ຂອງຊາວ​ເມືອງ​ວັງ ​ວຽງ ມີ​ການ​​ປ່ຽນ​ແປງ ​​ແລະນໍາ​ຜົນ​ສະທ້ອນ​ມາ ສູ່ທໍາ​ມະ​ຊາດ​ ສິ່ງ​ແວດ​ລ້ອມອັນງົດ​ງາ​ມ​ພ້ອມ​ທັງ​ການ​ດໍາລົງ​ຊີວິດ ​ຊຶ່ງ​ທ່ານ​ແສ​ງ​ແກ້ວອະທິບາຍ​ວ່າ:

ໃນການ​ກັ​ບຄືນມາ​ຕັ້ງຖີ່​ນຖານ​ໃໝ່ ຢູ່​ບ້ານ​ເກີດ​ເມືອງ​ນອນ​​ນັ້ນ ທ່ານ​ແສງ​ແກ້ວ ​ ໄດ້​ນໍາເອົາແນວ​ຄິດ​ຫລາຍໆ​ຢ່າງ​ມາປັບ​ປຸ​ງ​ແລະພັດທະນາ ​ເພື່ອຊ່ວຍຊາວບ້ານຂອງ​ທ່ານ ​ເປັນ​ຕົ້ນວ່າ ສອນ​ພາສາ​ອັງກິດ​​ໃຫ້​ເຂົາ​ເຈົ້າ ໂດຍ​​ອາ​ໄສນັກ​ທອງ​ທ່ຽວ​ ອາສາ​ສະມັກ​ມາ​
ຊ່ວຍ​ສອນພວກ​ເດັກນ້ອຍ​ນັກຮຽນ ​ແລະ​ສິ່ງ​ທີ່​ໜ້າ​ສົນ​ໃຈ​ທີ່​ສຸດ​ນັ້ນ​ກໍ​ຄື ທ່ານ​​ແສງ​ແກ້ວ​ ຢາກ​ແນະ​ນໍາ​ໃຫ້​ຊາວ​ບ້ານ ພະຍາຍາມ​​ໄຊ້ຢາຂ້າ​ແມງ​ໄມ້​ແບບ​ທໍາ​ມ​ະຊາດ ​ໃນ​ການ​ປູ​ກຜັກ​ປູກ​ໝີ່ ທີ່​ນໍາ​ໃຊ້​ໃນ​ການປຸງ​​ແຕ່ງ​ອາຫານ​ເພື່ອສຸຂະພາບ​ທີ່​ດີ​ຂຶ້ນ​ ສໍາລັບ​ທັງ​ຊາວບ້ານ​ຊາວ​ເມືອງ ​ແລະ​ນັກ​ທ່ອງ​ທ່ຽວນໍາ​ດັ່ງທີ່ທ່ານ​ໄດ້​ເລົ່າ​ສູ່​ຟັງ​ດັ່ງ​ນີ້:





ທ່ານ​ແສງ​ແກ້ວມ້ວນທ້າຍ​ການ​ໃຫ້​ສໍາພາດ​ ໂດຍຂໍສົ່ງ​ຂ່າວຜ່ານ​ມາ​ທາງ​ລາຍການວີ​ໂອ​ເອ ວ່າ ຖ້າ​ຫາກທ່ານ​ໃດ​ມີ​ໂອກາດ​ໄດ້​ກັບຄືນ​ມາ​ຢ້ຽມຢາມ​ເມືອງລາວ ​​ໂດຍ​ສະ​ເພາະ ເມືອງ ​ວັງ​ວຽງແລ້ວ ທ່ານ​ແສງ​ແກ້ວ ຍິນດີ​ຕ້ອນຮັບ​ທຸກໆ​ທ່າ​ນ ​ແລະ​ຕິດ​ຕໍ່​ໄດ້​ທີ່:ສະບາຍດີທ່ານທັງຫລາຍ

....................................................................................................................................................................................................l





ຢ່າສູ່ພາກັນ ຟ້າວຕື່ນເຕັ້ນ ແລະ ຟ້າວດີໃຈ ທີ່ເຫັນຄົນລາວ ຜູ້ທີ່ຕັດສິນໃຈກັບບ້ານເກີດ ມີຄວາມດີໃຈ ເພາະຜູ້ກ່ຽວ

ໄດ້ຢູ່ໃນໂລກແຄບ ບໍ່ເຄີຍໄດ້ເຫັນສະພາບ ຄວາມເປັນຈິງ ເວລາ ໄປຢາມລາວ ແມ່ນໄປທ່ອງທ່ຽວ ເງິນໂຮງການເຂົາ

ຍັງເບິກໃຫ້ຢູ່ ດັ່ງນັ້ນ ການດຳຣົງຊີວິດ ເວລາທ່ອງທ່ຽວລາວມັນຈຶ່ງມີຄວາມສຸກດີ.





ສະພາບຂອງຜູ້ກ່ຽວທີມີຊີວິດ ອັນອຸດົມ ສົມບຸນນີ້ ມັນໄດ້ກາຍເປັນ ອະດິດໄປແລ້ວ . ທ້າວ ແສງແກ້ວ ຟຣີຈິຕວົງ

ເປັນຄົນທີ່ບໍ່ໄດ້ກ່ຽວກັບການຈັດຕັ້ງລາວນອກ ໃດຯທັງສິ້ນ ລາວສະມັກໃຈກັບບ້ານເອງ ລາວຕ້ອງກຸ້ມຕົນເອງ

ຮັປກັນຕົນເອງ, ຮັ່ງເອງ, ທຸກເອງ.





ທ່ານແສງແກ້ວ ເປັນໄທບ້ານວັງວຽງ ຄົນທີ່ 3 ທີ່ກັບຄືນວັງວຽງ ທີ່ມີທັມຊາດ ສວຍງາມ ເວລາທ່ອງທ່ຽວ ແຕ້ ດ້ານ

ຊີວິດການກິນຢູ່ ແລະ ຊີວິດຢູ່ພາຍໃຕ້ການປົກຄອງ ລະບອບຜະເດັດການ ໃນບໍ່ໄດ້ສວຍງາມ ຄືທັມຊາດ.





ຜູ້ທີ່ນຶ່ງ ຄືທ່ານ ບຸນ ມ. ຢູ່ປະເທດ​ ນີວຊີແລນ ຂາຍເຮືອນ ແລ້ວ ຕັດສິນໃຈ ໂຫບເງິນ ທີ່ໄດ້ກຳໄລ ໄປຢູ່ລາວ ເພິ່ນຍັງເວົ້າ

ວ່າ “ ເສົາ” ແປວ່າ ເຮົາ ຈະໄປຢູ່ລາວ ມັນສະບາຍ ພີ່ນ້ອງເຮົາກໍມີຫລາຍ ມັນດີຢູ່ ແຕ່ຈະໄປແບ່ງເອົາມູນນັ້ນບໍ່ໄດ້ ເພາະ

ຕົນເອງເປັນຄົນຕ່າງຊາດແລ້ວ. ທ່ານໄດ້ວິ່ງເຕັ້ນຄ້າຂາຍ ເຮັດທຸກວິທີທາງ ຢູ່ໄດ້ 3 ປີ ເງິນຫມົດ ຫີ້ວຫີບກັບປະເທດ

ນຊລ ນະໂຍບາຍ ເຂົາດີຢູ່ ເຂົາໃຫ້ກິນເງິນຫວ່າງງານຄືນ ແຕ່ຊອກວຽກບໍ່ໄດ້ກິນ ແຕ່ເຫລົ້າ ສຸດທ້າຍ ເລີຍເຂົ້າບວດ ເປັນ

ພຣະທັມະກາຍ ໄປຮຽນ ແລ້ວຢູ່ໄທກັບມາ ຄົນລາວບໍ່ນິຍົມ ເລີຍສິກອອກຈາກວັດ ແລ້ວເລີຍເປັນຫມາກຫໍ້ຫມາກນອຍ.





ຜູ້ທີ່ ສອງ ຄືທ່ານ ບຸນ ອ. ຢູປະເທດ ອອສເຕຣເລັຽ ໄດ້ເງິນອອກການ (​ ໂຮງການປິດ ) ໂຫບເງິນຫນີໄປລາວ ໄປເຮັດການຄ້າ

ເມັຽ ແລະ ລູກ ບໍ່ໄປນຳ, ບໍ່ຮອດ 2 ປີ ເງິນຫມົດ. ກັບມາໃຫ້ເມັຽ ຂາຍເຮືອນ , ບໍ່ຊາຄວາມຍາກ ລູກຈ້າງໃຫ້ອອກເຮືອນ ເອົາເງິນ

ກັບໄປ ວັງວຽງອີກ ບໍ່ຮອດ ປີ ເງິນຫມົດອີກ ກັບມາ ເມັຽຕຽມໃບຢ່າຮ້າງ ໄວ້ຖ້າ ມາຣອດພໍດີມາເຊັນ ແລ້ວກໍ່ກິນເງິນຫວ່າງງານ

ໄປ ອາໄສຢູ່ເຮືອນຫລວງນຳຫມູ່ ຈະປະກັນເອົາເມັຽມາແຕ່ລາວກໍບໍ່ໄດ້ ເພາະເປັນຄົນຫວ່າງງານ.





ທ້າຍປີແລ້ວນີ້ ລູກສາວເຮັດດອງ ເຊີນແຂກ 350 ຄົນ ບໍ່ຍອມເຊີນພໍ່ມາຢຽບຮອດດອງຊ້ຳ. ມີຄົນຖາມເປັນຫັຽງ ?

ລູກສາວຕອບວ່າ: “ເບື່ອຄົນຮັກບ້ານເກີດແຮງ”





ເປັນເຣຶ່ອງຈິງ ເຊີນ VOA ໄປສັມພາດ ມາລົງຄໍລັມ ແດ່ ພໍຈະໄດ້ເຕືອນສະຕິຄົນຫລົງທາງ,









ສອງ ຄົນນີ້ບໍ່ໄດ້ໄປ ໃຫ້ສັມພາດນຳ VOA





ທ່ານທັງຫລາຍຈົ່ງລໍເບິ່ງ ທ່ານແສງແກ້ວ ຟຣີຈິຕວົງ ທີ່ໄປຈາກການາດາ ຈະດີກວ່ານີ້ ຫລື ຮ້າຍກວ່ານີ້.





ມິຕພາບ

ອາຕ




__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 


วัดพระธาตุศรีสองรัก ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำมัน สร้างขึ้นสมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช เมื่อปี พ.ศ. 2103 เสร็จในปี พ.ศ. 2106

พระ ธาตุศรีสองรักสร้างขึ้นเพื่อ เป็นสักขีพยานในการช่วยเหลือซึ่งกันและกันระหว่างกรุงศรีอยุธยา(สมัยพระมหา จักรพรรดิ) และกรุงศรีสัตนาคนหุต (ปัจจุบันคือ เวียงจันทร์สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว) กษัตริย์ทั้งสองพระองค์ทรงครองราชสมบัติ ตรงกับสมัยที่พม่าเรืองอำนาจ และมีการรุกรานดินแดนต่าง ๆ เพื่อขยายอำนาจ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิและพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช จึงตกลงรวมกำลัง เพื่อต่อสู้กับพม่า จึงทรงกระทำสัตยาธิษฐานว่า จะไม่ล่วงล้ำดินแดนของกันและกัน และเพื่อเป็นที่ระลึกในการทำไมตรีต่อกัน จึงได้ร่วมกันสร้างพระธาตุศรีสองรักเพื่อเป็นสักขีพยาน ณ กึ่งกลางระหว่างแม่น้ำน่านและแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นรอยต่อของทั้งสองราชอาณาจักร นอกจากนี้ภายในวัดยังมีพระพุทธรูปปางนาคปรก ศิลปะทิเบตหัวนาคปรกสร้างด้วยศิลา องค์พระพุทธรูปสร้างด้วยทองสัมริด มีหน้าตักกว้าง 21 นิ้ว สูง 30 นิ้ว ทุกวันขึ้น 15 เดือน 6 ชาวอำเภอด่านซ้าย หรือ"ลูกผึ้งลูกเทียน" จะร่วมกันจัดงานสมโภชพระธาตุขึ้น โดยจะนำต้นผึ้ง มาถวายพระธาตุถือเป็นประเพณีอันศักดิ์สิทธิ์ที่เกิดขึ้นประจำทุกปี พระธาตุสร้างขึ้นเพื่อสัจจะและไมตรี

พระธาตุศรีสองรัก อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย สร้างเมื่อ พ.ศ.2103 แล้วเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2106 ในสมัยแผ่นดินสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์แห่งกรุงศรีอยุธยาเพื่อเป็นสักขีพยาน แสดงความสัมพันธ์อันดีงามระหว่างกัน กับพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชแห่งกรุงศรีสัตนาคนหุต (เวียงจันทร์)ประวัติความเป็นมาของพระธาตุศรีสองรักพระธาตุศรีสองรัก เป็นเจดีย์ที่ก่อด้วยอิฐถือปูนมีฐานเป็นเหลี่ยมจัตุรัส ขนาดกว้างด้านละประมาณ 8 เมตร สูงประมาณ 32 เมตร อยู่ห่างจากที่ตั้งจังหวัดเลยไปทางทิศตะวันตกประมาณ 1กิโลเมตรและอยู่ห่างจากที่ตั้งจังหวัดเลยไปทางทิศตะวันตก ประมาณ 83 กิโลเมตร องค์พระเจดีย์ตั้งอยู่ในวัดพระธาตุศรีสองรักบนเนินริมน้ำหมัน ซึ่งเป็นวัดที่ไม่มีพระภิกษุพำนักอยู่ในวัดนอกจากองค์พระเจดีย์แล้ว ถัดไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือมีโบสถ์ 1 หลัง ภายในโบสถ์มีพระพุทธรูปนาคปรก 1 องค์ และพระพุทธรูปอื่น ๆ อีกบ้าง และถัดองค์พระเจดีย์ไปทางทิศตะวันตกมีศิลาจารึก 1 แผ่น ซึ่งจารึกตำนานการสร้างพระธาตุศรีสองรักด้วยอักษรธรรมอยู่ด้วย

พระ ธาตุศรีสองรัก ได้สร้างขึ้นในแผ่นดินของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ผู้ครอบครองกรุงศรีอยุธยา แห่งอาณาจักรสยามสมัยนั้น และพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชผู้ครองกรุงศรีสัตนาคนหุต (เวียงจันทร์) แห่งอาราจักรล้านช้างสมัยนั้น เพื่อเป็นสักขีพยานในการทำสัญญาทางพระราชไมตรี และเป็นด่านกั้นเขตแดนของสองพระนครใสสมัยโน้น ทั้งนี้เนื่องจากในระหว่างที่กษัตริย์ทั้งสองพระองค์ครองราชสมบัติ ตรงกับสมัยที่พม่าเรืองอำนาจ เพราะพม่ามีกษัตริย์ที่เข้มแข็งในการสงครามปกครองคือ พระเจ้าตะเบ็งชเวตี้ และพระบุเรงนองได้ยกทัพมารุกรานกรุงศรีอยุธยาและกรุงศรีสัตนาคนหุตหลายคราว สมเด็จพระมหาจักรพรรดิกับพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช จึงทำไมตรีกัน เพื่อร่วมกันต่อสู้กับพม่าและเพื่อเป็นที่ระลึกในการทำไมตรีกันครั้งนี้ ได้ทรงร่วมกันสร้างพระเจดีย์ขึ้นเป็นสักขีพยานจึงได้ขึ้นชื่อว่า “ พระธาตุศรีสองรัก ” ตามตำนานกล่าวไว้ว่าได้สร้างขึ้น ณ ที่กึ่งกลางระหว่างแม่น้ำโขงกับแม่น้ำน่านบนโคกไม้ติดกัน เริ่มสร้างแต่ พ.ศ. 2103 ตรงกับปีวอก โทศก จุลศักราช 922 และเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2106 ตรงกับปีกุล เบญจศก จุลศักราช 925 ในวันพุธขึ้น 14 ค่ำ เดือน 6 และได้ทำพิธีฉลองสมโภชในวันพฤหัสบดี ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6การสร้างพระธาตุศรีสองรัก นับเป็นสักขีพยานในความรักใคร่ของชนชาติเผ่าลาวในดินแดนล้านช้างสมัยนั้น มาตั้งแต่โบราณการเป็นอย่างดี และพระธาตุศรีสองรักนี้ ประชาชนในท้องที่จังหวัดเลยและจังหวัดใกล้เคียงให้ความเคารพนับถือ เป็นปูชนียสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ในวันเพ็ญเดือน 6 จะการทำพิธีสมโภชและนมัสการพรเจดีย์ขึ้นทุกปีจนถือเป็นประเพณีตลอดมาจนทุก วันนี้ พระธาตุศรีสองรัก นับแต่สร้างมาจนถึงปัจจุบันนี้นับได้ 400 ปีเศษ นอกจากเป็นปูชนียสถานสำคัญของอำเภอด่านซ้าย ยังเป็นปูชนียสถานที่สำคัญที่สุดของจังหวัดเลย

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ທ່ານ ສາຍ ເນວະສັນ
ຂພຈ ຢາກຂໍສັນຣະເສີນຜົນງານຂອງ ດຣ ບົວຣອຍ ເຊັ່ນດຽວກັນ,
ແລະຢາກຊາບວ່າພາຍໃນຄນະຂອງທ່ານທີ່ໄປໃນວັນນັ້ນມີໃຜແດ່
ໃນຈໍານວນ 7 ຄົນຕາມເອກະສານ.


ລາວສວັນ ລູກຫລານພໍ່ກະດວດ




On Thu, Mar 15, 2012 at 7:44 PM, Say Nevasanh wrote:

ທ່ານ ດຣ. ບົວຣອຍ ທີ່ຮັກແພງ


ທ່ານທຳຫນ້າທີ່ລາວນອກ ຖືກແລ້ວ ແລະ ຂໍສັລເສີນ ທີ່ທ່ານພົວພັນກັບ ກຸ່ມຕໍ່ຕ້ານປະຊາຊາດ ເອເຊັຽ ຖືກກຸ່ມ.
ບໍ່ວ່າປະເທດໃດທີ່ມີການຕໍ່ສູ້ ມັນກໍມີການແບ່ງອອກເປັນຫລາຍກົກຫລາຍເລົ່າຄືກັນ ທໍ່ແຕ່ວ່າກຸ່ມໃດຈະໄປຖືກ
ສາຍໃດເທົ່ານັ້ນ, ຖ້າຫາກ ກຸ່ມ ຂອງ ທ່ານ ບໍ່ມີໂອກາດ ໄດ້ເຂົ້າພົບ ສະຫະປະຊາຊາດ ໃນຄັ້ງນີ ກໍຫມາຍຄວາມວ່າ
ລາວນອກ ພວກເຮົາ ພາດໂອກາດໄປອີກ ຄັ້້ງນຶ່ງ.


ການພົວພັນຄັ້ງນີ້ ເຖິງຈະຍັງບໍ່ຮູ້ຜົນອອກມາກໍຕາມ ແຕ່ ສະຫະປະຊາຊາດກໍຕ້ອງໄດ້ຍອມຮັບວ່າ ລາວນອກໄດ້ມີການ
ເຄື່ອນໄຫວ ຕໍ່ສູ້ ເພື່ອປະຊາທິປະໄຕ ໃນລາວຈິງແທ້.
ວຽດນາມຈະບຽດຍຶດເອົາຜືນແຜ່ນດິນລາວ ຕາມແນວທາງ ນະໂຍບາຍ ຂອງ ໂຮຈີມິນນັ້ນ ຕ້ອງໄດ້ຢຸດສະລັກລົງ ເພາະ
ລາວຍັງຄົງ ເປັນລາວຄືເກົ່າ.


ບາດກ້າວຕໍ່ໄປແມ່ນ ຍື່ນຟ້ອງສານໂລກ ຢູ່ກຸງເຮັກ ເປັນບາດກ້າວທີ່ສຳຄັນທີ່ສຸດ ເພາະວ່າເວລາ ທາງສານຮັບຄົຳຮ້ອງ
ຂອງ ກຸ່ມພວກທ່ານ ເວລາໃດ ແມ່ນວຽດນາມ ຈະຕ້ອງ ພະຍາຍາມຜີກຕົວອອກ ກ່ຽວກັບການພົວພັນລາວ ຢ່າງໃກ້ສິດ
ເພາະຄະດີມັນຈະ ຈ່ອງດຶງໄປເຖິງວຽດນາມໄດ້.


ການພົບປະ ສະຫະປະຊາຊາດ ແມ່ນ ເຂົ້້້າພົບເປັນຂະບວນ ແຕ່ວ່າການ ຟ້ອງສານໂລກ ແມ່ນລາວນອກ ແລະ ປະຊາຊົນ
ລາວ ຟ້ອງ ຣັຖບານ ສປປລ ຖ້າທ່ານ ຊັກຊ້າ ກໍບໍ່ຕ່າງຫັຽງກັບທ່ານ ຂີຣົຖ ແລ້ວຢຸດ ປົດເຈັຽ ຫວ່າງ ແລ້ວໃສ່ Park ໄວ້
( ພົບສະຫະປະຊາຊາດ )​ ແຕ່ທ່ານຍັງບໍ່ໄດ້ ໃສ່ Park Break ເທື່ອ ( ຍັງບໍ່ໄດ້ Filing the petition with the ICC ) ແລະ
ທ່ານ ຍັງບໍ່ໄດ້ເປັນ ໂຈດ ສວ່ນ ສປປລ ຍັງບໍ່ທັນໄດ້ເປັນຈຳເລີຍ ຕາມຮູບຄະດີເປັນດັ່ງນີ້.


ໃນເວລານີ້ ສປປລ ເຂົາກໍມີການປຶກສາ ທິມກົດຫມາຍ ຂອງເຂົາ ເພື່ອແກ້ຂອດ ທີ່ທ່ານສເນີໄປ ແລະ ເຂົາຍັງຈະຕຽມ
ການປັ່ນປ່ວນ ລາວນອກຄັ້ງຍິ່ງໃຫ່ຽທີ່ສຸດ ແລ້ວທຸກຄົນກໍ່ຈະໄດ້ຮູ້ ວ່າຕົນເອງສັງກັດ ຢູ່ກຸ່ມຮັກຊາດ ຫລື ກຸ່ມແນວລາວ.


ນັກກິລາ ເວລາແຂ່ງຂັນ ຢ່າໄປຢຸດເຊົາກາງທາງ ດັ່ງນັ້ນ ຈະບໍ່ແລ່ນເຖິງຫລັກໄຊ.


ຮັກແພງ
ຊາຍ ເນວະສັນ





Dear Lao friends,

I am so delighted to let you know that, on Friday - March 9th, 2012, I had a chance to represent the case of Laos at the United Nations Headquarters in New York to the UN Office of High Commission for Human Rights.

Meanwhile, I also submitted the short list of civilian and military personnel who disappeared after the takeover of December 2nd, 1975 by the Communist Pathet Lao regime (LPRP).

By the same token, I also added for the "Urgent Action Request" by the Lao delegations along with the 7 countries of the delegates on that day to the United Nations. The UN took the case of Laos to engage for further investigations and take legal action as requested.

The complaint alleged of war crimes and crimes against humanity after the agreements had been signed after the Vietnam War's over for peace and national reconciliation.


Thank you,
Dr. Bouarouy.

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

นิสัยสันดานอันแท้จริงของคน"ไทย สยาม"ชอบดูถูก!ดูหมิ่น!ดูแคลน!เหยียดหยาม!กับคนที่ด้อยการพัฒนา!คนอ่ออ นแอ!คนที่โง่เขลาเบาปัญญากว่าพวกตนเอง!!!เช่น คนเขมร,คนลาว นิสัยสันดานของคนไทยสยามอยังมีมากมายเป็นต้นว่า ชอบโกหกหลอกลวง,ชอบตลบตะแลงปลิ้นปล้อน,ชอบเอาความดีไส่ตัว เอาความ
ชั่วไห้คนอื่น!มีนิสัย"โอนเอน"ง่าย ไครดี ไครเก่งก็คบคนนั้น สมัยก่อนอังกฎษ(England)และฝรั่งเศส(France)เข้ามาแผ่อำนาจในเขตเอเซีย(Asia)ก็ทำตัวเป็น
"นก สองหัว"ไห้เขาทั้งสอง ต่อมาเมื่อ อเมริกา(America)เข้ามาีอำนาจในยุคสงครามเย็นในสงครามเวียดนา,เขมร,ลาว ก็ลู่ตามลมคล้อยตาม ยอมตัวเอง(สยาม)เป็นข้าทาสแบบไหม่,ยอมก้มหัวรับไช้ทุกๆอย่างเพื่อรับผล ประโยชน์ไห้ตนเอง!!!นิสัยสันดานของไทยสยามอันนี้เป็นมานานในยุคต้นเริ่ม สร้างกรุง
เทพฯ เป็นราชธานี(ราชวงค์จักรีสร้างกรุงเทพฯ)ส่วนสำหรับปัญหาหนักของไทยสยามก็คือ ปัญหาสามจังหวัดภาคไต้ที่ไปยึดครองเขามาเอาเป็นไพร่,ทาส ก็ไป
โกหกหลอกลวง,พลิกปลิ้นประวัติศาสตรของเขาไหม่ว่าพวกเขาคือ"ฅนไทย"พวกเขาก็ไม่เข้าใจ และดีใจ เพราะพวกเขาเป็นแขกมาลายู จึ่งลุกขื้นต่อสู้ตลอด
มาเพื่อปลดแอกตนเองจากการเป็นหัวเมืองขื้นของไทยสยาม!!! แตกต่างจากคนลาวตะวันตก(ไทอิสาน)30ล้านคนยอมเป็นข้าทาสนับตั้งแต่ปี1778จนเท่าัปัจ
ุบันนี้เพราะเ็ป็นคนโง่เขลาเบาปัญญา,ขาดการศึกษา,ขาดความสามัคคี,ขาดความกล้าหาญ,อ่อนแอ จึ่งถูกคนไทยสยามปกครองได้ง่ายๆตลอดมา!!!
ส่วนคนลาวฝั่งซ้ายมองไทยสยามอย่างโกรธแค้นมาตลอดเวลา ว่าไทยสยามดูถูก ดูหมิ่น เหยียดหยาม เพราะลาวอ่อนแอ โง่เขลา ขาดการศึกษา ด้อยการพัฒ
นา และถูกไทยสยามเข้าไปทำสงครามฃ่า ล้างผลาญชนชาติลาว และเผานครเวียงจันทน์ทิ้งจนหมดสิ้น และกวาดต้อนอาคนลาวมาเป็นข้าทาสนับเ็ป็นจำนวนมากมายมหาศาล ตลอดกวาดต้อนเอาทรัพย์สินของมีค่ามาไว้ที่กรุงเทพฯจนหมดสิ้น พระแก้วมรกตพุทธรูปล้ำค่าของลาวก็ถูกเอาหนีมาไว้ี่กรุงทพฯ
เหลือแต่ฐานที่ตั้งว่างเปล่าของพระแก้วมรกตในหอพระแก้วในเวียงจันทน์เ่ท่านั้น มันเ็ป็นรอยแค้นของความเจ็บช้ำน้ำใจของคนลาวตลอดมาทุกวันนี้!!!

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ຫນັງສືພິມ ປະຊາຊົນ (ຂອງພັກໂຈນລາວແດງ) ວັນທີ່ 11ເດືອນ2 ປິ 1994 ທ່ານ ນາຍພົນສີງກະໂປ ຂຽນບົດຄວາມ ຍ້ອງຍໍ ລາວນອກ ປທ ເປັນຄົນມີພະຄຸນຕໍ່ແຜ່ນດິນແມ່ເຂົາ ຊື້ງຕ່າງກັບພວກ ໄກສອນ ເປັນຄົນຂາຍຊາດຂາຍແຜ່ນດີນ ໃນເລື້ອງທີ່ວ່າ : ແມ່ນຜູ້ໃດ ຄືຄົນຂາຍຊາດແທ້?

ມາອ່ານໄດ້ທີ່ Facebook: anourak phiphaksa

http://www.facebook.com/#!/photo.php?fbid=343115505740557&set=a.310876988964409.91381.100001263301389&type=1&theater

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ສປປລ ປທ ທຸກຍາກທີ່ສຸດໃນໂລກ ແມ່ນແຕ່ນ້ຳຈະກິນປະຈຳວັນ
90 %ຂອງຄົນທັງ ປທ ຍັງຕ້ອງຕັກກິນໃນແມ່ນ້ຳຂອງ
ບຸນຍັງ ຈູມມາລີ ທອງສີງ ມຶງຕັວະມືງເອງແລ້ວ ເດີ ວ່າ ແກ້ງມືງແກ້ໄຂຄວາມຍາກຕົນໄດ້ໄປແລ້ວ

ພວກນີ້ມັນຫລອກ ມາແລ້ວເຄີ່ງສັຕວັດ

ຄວາມຈິງ ຕ່າງຊາດຫລຽວເຫັນຄວາມລ້າຫລັງຂອງລາວເຮົາແລ້ວ

http://www.lemonde.fr/planete/article/2012/03/12/au-laos-disposer-d-un-robinet-dans-sa-maison-reste-un-luxe_1656517_3244.html#ens_id=1651724

Au Laos, disposer d'un robinet dans sa maison reste un luxe





Mémorisez | Oublié ?
Vientiane Envoyée spéciale - Devant le Musée de la sécurité du peuple à Vientiane, à l'heure de la sortie de l'école, des mobylettes qui transportent jusqu'à quatre enfants en plus du conducteur se faufilent entre voitures, vélos et scooters. Le Laos est à l'image des rues de sa capitale : avec ses 7 millions d'habitants, il est le pays le plus pauvre d'Asie du Sud-Est, mais il se développe en accéléré, comme ses voisins. Les villes grandissent trop vite et les infrastructures ne suivent pas.

Des quartiers entiers de Vientiane (750 000 habitants) ne sont pas desservis en eau potable. La République démocratique populaire du Laos s'est fixé pour objectif d'alimenter en eau potable 80 % de la population d'ici à 2020. Et a opté pour un ****tail qui mélange une dose d'investissement privé soutenu par l'aide internationale. "La précarité du pays l'oblige à valider tout ce qui se présente, tout ce que les bailleurs de fonds acceptent de financer surtout, analyse Jacques Cavard, directeur général des services techniques du Syndicat des eaux d'Ile-de-France (Sedif), venu visiter en expert. Du coup les Laotiens ont toutes sortes d'équipements, impossibles à raccorder parfois..." A Vientiane, le Sedif apporte son soutien dans la gestion et cofinance des travaux d'infrastructures avec l'Agence française de développement (AFD).

On retrouve les mêmes soutiens plus quelques autres, à Thabok, 4 500 habitants, à 90 kilomètres de là. C'est le jour de l'inauguration du mini réseau d'eau potable qui alimente environ 860 familles. La cérémonie allie rituels du parti unique, pratiques chamaniques et repas champêtre. Thabok est au coeur d'un district en expansion. Il s'agit de l'équiper d'un réseau d'eau potable, pas d'un simple puits. L'installation reste modeste : deux forages, un château d'eau de 50 mètres de haut, un réservoir au sol où est ajouté du chlore. Ce traitement suffit car l'eau s'est révélée de bonne qualité dans cette région.

La majorité des habitants continuent de se débrouiller entre achat à des prix élevés de bidons de 200 litres, lessive dans la rivière et réserves d'eau de pluie et puits. Kunkan fait partie des premiers abonnés au mini réseau. Epouse de militaire, elle dispose depuis quatre mois de deux robinets : un devant la maison, un autre dans les toilettes à l'arrière. C'est deux de plus que les standards habituels de Thabok. Un luxe. Kunkan en est friande. Comme on s'étonne de l'importance de sa consommation, elle rétorque en riant qu'elle se lave quatre fois par jour. Ses quelques poules et canards profitent de l'eau potable aussi. Sa famille de quatre personnes paie près de 45 000 kips par mois (environ 4 euros).

Expertise et formation

De l'autre côté de la rivière, la discrète Mme Voy se dit satisfaite. Son foyer de trois personnes n'a pas eu à payer les 50 dollars du raccordement financé par les pouvoirs publics mais s'acquitte d'une facture mensuelle de moins de 80 centimes d'euros par mois. Avant, il lui fallait aller chercher l'eau au puits communautaire, deux seaux au bout d'une perche sur l'épaule, puis la faire bouillir. A présent, elle peut consacrer plus de temps à son travail dans les rizières.

Le Groupement de recherches et d'échanges technologiques (GRET) est la cheville ouvrière de cette amélioration du confort de vie des habitants. L'association a sept autres mini réseaux à son actif au Laos, soit 26 000 personnes desservies. "Nous avons beaucoup donné dans le développement rural, nous le laissons à d'autres désormais, résume Martine Leménager, ingénieur du GRET. Le monde change, or personne ne s'occupe de ces "zones grises" qui ne sont plus des villages et pas encore des villes." Une fois trouvés les fonds privés pour le gros oeuvre, le GRET apporte son expertise pour établir des contrats solides et former des techniciens. A Thabok, l'investisseur principal est un entrepreneur, Xaykham Phongsavat : "Avec l'eau potable, le profit est maigre, témoigne-t-il. Le retour sur investissement est très long. Je le fais pour ce village, j'y suis né."

A Hin Heup, dans un district plus montagnard, Arnaud Vomtobel, un autre ingénieur du GRET, rend visite à un jeune couple d'employés formés par les soins de l'association, dans leur grande et unique pièce, logement-siège du mini réseau. Lui est un ancien chauffeur. Neveu de l'investisseur local, il est chargé de surveiller l'installation, tandis que son épouse s'escrime sur son ordinateur, sur lequel elle voudrait imprimer les redevances.

Le GRET et ses bailleurs de fonds nourrissent pour ce district, dont les paysages pourraient attirer des touristes, l'ambition de développer un système d'assainissement. Une petite station d'épuration a été creusée en contrebas du village. Malgré le panneau d'interdiction, les gens du marché y jettent leurs vieux sacs en plastique par-dessus le grillage. Même à Vientiane, les égouts sont à ciel ouvert.
Martine Valo

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

http://www.royalark.net/Laos/prabang1.htm
http://www.royalark.net/Laos/laos2.htm
http://www.royalark.net/Laos/laos3.htm
http://www.royalark.net/Laos/prabang4.htm
http://www.royalark.net/Laos/prabang5.htm
http://www.royalark.net/Laos/prabang6.htm
http://www.royalark.net/Laos/prabang7.htm

http://www.youtube.com/watch?v=5lJ7OwuEQ7Q&feature=related
http://www.la-paix.org/coupdepouce/etatduprojet.htm
http://www.youtube.com/watch?v=_yf7C_0O88A&feature=related
ລ້ານຊ້າງລ້ານນາ


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 


ສະບາຍດີທ່ານທັງຫລາຍ

ປາ! ໂທ! ລາວ ກໍຕິດຫນີ້ ຫລາຍວາເຫນັ້ຽ ?

ການເອົາເງິນໃຫ້ຢືມ ແມ່ນມີເທົ່າໃດ ແມ່ນຄຸບໂລດ ຕາມ ສະໄຕລ໌ ເສືອຫີວ ຫວ່າງເດືອນຜ່ານມານີ້ ໄທກ່າວວ່າ
... ອາ! ຢາ! ຈີນນີ້ມາໃຈດີຈັງ ? ລາວຢາກໄດ້ຍົນ ໄອພົນ ເດີນສານ ອີກ ສອງລຳ ຈີນຕົກລົງເອົາເງິນໃຫ້ຢືມໂດຍບໍ່ມີຄິດເລີຍ
ດຽວນີ້ ໄທຍັງຄົ້ນຄວ້າ ແລະ ວິນິໄສຢູ່ ວ່າມັນເປັນ ອາໄຣ ?

ຍ້ອນແນວນັ້ນ ລາວຈຶ່ງຕິດຫນີ້ ໂດຍບໍ່ຮູ້ຕົວ ວ່າມີເທົ່າໃດ ເຊັ່ນ ຖ້າໄລ່ຕົກໃສ່ ພົລເມືອງລາວແລ້ວ
ກໍຄົງຈະເປັນຜູ້ 1000 ໂດລາ ຫລື 10ລ້ານກືບ.
ຖ້າໄຊ້ຂີ້ດອກ ເສີຍຯ ກໍຄົງຈະໃນຣາວ 21 ລ້ານ ໂດລາ ຕໍ່ເດືອນ. ຕື່ມເງິນສໍ້ໂກງ ເຂົ້າໄປ ກໍຄົງ ຈະແມ່ນ 25 ລ້ານ ໂດລາຕໍ່ເດືອນ.

ນາຍົກ ສປປລ ບໍ່ມີຄວາມ ຄວາມສາມາດ ລົງມະຕິປົດ ອອກເສັຽ !

ມິຕພາບ
ອາຕ

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ທ່ານ ທີ່ຮັກຊາດທັງຫລາຍ

ທຸກປະເທດໃນໂລກນີ້ ກໍລ້ວນແລ້ວ ແຕ່ການມີຫນີ້ສິນດ້ວຍກັນຫມົດທັງສິ້ນ ແຕ່ວ່າ ຂອງ ສປປລ ມັນຕ່າງຢູ່ຢ່າງນຶ່ງເຊັ່ນ:
ມີຂ່າວອື້ສາວ ຕອນທ່ານ ເຈົ້າຄຳໄຊ ສຸພານຸວົງ ເປັນ ຣມຕ ກະຊວງການເງິນ ໄດ້ຢືມເລິນນຳຕ່າງປະເທດ 500 ລ້ານ ໂດລາ ມາພັທນາປະເທກຊາດ
ຜູ້ກ່ຽວ ໄດ້ຖືກບັງຄັບ ໃຫ້ແລ້ວເອົາເງິນ 5 ລ້ານ ໂດລາ ໂຕນ ແລະ 495 ລ້ານ ໂດລາ ເອົາໃຫ້ ທ່ານ ດາວເຣືອງ ສະມາຊິກພັກສູນກາງພັກ ວຽດນາມ
ມາເຮັດທຶນ ຄ້າຂາຍ ກຳການເສຖກິດ ຢູ່ລາວ ...ແລະ ປາກົດວ່າເມັຽ ນາງ ດາວເຣືອງກໍມີບົດບາດ ທາງການຊ່ວຍເຫລືອສັງຄົມ ປ້ອງກັນສະພາບແວດລ້ອມ
ຕ້ານການເຮັດ ຝາຍກັ້ນນ້ຳຂອງ (ແຜນສູງ ).

ນ້ອງຊາຍ ຂອງ ເຈົ້າຄຳໄຊ ກໍເລີຍໄດ້ແຕ່ງງານກັບ ລູກສາວ ຄົນດຽວຂອງ ດາວເຣືອງ ຄົງຈະເປັນຜູ້ຕຽມສືບທອດ ການເສຖກິດເອກຊົນຢູ່ລາວ.

ສ່ວນເງິນ 500 ລ້ານ ໂດລາ ຄົງຈະຕື່ມໃສ່ ໃນຈຳນວນ ຕິດຫນີ້ 5 ບິນລຽນ 94 ລານ ໂດລາ, ເພາະວ່າເຈົ້າຄຳໄຊ ເອົາເງິນໂຕນ ແລ້ວຫນີມາລີ້ໄພ
ຢູ່ປະເທດ ນີວຊີແລນ ເຊິ່ງເປັນປະເທດທີ່ ຈັດຫ້ອງຮຽນ ພາສາອັງກິດ ໃຫ້ ທ່ານ ສົມສວາດ ເລັ່ງສວັດ ຕອນເປັນ ຣມຕ ກະຊວງຕ່າງປະເທດ
ມາຮຽນອັງກິດ ເປັນເວລາ 3 ເດືອນ ວັນສຸກ ກັບໄປລາວ ແລະ ວັນຈັນກັບມາຮຽນ.

ເມັຽຂອງທ່ານ ເຈົ້າຄຳໄຊ ກໍເປັນຜູ້ເອົາເງິນອອກຕລາດ ແກ່ຊາວລາວອົພຍົບ ທີ່ Wellington - New Zealand ຢຶມກິນຂິ້ດອກ ຕົບຕາ
ຊາວລາວນອກທີ່ ນີວຊີແລນທີ່ ເອົາເງິນ 5 ລ້ານ ໂດລາ ຝາກກິນຂີ້ດອກ ຄືໄດ້ເງິນ ຂີ້ດອກເດືອນລະ 21,000.00 ໂດລາ (21 ພັນ ໂດລາ ຕໍ່ເດືອນ )

ຂ່າວທີ່ເລັດລອດ ໂດຍເຈຕະນາ ຈາກທ່ານ ໄຊສົມພອນ ພົມວິຫານ ຕອນມາຢາມ ອອສເຕຣເລັຽ ວ່າ ເຈົ້າສຸພານຸວົງນີ້ ຕ້ອງການເປັນເຈົ້າຊີວິດ
ແຕ່ລະບອບການປົກຄອງບໍ່ມີກະສັດ ດັ່ງນັ້ນຈຶ່ງ ໄດ້ປົດອອກຫນ້າທີ່ ຕາມຣະບຽບການ. ນອກນັ້ນທ່ານ ຮອງປະທານສະພາກໍຮູ້ຈັກ ຢ່າງຈະແຈ້ງວ່າ
ລາວນອກບໍ່ມີການຍອມຈຳນົນ, ມັນແຕກຕ່າງກັບ ຕາມຄຳໄປຣາຍງານ ຂອງພວກ ສໍ່ ພໍ່ ລາວນອກໄປຣາຍງານ ຢູ່ສູນກາງ ແລະ ກຸ່ມ ຂຕປລ ລາວນອກ
ຍັງສືບຕໍ່ ການຕໍ່ສູ້ ເພື່ອປະຊາທິປະໄຕໃນລາວ ດ້ວຍຄວາມຮຸ່ນແຮງ ທະວີຄູນຂຶ້ນ.

ຮັກແພງ......................ຕັນ

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ເຫລືອເຊື່ອ
ລູກພໍ່ໄຮ່ຊາວນາ ຫາຍໄປໄສຫົມດຈື່ງລາກແຕ່ລູກພັກຫລານໂຈນເຂົ້າມາສູ້ວົງການຣັຖບານ ຂອງ ສະຫາຍ ນຍ ປໍສາມ ເປັນໂຫລເລີຍ

Nepotism ລະບອບເຄືອຕະກຸນຂອງຣາຊວົງສັດເດັຍຣະສານ ຄມນ ຜດກ ລາວແດງ
ສຸພານຸວົງ( ດວງສຫວັດ ແລະ ສຸພາໄຊ)

ໄກສອນ (ລູກຊາຍກົກ ບັກຜິຫ່າ ອິ້ຫ່າຫິຄຽວທອງຫວີນ ໄຊສົມພອນ ພົມວີຫີ ຮອງ ປະທານສະພາ ບັກ ນາຍພົນຕຣີ (ອາຍຸບໍ່ຮອດ40ປິເດີ) ສັນຍາລັກ ຄຶໂຄດພໍ່ມັນ ບັກສັນຕິພາບ ແລະ... ອິກຄົນ ເຄີຍເປັນທູດໄຫ່ຍທີ່ໂມສກູ ບັກວົງສຫວັນ )

ຕະກຸນເຈັກຂາຍຊາດຈາກ ປາກເຊ ກິນີມພົນເສນາ (ອິ້ ເຂັມແພງ ອິ້ເຂັມມະນີ ບັກສົມຫມາດ ບັກຄຳລຽນແລະບັກ ພອນເທບ ສສ ປາກເຊ)

ຄຳໄຕ ສີພັນດອນ (ອີ່ວຽງທອງ)

ພູມີວົງວີຈິດ : (ບັກ ດຣ ສດ ເອກສຫ່ວາງ )

ສິສຫວາດແກ້ວບູນພັນ( ອີ່ ອິນລາວັນ)

ສຫມານວີຍະເກດ( ນາມ)ລູກຫລານຂອງພວກຕະກຸນ

ບຸຜາ(ຕະກຸນຫມາຊາດຊັ່ວຈາກ ຫລວງພະບາງ ຄຳເພັງ ຄຳແພງ ຄຳອ້ວນ ບຸຜາ) ບັກພົງສຫວັນ
ສສ ວຽງຈັນ ບຸນຍົງບູຜາ

ຝູຍ ຝູຍ

ກ່ອນ 1975 ສີ່ງນີ້ບໍ່ສາມາດຫລຽວເຫັນໄດ້ເລີຍໂຄດແມ່ສຸ ສປປລ ແມ່ນຂອງພວກສຸຄົນດຽວບໍ??
ກ່ອນ 1975 ສີ່ງນີ້ບໍ່ສາມາດຫລຽວເຫັນໄດ້ເລີຍໂຄດແມ່ສຸ ສປປລ ແມ່ນຂອງພວກສຸຄົນດຽວບໍ??
ກ່ອນຢ975 ສີ່ງນີ້ບໍ່ສາມາດຫລຽວເຫັນໄດ້ເລີຍໂຄດແມ່ສຸ ສປປລ ແມ່ນຂອງພວກສຸຄົນດຽວບໍ??
ກ່ອນ1975 ສີ່ງນີ້ບໍ່ສາມາດຫລຽວເຫັນໄດ້ເລີຍໂຄດແມ່ສຸ ສປປລ ແມ່ນຂອງພວກສຸຄົນດຽວບໍ??
ກ່ອນ 1975 ສີ່ງນີ້ບໍ່ສາມາດຫລຽວເຫັນໄດ້ເລີຍໂຄດແມ່ສຸ ສປປລ ແມ່ນຂອງພວກສຸຄົນດຽວບໍ??
ກ່ອນ 1975 ສີ່ງນີ້ບໍ່ສາມາດຫລຽວເຫັນໄດ້ເລີຍໂຄດແມ່ສຸ ສປປລ ແມ່ນຂອງພວກສຸຄົນດຽວບໍ??
ກ່ອນຢ975 ສີ່ງນີ້ບໍ່ສາມາດຫລຽວເຫັນໄດ້ເລີຍໂຄດແມ່ສຸ ສປປລ ແມ່ນຂອງພວກສຸຄົນດຽວບໍ??
ກ່ອນ1975 ສີ່ງນີ້ບໍ່ສາມາດຫລຽວເຫັນໄດ້ເລີຍໂຄດແມ່ສຸ ສປປລ ແມ່ນຂອງພວກສຸຄົນດຽວບໍ??
ກ່ອນ 1975 ສີ່ງນີ້ບໍ່ສາມາດຫລຽວເຫັນໄດ້ເລີຍໂຄດແມ່ສຸ ສປປລ ແມ່ນຂອງພວກສຸຄົນດຽວບໍ??
ກ່ອນ 1975 ສີ່ງນີ້ບໍ່ສາມາດຫລຽວເຫັນໄດ້ເລີຍໂຄດແມ່ສຸ ສປປລ ແມ່ນຂອງພວກສຸຄົນດຽວບໍ??
ກ່ອນຢ975 ສີ່ງນີ້ບໍ່ສາມາດຫລຽວເຫັນໄດ້ເລີຍໂຄດແມ່ສຸ ສປປລ ແມ່ນຂອງພວກສຸຄົນດຽວບໍ??
ກ່ອນ1975 ສີ່ງນີ້ບໍ່ສາມາດຫລຽວເຫັນໄດ້ເລີຍໂຄດແມ່ສຸ ສປປລ ແມ່ນຂອງພວກສຸຄົນດຽວບໍ??



__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

นายจูมมาลี ไซยะสอน


นายบุนยัง วอละจิด


นายทองสิง ทำมะวง


1. นายอาซาง ลาวลี รองนายกรัฐมนตรี
... กรรมการกรมการเมืองศูนย์กลางพรรค
2. ดร. ทองลุน สีสุลิด รองนายกรัฐมนตรี
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
3. พลโท ดวงใจ พิจิด รองนายกรัฐมนตรี
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงป้องกันประเทศ
4. นายสมสะหวาด เล่งสะหวัด รองนายกรัฐมนตรี


นายพงสะหวัด บุบผา รัฐมนตรีหัวหน้าสำนักงานประธานประเทศ


1. ดร.สินละวง คุดไพทูน รัฐมนตรีหัวหน้าห้องว่าการรัฐบาล
2. นางบุนเพ็ง มูนโพไช รัฐมนตรีประจำห้องว่าการรัฐบาล
3. นายบุนเฮือง ดวงพะจัน รัฐมนตรีประจำห้องว่าการรัฐบาล
4. ศ.ดร.บุนเตียม พิดสะไหม รัฐมนตรีประจำห้องว่าการรัฐบาล
5. ดร.ดวงสะหวัด สุพานุวง รัฐมนตรีประจำห้องว่าการรัฐบาล
6. นางเข็มแพง พลเสนา รัฐมนตรีประจำห้องว่าการรัฐบาล


1. ดร.ทองลุน สีสุลิด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
2. นายบุนเกิด สังสมสัก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
3. นางสูนทอน ไซยะจัก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
4. นายอาลุนแก้ว กิติคุน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ


1. นายทองบัน แสงอาพอน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงป้องกันความสงบ
2. พล.จ.สินทะวง ไซยะกอน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงป้องกันความสงบ

3. พล.จ. กงทอง พงวิจิด รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงป้องกันความสงบ


1. พลโท ดวงใจ พิจิต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงป้องกันประเทศ
2. พลตรี แสงนวน ไซยะลาด รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงป้องกันประเทศและหัวหน้ากรมใหญ่การเมืองกองทัพ
3. พล.จ.จันสะหมอน จันยาลาด รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงป้องกันประเทศ
4. พล.จ.สันยาฮัก พมวิหาน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงป้องกันประเทศ


1. นางอ่อนจัน ทำมะวง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม
2. นายเลาลี ไฟเพงยัว รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม
3. นายบุนคง หล้าสุกัน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม


1. นายพูเพ็ด คำพูนวง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการเงิน
2. นางเวียงทอง สีพันดอน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการเงิน
3. นายสันติพาบ พมวิหาน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการเงิน
4. ดร. คำพัน คุนบอลิน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการเงิน


1. ศ.ดร.บ่อแสงคำ วงดาลา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแถลงข่าวและวัฒนธรรม
2. นายบัวเงิน ซาพูวง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแถลงข่าวและวัฒนธรรม
3. นายสะหวันคอน ราซะมูนตี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแถลงข่าวและวัฒนธรรม


1. นายจะเลิน เยียปาวเฮอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
2. รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงยุติธรรม
3. รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงยุติธรรม


1. นายสมดี ดวงดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแผนการและการลงทุน
2. นายทองมี พมวิไซ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแผนการและการลงทุน
3. ดร.บุนทะวี สีสุพันทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแผนการและการลงทุน
4. นายสมจิด อินทะมิด รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแผนการและการลงทุน

5. ดร. คำเลียน พลเสนา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแผนการและการลงทุน


1. ศ.ดร.เอกสะหว่าง วงวิจิด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
2. ดร.บุนกว้าง พิจิด รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข
3. ดร.อินลาวัน แก้วบุนพัน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข
4. รศ.ดร.บุนคง สีหะวง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข
5. รศ.ดร.สม-อก กิ่งสะดา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข


1. ดร.พันคำ วิพาวัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการและกีฬา
2. นางแสงเดือน หล้าจันทะบูน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการและกีฬา
3. นายลีตู้ บัวเปา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการและกีฬา
4. นายบัวลาน สิลิปันยา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการและกีฬา


1. นายนาม วิยาเกด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า
2. นายเสียวสะหวาด สะแหวงสึกสา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า
3. นางเข็มมะนี พลเสนา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า


1. นายสุลิวง ดาราวง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานและบ่อแร่
2. นายสมบูน ราซะสมบัด รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพลังงานและบ่อแร่
3. นายคำมะนี อินทิราด รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพลังงานและบ่อแร่
4. นายวีระพน วีระวง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพลังงานและบ่อแร่
5. ดร.สุพะไซ สุพานุวง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพลังงานและบ่อแร่


1. นายสมมาด พลเสนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงโยธาธิการและขนส่ง
2. นายบุนจัน สินทะวง รัฐมนตรีช่วยกระทรวงโยธาธิการและขนส่ง
3. นายลัดตะนะมะนี คุนนิวง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงโยธาธิการและขนส่ง


1. นายวิไลวัน พมเข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกสิกรรมและป่าไม้
2. ดร.ตี พมมะสัก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกสิกรรมและป่าไม้
3. ดร.เพ็ด พมพิพัก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกสิกรรมและป่าไม้
4. ดร.คำผาด สุรินพูมี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกสิกรรมและป่าไม้
5. ดร.พวงปาริสัก ประวงเวียงคำ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกสิกรรมและป่าไม้




กระทรวงภายใน

1. นายคำปาน พิลาวง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงภายใน
2. นายคำมูน วิพงไซ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงภายใน
3. นายทองจัน มะนีไซ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงภายใน

กระทรวงไปรษณีย์ โทรคมนาคมและการสื่อสาร
1. นายเหียม พมมะจัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงไปรษณีย์ โทรคมนาคมและการสื่อสาร
2. นายสีทง ทองแก้ว รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงไปรษณีย์ โทรคมนาคมและการสื่อสาร
3. นายทันสะไหม กมมะสิด รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงไปรษณีย์ โทรคมนาคมและการสื่อสาร

กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

1. นายบ่อเวียงคำ วงดาลา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
2. รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
3. รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

1. นายนูลิน สินบันดิด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
2. รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
3. รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม


1. นายสมพาว ไพสิด ผู้ว่าการธนาคารแห่งชาติลาว
2. นายบุนสม สมมาลาวง รองผู้ว่าการธนาคารแห่ง สปป.ลาว
3. รองผู้ว่าการธนาคารแห่ง สปป.ลาว


1. นายคำพัน สิดทิดำพา ประธานศาลประชาชนสูงสุด
2. นายสมบูน สินทิกุมมาน รองประธาน
3. นายคำพา แสงดารา รองประธาน
4. พ.อ.ประเสิด สุขะเสิม รองประธาน และหัวหน้าศาลทหารขั้นสูง


นายคำสาน สุวง อัยการประชาชนสูงสุด

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 





ຄມນ ຕາຍໄປເມື່ອໃດ
ອານາຈັກລ້ານຊ້າງຕ້ອງຫວນຄືນມາໄຫ່ມ

http://www.youtube.com/watch?v=_yf7C_0O88A&feature=related

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

http://freelao.tripod.com/id72.htm
KHAMSAY SOUPHANOUVONG
AND A REVOLUTION THAT NEVER CAME
By eDemocrat

The nostalgia that the Lao people have for the royal family and members of the aristocracy
... remains strong as ever. Despite Khamsay Souphanouvong's ideological attachment and allegiance to the Communist party in Lao, many Lao expatriates seems to be willing welcome the new defector amongst its fold. Any defector from Vientiane now tends to expose the cruelty of the regime, while at the same time exposing the frailty of the ruling elite.
After his return from the Soviet Union, Khamsay climbed to the pinnacle of the political structure of communist Lao. He became a Member of the Central Committee of Lao People's Revolution Party (LPRP) and held a ministerial post that oversaw millions of dollars. In the mid 1980s, when Kaysone Phomvihane instituted the reform campaign known as "chintanakan mai" or new thinking, Khamsay fell out of favor among the oligarchs.
The case of Khamsay's loss of power and influence is nothing special in Lao politics.
After the death of Khaysone Phomvihane, his wife---Mrs. Thongvinh Phomvihane---was
immediately embroiled in lawsuits and allegations of trafficking narcotics between Lao and Vietnam. Thus, when Khamsay lost his post, it appeared to be more than a political reshuffling. Khamsay was found to be in the wrong side of the equation. Having been educated in the Soviet Union, he might have thought that by taking a pro-Russia stand would secure his political foundation among the communist cadres. After all, Russia was the superpower of the eastern block. By all account Khamsay's political thinking was sensible at the time. However, after the fall of the Soviet Union in the 1980s, Russia became increasingly less influential over the politics of Lao. Foreign aids were cut. Not having sufficient fund to keep its contingent of advisers in Lao, many Russian military advisers were recalled home. Foreign aids from Russia were dwindling while the Lao Communist Party increasingly turned to Hanoi for guidance and protection. Many Lao intellectuals who had been educated in Russia or the former Soiviet Unions appeared to be more moderate and forward looking in there thinking. Khamsay would not have been an exception. It would not be surprising if Khamsay had indeed foreseen the impending doom of the Soviet Unions while he was studying there, and thus aligned his political thinking accordingly upon his return to Vientiane. If that had been the case, it is more of an irony than fate that the oligarchs in Vientiane beat him to the race by seizing the opportunity of the day and quickly turn to Hanoi for support and guidance fearing that Vientiane will follow Moscow.
The Bangkok Post and The Nation wrote that Khamsay left Lao incognito probably because he could not take the embarrassment after having lost his influence and power in Vientiane. That may be true, but such reasoning does not tell us the whole picture of politics in Lao. Recall that Mrs. Thongvinh Phomvihane became immediately embroiled with lawsuits alleging that she stole millions of dollars from some government cooperative enterprises.
Moreover, there were also allegations of drug trafficking against her. In the case of Khamsay,
there is more to it that just having lost his job at the Central Committee of Party. This is a case of an ex officio who fled from failed reform efforts.
Politics in Lao very much depends on its allies. During the 19060s and 1970s, the leadership in Vientiane, so too in Sam Neu, closely watched every move made by the US. In particular, the secret negotiations between Le Duc Tho of North Vietnam and Henry Kissinger concerning the Vietnamization process and the eventual domino falling of Indochina. In the late 1990s, this domino mentality remains etched in the thinking of all Lao intellectuals. Khamsay would probably thought----and sensibly so---that the down fall of communism in Moscow would spell similar chapters in Vientiane and Hanoi. After all Lao s neighbor to the south, Cambodia, had changed almost overnight with the restoration of democracy---albeit tenuous, and the return of the monarchy. However, this time proxy politics of Indochina is no longer dominated by bipolar politics of the late 1970s. The fall of the Soviet Unions and other fraternal countries of the eastern Blocs did not deter the socialist commitment of the die hard revolutionaries of Indochina. It appears that China and Vietnam remain two influential countries holding Lao under its ideological spells. In this case of Khamsay, the day of student uprising and younger intellectuals, including those from the west and those in Lao and had been educated in the Eastern Bloc, never came. Lao students in Poland, Ukraine, Bulgaria, etc. who saw political dissidents unfolding the tricolors over a tank in front of the Russian Dumas had high hope that the three white headed elephant in red back ground would once again be flown in Vientiane. However, this hope was quickly dashed when the oligarchs in Vientiane tighten their reign. The day of the nouveau revolution in Vientiane never came. That that dream for a better for Lao shall never die. The cry for freedom must be heard. The call for liberty must be answered. Be it dissident by choice or defector by circumstances, the Lao people must work toward restoring democracy to Lao and its people.
Come, my Lao compatriots. Awake from your long nights of lumbering sleep and look at what is going on in your country today. Communists are fighting among themselves. Some of the diehard revolutionaries cannot even sleep in their own house and must seek shelter in far-flung quarters of the globe. The current situation in Lao must remind some of us of the old days of the 1960s 0r 1970s of communist China when chaos replaced order.
Listen. Can you hear it? Can you hear the humming cries of our people to bring those
who flee from justice to the bench and bar of law to be judged for their transgressions? You will almost hear it if you allow yourselves to listen for these cries are louder than the call of the million elephants of Lao.
Speak. Speak amongst yourselves about the destiny of your country and people. The
killing has long ended, but the raping and plundering are in earnest. We all hope that communism will fall in Lao and when it does, what will be left for us to see. Billions of dollars in foreign debts. Decayed physical infrastructure. Dilapidated institutional framework. More than 70% of our rain forest destroyed. These pressing issues deserving your utmost attention will go unnoticed and questions go unanswered unless you speak up and make known your love and concerns for your country and people.
Think. Yes, think about your future and the future of your country. Every Lao expatriates has his or her future inextricably tied to Lao. It is unthinkable to think that communism is a victimless crime against the Lao people. In the course of our history, we had made conscious decision of which path to take. Many had chosen to follow the path to Socialism. For them, to kill a thousand for the sake of saving the seat of a few is worth doing. There are also those among us who chose the road to democracy. As the night of tyranny began to hover over Lao, we fled to safety and had been since sheltered by the free world. Despite having lived in relative security of the free West, we must not forget those who we left behind. We must listen to their cry for freedom. We must speak for them when their ability to cry in protest has been muted by brute force. We must think of their plight because their destiny and ours are inseparable.

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

----- Original Message -----
From: Chanh Bounmy
To: laosnetworkroom@googlegroups.com
Sent: Wednesday, March 07, 2012 1:07 PM
Subject: Re: 161 )​ ຣັຖບານ ໃຫມ່ ຫລື ພັກການເມືອງໃຫມ່ ? New Lao Government is born?


copied from facebook:

Douangjai Mairnaam
Dear all Lao Patriots
Regarding on new web in Lao Nork politics about what the people around the world in recent time are being doubted, I have spent my time to survey and check about one who proclaimed the NEW Government on Website March 4th, 2012,

Now we know everything about RLG the government of some one which supported by LAO LING. The real name of Dr. KONGFA NAGHA-BUREE who s responsible in... the RLG is Maha Khampha SIDAVONG himself and the other name VANG NUMJAI in Paltalk group.

Maha Khampha is the person whom from the past to present has always bee in opposition against the Lao patriot's efforts to fight for liberation of Laos from Communist Lao-Viet Regime. He is the friend of Mr. Hiem Phommachanh the Lao PDR's Ambassador to U.S.A from 1993-1998. Mr. Hiem Phommacahanh now is working in Vientiane for Ministry of Foreign Affairs after he was the LaoPDR Ambassador in Thailand. Dr. Khampha Sidavong had ever backed to Laos when 10 years ago. He may contact with Mr. Hiem Phommacahanh before his proclaim this government RLG in March 4th, 2012.

Now we have seen more that side by side Dr. Khampha is supported by Dr. Souroth Vichitra in St.Petersburg Florida who is the former 21 Ongkarn and the leader of uprising group ( KHANA PA THOUANG ) against Royal Lao Governmet in Mahosoth Hospital Vientiane from 1973-1975. Dr. Soroth is the ownert of Lao Restaurant in St. Petersburg Florida.

Dr. Kongfa is his proclamation of RLG, there is some policy to protest China in Laos, but he has no any words to protest Vietnam in Laos, which it means he is be careful to talk against directly to policy of Lao PDR. Even if he announced RLG policies in his government with 9 points
but all these policies have been in all documents of every Lao Nork groups it is not new idea.

All people will see that Dr. Khampha sent to Mr. Hiem Phommachanh, the Lao PDR's Ambassador to U.S dated November 3rd, 1993 in which Mr.Hiem replied to Dr.Khampha for welcoming him in Connecticut University November 28th 1993 and he promised to make friend and
work together side by side until the long future.
Many persons in Lao Nork groups have seen a good relationship between two persons simultaneously until today.

Before I write these comments, I have contacted with some person who know well with one man very closed to Phraya Sithat Sithibourn in Australia asking him about the B Plan all of us hearing in Laonetwork Forum which from the beginning Phraya
Sithat take responsible himself.

That person told me clearly that Phaya Sithat has appointed Dr.Khampha or Dr. Kongfa as his Special Advisors and when he said when he asked Phraya about proclaiming the RLG of Dr.Kongfa, Phraya Sithat replied the person with reluctant manner, Phraya Sithat said that.. He has been working hard to contact people and he never thought before that there will be any HOT YOUNG MEN will proclaim the RLG in advance without his dateline. (After the 1st June 2012)
Thank all so much


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 


http://www2.ohchr.org/english/bodies/cerd/cerds80.

LAOS
Tuesday 28 February (pm) and Wednesday 29 February (am)

16th & 18th periodic reports

CERD/C/LAO/16-18

E | F | R | S

CERD/C/LAO/Q/16-18

E | F | S

List

Statement

Alliance for Democracy in Laos

Hmong ChaoFa States

Indigenous

Lao Movement for Human Rights

UNPO

CERD/C/LAO/CO/16-18

ມີການດ່າບັກແກວຫ້ນາແຫລ້ແຂ້ວດຳ ບັກຍົງຈັນທະລັງສີ ທູດໂຈນ500 ທີ່ ເຊີແນວຢ່າງຕໍ່ເນື່ອງທີ່

http://tiny.cc/serixonlao

ຮູ້ແລ້ວສົ່ງຕໍ່




ໃນການປະຊຸມ ທີ່ເຈນີວາ ຂອງ CERD ທ້າຍເດືອນແລ້ວ ທີມລາວນອກໄດ້ ຜເຊີນ ກັບທີມ ສປປລ ນຳໂດຍ ທ່ານຈເຮີນເຢັຽປາວເຮີ ເບີ່ງເຫັນທ່ານຢົ້ງເບະປາກຫົວຂວັນ ເຈົ້າຫງ່າ ຄືກັບສິເວົ້າວ່າ ພວກທ່ານມາເສັຽເວລາ ເຮັດຫຍັງ ແຕ່ ຜົລສຸດທ້່າຍ ປາກົດວ່າ ທີມຂອງຈເຣີນ ຖືກກຳມະການສຫະປະຊາຊາດລົກຂົນອອກ ເກືອບຫມົດ ບໍ່ສາມາດຕອບຄຳຖາມເຣື້ອງການສໍ້ໂກງຂອງ ສປປລາວ ໄດ້
ຍັງມີການນາບຂູ່ດວ້ຍການ ເຮັດຈະຖ່າຍຮູບໄປຣາຍງານພັຄ ແຕ່ເບີງເຈົ້າຫງ່າບໍ່ຮູ້ສຶກຈະຢ້ານກົວອັນໃດ ນັບວ່າເປັນຄັ້ງທຳອິດ ທີ່ລາວນອກ ກັບແນວລາວ ໄດ້ ພໍ້ກັນຫນ້າຕໍ່ຫນ້າ ໂດຍ ສຫະປະຊາຊາດເປັນກັມມະການ
ຫລັງຈາກນັ້ນ ກັບຮອດວຽງຈັນບໍ່ຣາຍງານອັນໃດກ່ຽວກັບການພໍ້ນີ້ ເພາະຢ້ານເປັນການໂຄສນາໃຫ້ລາວນອກ ຖ້າເບີ່ງວ່າ ຈເຣີນຈະຖືກຍ້າຍໄປໃສ



ຈາກຫນວ່ຍແກະຂ່າວ
Forwarded Message -----
From: blue max
To: "laosnetworkroom@googlegroups.com" ; "laodemocracy@googlegroups.com"
Sent: Tuesday, March 6, 2012 6:14:28 PM
Subject: ທ່ານທູດຢົ້ງ ຖາມເຈົ້າສີສງ່າ ວ່າເຮັດຫຍັງຢູ່ນີ້
...........................................................................
ສະບາຍດີ ພີ້ນ້ອງລາວ ເພື່ອນຮ່ວມຊາຕ

ພວກລາວແດງຈະຫຼອກລວງຕົວະຕົ້ມ ປະຊາຊົນລາວໄປຮອດໃສ ມັນປະກາດຕໍ່ຊາວໂລກ ໃນປີ2006 ບອກວ່າຈະໄຫ້ລາວພົ້ນຈາກຄວາມຍາກຈົນໃນປີ 2012 ພີ້ນ້ອງໄດ້ເຫັນແລ້ວບໍ່ ຄົນບໍ່ມີວຽກງານທຳ ຖືກຂາຽມາເປັນແມ່ຈ້າງນາງເລງແລະ ມີໂຮງງານພະລີດຢາບ້າ ເບືອເມົາຊາວນຸ່ມ ເຂົາກໍ່ເຫດການບໍ່ດີເກີດຂື້ນ ເພື່ອທຳຣ້າຽຊາຕ ຈະໄຫ້ຄົນໃນຊາຕ ເຊື່ອພວກມັນໃດ້ຢ່າງໃດ, ທຸກໆຄົນຄວນຈະຮູ້ແລ້ວ ມັນຕົວະແຕ່ມື້ເຂົາມາວ່າຈະດີໝົດ ກໍ່ບໍ່ມີຫຍັງຂີ້ແມວເຕັມກະດົ້ງ ປານນັ້ນຄົນລາວເຮົາຍັງລັບຫູລັບຕາ ຍ້ອງຍໍເປັນຢູ່, ມີພາສີດບອກໃວ້ວ່າ ພົບຄົນຊົ່ວພາຕົວໝົ່ນໝອງ ພົບຄົນດີມີສີແກ່ຕົວ

ຈົ່ງຫຼີກໜີຈາກຄວາມຊົ່ວ ໃຫ້ສ້າງແຕ່ຄວາມດີ ກໍ່ຈເຣີນຮຸ້ງເຮືອງ, ຖ້າເຮັດຊົ່ວຕົວະຕົ໊ມຂາຽຊາຕຂາຽແຜ່ນດີນ ພ້ອມພວກໂຈນ ອີກບໍ່ດົນທ່ານທັງຫຼາຽ ກໍ່ພົບຄວາມຫາຽຍະນະ ພາຊາຕຈີບຫາຽ ຄົນໃນຊາຕຄວນຕື່ນຕານອນ ແຈ້ງແສງສຫວ່າງມາເຖີງແລ້ວ ຈົ່ງພາກັນລຸກເຮັດວຽກ ຊ່ອຍບ້ານແປງເມືອງ ໄຫ້ຈາກອຳນາດ ຫລອກລວງຕົວະຕົ້ມ

Quoting SPECOM :

ສ.ບ.ດ ພີ່ນ້ອງລາວ ຮ່ວມສາຍເລືອດເກີດ ທຸກໆທ່ານ.

ຜະເດັດການ ໃນລາວປັຈຈຸບັນນີ້ ພວກເປັນບ້າປ່ວງໃນ ຄໍາຂວັນທີ່ຂື້ນ
ໜ້າຂື້ນຕາ ຄື:
* ເຫັນແລ້ວຢ່າປາກ ຖ້າຢາກໃຫ້ຮິບກິນ *
ຊາວໝຸ່ມບ້າຟ້ອນ
ກອງຫລອນບ້າຍົສ
ຂົນຂວາຍບ້າຈົດ
ພນັກງານບ້າລົດ
ພັກ-ລັດ ບ້າກອບໂກຍຊັພສົມບັດ ບ້ານໍາສາວນ້ອຍ. ພວກຜະເດັດການລາວ
ແດງປັຈຈຸບັນນີ້ ມອບຊັພຍາກອນທຸກສິ່ງຢ່າງໃຫ້ກັບ ແກວ ແລະຊາວ
ຕ່າງດ້າວ ເພື່ອແລກກັບອໍານາດ ແລະຍົສຖາບັນດາສັກປະເທດລາວ
ໃນຍຸຄນີ້ໄດ້ຖືກດັບສູນ ຈົນເປົ່າແປນ ກ້ຽງຍິ່ງກວ່າການເຜົາປານວຽງຈັນ
ໃຫ້ເປັນເຖົ່າຖານເມື່ອຄັ້ງກ່ອນໆນັ້ນອີກ.
ພາຍໃຕ້ການປົກຄອງຂອງພວກຜະເດັດການນີ້ ປະຊາຊົນລາວຜູ່ທີ່ເຄີຍມີມູລເຊື້ອ ອັນພິຣະອາດຫານ
ໄດ້ຖືກຕີຂນາບໃຫ້ເປັນຜູ່ຍອມຈໍານົນອ່ອນແອ ຈະອອກປາກຄໍານຶ່ງ ເພື່ອ
ອໍາຣິຕິຕຽນແກວ ຫລືການນໍາຂອງພັກ-ລັດ ແມ່ນຖືວ່າມີຄວາມຜິດ.
ປະຊາຊົນລາວ ໄດ້ຖືກບັງຄັບສ່ຽມສອນ ໃຫ້ເປັນຄົນຫູເບົາໃຈງ່າຍ ເຊືອ
ແບບງົມງາຍ ຂາດເຫດຜົລຄົນລາວປັຈຈຸບັນນີ້ໄດ້ກາຍເປັນຄົນຫົວໃຈ
ໂກນ ຄືບັ້ງໄມ້ໃຜ່ ລົມພັດໃສ່ໃບຫູອອກປາກບໍ່ມີຄວາມຕັ້ງໃຈ ໃຮ້ຈຸດ
ໝາຍປາຍທາງ ໝົດອາໄລຍຕາຍຢາກ ຂາດຄວາມສມັຄຄີ ປາກບໍ່ໄດ້
ໄອບໍ່ດັງ ເຖິງວ່າຈະມີຄວາມຮູ້ຖ້ວມຫົວ ກໍເອົາຕົວບໍ່ລອດພວກບັນດິດ
ນັກປາຊກາຍເປັນຄົນເຂົ້າຂາດແລງ ແກງຂາດໝໍ້ ລາງຜ່ອງເກີດຂີ້ສໍ້ຂີ້
ກົງ ໃນຄວາມຮັ່ງມີສີໃສ ຄົນລາວໄດ້ກາຍເປັນຄົນ ທີ່ມີຄວາມຄຶດມໍ່ຕື້ນ
ໂສຕາຍ ແລະຊື້ຈ້າງຈອບອອຍໄດ້ງ່າຍຂື້ນ. ຄົນລາວໄດ້ກາຍເປັນຄົນ
ທີ່ບໍ່ມີການເສັຽສລະ ຜູ່ທີ່ເປັນຂ້າທາດກໍບໍ່ຍອມຮັບການປົດປ່ອຍຕົນເອງ
ກາຍເປັນຄົນໜວກບໍ່ຍອມຟັງ ບອດແບບບໍ່ຍອມເບິ່ງ……….

ຮັກແພງ ແລະ ນັບຖືທຸກໆທ່ານ…Laoskham Xienkham

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

http://www.youtube.com/watch?v=-tICA1wXMw4&feature=player_embedded#!

http://www.youtube.com/watch?v=-tICA1wXMw4&feature=player_embedded#!

The ADL at CERD
Committee on the Elimination of Racial Discrimination
The ADL at the 80th Session of
United Nations Committee on Elimination of Racial Discrimination
by Marcus Wiese(CERD)
On February 27– 29, 2012 the Committee on Elimination of Racial Discrimination of the United Nation on Elimination of Racial Discrimination (CERD) invites several Non-Governmental Organizations (NGO’s) includi...ng the Alliance for Democracry in Laos (ADL) to discuss the report of the government of the Lao People’s Democratic Republic (Lao PDR) on the human rights situation in Laos.
: The meeting took place at the Palais Wilso in Geneva, Switzerland. The ADL delegation included: Mrs. Dr. Bounthone Chanthalavong- Wiese, President of the ADL, Mr. Dr. Khamlay Mounivongs, Vice–President, Chief-Secretary Mr. Oun Saypharath,Vice-President
: Mr. Marcus Wiese, Public Relations & Press Affairs, Mr. Hoth Douangvichith, Political Committee, Mr.Olivier Douangvichith, Committee on International Relations, Mr. Tiao Sisgna Nachampassack, Senior Advisor, Mr.Bouakèo Phengphachanh
The meeting took place at the Palais Wilso in Geneva, Switzerland.

The ADL delegation included:
Mrs. Dr. Bounthone Chanthalavong- Wiese, President of the ADL,
Mr. Dr. Khamlay Mounivongs,
Vice–President, Chief-Secretary
Mr. Oun Saypharath,Vice-President, ADL France
Mr. Marcus Wiese, Public Relations & Press Affairs,
Mr. Hoth Douangvichith, Political Committee,
Mr.Olivier Douangvichith, Committee on International Relations,
Mr. Tiao Sisgna Nachampassack, Senior Advisor,Mr. Bouakèo Phengphachanh
The delegation of the government of the Lao PDR numbered 13 people including:
Mr. Chaleun Yiapaoheu, Minister of Justice, Mr.Yong Chanthalangsy, Ambassador of the Lao PDR to the UN offices and other int. Organizations in Geneva, and from various legal, human rights, and ethnic agencies and offices, Mr. Khamsao Kaysong, Mr. Ouan Phommachack, Mr. Khonepheng Thammavong, Mr. Sosonephit Phanouvong, Mr. Nalonglith
Norasing, Mrs. Yangxia Lee, Mr. Vongvilay Thiphalangsy, Mr. Douangmany Ngotsyoudom,
Mr. Phasouk Nanthalangsy, Mr. Sengpraathid Snoukphone, Mrs. Xayprani Chanthalangsy.

The ADL delegation was led by the ADL- president, Dr. Bounthone Chanthalavong-Wiese.
During the meeting, CERD members held separate sessions with. The ADL produced and presented a detailed report about the Situation in Laos. The ADL pointed out that, the Lao PDR government has made and continues to incur violations against several Articles of the International Covenant on the Elimination of all forms of Racial Discrimination (ICERD). On the basis of its findings relating to violations of human rights in the Lao PDR, ADL provides in its as an alternative report to that of the government, ADL detailed the major violations that have been very significant for the population in general but particularly serious in terms of racial discrimination
ADL stressed for the Committee that there is no political freedom in Laos. There is still an authoritarian regime in Laos with only one communist party, known as the Lao People’s Revolutionary Party which has been ruling the country since 1975. There are no free elections. There is no freedom of expression in Laos. All civil rights were mentioned in the 1991 National Constitution but in practice the Lao authorities apply them arbitrarily, differently and discriminately. The ADL complained to Committee about the Lao government’s repression and suppression of different ethnic groups, Lao-Hmong in particular and others. The right for housing is restricted by the special treaties, long-term contracts and leases with foreign interests and powers and by the dictates of the special economy-zones. These treaties are made by the government without the people’s participation in the decision-making process. In this connection, ADL cited the special treaties with Vietnam and China. These treaties provide the guaranty for Vietnam to control Laos and give lands to China and Vietnam for a complete exploitation. Ethnic expulsions from ancestral homes and ethnic cleansing are the result.
Following the ADL President’s statement before the committee, Mr. Oliver Duangvichith, provided information on the serious unemployment and the prostitution problem in Laos. Dr. Khamlay Mounivongs then reported to the Committee on the worsening problem relating to the trafficking Lao women and young girls to Thailand.
In addition, the ADL brought to the attention CERD violations against several articles. Article No 4 a: To prohibit the superiority of a race. Vietnamese are given priority to Lao people in in key areas public administration and policy. This is a result of the political tactic of the Lao communist party to hold on to power. To maintain good relationships with Vietnam they sacrifice their own people. Article No 5 d: Right to civil rights. There is no freedom of expression in Laos, this is ‘guaranteed’ in the Constitution but in practice those who have tried to peacefully make their voice heard still remain in imprisoned for long years now.
The ADL informed CERD that it would stand ready as a witness to testify for these violations.

On Tuesday 28 the delegation of the Lao government has to come to the committee to stay for answers. An attempt of intimidation of the ADL delegation by a photographer of the Lao authorities unfortunately failed!
The delegation of the Lao PDR gave a report about the situation in Laos, but because of ADL’s intervention the Committee, the report does not correspond to the facts of what really has happened and continues to happen in the Lao PDR.
The government’s delegation had to answer the serious and probing questions the ADL has raised with the CERD members. In particular, the questions about corruption, ethnic cleansing and the special treaties made the delegation noticeably nervous.
An Expert regretted the lack of definition of racial discrimination in the legal system. This same question was submitted by the ADL to the experts. The ethnic minority schools were referred to by another Expert, who requested assurances that those schools did not hide an attempt to assimilate ethnic minorities. She asked how the subject of history and the multi-ethnic nature of the country were taught to children.
Regis de Goutte, Country Rapporteur for the Lao People’s Democratic Republic, regretted the long period since 2005 when the State party had not submitted any periodic reports. He also noticed that the basic freedoms in Laos have to be more developed as necessary. CERD recommends the Government of Laos to establish a national human rights commission. The NGO’s are not the enemies of the Lao PDR, they are observers and critics. The UN will support the Lao PDR to reach these aims. CERD will observe Laos by their own employees

Official report of the CERD:click here
ADL report for CERD:click here



__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

http://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=237311519688773&id=166200246799901#!/profile.php?id=100001263301389

Anourack Phiphaksaหนังสืออีศาน
แม่หญิงลาว...เธอผู้น่าสงสาร !!!
เด็กสาววัยไม่ถึง 15 ปีนั่งเหม่อลอยอยู่ในบ้านหลังใหญ่ เธอใจลอยได้ไม่นาน เจ้านายร่างใหญ่ก็เดินออกมากระชากผมแล้วลากเธอเข้าไปในบ้าน

หลายครั้งที่สงสัยว่าเธอเป็นใคร ทำไมถึงต้องตกมาอยู่ในสภาพเช่นนี้...

หลัง จากนั้นไม่นานก็มีข่าวหนังสือพิมพ์ที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้า หน้าที่จากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้เข้าไปช่วยเหลือ เด็กหญิงชาวลาว 19 คน ที่ถูกทารุณกรรมจากการเข้ามาใช้แรงงานในเมืองไทย

หนึ่งในนั้นคือสาวน้อยวัยเพียง 14 ที่เราเคยเห็น...

แม่ หญิงลาววัยละอ่อนกับเพื่อนอีก 18 คน ที่หลุดพ้นออกมาจากนรกแรงงาน เข้ามารับการรักษา บำบัด ฟื้นฟูจิตใจที่สถานคุ้มครองและพัฒนาอาชีพบ้านเกร็ดตระการ จังหวัดนนทบุรี กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

วันที่เข้าไปคุยกับเธอ เธอยังคงมีแววตาที่หวาดกลัว ร่างกายก็ยังไม่หายบอบช้ำ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาและความมั่นคงของมนุษย์เข้าเยี่ยมเด็กหญิงชาวลาวที่ถูกทารุณกรรมจากการเข้ามาใช้แรงงานในเมืองไทย

จัน ดี แม่หญิงลาว ใบหน้านวลงาม เล่าว่า นายหน้าชาวลาวติดต่อให้มาทำงานที่เมืองไทย เพราะเห็นว่าประเทศไทยมีงานให้ทำเยอะ เงินดีกว่าเมืองลาว จึงมาเมืองไทยด้วยหัวใจพองโต แม้จะต้องเสียค่านายหน้าเกือบ 5,000 บาท ก็ตาม

"นายหน้าชาวลาวมาส่งที่เมืองไทยและนายจ้างเป็นคนไทยมารับ ไปอยู่ด้วย เขาให้ร้อยมาลัย ทำงานตั้งแต่ตีห้าถึงสองทุ่ม ทำทุกวันไม่มีวันหยุด ยิ่งถ้าเป็นวันพระต้องตื่นมาร้อยมาลัยตั้งแต่ตีสี่ บางวันไม่สบายลุกขึ้นมาทำงานไม่ไหว นายจ้างก็จะมาถึงที่นอนเลย มาทุบจนต้องตื่นลุกออกจากที่นอน"

เพราะต้องนั่งร้อยพวงมาลัยทุกวัน มือของเธอจึงเต็มไปด้วยรูที่เกิดจากเข็มร้อยมาลัย

"หนู ทำงานไม่ได้ค่าแรงเลย นายจ้างบอกว่าจะส่งไปให้ทางบ้านที่แขวงสะหวันนะเขตเอง นายไม่ให้มีเงินติดตัวเลยแม้แต่บาทเดียว บางวันได้กิน 2 มื้อ บางวันก็ได้กินมื้อเดียว ข้าวที่กินก็เป็นข้าวเปล่าๆ บางวันก็เหมือนจะเสีย แต่หิวก็ต้องกิน" เธอเล่าด้วยความอัดอั้น

ข้างๆ จันดี แม่หญิงลาวอีกคน นางสาววัย 18 เส้นทางชีวิตของนางดูไม่ต่างจากจันดีสักเท่าไร เธอเล่าว่า ครอบครัวของเธอยากจนมาก เมื่อมีโอกาสจะได้ทำงานเธอจึงไม่คิดมาก นางตัดสินใจมาเมืองไทย

"มาทำงานร้อยมาลัยเหมือนกัน มาตั้งแต่เดือนเมษายน ปี 2551 นายหน้าชาวลาวบอกว่าจะหางานที่เงินเดือนดีๆ ให้ โดยเสียค่านายหน้า 4,500 บาท แล้วก็มีคนไทยมารับไปทำงานร้อยพวงมาลัยขาย นายจ้างให้ทำงานตั้งแต่เวลา 05.00-18.00 น. ไม่มีวันหยุด เพื่อนลาวบางคนถูกบังคับให้ออกไปขายพวงมาลัยด้วย มือและนิ้วของหนูถูกน้ำยาที่แช่ดอกไม้กัดจนเป็นแผลเปื่อย แต่นายจ้างไม่ให้ไปหาหมอ"

"ส่วนเรื่องกิน จะได้กินไม่ครบทุกมื้อ ส่วนใหญ่นายจ้างจะไปขอข้าวจากวัดมาให้กิน ค่าแรงจะได้ประมาณเดือนละ 3,000 บาท แต่นายจ้างจะหักเป็นค่ากิน ค่าที่พัก ส่วนที่เหลือนายจ้างบอกว่าจะส่งให้กับพ่อแม่ที่ลาว ทุกคนที่ทำงานส่วนใหญ่เป็นเด็กลาว พวกเราทั้งกลัวและเสียใจอยากกลับบ้านมาก" เธอระบายความทุกข์ !
นี่เป็นเพียงตัวอย่างของแม่หญิงลาวที่ระหกระเหินมาตกนรกแรงงานในไทย!!!
.............................
.............................
เยาวเรศ ดีคง(ຊື່ຄົນລາວໃນ facebook) ที่อุบลฯ บางบ้านเอาเด็กลาวช่วยงานขายของกลางวัน กลางคืนนายจ้างก็ข่มขืนเด็กเพื่อเอาเป็นเมียน้อย บางคนโชคร้ายอีกคือโดนหนุ่มไทยลากไปลงแขกข่มขืนในรั้วบ้านของ สส.แท้ๆๆ แล้วรุ่งขึ้นก็โดนเจ้านายส่งกลับประเทศ

ໂຄດແມ່ມືງພວກໂຈນ ຄມນ ຜດກ ປົ້ນຊາດລາວແດງ ສີ່ງນີ້ມັນເກີດຂື້ນໃນຍຸກພວກມືງເດິ
laohomlao ເອົາລະບອບຂອງຜັວອີ່ຫ່າທອງຫວິນ ພໍ່ບັກໄຊສົມສົມພອນ ນາຍພົນໂທ ສັນຍາລັກ(ບໍ່ຮອດ40ປິເດິ) ບັກສັນຕີພາບ ບັກວົງສວັດ ມາເຜົາດ້ວຍ ປິ 1911 ທີ່ເອິຣົບ ປຊຊໄດ້ໄຊຊນະມາແລ້ວ

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ຖ້າຫາກຜູ້ປາບເອງ ເປັນຜູ້ຂາຍ ແລ້ວຈະເຮັດແນວໃດ?


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ในการทำสงครามต่อสู้ญี่ปุ่นและรัฐบาลก๊กมินตั๋ง เหมาฯยึดหลักพิชัยสงครามของ ซุนวู ปราชญ์ นักรบจีนโบราณที่ว่า ต้องเอาชนะจิตใจประชาชน!ต้องเอาแหล่งที่มาของเสบียงอาหาร! และพิชิตป้อมปราการต่างๆ ให้จงได้โดยที่เหมาฯมีเหตุผลที่ว่า “ทหารเปรียบเสมือนปลา ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ ปลาถ้าขาดน้ำก็ตายฉันใด ทหารถ้าอยู่ห่างประชาชนก็ย่อมตาย ฉันนั้น ”!!! เหมา ฯ ได้เขียนหนังสือชื่อ “On the Protracted War” โดยเหมาฯ กล่าวว่า การระดม กำลังทางการเมืองหมายถึงการบอกให้ประชาชน และกองทัพทราบถึงวัตถุประสงค์ทางการเมืองในการทำสงครามนอกจากนั้นยังต้องวางกำหนด ขั้นตอนพร้อมทั้งจุดมุ่งหมาย ในการนำ ไปสู่วัตถุประสงค์อันนี้ไว้ให้ชัดเจนด้วย แนวความคิดของเหมาฯ ดังกล่าว ถือว่าเป็นรากฐาน ของการกำหนดยุทธศาสตร์สงครามปฏิวัติเพื่อยึดอำนาจรัฐด้วยมวลชนหรือ เรียกว่า “ สงคราม ประชาชน People’s War โดยมีหลักนิยมในการดำเนินการรวม ๓ ขั้นตอน คือ ปฏิวัติ! ประชาชาติ! ประชาธิปไตย!

ในการแย่งชิงอำนาจรัฐ จากรัฐบาลจะต้องใช้วิธีปลุกระดมมวลชน!ให้ลุกขึ้นต่อสู้!โดยเงื่อนไขประชาธิปไตย! และเงื่อนไขประชาชาติ! โดยรวมกำลังผู้รักชาติขับไล่จักรวรรดินิยมให้หมดไปจากแผ่นดิน! และใช้เงื่อนไขต่างๆ เช่น เงื่อนไขเศรษฐกิจ!เงื่อนไขความไม่เป็นธรรมในสังคม! เป็นเครื่องมือในการรุกทางการเมือง! เพื่อเตรียมมวลชนปฏิวัติ! ทำสงครามประชาชนด้วยกองกำลังติดอาวุธ! ตามกลยุทธ์ป่าล้อมเมืองทำการต่อสู้แบบยึดเยื้อยาวนานจนกว่าจะได้รับชัยชนะ!!! แบ่งยุทธวิธีออกเป็น ๓ ขั้นตอน=
ขั้นรับ ในขณะที่มีกำลังน้อยกว่ากำลังของเจ้าหน้าที่รัฐ! จะต้องดำเนินการแทรกซึมบ่อนทำลาย! และปลุกระดมทุกรูปแบบโดยดำเนินการทั้งในเมืองและชนบทเพื่อให้เกิดความแตกแยกในหมู่ประชาชน!และข้าราชการ! โดยชี้ให้เห็นถึงความอ่อนแอและความล้มเหลวของรัฐบาล! สำหรับการสู้รบใช้แบบ จรยุทธ์ Mobile Warfare ซุ่มยิง! ซุ่มโจมตี! หรือยิงรบกวน!!!
ขั้นยัน ในขั้นตอนนี้ฝ่ายที่ทำสงครามปฏิวัติ จะพยายามทำลายเศรษฐกิจของชาติทุกวิถีทาง!!! และสร้างความวุ่นวายให้เกิดขึ้นในสังคม!!! สำหรับในชนบทนั้นจะทำการสู้รบด้วยสงครามจรยุทธ์เป็นหลัก!!! ด้วยการต่อต้านกำลังป้องกันและปราบปรามฝ่ายรัฐบาลรวมทั้งเข้าครอบครอง พื้นที่ในชนบท! บางแห่งเพื่อประกาศเป็นเขตปลดปล่อย และฐานที่มั่น!!!
ขั้นรุก ขั้นนี้เป็นขั้นที่ฝ่ายปฏิวัติจะทำการรุก ทางทหาร!และดำเนินสงครามจิตวิทยา!!!อย่างกว้างขวาง การเปิดสงครามรบพุ่งจะเป็น การใช้กำลังรบตามแบบ Conventional Warfare เพื่อให้ได้ชัยชนะในขั้นแตกหัก! ยึดเมือง!และทำการปฏิวัติล้มล้างการปกครองและยึดอำนาจรัฐ และบีบบังคับให้รัฐบาลต้อง ยอมจำนนในที่สุด!!!

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

โฮ จิ มินห์ Ho Chi Minh!!!
โฮจิมินห์ คือนักปฏิวัติชาวเวียดนาม ซึ่งในภายหลังได้กลายมาเป็นนายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐ ประชาธิปไตยเวียดนามเหนือ หลังจากสิ้นสุดของสงครามเวียดนาม ไซ่ง่อน เมืองหลวงเก่าของเวียดนามใต้ ได้ถูกเปลี่ยนชื่อมาเป็นโฮจิมินห์ซิตี เพื่อเป็นเกียรติแก่โฮจิมินห์ !
โฮจิมินห์ เกิดเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2433 ที่หมู่บ้านฮองตรู จังหวัดเงอัน ตอนบนของประเทศเข้ารับการศึกษาที่เมือง Hue พ.ศ. 2454 ได้ทำงานเป็นพ่อครัว อยู่บนเรือเดินสมุทร ของชาวฝรั่งเศส ประเทศซึ่งเป็นเจ้าอาณานิคมของเวียดนามในขณะนั้น ซึ่งทำให้เขาได้เดินทาง ไปยังดินแดนต่างๆมากมาย ทั้งอเมริกา, แอฟริกา, ยุโรป, และได้ศึกษาต่อที่ฝรั่งเศส เป็นสมาชิกร่วมก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์แห่งฝรั่งเศส ในปี พ.ศ.2463 ต่อมาโฮก็ได้ย้ายจากฝรั่งเศสไปสหรัฐอเมริกาและอังกฤษตามลำดับ หลังจากนั้นโฮจิมินห์ได้เข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน! ซึ่งเมื่อรัฐบาลก๊กมินตั๋งของเจียงไคเช็ค! เริ่มการปราบปรามคอมมิวนิสต์นั้น โฮจิมินห์ได้หลบหนีจากจีนมายัง จังหวัดนครพนม, ประเทศไทย!

ต่อมาในปี พ.ศ.2466 โฮ จิ มินห์ เดินทางไปยังกรุงมอสโคว เพื่อเรียนรู้ กลยุทธ์ในการปฏิวัติ! และในปี พ.ศ.2467 เขาเดินทางไปยังประเทศจีน เพื่อพบกับ Phan Boi Chau หนึ่งในผู้นำกลุ่มชาตินิยมเวียดนามในสมัยนั้น! ในขณะที่ อยู่ที่ประเทศจีน โฮ จิ มินห์ ได้เป็นผู้นำในการก่อตั้ง พรรคคอมมิวนิสต์แห่งอินโดจีน!ขึ้น
เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองเริ่มต้นขึ้น โฮ จิ มินห์ ได้พาคณะของเขาหลบไปอยู่ที่ ถ้ำ Pac Bo ทางเวียดนามตอนเหนือ และใช้ที่นั่นในการก่อตั้ง ขบวนการเวียด มินห์! องค์กรชาตินิยมคอมมิวนิสต์!!! เพื่อสะสมกำลังพล สำหรับการต่อสู้ เพื่อเรียกร้องอิสรภาพคืนจากฝรั่งเศส!
ในช่วงสงครามโลก โฮ จิ มินห์ และกลุ่มเวียดมินห์! ได้ร่วมมือกับฝ่ายพันธมิตร เข้าช่วยเหลือนักบินชาวอเมริกัน ที่เครื่องบินตก และต่อต้านปฏิบัติการทางทหารของญี่ปุ่น ที่ประเทศจีนตอนใต้ และเมื่อญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้สงคราม ในปี พ.ศ.2488 กลุ่มเวียดมินห์ จึงถือโอกาสนี้ ประกาศอิสรภาพจากฝรั่งเศส! และแต่งตั้งให้ โฮ จิ มินห์ เป็นประธานาธิบดีเวียดนาม แต่ทางฝรั่งเศส ยังคงต้องการครอบครองดินแดนแห่งนี้อยู่! จึงไม่ยอมรับคำประกาศอิสรภาพดังกล่าว! พร้อมทั้งใช้กำลัง เข้ายึดเวียดนามตอนใต้ไว้! ส่งผลให้ในปลายปี พ.ศ.2489 สงครามระหว่างกลุ่มเวียดมินห์และฝรั่งเศสจึงอุบัติขึ้น!
8 ปีแห่งการนองเลือด เวียด มินห์ ได้รับความช่วยเหลือจากคอมมิวนิสต์จีน! ในขณะที่ฝรั่งเศสได้รับความช่วยเหลือ จากสหรัฐอเมริกา ในที่สุดเวียด มินห์ ก็รบชนะฝรั่งเศส! ในการต่อสู้ที่สมรภูมิ Dien Bien Phu ในปี พ.ศ.2497 ซึ่งตามมาด้วยข้อตกลง เจนีวา ว่าด้วยการแบ่งประเทศเวียดนาม ออกเป็นสองส่วนคือ เวียดนามเหนือ! และเวียดนามใต้! โฮ จิ มินห์ ได้ทุ่มเทความพยายามทั้งหมด ในการสร้างระบบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ขึ้น!ที่เวียดนามเหนือ!
ต้นปี พ.ศ.2503 สงครามครั้งใหม่เกิดขึ้นที่เวียดนามใต้ เมื่อกลุ่มคอมมิวนิสต์ ได้ก่อการจลาจล เพื่อต่อต้านระบบการปกครองของสหรัฐฯ ในไซง่อน เมื่อสหรัฐฯ ได้แทรกแซงทางการทหาร โฮ จิมินห์ใช้กองกำลังทหาร เข้าต่อต้านอเมริกัน! ในช่วงระหว่างสงครามนั้น โฮ จิ มินท์เอง ยังคงให้อำนาจแก่ประชาชนของตนเอง แต่เนื่องด้วย สุขภาพที่ทรุดโทรม เขายอมรับกฎเกณฑ์ พิธีการที่คนอื่นทำมากขึ้นกว่าเดิม แต่ตัวเขาเองยังคงเป็นผู้ที่ทำการปฏิวัติ และยังเป็นสัญลักษณ์ ของสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์คนหนึ่ง!
โฮ จิ มินห์ ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2512 ด้วยภาวะหัวใจล้มเหลว ความตั้งใจของเขา ในการที่จะรวมเวียดนามเหนือ และเวียดนามใต้เข้าด้วยกัน ภายใต้การปกครองแบบคอมมิวนิสต์!!! ก็ประสบความสำเร็จ โดย ไซง่อนSaigon เมืองหลวงของเวียดนามถูกเปลี่ยนชื่อเป็น โฮ จิ มินห์ ซิตี้ Ho Chi Minh Cityในปี 1975!!!

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ປາບພວກມົ້ວສຸມຢາເສບຕິດ
ວັນທີ 29 ກຸມພາ 2012 - ເວລາ 15:29:55 ສົ່ງຂ່າວນີ້ໃຫ້ເພື່ອນ ພິມຂ່າວນີ້ vientiane mai




ນັ່ງ ​ຮ້ານ​ກາ­ເຟ ວັນ​ເສົາ-ອາ­ທິດ (25-26/2/2012) ຫາງ​ສຽງ​ຊົມ­ເຊີຍ​ເຈົ້າ​ໜ້າ­ທີ່​ຟົດ­ຟື້ນ ໂດຍ​ສະ­ເພາະ​ແມ່ນ​ເຈົ້າ​ໜ້າ­ທີ່​ປາບ​ຢາ​ເສບ​ຕິດ ... ບໍ່​ແມ່ນ​ແຕ່​ພວກ​ມົ້ວ​ສຸມ​ລະ­ດັບ​ໃຫຍ່​ທໍ່​ນັ້ນ ພວກ​ປາຍ​ແຖວ​ກໍ​ຖືກ​ຕິດ­ຕາມ ແລະ ກວດ​ລ້າງ ຄິດ​ວ່າ​ໃນ­ຕໍ່­ໜ້າ ຄວາມ​ສະ­ຫງົບ​ສຸກ​ຄົງ​ເກີດ​ຂຶ້ນ ໂດຍ​ສະ­ເພາະ​ປີ​ນີ້ ເປັນ​ປີ​ທີ່​ລາວ​ເຮົາ​ເປັນ​ເຈົ້າ­ພາບ​ກອງ​ປະ­ຊຸມ​ສາ­ກົນ.

ເວົ້າ​ ເລື່ອງ​ການ​ແກ້​ໄຂ​ປະ­ກົດ​ການ​ຫຍໍ້­ທໍ້​ໃນ​ນະ­ຄອນ­ຫຼວງ​ເຮົາ​ນີ້ ກໍ​ມີ​ການ​ແກ້​ມາ​ເລື້ອຍໆ ແຕ່​ຕ້ອງ​ຍອມ­ຮັບ​ວ່າ​ມັນ​ແກ້​ຍາກ​ແທ້ໆ​ເນີ ! ສະ­ນັ້ນ ໝົດ​ທຸກ​ຄົນ​ໃນ​ສັງ­ຄົມ​ຕ້ອງ​ເປັນ​ເຈົ້າ​ການ ລົມ​ກັບ​ໝູ່​ເພື່ອນ​ຫຼາຍ​ຄົນ ກໍ​ມີ​ຫຼາຍ​ຄຳ​ເຫັນ​ແຕກ​ຕ່າງ​ກັນ ແຕ່​ກໍ​ມາ​ຕ້ອມ​ກັນ​ຢູ່​ໃນ​ບັນ­ຫາ​ລຸ່ມ​ນີ້:

1. ສະ​ຖາ​ບັນ​ຄອບ­ຄົວ​ຕ້ອງ​ເຂັ້ມ­ແຂງ ໂດຍ​ສະ­ເພາະ​ພໍ່ ແລະ ແມ່ ໃນ​ນັ້ນ ຜູ້­ຍິງ​ສຳ­ຄັນ​ທີ່​ສຸດ ເພາະ​ຜູ້­ຍິງ​ລາວ​ມີ​ບົດ­ບາດ​ໃນ​ຄອບ­ຄົວ​ເປັນ​ແມ່ ເປັນ​ຜູ້​ຮັບ­ຜິດ­ຊອບ​ຊີ­ວິດ​ການ​ເປັນ​ຢູ່ ເປັນ​ຜູ້​ເວົ້າ​ຈາ​ສັ່ງ­ສອນ ແນະ­ນຳ ມີ​ເຫດ​ມີ​ຜົນ ຫຼື ເວົ້າ​ແຈ້ງ­ວ່າ ຜູ້­ຍິງ​ລາວ​ເປັນ​ຜູ້​ມີ​ອິດ​ທິ​ພົນ​ທີ່​ສຸດ​ໃນ​ຄອບ­ຄົວ.

2. ການ­ຈັດ­ຕັ້ງ​ຂັ້ນ​ບ້ານ​ຕ້ອງ​ເດັດ­ຂາດ ບໍ່​ໄວ້­ໜ້າ​ຜູ້​ໃດ ຫາກ​ມີ​ການ​ກະ­ທຳ​ຜິດ​ລະ­ບຽບ​ກົດ­ໝາຍ ... ໃນ­ຕໍ່­ໜ້າ​ຄວນ​ພິ­ຈາ­ລະ­ນາ​ວ່າ ຄວນ​ມີ​ນາຍ­ບ້ານ​ອາ­ຊີບ​ຈາກ​ການ​ເລືອກ​ຕັ້ງ ຫຼື ແຕ່ງ­ຕັ້ງ.

3. ຊຸກ­ຍູ້​ໃຫ້​ແຕ່​ລະ​ໜ່ວຍ​ພາຍ​ໃນ​ບ້ານ ໃຫ້​ມີ​ການ­ເຄື່ອນ­ໄຫວ ສຳ​ຫຼວດ​ກວດ­ກາ ແລະ ຕິດ­ຕາມ​ການ­ເຄື່ອນ­ໄຫວ​ໃນ​ແຕ່​ລະ​ຄອບ­ຄົວ ທີ່​ເປັນ​ສະ­ມາ­ຊິກ​ຂອງ​ຕົນ.

4. ກອງ​ຫຼອນ ຫຼື ປກສ ປະ­ຈຳ​ກຸ່ມ​ບ້ານ​ຕ້ອງ​ເຂັ້ມ­ແຂງ ຕີ​ຕ້ານ​ອຳ­ນາດ​ທາງ​ການ​ເງິນ​ທີ່​ເຂົ້າ​ມາ​ຍຸ​ແຍ່​ຫວັງ​ທຳ­ລາຍ.

5. ການ­ຈັດ­ຕັ້ງ​ຂັ້ນ​ເມືອງ​ຕ້ອງ​ເດັດ­ຂາດ ລົງ​ກວດ­ກາ ແລະ ຊຸກ­ຍູ້​ການ​ແກ້​ໄຂ​ປະ­ກົດ​ການ​ຫຍໍ້­ທໍ້​ໃນ​ຂອບ​ເຂດ​ເມືອງ​ຂອງ​ຕົນ.

ເພິ່ນ ​ວ່າ​ຫາກ​ປະ­ຕິ­ບັດ​ໄດ້​ຕາມ 5 ຂໍ້​ຂ້າງ​ເທິງ​ນັ້ນ ຈະ​ເຮັດ​ໃຫ້​ປະ­ກົດ​ການ​ຫຍໍ້­ທໍ້​ຫຼຸດ​ລົງ ... ໄປ​ພ້ອມ​ກັນ​ນັ້ນ ເພິ່ນ​ກໍ​ມີ​ບາງ​ຄຳ​ເຫັນ​ຝາກ​ມາ​ເບື້ອງ​ສື່​ມວນ​ຊົນ​ພວກ​ເຮົາ​ວ່າ: ຢາກ​ໃຫ້​ພິ­ຈາ­ລະ­ນາ​ຄືນ ການ​ລົງ​ໂຄ­ສະ­ນາ​ສິນ­ຄ້າ​ຕ່າງໆ ເພາະ​ມັນ​ຫຼໍ່​ແຫຼມ ສ້າງ​ໃຫ້​ສັງ­ຄົມ​ມີ­ຄ່າ​ນິ­ຍົມ​ນຳ​ວັດ­ຖຸ​ຈົນ​ເກີນ​ໄປ ວ່າ​ຊັ້ນ !.

ໃນ​ຖາ­ນະ​ຜູ້​ຮັບ­ຜິດ­ຊອບ​ຄໍ​ລຳ ແນວ​ລາວ ກໍ​ຂໍ​ຕາງ­ໜ້າ​ສື່​ມວນ​ຊົນ ຮັບ​ເອົາ​ຄຳ​ຕຳ​ນິ​ດັ່ງ­ກ່າວ.

ປີ­ຜ່ານ­ມາ (2011) ອີງ​ຕາມ​ບົດ​ສະ­ຫຼຸບ​ຈາກ​ກະ­ຊວງ​ປ້ອງ​ກັນ​ຄວາມ​ສະ­ຫງົບ ມີ​ຄະ­ດີ​ເກີດ​ຂຶ້ນ​ໃນ​ນະ­ຄອນ­ຫຼວງ​ວຽງ​ຈັນ​ທັງ​ໝົດ 2.558 ລາຍ ໃນ​ນັ້ນ ຄະ­ດີ​ອຸ­ປະ­ຕິ­ເຫດ​ເປັນ​ອັນ​ດັບ​ໜຶ່ງ​ຂອງ​ປະ­ເທດ ຄື​ມີ 2.063 ລາຍ.

ປະ­ກົດ ​ການ​ຫຍໍ້­ທໍ້​ໃນ​ສັງ­ຄົມ​ທີ່​ພົ້ນ​ເດັນ ກໍ​ແມ່ນ​ບັນ­ດາ​ຢາ​ເສບ​ຕິດ​ທີ່​ມີ​ທ່າ​ແຜ່​ຂະ­ຫຍາຍ​ການ​ກໍ່​ອາດ­ຊະ­ຍາ​ກຳ ການ​ປຸ້ນ​ຈີ້​ຊີງ​ຊັບ ການ​ຄ້າ­ຂາຍ​ເຖື່ອນ ການ​ຄ້າ​ມະ­ນຸດ ການ​ຄ້າ​ໂສ­ເພ­ນີ ຄ້າ­ຂາຍ​ໄມ້​ຫວງ​ຫ້າມ ການ​ມົ້ວ​ສຸມ​ຂອງ​ໄວ​ໜຸ່ມ ບັນ­ຫາ​ແຮງ​ງານ​ຊາວ​ຕ່າງ­ປະ­ເທດ ເຂົ້າ​ມາ​ເຄື່ອນ​ໄຫວ​ບໍ່​ຖືກ­ຕ້ອງ ການ​ສໍ້​ລາດ​ບັງ​ຫຼວງ ແລະ ອຸ­ບັດ­ເຫດ​ເທິງ​ຖະ­ໜົນ​ເປັນ­ຕົ້ນ ສາ­ເຫດ​ທີ່​ພາ­ໃຫ້​ເກີດ​ປະ­ກົດ​ການ​ຫຍໍ້­ທໍ້​ດັ່ງ­ກ່າວ ມີ​ທັງ​ໃນ​ຕົວ ແລະ ນອກ​ຕົວ ແຕ່​ສາ­ເຫດ​ສຳ­ຄັນ​ຕົ້ນ­ຕໍ​ແມ່ນ​ຍ້ອນ​ຄວາມ​ຮັບ­ຜິດ­ຊອບ​ທາງ​ການ­ເມືອງ​ຂອງ​ ພະ­ນັກ­ງານ ທະ­ຫານ ຕຳ­ຫຼວດ ແລະ ປະ­ຊາ­ຊົນ​ພວກ​ເຮົາ​ບໍ່​ທັນ​ສູງ​ເທົ່າ​ທີ່​ຄວນ ການ​ຄຸ້ມ​ຄອງ​ລັດ ຄຸ້ມ​ຄອງ​ສັງ­ຄົມ ກໍ​ຄື​ການ​ປະ­ຕິ­ບັດ​ລະ­ບຽບ​ກົດ­ໝາຍ​ຍັງ​ບໍ່​ທັນ​ເຂັ້ມ​ງວດ ແລະ ມີ​ຜົນ​ສັກ­ສິດ ເວົ້າ​ໃຫ້​ເຂົ້າ­ໃຈ​ງ່າຍ​ແມ່ນ​ຍັງ​ລະ​ເຫຼີງ ບໍ່​ເອົາ­ໃຈ­ໃສ່​ແກ້​ໄຂ​ປະ­ກົດ​ການ​ຫຍໍ້­ທໍ້​ຢ່າງ​ຈິງ​ຈັງ ຊ້ຳ​ຮ້າຍ​ກ່ວ​າ​ນັ້ນ​ມີ​ບາງ​ບຸກ­ຄົນ​ຈຳ­ນວນ​ໜ້ອຍ ຍັງ​ຮ່ວມ​ໃນ​ປະ­ກົດ​ການ​ຫຍໍ້­ທໍ້​ອີກ​ຊ້ຳ ໂດຍ​ສະ­ເພາະ​ກໍ​ແມ່ນ​ການ​ມົ້ວ​ສຸມ​ໂສ­ເພ­ນີ ການ​ຄ້າ​ໄມ້​ຫວງ​ຫ້າມ ແລະ ການ​ສໍ້​ລາດ​ບັງ​ຫຼວງ ດັ່ງ​ຄຳ​ເວົ້າ​ທີ່​ວ່າ: ໄກ່​ເຫັນ​ຕີນ​ງູໆ​ເຫັນ​ນົມ​ໄກ່.


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

พวกที่น่าสมน้ำหน้าที่สุดคือนิสิตนักศึกษา ซึ่งได้ทำตัวเป็นเครื่องมือของพวกคอมมิวนิสต์ ช่วยมันปลุกปั่นระดมมวลชน เพื่อล้มล้างฝ่ายขวาและการปกครองระบอบประชาธิปไตย ล้มล้างสถาบันกษัตริย์ ช่วยกันเป็นกำลังขับไล่ผู้ที่ช่วยเหลือเลี้ยงดูตนออกไปจนหมดสิ้นแล้วตนเองก็ พบความผิดหวัง บ้านเมืองกลับไปอยู่ใต้แอกของพวกคอมมูนิสต์ ซึ่งเหี้ยมโหดทารุณสหายไกรสรพรหมวิหาร เป็นสมาชิกคนหนึ่งของเวียตนามเหนือ พ่อเป็นเวียตนาม แม่เป็นลาว เกิดที่แขวงสุวรรณเขตติดชายแดนเวียตนาม แต่สหายไกรสร พรหมวิหารก็ต้องมอบอำนาจให้แก่ นายเคจองกิม พรรคร่วมสหพันธ์อินโดจีนเป็นผู้บงการให้ประเทศลาวอย่างเด็ดขาดต่อไป!
รู้ตัวเมื่อสาย:
ทำให้ประชาชนลาวโกรธแค้นพวกแกวมากแต่ก็สายเกินไปที่จะแก้ไขได้! เพราะได้หมดอำนาจเหมือนถูกมัดผู้ปากผูกตีนดิ้นไม่หลุด มีผู้ถามว่า หลังจากพวกแดงยึดอำนาจประชาชนมีความเป็นอยู่งอย่างไรบ้าง! ก็ได้รับคำตอบว่า ประชาชนถูกกำจัดเสรีภาพ จะไปไหนมาไหนอย่างเสรีเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้ จะออกจากบ้านไปเยี่ยมญาติพี่น้องต่างตำบลก็ต้องขออนุญาต จะต้องได้รับในอนุญาตยืนยันจากหมู่บ้านที่อยู่ ไปถึงที่นั่นก็ต้องแจ้งให้ฝ่ายโน้นรู้ว่าเราจะกลับเมื่อใด จะอยู่กี่วัน จะตามใจเราไม่ได้ เขากำจัดเสรีภาพไม่มีอะไรเป็นของตัว ทุกคนจะโกรธจะด่านินทาไม่ได้ต้องปิดปากอย่างหวานอมขมกลืน ต้องระวังตัว ขืนพูดไม่ระวังเขาอาจเชิญไปสัมมนาที่เวียงไชยเมื่อไรก็ได้ไม่มีการบอกกล่าว ล่วงหน้า แผนการชั่วร้ายรุนแรงเหล่านี้ทำให้พวกแดงปกครองประชาชนแบบทาส และไม่มีใครกล้าทรยศเพราะความเด็ดขาดดุร้ายทารุณเห็นมนุษย์เป็นสัตว์!!!
ร้อยเอกสีมา สุขะมนตรีผู้อดีตเป็นพวกฝ่ายแดงแนวร่วมลาวรักชาติ ซึ่งมีเจ้าสุภสนุวงศ์เป็นผู้นำได้ทำการสู้รบกับฝ่ายรัฐบาลมาตลอดเวลา ประมาณสามสิบปีมาแล้ว ต้องหนีลี้ภัยข้ามลำโขงมาพึ่งแผ่นดินไทยเพราะทนเห็นความทารุณของพวกแดงไม่ ไหว ได้เล่าว่าตัวเองได้เคยร่วมการปฏิวัติ เคยเรียนรู้ในทฤษฏีมาร์คซิสต์ที่โรงเรียนคอมมินูสต์สากล ที่เมืองฮาดองและฮานอยเป็นเวลาสองปีครึ่ง เคยเป็นผู้บังคับกองพันที่ ๒๓ ของแนวลาวรักชาติ! ได้ยืนยันว่าเมื่อมีการประชุมใหญ่เมื่อ ค.ศ. ๑๙๖๔ ที่ฮานอยซึ่งเรียกว่ามติครั้งที่ ๑๔ ของ สหรัฐอินโดจีน ได้มีข้อตกลงแน่นอนแล้วว่าพวกประเทศเล็กต้องพึ่งประเทศใหญ่! ฉะนั้นบรรดาประเทศเขมรเวียดนามใต้ และลาวต้องยอมให้เวียดนามเหนือเป็นผู้ควบคุมบงการในแหลมอินโดจีน สำหรับประเทศลาว จะต้องเป็นแหล่งสำหรับลำเอียงขนส่งผู้คนและสรรพาวุธเข้าสู่เอเชียตะวันออก เฉียงใต้ และราชอาณาจักรโลกทั่วทั้งทวีปเอเชีย
แดงจะครองโลก!
เมื่อได้ทราบเรื่อง และพิจารณาดูแล้วก็รู้ถึงนิสัยสันดานอุดมการของพวกคอมมูนิสต์สากล มีแผนการจะเผยแพร่ระบอบปกครองลัทธิที่ชั่วร้าย มิได้ยุติลงแต่ภาคเอเชียเท่านั้น แผนการคอมมูนิสต์ต้องการจะเผยแพร่ลุกลามไปทั่วทั้งยุโรปอเมริกา และแพร่ออกไปทั่วทั้งทวีปแอฟริกาแพร่ออกไปทั่วโลก แผนการอุบาทว์ค่อยๆวางแผนใต้ดิน คิดทำลายทุกชาติที่มีลัทธิขัดกับคอมมูนิสต์ จะทำลายให้หมดไปจากโลก ไม่ให้เหลือลัทธิอื่นๆให้มีแต่ลัทธิคอมมูนิสต์ลัทธิเดียวเพื่อครองโลก!!!จะทำลายล้างระบอบการปกครองอย่างอื่นตามแผนการ แม้จะต้องใช้กำลังประหัดประหาร แม้จะต้องใช้แสนยานุภาพซึ่งเตรียมไว้เพื่อครองโลก! สิ่งที่คอมมูนิสต์จะต้องทำลายให้สิ้นไปจากโลกก็คือศาสนาต่างๆและประเพณีที่ ดีงามทุกขาติทุกภาษา ในความกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่และครูบาอาจารย์ พวกคอมมูนิสต์จะทำลายให้สิ้นสุดไป ความรักระหว่างพ่อแม่กับลูกจะต้องไม่ให้มี! จะทำลายให้สิ้นซากไปจากโลก ชาติใดประเทศใดเมื่อได้ตกอยู่ในความปกครองของคอมมูนสิต์ พวกประชาชนพลเมืองนั้นจะหมดสิ้นความเป็นอิสระเสรี! หมดสิ้นเป็นตัวของตัวเอง! ยากที่จะเปลี่ยนแปลงดิ้นรนให้หลุดพ้นแอกไปได้ เพราะคอมมูนสิต์ปกครองด้วยแบบใช้อำนาจ ดุร้าย ประชาชนพลเมืองที่อยู่ในการปกครองลัทธิอุบาทว์นี้ชีวิตไม่มีค่า ชีวิตอยู่ใกล้ความตาย ที่ใดประชาชนทนไม่ได้ ก็ต้องหนีจากความเป็นทาสไปสู่ความอิสระ ยอมเสี่ยงกับความตาย ฉะนั้นลัทธิอุบาทว์เข้าที่ไหนประชาชนพลเมืองต้องตายลงมากมาย! ประเทศเล็กก็เป็นแสนๆประเทศใหญ่ก็เป็นสิบๆล้าน เพราะการใช้อำนาจทำลายเด็ดขาด เห็นชีวิตมนุษย์ประชาชนพลเมืองเหมือนสัตว์ที่เป็นทาสแรงงาน แต่ชีวิตของพวกตัวนายอยู่ดีกินดี มีความสุขเหมือนมนุษย์ในโลกเสรีทั่วไป
นี่หรือคำขวัญที่ทำให้มนุษย์หลงใหลว่าตัวจะได้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน ไม่เลือกชั้นวรรณะ ทุกคนเสมอกันไม่มีความเหลื่อมล้ำต่ำสูง มีลัทธิเสมอกัน ตอนนี้เราก็รู้เห็นกันแล้ว ตัวอย่างพวกแดงทำแก่ประชาชนพลเมืองที่ยึดครองใกล้บ้าน เขาต้องได้รับความทุกข์ยากลำบากจากความทารุณมากน้อยเพียงใด เรารู้กันแล้วคงไม่มีใครยังนึกว่าแดงดี ความหวังที่จะได้ลัทธิเสมอภาค จะอยู่กันด้วยความสุข มีงานทำ มีบ้านอยู่ มีข้าวกิน ตามคำโฆษณาของฝ่ายแดง บัดนี้เป็นความฝันที่เลือนลางเต็มที เชนประเทศลาว ประเทศเขมรได้รับ ประชาชนพลเมืองได้รับความทุกข์ยากลำบาก!!!
บัดนี้คอมมูนิสต์กำลังมีแผนการใหญ่โตที่รุกรานความสงบสุขของโลก ทำลายทุกชาติศาสนาและประเพณีทั่วไป เพื่อจะได้มีคอมมูนิสต์ลัทธิเดียวในโลก ซึ่งกำลังจะสร้างโลกมนุษย์ทำลายประชาชนที่มีอิสระเสรีให้โลกกลายเป็นนรกของ มนุษย์ เมื่อตกเข้าไปอยู่ในอำนาจปกครองของคอมมูนิสต์!!!

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

บัดนี้ พวกนิสิตนักศึกษาก่อนเคยเป็นเครื่องมือ เป็นหัวหน้าช่วยเป็นพลังปลุกระดมมวลชน ให้ฝ่ายแดง บัดนี้หมดความจำเป็นแล้วก็คิดกำจัด ฉะนั้นต่างต้องหลบหนีเอาตัวรอดข้ามโขงมาเมืองไทย และมีนิสิตนักศึกษาให้สัมภาษณ์ที่วิทยุกองพล ป.ต.อ. เช้าวันที่ ๑๙ และ ๒๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๑๙
และให้สัมภาษณ์ในรายการสนทนา ประชาธิปไตยช่อง ๙ เมื่อคืนวันที่ ๒๘ มกราคม พ.ศ. ๒๕๑๙ ในรายการสนทนาประชาธิปไตยในคืนนั้นได้เชิญลาวผู้อพยพหนีเข้ามาพึ่ง ๓ นาย มีทหาร คือ พ.ท. โพธิ เมืองอุภัย อดีตเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนศูนย์การฝึกนักเรียนนายสิบที่เวียงจันทร์ อีกท่านหนึ่งคือ
ร.อ. สีมา สุขะมนตรี อดีตผู้บังคับกองร้อยที่ ๔ ฝ่ายข่าวค่ายจินาโม้ เวียงจันทร์ ท่านสุดท้ายเป็นอดีตหัวหน้านักศึกษาลาวชื่อ ท้าวอัครเดช สุขอรุณ ทั้งสาม ท่านนี้ได้มีการตอบคำถามตรงกันว่า เป็นการจำเป็นที่สุดที่ต้องหนีข้ามโขงมาสู่แผ่นดินไทย ซึ่งเป็นเมืองที่ให้ความร่มเย็นเห็นใจ แผ่นดินของพุทธศาสนา เป็นแห่งเดียวที่หนีร้อนมาพึ่งเย็น เป็นแห่งเดียวที่จะรักษาชีวิตให้รอดได้ต่อไป ก่อนที่จะถูกเชิญตัวไปสัมมนาที่เวียงไชยซึ่งเป็นสถานที่ ทั้งเกลียด ทั้งกลัวของคนในแผ่นดินลาวทั่วไป!
ท้าวอัครเดชได้บอกว่า เพียงระยะที่คอมมิวนิสต์ได้เข้าไปมีอำนาจเด็ดขาดในประเทศลาวนั้น มีจำนวนประชาชนที่ถูกส่งไปสัมมนาถึงประมาณสี่หมื่นกว่าคนไม่ปรากฏว่ามีผู้ใด ที่ได้กลับมาพบหน้าลูกหน้าเมียเลย แม้จะมีชีวิตอยู่ก็เหมือนตายจากกันไป
ส่วนนิสิตนักศึกษาพวกอื่นๆเมื่อฝ่ายคอมมิวนิสต์ได้ยึดอำนาจในประเทศลาวได้ หมดแล้ว คงจะเรียกร้องตามโฆษณาไว้ว่า ถึงเวลาประชาชนจะเป็นใหญ่ในแผ่นดินมีความเสมอภาคไม่มีการแบ่งชั้นวรรณะ เมื่อมาเห็นความเป็นอยู่ของประชาชนแล้วตรงกันข้าม เพราะถูกทารุณอย่างเหี้ยมโหดดุร้ายผิดมนุษย์ธรรมดา คิดว่าจะประท้วง เหมือนประท้วงรัฐมนตรีฝ่ายขวาได้สำเร็จมาแล้ว แต่การประท้วงครั้งนี้ไม่เหมือนกันเพราะฝ่ายคอมมูนิสต์ทำการสำเร็จเรียบร้อย ไม่ต้องอาศัยพวกนิสิตนักศึกษาต่อไปแล้ว เมื่อมีการประท้วงขึ้นพวกนิสิตนักศึกษาก็จะถูกจับตัวไปสัมมนาที่เวียงไชย เช่นเดียวกัน เพราะการเอาตัวไปสัมมนาเท่ากับนำไปถึงแดนประหาร ไม่มีโอกาสได้พบกับพ่อแม่พี่น้อง พวกหัวหน้านิสิตนักศึกษาเคยเป็นกำลังสำคัญให้คอมมิวนิสต์ ซึ่งเคยได้รับการยกย่องให้มีอำนาจเพื่อเอาใจนิสิตนักศึกษาเพื่อแผนการ คอมมิวนิสต์ เมื่อได้สำเร็จตามแผนการ บัดนี้พวกนิสิตนักศึกษาหัวแข็งก็ถูกพวกคอมมิวนิสต์กำจัด ได้รับการกวาดล้างอย่างรุนแรง!!! พวกคอมมิวนิสต์ถือหลักว่าพวกที่เคยได้รับอามิสสินจ้างรางวัลเข้าล่อให้ทำตาม แผนการของตนถือว่า พวกนี้มีจิตไม่แน่นอนเอียงเอนเพราะสินจ้างรางวัล! อาจถูกจูงจมูกด้วยสินจ้างรางวัลให้กลับมาเป็นศัตรูได้ อีกพวกหนึ่งคือพวกที่มีหัวเอียงซ้ายได้รับมอบอำนาจสิทธิพิเศษตลอดมา หน้าที่ใหญ่โตในระหว่างก่อกวนสู้รบให้ทำลายชาติเดียวกันยังต้องใช้กว่าจะ เกิดผลสำเร็จตามแผนการ พวกนี้คอมมิวนิสต์ถือว่าอันตรายมาก เพราะรู้ความตื้นลึกหนาบางของพวกคอมมูนิสต์ ตัวอย่างพวกนิสิตนักศึกษารู้ตัวว่าขืนอยู่ในแผ่นดินลาวต่อไปชีวิตคงไม่รอด แน่ จึงตัดสินใจหลบหนีข้ามโขงมาพึ่งแผ่นดินไทยที่ยังเปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณา!!!
การแต่งตั้งตำแหน่ง:
การล้มระบอบประชาธิปไตยจัดตั้งรัฐบาลลาวรักชาติภายใต้แอกของจอมเผด็จการคอม มูนิสต์เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๘ ทุกคนทั้งในประเทศและนอกประเทศ คิดว่าเจ้าสุภานุวงศ์คงจะได้รับความดีเป็นอยู่เป็นผู้นำเบอร์ ๑ เพราะทำการต่อสู้เพื่อรับใช้คอมมิวนิสต์ตลอดมา เพื่อพวกคอมมูนิสต์ได้เข้าครองประเทศลาวไว้หมดแล้วคงไม่พ้นหน้าที่ผู้ยิ่งใหญ่ในชาติลาวต่อไป
แต่ก็ผิดหวังเพราะปรากฏว่าอำนาจการแต่งตั้งนั้นได้แก่ สหายไกรสร พรหมวิหาร มีอำนาจสิทธิขาด เป็นผู้แต่งตั้งตนเองเป็นนายกรัฐมนตรีก่อนแล้วแต่งตั้งอดีตเจ้ามหาชีวิต สว่างวัฒนายกขึ้นเป็นที่ปรึกษาสูงสุด ของประเทศ และแต่งตั้งเจ้าสุวรรณภูมาเป็นที่ปรึกษาของรัฐบาลส่วนเข้าสุภานุวงศ์หัวหน้า ผู้นำแนวลาวรักชาติ สหายไกรสรได้แต่งตั้งให้เป็นตำแหน่งประธานประเทศ และประธานสภาประชาชนสูงสุด! ได้พิจารณาพอที่จะมองเห็นเบื้องหลังการแต่งตั้งเหล่านี้ และคิดว่าบางท่านถูกแต่งตั้งเป็นหุ่นเชิดมีแต่ตำแหน่งสูง ฟังแล้วรู้สึกใหญ่โตแต่อำนาจไม่มี ซ้ำยังหมดอิสรเสรี!!!
ตามคำบอกเล่าของท้าวอัครเดช สุขอรุณ อดีตหัวหน้านักศึกษาลาวที่หลบหนีข้ามลำน้ำโขง มาของพึ่งแผ่นดินไทย เพื่อความรอดแห่งชีวิตได้ยืนยันว่า การที่เจ้ามหาชีวิตจำเป็นต้องสละราชสมบัติ ก็เพราะถูกบีบบังคับให้ทรงอ่านพระราชโองการสละราชสมบัติก็เพราะเบื้องหลังมี อาวุธจี้องค์รัชทายาท! จึงทำให้พระองค์ทรงยอมอ่านพระราชโองการ การแต่งตั้งให้มีตำแหน่งสูงแต่งชื่อก็เพียงการตบตาเมื่อรู้ว่าเจ้ามหาชีวิต ยังมีประชาชนรักเคารพมาก ประชาชนลาวมีพลเมืองสามล้านคนยังมีผู้จงรักภัคดีเจ้ามหาชีวิตไม่น้อย
ประชาชนไม่ตื่นสู้!
ท้าวอัครเดชอดีตหัวหน้านักศึกษาลาวลี้ภัยแดงมาสู่ดินแดนไทยบอกว่า การที่ลาวต้องสูญเสียอธิปไตยตกเป็นทาสของลัทธิคอมมูนิสต์อย่างง่ายดาย เพราะประชาชนลาวส่วนมาก แม้จะมีใจรักชาติก็มิได้แสดงออกมาเพื่อร่วมจิตร่วมใจร่วมสามัคคีร่วมเป็นใจ เดียวกันต่อต้านเมื่อภัยมาถึงชาติ! ยังพากันสงบนิ่งเฉยเหมือนไม่ใช่พลเมืองมีสิทธิในแผ่นดิน หากทุกคนตื่นตัวประชาชนลาวมีพลเมืองสามล้านกว่า พวกแดงมีเพียงร้อยๆปล่อยให้มันฟักตัวแพร่ออกไป โดยอ้างว่าทำการเป็นมติมหาชน การเดินขบวนขับไล่ในที่ต่างๆพวกราษฎรส่วนมากไม่ได้ร่วมด้วยเลย! แต่พากันนิ่งไม่ทำอะไรให้รู้ว่าประชาชนราษฎร จำนวนมากไม่เห็นด้วย แล้วทุกคนลุกขึ้นรักษาสิทธิเป็นพลเมืองของชาติ เมื่อชาติเดือดร้อนเราจะเป็นสุขได้อย่างไร บัดนี้แผ่นดินร้อนเป็นไฟ ต่างก็เดือดร้อนทั่วถึงกัน เมื่อมีโอกาสไม่ใช้สิทธิให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติมัวแต่หลับเป็นเสียงตาย
ผู้สัมภาษณ์ถามท้าวอัครเดชว่า หากว่ามีทางจะย้อนกลับไปสู่สภาวะเดิมก่อนคอมมิวนิสต์ เข้าครอบครองประเทศลาว คิดว่าจะทำอย่างไร ?
ท้าวอัครเดชตอบทันที่ว่า ... จะปลุกประชานลาวให้ตื่นจากหลับ เพราะประชาชนมีประมาณสามล้านกว่า พวกคอมมูนิสต์มีเพียงร้อยๆเมื่อพลเมืองสามล้านกว่าตื่นตาร่วมใจต่างลุกขึ้น มาช่วยกู้ชาติ คิดว่าคอมมิวนิสต์ไม่สามารถจะมีช่องว่างแยกเข้าได้ แต่น่าเสียดายที่พลเมืองสามล้านกว่าไม่ทำอะไรเพื่อประโยชน์แก่ชาติ! พากันสงบเฉยผิดกับพวกคอมมิวนิสต์ มันพยายามเร่งทำงานทั้งกลางวันและกลางคืน นี่แหละที่พลเมืองทั่วไปทำตัวไม่รู้สึกเดือดร้อนไม่วิตกกังวลอะไร มอบหน้าที่ให้รัฐบาลจัดการ เป็นต้นเหตุให้ราชอาณาจักรลาวต้องพินาศลงไป!!!กว่าจะรู้ตัวก็สายเกินแก้เสียแล้ว


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ก่อนหน้าที่เจ้ามหาชีวิตจะได้ประกาศสละราชบัลลังก์และตำแหน่งพระมหากษัตริย์ ลาวด้วยการถูกพวกแดงบีบบังคับให้พระองค์ต้องจำใจลาออก ก่อนสละราชสมบัติไม่กี่วัน เจ้าปัญญาผู้เป็นบุตรเจ้าสุวรรณภูมาผู้ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีนับแต่ลาวได้ เอกราชตลอดมา ได้รู้ระแคะระคายว่าจะถูกเชิญตัวไปสัมมนาที่เวียงไชยก็ตกใจ เพราะนำไปสัมมนาที่เวียงไชยนั้น ก็เท่ากับเข้าไปสู่แดนประหาร เมื่อไปแล้วก็ไม่มีวันกลับมาให้เห็นหน้าลูกหน้าเมียอีก ที่สุดเจ้าปัญญาได้ตัดสินใจโดดลงลำน้ำโขงข้ามมายังฝั่งดินแดนประเทศไทยด้วย มีแต่กางเกงในตัวเดียว เมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๑๘
ข้ามโขงมาถึงบ้านกงนาง อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคายเป็นผลสำเร็จ เมื่อเวลา ๑๘.๑๕ น. นับว่าต้องคอยหลบหลีกการติดตามของพวกแดงอย่างเสี่ยงชีวิตแล้วเข้าหาเจ้า หน้าที่ฝ่ายไทย เพื่อขอลี้ภัยไปประเทศฝรั่งเศส และเป็นผู้หนึ่งที่ได้เล่าถึงเบื้องหลังเหตุการณ์ในประเทศลาวหลังจากลาวแดง เข้าปกครองแล้ว พอจะได้เรื่องมาบันทึกไว้ตอนหนึ่ง เจ้าปัญญาผู้นี้มีตำแหน่งเป็นกรรมการบริษัทเดินอากาศลาว และเป็นกรรมการอำนวยการประปาแห่งประเทศลาว

สัมมนาที่เวียงไชย!!!
เมื่อพูดถึงความหวาดกลัวของข้าราชการ หาความสงบไม่ได้มีแต่หวาดระแวงว่าจะถูกเชิญไปสัมมนาที่เวียงไชยเมื่อใด เพราะการเชิญไม่บอกให้รู้ตัวและมีจำนวนมากได้ถูกเชิญไปจากสถานที่ทำการ และกำลังปฏิบัติงานตามหน้าที่อยู่อย่างไม่ทันรู้ตัว พอรู้ตัวว่าจะถูกส่งไปสัมมนาที่ “เวียงไชย” ก็สั่นสท้านเหมือนเป็นไข้ คำว่าสัมมนาในแดนเวียงไชยก็เหมือนไปสู่แดนพญายม แดนประหารเพราะผู้ไปแล้วไม่เคยกลับ นับแต่พวกแดงเข้าปกครองประเทศลาวเด็ดขาดแล้วมีประชาชนที่ถูกส่งประมาณราวๆ สี่หมื่นกว่าคนแล้วยังจะส่งไปไม่หยุดยั้ง
ฉะนั้นคำว่าไปสัมมนาที่เวียงไชยเหมือนคำประกาศิตที่น่าหวาดกลัวมาก ใครได้ยินก็ขนพองสยองเกล้าแทบหัวใจวาย หยุดหายใจเหมือนตายไปแล้วครึ่งตัว ความหวาดกลัวของประชาชนต้องคอยระวัง ปิดปากไม่ยอมพูดอะไรกล่าวร้ายพวกแดง ประชาชนต่างอยู่ด้วยจิตใจไม่สงบมีแต่ความหวาดสดุ้งกลัว คอยระวังตัวและต่างระแวงซึ่งกันและกัน แม้บุคคลเคยเป็นเพื่อนกันมาก่อนก็ต่างไม่ไว้ใจกัน แม้แต่คนในครอบครัวเดียวกันจะพูดจะปรึกษาหารือก็ยังไม่ไว้ใจกัน เกรงข่าวจะรู้ไปถึงพวกแดงก็จะถูกเชิญไปสัมมนาที่ “เวียงไชย” เอาง่ายๆฉะนั้นพวกแดงมีทางแยบคายปิดปากชาวบ้านชาวเมืองอย่างแนบเนียนที่ไม่ เห็นด้วยก็ไม่กล้าซุบซิบมั่วสุมจับกลุ่มก่อความไม่สงบ หากมีใครปฏิบัติเช่นนี้ถือว่าเป็นปฏิปักษ์ศัตรูของฝ่ายแดงก็ถูกเชิญไปสัมมนา ที่เวียงไชยไม่ยกเว้น พวกแดงส่งสายลับกระจายแทรกแทบทุกแห่งหน
แม้แต่นิสิตนักศึกษา ซึ่งเคยเป็นกำลังพลังให้พวกชาวแดง เป็นหัวหน้าเที่ยวปลุกระดมมวลชน เป็นเครื่องมือ หลงใหลในคำโฆษณาชวนเชื่อของพวกแดงว่า
“เมื่อท้องฟ้าสดใสสีทองผ่องอำไพ เมื่อกำจัดศัตรูลงได้ประชาชนจะได้เริ่มเป็นใหญ่ในแผ่นดิน เมื่อนั้นทุกคนจะมีสิทธิเสรีเท่ากัน ไม่มีการแบ่งชั้นวรรณะ ทุกคนเสมอกัน”
แต่เมื่อทุกอย่างอยู่ในอำนาจกำมือของพวกคอมมิวนิสต์แต่ทุกอย่างกลับตรงกัน ข้ามกับโฆษณาของฝ่ายแดง พวกประชานชนชาวเมืองได้รับแต่ความเหี้ยมโหดดุร้าย ทารุณผิดธรรมดามนุษย์ทั่วไปในโลกชาวบ้านชาวเมืองทั่วไปต้องชอกช้ำระกำใจ น้ำตาตกใน บัดนี้สูญสิ้นสิทธิเสรีภาพและหมดสิ้นชีวิตในอนาคต แผ่นดินลาวแต่ก่อนเคยร่มเย็นเป็นสุขบัดนี้ร้อนเป็นไฟทั่วไป
หนีข้ามโขง
พระราชวงศ์เจ้ามหาชีวิตต่างไม่สามารถจะอยู่ในบ้านเกิดเมืองนอนได้หลบหนีมาเมืองไทยเพื่อขอลี้ภัยแล้วจะเดินทางไปขอลี้ภัยในประเทศ ฝรั่งเศส พวกประชาชนต่าง ก็หลบหนีข้ามเข้ามาขอพึ่งประเทศไทยเหมือนบ้านเมืองพี่เมือง น้อง พวกหนีเอาชีวิตรอดข้ามโขงจำนวนหมื่นๆและเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆตลอดพวกนิสิต นักศึกษาพวกนี้ต้องโจนลงฝั่งโขง เพื่อเอาตัวรอดรักษาชีวิตไว้เข้ามาพึ่งความร่มเย็นแห่งแผ่นดินไทย พวกนิสิตนักศึกษาพวกนี้เคยเป็นหัวหน้าปลุกระดมมวลชน เป็นเครื่องมือให้ฝ่ายแดงขับไล่สหรัฐอเมริกา และช่วยกันกำจัดรัฐมนตรีฝ่ายขวาในรัฐบาลผสมซึ่งร่วมกันได้ประมาณหนึ่งปีสภา ก็พัง เพราะถูกฝ่ายแดงเดินแผนการใต้ดินกำจัดรัฐมนตรีฝ่ายขวาให้หมดสิ้นไป เมื่อฝ่ายแดงเข้ายึดอำนาจได้อย่างง่ายดาย โดยอาศัยพวกนิสิตนักศึกษาเป็นเครื่องมือพลัง สำคัญที่ช่วยเหลือชักชวนปลุกระดมมวลชน เมื่อเหตุการณ์ภายในเสร็จเรียบร้อยแล้ว การจะให้ทุกคนมีสิทธิเสมอกัน ประชาชนเป็นใหญ่ในแผ่นดินจะไม่ได้ยินต่อไป!


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

การเริ่มขับไล่สหรัฐอเมริกา ก็เป็นแผนการของลาวแดงนั้นเป็นเรื่องง่ายๆ คือฝ่ายแดงได้ปลุกมวลชนและพวกนิสิตนักศึกษาให้เดินขบวนไปสำนักยูเซตลาว(USAID)และไป หมู่บ้านของพวกเจ้าหน้าที่ของสถานทูตสหรัฐอเมริกา ซึ่งภายในมีลูกค้าจ้างคนงานพนักงานล้วนแต่เป็นฝ่ายแดงอยู่ก่อนแล้ว ก็ก่อกวนภายในสถานที่นั้นให้เกิดความปั่นป่วน เมื่อพวกนักศึกษาประชาชนเข้าล้อมสถานที่นั้นไว้แล้วก็คุกคามยื่นคำขาดขับไล่ สหรัฐอเมริกาเพียงเท่านี้สำนักงานยูเซดลาวก็ปิดลง เพราะพวกรัฐบาลก็เห็นดีเห็นชอบด้วย แผนการของฝ่ายแดงก็เกิดผลตามความประสงค์!
ขับพวกรัฐมนตรีฝ่ายขวา!!!
เมื่อแผนการได้สำเร็จเป็นขั้นๆไปอย่างง่ายดาย แผนการต่อไปก็มีการปลุกระดมประชานชน และพลเมืองกรรมกรนิสิตนักศึกษาให้โฆษณาชี้ให้เห็นความผิดของรัฐบาลฝ่ายขวา ที่ทำให้เกิดความเดือดร้อนทั่วไปโดยมีพรรคคอมมูนิสต์ฝ่ายแดงได้เตรียมการ เดินขบวนขับไล่รัฐมนตรีฝ่ายขวา! ประณามว่าเป็นพวกคอรัปชั่น! ประชาชนพลเมืองลาวทั้งชาติไม่ไว้วางใจพวกรัฐมนตรีฝ่ายขวา ขอให้ฝ่ายแดงเข้ายึดอำนาจปกครองลาว นอกจากเดินขบวนโดยนักเรียนนักศึกษากรรมกรองค์การต่างๆ ที่เป็นแดงทำการขับไล่รัฐมนตรีฝ่ายขวา แล้วยังทำพิธีเผาหุ่น นอกจากเผาหุ่นรูปรัฐมนตรีที่ระบุชื่อไว้แล้วยังขู่จะเผาบ้านรัฐมนตรีที่มี ชื่อ การเดินขบวนขับไล่รัฐมนตรีฝ่ายขวานั้น ทำให้บรรดาพ่อค้าคหบดีและหมู่ประชาชนทั้งหลายตื่นตระหนกตกใจ เพราะมีการขว้างระเบิดจนเจ้าบุญอ้อมน้องชายเจ้าบุญอุ้ม ซึ่งเป็นรัฐมนตรีฝ่ายขวาผู้หนึ่งเสียชีวิตลงด้วยการกระทำอย่างอุอาจของพวก แดง ทำให้บรรดาพ่อค้าประชาชนทั่วไปต้องหวาดกลัวเสียขวัญแตกตื่น พวกรัฐมนตรีต่างก็หลบหนีเพื่อเอาชีวิตรอดพ้นพร้อมทั้งครอบครัว ฝ่ายแดงจึงมีโอกาสเข้ายึดเอาบ้านช่องทรัพย์สิน
การเข้ายึดอำนาจการปกครองประเทศลาว โดยฝ่ายแดงใช้ชั้นเชิงอุบายไม่ต้องใช้กำลังเข้ากวาดล้าง เมื่อทำการยึดอำนาจการบริหารทั้งหมดในครั้งนี้ ตลอดเข้ายึดโรงงานร้านค้ากิจการอุตสาหกรรมต่างๆ บ้านช่องของพวกฝ่ายขวา และประชาชนทั่วไปมักจะใช้คำว่าเจ้าของบ้านเต็มใจยกให้แล้ว หรือบอกว่าเจ้าของเขาไม่อยู่ต้องช่วยส่งพลพรรคมาเฝ้าดูแลให้ความเรียบร้อย
พวกแดงมีคำพูดที่นิ่มนวลเรียบร้อยแต่ภายนอก ภายในซ่อนความเหี้ยมโหดดุร้ายเฉียบขาด ไม่มีมนุษย์ธรรม ไม่มีความเมตตาปรานีฆ่ากันง่ายๆ
เมื่อพวกแดงได้อำนาจแล้วก็บีบบังคับขู่เข็ญเข้ามหาชีวิตให้สละตำแหน่ง ลาจากราชบัลลังก์กษัตริย์บังคับให้เขียนคำแถลงการณ์ดังข้อความต่อไปนี้=
คำประกาศการลาออกจากเจ้ามหาชีวิต พระเจ้าศรีสว่างวัฒนา!!!
การเปลี่ยนแปลงทางด้านการเมืองในประเทศลาวการอยู่ร่วมกันในตำแหน่งพระมหา กษัตริย์ ในรูประบอบราชาธิปไตยที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญและอำนาจอธิปไตยประชาชนทำให้ ขัดขวาไม่สามารถดำเนินสู่วิธีทางการก้าวหน้าของประเทศ
เพื่อให้การดำเนินงานของประเทศชาติไปสู่ความก้าวหน้าอย่างสะดวกสบาย เพื่อให้เอกภาพของชาติเข้มแข็งขึ้น ในวันนี้ด้วยความรู้สึกตัวอย่างลึกซึ้ง และความสง่าผ่าเผย ข้าพเจ้ายอมสละราชบัลลังก์ นั่นคือข้าพเจ้ายอมสละราชสมบัติอย่างบริสุทธิ์ใจ และอย่างสิ้นเชิงปราศจากความนึกคิดปิดบังไว้ในใจ และด้วยความเลื่อมใสทุกประการ
ข้าพเจ้ามอบให้ประชาชนพลเมืองลาวได้มีอธิปไตยของประชาชนอย่างแท้จริง ในการกำหนดโชคชะตาของประเทศชาติบ้านเมืองของตนเอง
ในเมื่อกลับกลายมาเป็นพลเมืองสามัญลาวแล้ว ข้าพเจ้าขอประสิทธิ์ประสาทพร อันเต็มเปี่ยมด้วยความจริงใจเพื่อเอกราชความอยู่ดีกินดี ความสุขสมบูรณ์จงเป็นของประชาชนลาวทั้งชาติที่แสนรักยิ่ง
เขียนที่หลวงพระบาง
วันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๑๙๗๕
แรม ๑๑ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีเถาะ
พุทธศักราช ๒๕๑๘
ศรีสว่างวัฒนา
หลังจากพวกแดงได้เข้าครอบครองในประเทศลาวมีอำนาจ ก็เริ่มแสดงความเหี้ยมโหดเด็ดขาดที่แท้จริงในโฉมหน้าออกมา ทำให้ประชาชนลาวทั่วไปมีชีวิตอยู่ด้วยความหวาดกลัว เพราะพวกแดงเริ่มกวดขัน มีแต่ความหวาดระแวงเมื่อไหร่จะถูกพวกแดงมาเชิญตัวไปสัมมนาที่ “เวียงไชย” เพราะไม่รู้ว่าตัวเองพูดอะไรตำหนิพวกแดงบ้าง ความกลัวทำให้ประชาชนชาวบ้านต่างสงบปากสงบเสียง ต่างก็กลัวไม่กล้าแสดงความรู้สึกออกมา ไม่มีใครไว้ใจใคร แม้มีปากก็ไม่มีสิทธิจะพูดได้ตามใจความรู้สึกเช่นเมื่อก่อนที่พวกแดงจะ ปกครอง หมดความเป็นอิสรเสรี ตกอยู่ในความหวาดกลัวตลอดเวลา
หนีเพื่อรอดชีวิต


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

บันทึกเรื่องในประเทศลาว!!!
ข้อสัญญาตกลงทำขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๕๑๖ โดยรัฐบาลเจ้าสุวรรณภูมาเป็นนายกรัฐมนตรีฝ่ายหนึ่งกับลาวแดงหรือลาวรักชาติ เจ้าสุภานุวงศ์ เป็นผู้นำอีกฝ่ายหนึ่งทั้งสองตกลงกัน จะตั้งรัฐบาลผสมขึ้นอยู่ใต้รัฐธรรมนูญของฝ่ายขวาโดยมีเจ้าสุวรรณภูมาเป็น นายกรัฐมนตรีร่วมปกครองประเทศลาว เพื่อยุติการสู้รบช่วงชิงอำนาจ และประชาชนในแผ่นดินมาเป็นเวลาช้านาน จะได้ยุติลงเพื่อสร้างความสงบให้ประชาชน ผ่อนคลายอารมณ์หวาดกลัวทุกข์ยากลำบากลงบ้าง ข้อตกลงครั้งนี้ให้เมืองเวียงจันทร์ และเมืองหลวงพระบางเป็นเมืองเปิดการปกครองก็แบ่งหน้าที่กัน โดยมีเจ้าสุวรรณภูมาเป็นนายกรัฐมนตรี ฝ่ายว่าการกระทรวงกลาโหมก็มีลาวฝ่ายขวาว่าการ แต่ก็มีลาวแดงเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการ คอยคานไว้มิได้ปล่อยให้รัฐมนตรีว่าการ มีอำนาจเด็ดขาดสั่งงานตามความพอใจ กระทรวงเศรษฐการเป็นฝ่ายลาวแดงแต่ก็มีรัฐมนตรีช่วยเป็นฝ่ายขวาคอยถ่วงไว้ด้วย เป็นต้น ถ้าพิจารณาดูแล้วไม่น่าจะเข้ากันได้เลย คงจะมีการไม่ลงลอยกันบ้างไม่มากก็น้อย! แม้แต่ฝ่ายเดียวกันก็ยังมีการขัดแย้งกันเสมอ! ยิ่งฝ่ายคอมมูนิสต์ไม่มีความจริงใจซื่อสัตย์กับสัญญาใดๆ! แต่ข้างลาวฝ่ายขวานั้นเมื่อสัญญาปรองดองกันแล้วก็นิ่งนอนใจ! เพราะเมื่อไม่มีการสู้รบเหตุการณ์ก็สงบเรียบร้อย ก็ไว้วางใจ แต่ฝ่ายลาวแดงหรือลาวรักชาติมิได้นิ่งนอนใจทำการใต้ดินอยู่ตลอดเวลา!เพื่อหาทางโค่นรัฐบาลฝ่ายขวาและโค่นล้มราชบัลลังก์เจ้ามหาชีวิตลาว! จึงฉวยโอกาสคัดเอานิสิตนักศึกษาออกเผยแพร่ลัทธิแดงเงียบๆ! ให้ประชาชนเมืองหลวงคำโฆษณาตามที่ต่างๆ หาทางกำจัดรัฐบาลเจ้าสุวรรณภูมาเพื่ออาศัยเสียงประชาชนมาอ้างขับไล่ลาวฝ่ายขวาโดยไม่ต้องออกแรง! เพื่อฝ่ายแดงจะครอบครองประเทศลาวทั้งหมดและยังกระจายทหารแดงออกไปช่วยเหลือ ชาวบ้านราษฎรในการเก็บเกี่ยวข้าว โดยไม่ยอมรับสินจ้างรางวัลใดๆ แม้ชาวบ้านจะเชื้อเชิญให้กินอาหาร จัดมาเพื่อเลี้ยงดูตามธรรมเนียมตามประเพณีเก่าแก่
ทหารแดงเหล่านั้นมีข้าวห่อและกระติกน้ำติดตัวเพื่อแสดงว่า พวกแดงไม่ใช่ไปเบียดเบียนรบกวนชาวบ้านให้เดือดร้อน ไปช่วยชาวบ้านด้วยความบริสุทธิ์ผิดกับรัฐบาลฝ่ายขวา มีข้าราชการฉ้อราษฎร์บังหลวงกดขี่ประชาชนพลเมืองรีดไถ ทำลายความศรัทธาของประชาชนพลเมือง แผนการนี้ได้ผลเพราะอุบายอุบาทว์หลอกลวงฉาบไว้ภายนอกให้ความเห็นใจประชานชน พลเมืองทั่วไป เพื่อนหาความนิยมเป็นเครื่องมือ เพื่อเป็นการง่ายเมื่อเวลาปลุกปั่นระดมมวลชน ชาวบ้านก็เป็นเครื่องมือ ซึ่งแซ่ซร้องสรรเสริญยกย่องเชื่อว่าลัทธิคอมมิวนิสต์เป็นลัทธิดี หลงเชื่อท่าทางกิริยาภายนอกเสมือนเป็นนักบุญในคราบภายนอก ภายในซ่อนพิษร้ายจิตใจเหี้ยมโหดเป็นสัตว์นรก เที่ยวไปแสดงตามแผนการแม้แต่พวกพ่อค้าแม่ค้าขายของเล็กๆน้อยๆ ตามตลาดก็ช่วยแก้ไขให้พ้นโทษ เพราะไม่มีใครรู้ถึงแผนการอันชั่วร้ายของคอมมิวนิสต์ที่จะครองลาวไว้ฝ่าย เดียว เมื่อแผนการที่วางไว้ก็เกิดผล การหาเสียงในหมู่ข้าราชการก็เป็นไปตามแผนการแล้ว
เริ่มแผนการทำลายเศรษฐกิจของชาติ และของรัฐบาลฝ่ายขวา ก็คือลาวแดงฝ้ายซ้ายเสนอไม่ยอมรับการช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกา อ้างว่าการได้รับความช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกานั้นมีเอกราชไม่สมบูรณ์ เราต้องการเอกราชโดยสมบูรณ์ เราต้องพึ่งตัวเอง ฟังแล้วก็มีเหตุผล แต่ประชาชนได้รับความเดือดร้อน เพราะค่าข้าวของค่าครองชีพแพงขึ้นมากมาย เป็นแผนการของฝ่ายแดงเพื่อกล่าวร้ายป้ายสีให้พวกรัฐมนตรีฝ่ายขวา ฝ่ายแดงได้โฆษณาว่าการที่ประชาชนได้รับความเดือดร้อนครั้งนี้เป็นด้วยการ ปกครองของรัฐบาลรับผิดชอบผิดพลาดมาแต่กำเดิมก่อนที่ฝ่ายแดงจะเข้ามาเป็น รัฐบาลผสม ข่มขี่ขูดรีดประชาชน ข้าราชการคอรัปชั่น เปิดบ่อนคาซิโน เหตุการณ์เกิดขึ้น ที่ฝ่ายขวามีเจ้าสุวรรณภูมาเป็นนายกรัฐมนตรีปกครองมาเป็นเวลาอันยาวนาน!


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 



ທາງຍາກ... ຢູ່ນະຄອນຫຼວງ
vientiane mai
ວັນທີ 20 ກຸມພາ 2012 -

... ຕົກລະ­ດູ­ແລ້ງເສັ້ນ­ທາງຫຼາຍສາຍຢູ່ນະ­ຄອນ­ຫຼວງວຽງຈັນ ພວມຢູ່ໃນໄລ­ຍະປັບ­ປຸງປົວ­ແປງ ແລະ ສ້າງໃໝ່... ແນ່­ນອນ ເມື່ອມີການສ້າງໃໝ່ກໍຍ່ອມສ້າງຜົນກະ­ທົບແກ່ການສັນ­ຈອນເປັນຂອງ ທຳມະດາ ບໍ່ສາ­ມາດຫຼີກລ້ຽງໄດ້.

ແຕ່ບັນ­ຫານີ້ ຜູ້ທຽວທາງກໍຄືຜູ້ດຳ­ລົງຊີ­ວິດແຄມທາງມີຫາງສຽງຫຼາຍທີ່ສຸດ ເປັນ­ຕົ້ນແມ່ນທາງຕານມີໄຊຫາໜອງທາໃຕ້ ໂພນຕ້ອງ-ດອນແດງ ທາງບຶງທາດ­ຫຼວງ-ໂນນຄໍ້-ໂນນຫວາຍ...

ມີຜູ້ສ່ອງແສງເຖິງຄໍລຳພວກເຮົາເລື້ອຍໆ... ເວ­ລາທ່ານສະ­ມາ­ຊິກສະ­ພາແຫ່ງຊາດ ລົງໄປພົບປະພໍ່ແມ່ປະ­ຊາ­ຊົນນັ້ນ ປະ­ຊາ­ຊົນກໍມີຂໍ້ສະ­ເໜີ ແຕ່ໃນຕົວຈິງກໍເຫັນ­ໃຈການປັບ­ປຸງ ປົວ­ແປງ ແລະ ການສ້າງໃໝ່ ເພາະຕ້ອງເວົ້າເຖິງງົບ­ປະ­ມານ.

ສຳ­ລັບເສັ້ນ­ທາງບຶງທາດ­ຫຼວງ-ໂນນຄໍ້-ໂນນຫວາຍນີ້ ເພື່ອນຜູ້ອ່ານຕັ້ງບັນ­ຫາວ່າ: ການສ້ອມ­ແປງແຕ່ລະເທື່ອ ສັງ­ເກດເຫັນວ່າບໍ່ເໝາະສົມກັບງົບ­ປະ­ມານປານ­ໃດ ? ເພາະເຫັນແຕ່ລົດມາກວດດິນ... ໃຫ້ຮາບພຽງ ຫຼື ຖົມດິນແດງໃສ່ກໍແລ້ວ­ໄປ... ປະ­ຊາ­ຊົນທົນຝຸ່ນບໍ່ໄຫວກໍຫົດນ້ຳເປື້ອນໃສ່ ທາງກໍເປ່ເພອີກ... ເພິ່ນຕັ້ງຂໍ້ສັງ­ເກດວ່າ ງົບ­ປະ­ມານທີ່ໃຊ້ເຂົ້າໃນການແປງທາງນັ້ນ ຄັນແມ່ນເອົາມາລວມກັນເບິ່ງຢ້ານວ່າເຮັດທາງໃໝ່ໄດ້ແລ້ວກະບໍ່ຈັກ ? ສະ­ນັ້ນ ເພິ່ນຈຶ່ງສ່ອງແສງມາວ່າ: ຢາກໃຫ້ມີການຕິດ­ຕາມເບິ່ງການປັບ­ປຸງປົວ­ແປງທາງເບິ່ງວ່າ ມັນສົມມາພາຄວນຫຼືບໍ ? ອາດມີຂໍ້ອ້າງບໍ່ຢາກສ້າງທາງໃໝ່... ຍ້ອນວ່າ­ການປັບ­ປຸງປົວ­ແປງແຕ່ລະຄັ້ງ ມັນມີລາຍຮັບດີກ່ວາການສ້າງໃໝ່... ຄັນແມ່ນສ້າງໃໝ່ໝົດ ງົບສ້ອມ­ແປງບໍ່ມີ... ແລ້ວຈະໄປຫາກິນຢູ່ໃສນໍ ?.

ອັນນັ້ນແມ່ນຄຳສ່ອງແສງເລື່ອງການສ້ອມ­ແປງເສັ້ນ­ທາງຫຼາຍສາຍທີ່ເປ່ເພຢູ່ໃນປັດ­ຈຸ­ບັນ.

ໃນຕົວຈິງທາງຫຼາຍເສັ້ນຍິນຂ່າວວ່າມີການປະ­ມູນຮຽບຮ້ອຍ ແຕ່ບໍ­ລິ­ສັດບໍ່ຄ່ອຍລົງ­ມືກໍ່­ສ້າງ... ອັນນີ້ທາງພາກ­ສ່ວນກ່ຽວ­ຂ້ອງກໍລົງກວດ­ກາ ແລະ ເປີດ­ເຜີຍເປັນຂ່າວມາແລ້ວນໍ ? ແຕ່ສຳ­ລັບເສັ້ນ­ທາງແຕ່ນາຄວາຍທີ່ອອກມາຈາກທາງ 450 ປີ ເນັ່ງມາໃສ່ໂນນຫວາຍ-ໂນນຄໍ້-ບຶງທາດ­ຫຼວງນີ້ ຍິນຂ່າວມາມີບໍ­ລິ­ສັດປະ­ມູນໄດ້ຄັກ­ແນ່ ? ແຕ່ມາຮອດດຽວ­ນີ້ກໍຍັງບໍ່ທັນມີຂ່າວອອກມາ ວ່າຈະລົງ­ມືສ້າງໃໝ່ຍາມໃດ ?.

ເມື່ອບໍ່ມີຂ່າວ ເຫັນແຕ່ການສ້ອມ­ແປງພໍ­ແລ້ວຮີດຄືກ່າວມາຂ້າງເທິງ ຄົນສ່ວນຫຼາຍກໍເລີຍຕັ້ງບັນ­ຫາຄືເວົ້າມານໍ ?.

ຢາກໃຫ້ ຄ.ຍ.ທ ນະ­ຄອນ­ຫຼວງເຮົາກວດ­ກາ ແລະ ລົງໄມ້­ແສ້ໃສ່ບໍ­ລິ­ສັດທີ່ໄດ້ຮັບສຳປະ­ທານ ເພາະບໍ່ຊັ້ນມັນບໍ່ເໜັງ ? ປີ 2012 ເຮົາເປັນເຈົ້າ­ພາບໃຫຍ່ຈັດກອງປະ­ຊຸມອາເຊັມ... ທາງເວັ້ນມີແຕ່ຈຸດໜອງໜ່ຽງມາໃສ່ບຶງທາດ­ຫຼວງ ແຕ່ຈຸດນາຄວາຍຍັງຄື­ເກົ່າ... ລົດມັນກໍມາອັ່ງຢູ່ບຶງທາດ­ຫຼວງອີກ ເພາະມີຕະ­ຫຼາດຫຼາຍໂພດ ແລະ ອີກຕໍ່­ໜ້ານີ້ ກໍຈະມີການກໍ່­ສ້າງໂຄງ­ການບຶງທາດ­ຫຼວງອີກ !.

ເພື່ອນຜູ້ອ່ານວ່າ: ແກ້ໄດ້ມີແຕ່ຂົນ­ສົ່ງທາງອາ­ກາດທໍ່ນັ້ນທີ່ໄວທັນ­ໃຈ...!.

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ระบอบเผด็จการ มี ลักษณะเด่นอยู่ที่การรวมอำนาจการเมืองการปกครองไว้ที่บุคคลเพียงคนเดียว! คณะเดียว!หรือพรรคเดียว! โดยบุคคลหรือคณะบุคคลดังกล่าวสามารถใช้อำนาจนั้นควบคุมบังคับประชาชนได้โดยเด็ดขาด! หากประชาชนคนใดคัดค้านผู้นำหรือคณะผู้นำก็จะถูกลงโทษให้ทำงานหนัก หรือถูกจำคุก!!!

ระบอบเผด็จการมี 3 แบบ คือ 1.เผด็จการทหาร!
2.เผด็จการฟาสซิสต์!
3.เผด็จการคอมมิวนิสต์!
1. ระบอบเผด็จการทหาร:
ระบอบเผด็จการทหาร หมายถึง ระบอบเผด็จการที่คณะผู้นำฝ่ายทหารเป็นผู้ใช้อำนาจเผด็จการในการปกครองโดยตรง หรือโดยอ้อม ผ่านทางพลเรือนที่พวกตนสนับสนุน และมักจะใช้กฎอัยการศึก!หรือรัฐธรรมนูญที่คณะของตนสร้างขึ้นเป็นเครื่องมือในการปกครอง! โดยทั่วไปคณะผู้นำทหารมักจะใช้อำนาจเผด็จการปกครองประเทศเป็นการชั่วคราว ระหว่างที่ประเทศอยู่ในภาวะสงครามหรือหลังจากล้มเลิกระบอบประชาธิปไตย โดยมีเป้าหมายเพื่อขจัดภัยคุกคามบางอย่างต่อความมั่นคงของรัฐ ส่วนมากแล้วเมื่อเหตุการณ์ความวุ่นวายต่างๆ สงบลง คณะผู้นำทางทหารก็มักจะอ้างสาเหตุต่างๆ นานาเพื่อยึดอำนาจการปกครองประเทศต่อไปอีก ไม่ยอมที่จะคืนอำนาจกลับมาให้ประชาชนโดยง่าย ดังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสหภาพพม่าในปัจจุบันนี้เป็นต้น แต่ทว่าเมื่อเวลายิ่งผ่านเนิ่นนานออกไปกระแสความไม่พอใจในหมู่ประชาชนรวม ทั้งแรงกดดันจากนานาชาติ ก็จะทำให้คณะผู้นำทางทหารกุมอำนาจการปกครองไว้ไม่ได้ ในที่สุดก็จำเป็นต้องคืนอำนาจให้ประชาน แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ ในบางประเทศก็เกิดความวุ่นวาย มีการต่อสู้ระหว่างกำลังของประชาชนกับกำลังของรัฐบาลเผด็จการทหาร ซึ่งจากประวัติศาสตร์การเรียกร้องสิทธิเสรีภาพในการปกครองที่ผ่านมา มักจะจบลงโดยชัยชนะเป็นของฝ่ายประชาชน! เช่นเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นที่โรมาเนีย! ฟิลิปปินส์! เป็นต้น ตัวอย่างของการปกครองแบบเผด็จการทหาร เช่น การปกครองของญี่ปุ่นระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 อันเป็นระยะที่พลเอกโตโจและคณะนายทหารใช้อำนาจเผด็จการในการปกครอง หรือการปกครองของไทยระหว่างที่ไม่มีรัฐธรรมนูญ ในระหว่างวันที่ 20 ตุลาคม 2501 ถึงวันที่ 20 มิถุนายน 2511 อำนาจการปกครองประเทศตกอยู่ภายใต้การควบคุมของคณะปฏิวัติ ซึ่งนำโดย จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และจอมพลถนอม กิตติขจร ส่วนในปัจจุบันก็มี เช่น การปกครองของสหภาพพม่าภายใต้การนำของพลเอกตาน ส่วย เป็นต้น!

2. ระบอบเผด็จการฟาสซิสต์:
ระบอบเผด็จการฟาสซิสต์ หมายถึง ระบอบเผด็จการที่ผู้นำคนหนึ่งซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มนักธุรกิจและกองทัพให้ใช้อำนาจเผด็จการปกครองประเทศ ผู้นำในระบอบการปกครองเผด็จการฟาสซิสต์มักจะมีลัทธิการเมืองที่เรียกกันว่า ลัทธิฟาสซิสต์ เป็นลัทธิชี้นำในการปกครองและมุ่งที่จะใช้อำนาจเผด็จการปกครองประเทศเป็นการ ถาวร โดยเชื่อว่าระบอบการปกครองแบบนี้เหมาะสมกับประเทศของตน และจะช่วยให้ประเทศของตนมีความเจริญก้าวหน้าโดยเร็ว ตัวอย่างของการปกครองระบอบเผด็จการฟาสซิสต์ เช่น การปกครองของอิตาลีสมัยมุสโสลินีเป็นผู้นำ ระหว่าง พ.ศ. 2473 – 2486 การปกครองของเยอรมนีสมัยฮิตเลอร์เป็นผู้นำ ระหว่าง พ.ศ. 2476 – 2488 หรือการปกครองของสเปนสมัยจอมพลฟรังโกเป็นผู้นำระหว่าง
พ.ศ. 2480 – 2518 เป็นต้น!

3. ระบอบเผด็จการคอมมิวนิสต์:
ระบอบเผด็จการคอมมิวนิสต์ หมายถึง ระบอบเผด็จการที่พรรคคอมมิวนิสต์เพียงพรรคเดียวได้รับการยอมรับ หรือสนับสนุนจากกลุ่มบุคคลต่างๆ และกองทัพให้เป็นผู้ใช้อำนาจเผด็จการปกครองประเทศ! คณะผู้นำของพรรคคอมมิวนิสต์เชื่อว่า ระบอบเผด็จการคอมมิวนิสต์เป็นรูปแบบการปกครองที่เหมาะสมกับประเทศของตน! และจะช่วยทำให้ชนชั้นกรรมาชีพเป็นอิสระจากการถูกกดขี่โดยชนชั้นนายทุน! รวมทั้งทำให้ประเทศมีความเจริญก้าวหน้าและเข้มแข็งทัดเทียมกับต่างประเทศได้! เร็วกว่าระบอบการปกครองแบบอื่น! ระบอบเผด็จการคอมมิวนิสต์มีความแตกต่างจากระบอบเผด็จการทหารอยู่ข้อหนึ่งที่ สำคัญ คือ ระบอบเผด็จการทหารจะควบคุมเฉพาะกิจกรรมทางการเมืองของประชาชนเท่านั้น! แต่ระบอบเผด็จการคอมมิวนิสต์จะใช้อำนาจเผด็จการควบคุมกิจกรรมละการดำเนิน ชีวิตของประชาชนในทุกด้าน!!! ไม่ว่าจะเป็นด้านการเมือง! การปกครอง! ด้านเศรษฐกิจ! และด้านสังคม! ด้วยเหตุนี้นักรัฐศาสตร์จึงเรียกระบอบเผด็จการคอมมิวนิสต์อีกอย่างหนึ่งว่า ระบอบเผด็จการแบบเบ็ดเสร็จ!!!

หลักการของระบอบเผด็จการ:
1. ผู้นำคนเดียว!หรือคณะผู้นำของกองทัพ! หรือของพรรคการเมืองเพียงกลุ่มเดียวมีอำนาจสูงสุด และสามารถใช้
อำนาจนั้นได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องฟังเสียงคนส่วนใหญ่ในประเทศ!!!
2. การรักษาความมั่นคงของผู้นำหรือคณะผู้นำ มีความสำคัญกว่าการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน ประชาชนไม่สามารถที่จะวิพากษ์วิจารณ์การกระทำของผู้นำอย่างเปิดเผยได้!
3. ผู้นำหรือคณะผู้นำสามารถที่จะอยู่ในอำนาจได้ตลอดชีวิต! หรือนานเท่าที่กลุ่มผู้ร่วมงานหรือกองทัพยังให้การสนับสนุน! ประชาชนทั่วไปไม่มีสิทธิที่จะเปลี่ยนผู้นำได้โดยวิถีทางรัฐธรรมนูญ!!!
4. รัฐธรรมนูญและการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนที่จัดขึ้นตามรัฐธรรมนูญและรัฐสภา ไม่มีความสำคัญต่อกระบวนการทางการปกครองเหมือนในระบอบประชาธิปไตย!!! กล่าวคือ รัฐธรรมนูญเป็นแต่เพียงรากฐานรองรับอำนาจของผู้นำหรือคณะผู้นำเท่านั้น! ส่วนการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนที่จัดขึ้นก็เพื่อให้ประชาชนออกเสียงเลือกตั้ง!ผู้สมัครที่ผู้นำหรือคณะผู้นำส่งเข้าสมัครรับเลือกตั้งเท่านั้น! ในทำนองเดียวกัน รัฐสภาก็จะประชุมกันปีละ 5 – 10 วัน เพื่อรับทราบและยืนยันให้ผู้นำหรือคณะผู้นำทำการปกครองต่อไป ตามที่ผู้นำหรือคณะผู้นำเห็นสมควร!!!

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

http://tiny.cc/serixonlao

ประธานแห่งรัฐเวียดนาม TruongTanSang เจราจากับเลขาธิการใหญ่ ประธานประเทศลาว!!!

9 กุมภาพันธ์ 2555





ท่าน จุมมะลี ไซยะสอน ประธานประเทศลาวให้การต้อนรับท่าน TruongTanSang ประธานแห่งรัฐเวียดนาม (Foto VOV)

(VOV) - เช้าวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ท่าน TruongTanSang ประธานแห่งรัฐเวียดนามพร้อมภริยาและคณะได้เดินทางถึงกรุงเวียงจันทร์เพื่อ เริ่มการเยือนสันถวไมตรีประเทศลาวอย่างเป็นทางการตามคำเชิญของท่าน จุมมะลี ไซยะสอน เลขาธิการใหญ่พรรคประชาชนปฏิวัติลาวและประธานประเทศลาว ภายหลังพิธีต้อนรับ ท่าน TruongTanSang ประธานแห่งรัฐเวียดนามได้มีการเจรจากับท่าน จุมมะลีไซยะสอนโดยได้แสดงความยินดีที่ได้เดินทางมาเยือนประเทศลาวเป็นครั้ง แรกในฐานะเป็นประธานแห่งรัฐเวียดนาม พร้อมทั้งแสดงความเชื่อมั่นว่า ประเทศลาวจะบรรลุผลงานที่ยิ่งใหญ่กว่าต่อไปในการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ ของประชาชนให้ดีขึ้น รวมทั้งยกระดับสถานะและบทบาทของประเทศในภูมิภาคและโลก ส่วนในการให้สัมภาษณ์นักข่าวภายหลังการเจรจา ท่าน TruongTanSang ได้แสดงความปรารถนาที่จะส่งเสริมาสัมพันธไมตรีพิเศษระหว่างสองประเทศให้ พัฒนายิ่งขึ้นในอนาคต“ทั้งสองฝ่ายได้ชื่นชมและแสดงความยินดี เมื่อเห็นว่า ความสัมพันธ์ที่มีมาช้านาน ความสามัคคีพิเศษและความร่วมมือในทุกด้านระหว่างสองประเทศในเวลาที่ผ่านมา ได้รับการพัฒนาและส่งเสริมต่อไป ทั้งสองฝ่ายได้หารือเกี่ยวกับมาตรการณ์เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีงามใน ทุกด้าน เห็นพ้องที่จะประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์พิเศษ เวียดนาม-ลาวและประสานการจัดกิจกรรมต่างๆในปี 2012 ให้เป็นผลสำเร็จ ผมเชื่อมั่นว่า การจัดกิจกรรมต่างๆในปี 2012 ให้เป็นผลสำเร็จจะสร้างนิมิตหมายแห่งการพัฒนาความสัมพันธ์พิเศษ เวียดนาม-ลาว”
ในการนี้ ผู้นำทั้งสองประเทศได้เป็นสักขีพยานในพิธีลงนามพิธีสารเกี่ยวกับความร่วมมือ ในการฝึกอบรมแหล่งบุคคลากรให้แก่ลาวในเวียดนาม แผนความร่วมมือในปี 2012 ระหว่างกระทรวงศึกษาและฝึกอบรมของลาวกับกระทรวงศึกษาและฝึกอบรมเวียดนามและ บันทึกช่วยจำที่ธนาคาร VietinBank จัดสรรค์สินเชื่อให้แก่ธนาคารกลางลาว เป็นต้น เช้าวันเดียวกัน ท่าน TruongTanSang ได้มีการเจรจากับท่าน ทองสิง ทำมะวง นายกฯลาว นาง ปานี ยาท่อตู้ ประธานรัฐสภาลาวและไปวางพวงมาลาที่สุสานทหารนิรนาม ในวันเดียวกัน ท่าน TruongTanSang ได้ให้การต้อนรับนายกสมาคมองค์การมิตรภาพลาว-เวียดนาม ประธานแนวลาวสร้างชาติและบรรดาผู้นำของจังหวัด หลวงพระบาง เดินทางไปเยือนนักปฏิวัติอาวุธโสลาว เข้าร่วมพิธีตัดริบบิ้นเปิดโครงการต่างๆในกรุงเวียงจันทรและเดินทางไปเยือน สถานทูตเวียดนามประจำประเทศลาว ส่วนในช่วงค่ำ ท่าน TruongTanSang ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงที่ท่าน จุมมะลี ไซยะสอน จัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติ ส่วนในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ท่าน TruongTanSang และคณะจะเดินทางไปเยือนแขวงจัมปาศักด์

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

http://www.clio.fr/CHRONOLOGIE/pdf/pdf_chronologie_laos.pdf

คำสอนของ ขงจื้อ!!!
ล้วนแต่เป็นคำสอนง่ายๆที่เรา"รู้" แต่ไม่เคย"ทำตาม"
ถ้าคุณคิดจะเป็นใหญ่ คุณก็จะได้เป็นใหญ่!
ถ้าคุณคิดอยากเป็นอะไร คุณก็จะได้เป็นสิ่งนั้น!
เพราะแสวงหา มิใช่เพราะรอคอย!
เพราะเชี่ยวชาญ มิใช่เพราะโอกาส!
เพราะสามารถ มิใช่เพราะโชคช่วย!
ดังนี้แล้ว "ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน"!
นกทำรังให้ดูไม้ ข้าเลือกนายให้ดูน้ำใจ!
ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด!
ที่เล็กที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด!
ที่มีเกียรติ คือ ผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น!
สติไม่มา ปัญญาก็ไม่มี!
ไม้คดใช้ทำขอ เหล็กงอใช้ทำเคียว แต่ คนคดเคี้ยวใช้ทำอะไรไม่ได้เลย!
เล่นหมากรุก อย่าเอาแต่บุกอย่างเดียว!
เดินหมากรุกยังต้อง " คิด "!
เดินหมากชีวิต จะไม่คิดได้อย่างไร!


ภาพจากอินเตอร์เน็ต


เมื่อใครสักคนหนึ่ง ทำผิด ท่านอย่าเพิ่งตำหนิหรือต่อว่าเขา!
เพราะถ้าท่านเป็นเขา และตกอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นเดียวกับเขา!
ท่านอาจจะตัดสินใจทำเช่นเดียวกับเขาก็ได้!

ปกครองระดับธรรมดา ใช้ความสามารถของตนอย่างเต็มที่!
ปกครองระดับกลาง ใช้กำลังของคนอื่นอย่างเต็มที่!
ปกครองระดับสูง ใช้ปัญญาของคนอื่นอย่างเต็มที่!

คิดทำการใหญ่ อย่าสนใจเรื่องเล็กน้อย!
ตาสามารถมองเห็นสิ่งที่ไกลได้! แต่ไม่สามารถ มองเห็นคิ้วของตน!
คนส่วนใหญ่ใส่ใจกับผลได้ระยะสั้นเท่านั้น! แต่คนฉลาดอย่างแท้จริงจะมองไปยังอนาคต!
-------------------
คำสอนของ ขงจื้อ!!!
ล้วนแต่เป็นคำสอนง่ายๆที่เรา"รู้" แต่ไม่เคย"ทำตาม"
ถ้าคุณคิดจะเป็นใหญ่ คุณก็จะได้เป็นใหญ่!
ถ้าคุณคิดอยากเป็นอะไร คุณก็จะได้เป็นสิ่งนั้น!
เพราะแสวงหา มิใช่เพราะรอคอย!
เพราะเชี่ยวชาญ มิใช่เพราะโอกาส!
เพราะสามารถ มิใช่เพราะโชคช่วย!
ดังนี้แล้ว "ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน"!
นกทำรังให้ดูไม้ ข้าเลือกนายให้ดูน้ำใจ!
ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด!
ที่เล็กที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด!
ที่มีเกียรติ คือ ผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น!
สติไม่มา ปัญญาก็ไม่มี!
ไม้คดใช้ทำขอ เหล็กงอใช้ทำเคียว แต่ คนคดเคี้ยวใช้ทำอะไรไม่ได้เลย!
เล่นหมากรุก อย่าเอาแต่บุกอย่างเดียว!
เดินหมากรุกยังต้อง " คิด "!
เดินหมากชีวิต จะไม่คิดได้อย่างไร!


ภาพจากอินเตอร์เน็ต


เมื่อใครสักคนหนึ่ง ทำผิด ท่านอย่าเพิ่งตำหนิหรือต่อว่าเขา!
เพราะถ้าท่านเป็นเขา และตกอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นเดียวกับเขา!
ท่านอาจจะตัดสินใจทำเช่นเดียวกับเขาก็ได้!

ปกครองระดับธรรมดา ใช้ความสามารถของตนอย่างเต็มที่!
ปกครองระดับกลาง ใช้กำลังของคนอื่นอย่างเต็มที่!
ปกครองระดับสูง ใช้ปัญญาของคนอื่นอย่างเต็มที่!

คิดทำการใหญ่ อย่าสนใจเรื่องเล็กน้อย!
ตาสามารถมองเห็นสิ่งที่ไกลได้! แต่ไม่สามารถ มองเห็นคิ้วของตน!
คนส่วนใหญ่ใส่ใจกับผลได้ระยะสั้นเท่านั้น! แต่คนฉลาดอย่างแท้จริงจะมองไปยังอนาคต!

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ທຸກໆທ່ານ ຜູ້ ຫ່ວງຫາອາໃລຊາຕລາວ...

ມັນຖືກຕ້ອງຕາມຂ່າວທີ່ທ່ານ ແບລກ ສົ່ງອອກມາ...ທັງໝົດມັນເປັນແຜນການກືນກິນປະເທດລາວ
ທີ່ຍາວນານ ຊຶ້ງພວກຜູ້ນໍາ ຂາຍຊາຕເລົ່ານີ້ ໄດ້ຮັບຮູ້ມາຕລອດ ແລະຖືວ່າເປັນການຕັ້ງໃຈ ຈະໃຫ້ປະເທດ
ລາວກາຍເປັນປະເທດດຽວກັບແກວຕັ້ງແຕ່ ເລີ້ມຕົ້ນເຂົ້າຮ່ວມກັບ ໂຫ້ຈິມິນພຸ້ນ...

ສລຸບໄດ້ ຢ່າງຈະແຈ້ງທີ່ສຸດວ່າ ຣັຖບານປະສົມຂອງຝ່າຍຂວາໃນເມື່ອກ່ອນນັ້ນ ແມ່ນການຮູ້ເທົ້າບໍ່ເຖິງການ
ທີ່ຕອ້ງຍອມຮັບເອົາແນວລາວເຂົ້າມາຮ່ວມເປັນ ຣຖບ ປະສົມສາມຝ່າຍ ຊຶ້ງມັນຖືກຕ້ອງຕາມຄໍາຂວັນທີ່
ເວົ້າວ່າ "ຢາກໄດ້ລູກເສືອກໍ່ຕ້ອງເຂົ້າຖໍ້າເສືອ"...

ສ່ວນນັກຕໍ່ສູ້ ລາວນອກຂອງພວກເຮົາ ຈົນມາເຖິງປະຈຸບັນນີ້ ຍັງຊອກຜູ້ນໍາພາ ບໍ່ທັນໄດ້ຊໍ້າທີ່ພໍຈະ ໄດ້ເອີ້ນວ່າ
ຫົວໜ້ານໍາພາຂບວນການຕໍ່ສູ້ກອບກູ້ເອົາປະເທດໃວ້...ໄດ້ມີແຕ່ ນາຍົກ ຣຖບ ພັດຖິ່ນ(ປະກົດວ່າມີຮອດສາມ
ທ່ານ) ແຕ່ເພິ່ນບໍ່ໄດ້ເປັນ ຫົວໜ້າບໍ ຈຶ່ງເຫັນປະກາດຫາ ຜູ້ສມັກມາເປັນຫົວໜ້າຢູ່..ແລະຍັງມີຫລາຍກຸ່ມອີກ
ທີ່ບໍ່ທັນໄດ້ເຂົ້າຮ່ວມກັນໄດ້ເທື່ອ ແລະ ຄົງຍັງລໍຖ້າ "ຈັງຫວະ" ກັນຢູ່ ຍັງບໍ່ຮູ້ວ່າຈະຟ້ອນຈັງຫວະໃດຊໍ້າ...

ເມື່ອ ເປັນເຊັ່ນນີ້....ເຫັນທີວ່າ ຄໍາເຕືອນຄັ້ງສຸດທ້າຍ ຂອງທ່ານ specom ສົ່ງອອກມາຫວ່າງບໍ່ນານມານີ້ນັ້ນ
ການຊິ້ນຊາຕລາວ ກໍ່ີຄົງຈະໃກ້ຄວາມຈິງທີ່ສຸດແລ້ວໃດນິເນາະ.."ຍຸກລາວຊິ້ນຊາຕ"is now at the frnt door..

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ຍ້ອນວ່າ ຂພຈ ບໍ່ຢາກບັງອາດຝັນເຖິງໃນສິ່ງທີ່ບໍ່ທັນມາເຖິງ....ໂດຍສະເພາະການຢ້ຽມຢາມລາວໃນປີ2013
ດັ່ງທີ່ຫລາຍໆທ່ານລາວນອກກໍາລັງຝັນຫວານເອົາໃວ້ຢູ່ໃນທຸກວັນນີ້...ສຸພາສິດລາວອັນລື້ງປາກທີ່ສຸດ :
"ຢ່າໄດ້ຫວັງກິນນໍ້າບໍ່ໜ້າ" ຄໍາຂວັນນີ້ ຄົງຍັງໃຊ້ໄດ້ຢູ່....

ປີ 2013 ຄົງຈະໝາຍຄວາມວ່າ ສປປລ ຄົງປ່ຽນເປັນຣະບອບໃໝ່ໄປແລ້ວ ໂດຍຝັນໃວ້ວ່າ ອມຣກ ຈະເປັນເຈົ້າ
ການໃຫ້ໃນການປ່ຽນແປງດັ່ງກ່າວ....ຂພຈ ກໍ່ແອບຝັນໃວ້ສ່ວນນ້ອຍໆນຶ່ງຕັ້ງແຕ່ນານມາແລ້ວ ແຕ່ ບໍ່ແມ່ນ
ຫລົ້ມຕົວຈົນໝົດໃຈ....ເພາະຢ້ານອົກຫັກ...ສິ່ງທີ່ ຂພຈ ຫວັງທີ່ສຸດ ຄື ບໍ່ວັນໃດກໍ່ວັນໜຶ່ງເລືອດລາວຂອງເຮົາ
ຈະຕ້ອງສແດງຄວາມເຂັ້ມຂົ້ນຂຶ້ນຢ່າງແນ່ນອນ...ນີ້ຄື ອະຣິຍະສັຈ ທີ່ ພຮະພຸທທະອົງໄດ້ຕຣັດໃວ້ ຖືກຕ້ອງແລ້ວ.
ອະເມຣິກາ ເຂົາມັກຄົນທີ່ມີຄວາມກ້າຫານ ກ້າເຮັດກ້າທໍາດ້ວຍຕົນເອງ ອອກໜ້າດ້ວຍຕົນເອງໃນສິ່ງທີ່ເຮົາຕ້ອງ
ການ ເມື່ອເຫລືອບ່າກວ່າແຮງຈຶ່ງມີເຫດຜົນຂໍຄວາມຊ່ວຍເຫລືອຈາກຄົນອື່ນ....ດູຕົວຢ່າງ ທີ່ ລີເບັຽ ຊີເຣັຽ ແລະ
ອື່ນໆ ແມ້ກະທັ້ງ ປະເທດພະມ້າ ເລົ່ານີ້ ເປັນຕົວຢ່າງໃຫ້ເຮົາເຫັນທີ່ຍັງບໍ່ເຫິງປານໃດ.....

ຂພຈ ບໍ່ເຄີຍໄດ້ເຫັນ ປະທານາທິບໍດີ ອມຣກ ຈະລົດຕົວລົງໄປຢ້ຽມຢາມ ປະເທດຄອມມູນິສນ້ອຍໆຈັກເທື່ອ..ໄປ
ປະເທດພະມ້າ ກໍ່ແຄ້ ຣມຕ ຕ່າງປະເທດ....ເຫັນວ່າ ປະທານາທິບໍດີ ອມຣກ ພົບກັບບັນດາປະເທດອາຊ້ຽນໃນ
ເວລາທີ່ ເຂົາເຈົ້າມີປະຊຸມ ຊັມມິຕ ໃນປະເທດໃດປະເທດໜຶ່ງເທົ່ານັ້ນ ແມ້ ກະທັ້ງຈະໂອ້ລົມເປັນພິເສດ ກັບຜູ້
ນໍາສາມຊາຕ ຄອມມູນິສ ນີ້ ກໍ່ບໍ່ເຫັນມີຂ່າວຈັກດີ້....
January 27, 2012
Assistant Secretary of State for East Asian and Pacific Affairs Kurt Campbell will travel to the Republic of Korea, Vietnam, and Cambodia January 30-February 4.
In Seoul, Republic of Korea, January 31-February 1, Assistant Secretary Campbell will meet with senior officials from the Ministry of Foreign Affairs and the Blue House. He will discuss a range of bilateral, regional, and global issues, including recent developments in North Korea.
Assistant Secretary Campbell will visit Hanoi, Vietnam, February 1-3, to meet with senior Vietnamese leaders to discuss bilateral and regional issues and seek progress on initiatives to deepen bilateral ties.
February 3-4, Assistant Secretary Campbell will visit Phnom Penh, Cambodia. While there, he will meet with senior Cambodian government officials to discuss areas of mutual interest, including Cambodia’s role as 2012 ASEAN chair, and to discuss ways to further strengthen our bilateral engagement.
Assistant Secretary Campbell returns to Washington, D.C., on February 4.
PRN: 2012/133

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ທ່ານ ບຸນລຽນທີ່ນັບຖື


ການທີ່ທ່ານບໍບັງອາດຈະຝັນຫວານນັ້ນ ທິສະດີ ນະໂຍບາຍ ຂອງທ່ານນັ້ນ ຄວນເຮັດແນວໃດ ກະຣຸນາແຍ້ມອອກມາພໍໃຫ້ທ່ານ ທັງຫລາຍ ໄດ້ຮູ້ນຳດ້ວຍ ຈະເປັນພຣະຄຸນຢ່າງສູງ.
ເຫັນຫລາຍຸຄົນຍົກບັນຫາ ເຣຶ່ອງຜູ້ນຳ ອະເມຣິກາ ຈະໄປຢ້ຽມຢາມລາວ ແລະ ກັມພູຊານັ້ນ ຖ້າທ່ານອ່ານເນຶ້ອຄວາມໃນຊ່າວນັ້ນ ທ່ານກໍຄົງຈະເຂົ້າໃຈດີ.
ເຣຶ່ອງການຕໍ່ສູ້ ມັນຕ້ອງແມ່ນພັກການເມືອງ ໃນເມື່ອພັກການເມືອງເຮັດບໍ່ສຳເຣັດ ຈະໄປຕຳນິກຸ່ມທີ່ບໍ່ເປັນນັກການເມືອງ ມັນກໍກາຍເປັນອີກເຣຶ່ອງນຶ່ງ.


ຜູ້ນຳອະເມຣິກາ ບໍ່ເຄີຍ ແລະ ບໍ່ໄດ້ເວົ້າ ວ່າຈະໄປປ່ຽນແປງເມືອງລາວ ແຕ່ຕາມຫນັງສືຣາຍງານ ວ່າຜູ້ນຳ ອມຣກ ອາດຈະໄປຢາມ ເທົ່ານັ້ນ ມັນຈຶ່ງບໍ່ກ່ຽວກັບ
ຄຳຊີ້ແຈງຂອງທ່ານ ທີ່ກ່າວໄວ້.
ຄວາມຮູ້ ຜູ້ຂ້າມັນນ້ອຍ ພໍເຂົ້າໃຈໃນການສເນີນັ້ນ ທາງລາວນອກຄວນມີຄຳສເນີ ວ່າຢາກໃຫ້ມີການປ່ຽນແປງຢູ່ໃນລາວ ຕໍ່ຜູ້ນຳ ຂອງ ອມຣກ.
ເຣື່ອງ ອມຣກ ຈະເອົາໄປເວົ້າ ຫລື ບໍ່ເອົາໄປເວົ້ານັ້ນ ມັນກໍເປັນອີກເຣຶ່ອງນຶ່ງ. ຖ້າຫາກບໍ່ມີຫັຽງແກ້ໄຂ ຄນະເວທີເວົ້າວ່າ ຈະ ຢຸດເຊົາການເຄື່ອນໄຫວທັງຫມົດ
ນັ້ນ ມັນກໍຄືຄວາມເຂົາເຈົ້າຢູ່. ສຳລັບ ຜູ້ຂ້າ ກໍຈະພອຍໄດ້ພັກຜ່ອນໄປພາຍໃນຕົວ.


ຮັກແພງ.............ຕັນ
-------------------------------



ຍ້ອນວ່າ ຂພຈ ບໍ່ຢາກບັງອາດຝັນເຖິງໃນສິ່ງທີ່ບໍ່ທັນມາເຖິງ....ໂດຍສະເພາະການຢ້ຽມຢາມລາວໃນປີ2013
ດັ່ງທີ່ຫລາຍໆທ່ານລາວນອກກໍາລັງຝັນຫວານເອົາໃວ້ຢູ່ໃນທຸກວັນນີ້...ສຸພາສິດລາວອັນລື້ງປາກທີ່ສຸດ :
"ຢ່າໄດ້ຫວັງກິນນໍ້າບໍ່ໜ້າ" ຄໍາຂວັນນີ້ ຄົງຍັງໃຊ້ໄດ້ຢູ່....

ປີ 2013 ຄົງຈະໝາຍຄວາມວ່າ ສປປລ ຄົງປ່ຽນເປັນຣະບອບໃໝ່ໄປແລ້ວ ໂດຍຝັນໃວ້ວ່າ ອມຣກ ຈະເປັນເຈົ້າ
ການໃຫ້ໃນການປ່ຽນແປງດັ່ງກ່າວ....ຂພຈ ກໍ່ແອບຝັນໃວ້ສ່ວນນ້ອຍໆນຶ່ງຕັ້ງແຕ່ນານມາແລ້ວ ແຕ່ ບໍ່ແມ່ນ
ຫລົ້ມຕົວຈົນໝົດໃຈ....ເພາະຢ້ານອົກຫັກ...ສິ່ງທີ່ ຂພຈ ຫວັງທີ່ສຸດ ຄື ບໍ່ວັນໃດກໍ່ວັນໜຶ່ງເລືອດລາວຂອງເຮົາ
ຈະຕ້ອງສແດງຄວາມເຂັ້ມຂົ້ນຂຶ້ນຢ່າງແນ່ນອນ...ນີ້ຄື ອະຣິຍະສັຈ ທີ່ ພຮະພຸທທະອົງໄດ້ຕຣັດໃວ້ ຖືກຕ້ອງແລ້ວ.
ອະເມຣິກາ ເຂົາມັກຄົນທີ່ມີຄວາມກ້າຫານ ກ້າເຮັດກ້າທໍາດ້ວຍຕົນເອງ ອອກໜ້າດ້ວຍຕົນເອງໃນສິ່ງທີ່ເຮົາຕ້ອງ
ການ ເມື່ອເຫລືອບ່າກວ່າແຮງຈຶ່ງມີເຫດຜົນຂໍຄວາມຊ່ວຍເຫລືອຈາກຄົນອື່ນ....ດູຕົວຢ່າງ ທີ່ ລີເບັຽ ຊີເຣັຽ ແລະ
ອື່ນໆ ແມ້ກະທັ້ງ ປະເທດພະມ້າ ເລົ່ານີ້ ເປັນຕົວຢ່າງໃຫ້ເຮົາເຫັນທີ່ຍັງບໍ່ເຫິງປານໃດ.....

ຂພຈ ບໍ່ເຄີຍໄດ້ເຫັນ ປະທານາທິບໍດີ ອມຣກ ຈະລົດຕົວລົງໄປຢ້ຽມຢາມ ປະເທດຄອມມູນິສນ້ອຍໆຈັກເທື່ອ..ໄປ
ປະເທດພະມ້າ ກໍ່ແຄ້ ຣມຕ ຕ່າງປະເທດ....ເຫັນວ່າ ປະທານາທິບໍດີ ອມຣກ ພົບກັບບັນດາປະເທດອາຊ້ຽນໃນ
ເວລາທີ່ ເຂົາເຈົ້າມີປະຊຸມ ຊັມມິຕ ໃນປະເທດໃດປະເທດໜຶ່ງເທົ່ານັ້ນ ແມ້ ກະທັ້ງຈະໂອ້ລົມເປັນພິເສດ ກັບຜູ້
ນໍາສາມຊາຕ ຄອມມູນິສ ນີ້ ກໍ່ບໍ່ເຫັນມີຂ່າວຈັກດີ້....

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

เวียดนามและลาวเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ครบ 50 ปี และ การเยือนลาวของประธานาธิบดีเวียดนาม การยกระดับความสัมพันธ์และความร่วมมือด้านต่างๆ!!!
กุมภาพันธ์ 12, 2012

กิจกรรมและการเฉลิมฉลองมากมายจะถูกจัดขึ้นในลาวและเวียดนาม เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ ทางการทูตครบ 50 ปี และครบรอบ 35 ปีของสนธิสัญญา Vietnam-Laos Friendship and Co-operation Treaty นอกจากนี้ ประธานาธิบดีของเวียดนามเยือนลาวเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เพื่อเป็นการเริ่มต้นการเฉลิมฉลองปีแห่งความเป็นน้ำหนึ่งอันเดียวและมิตรภาพ ระหว่างทั้งสองประเทศในปี 2012 นี้ โดยทั้งสองประเทศได้ทำความตกลงว่าจะเพิ่มการค้าระหว่างทั้งสองรัฐในเป็น จำนวน 1 พันล้านเหรียณสหรัฐฯ ในปี 2012 และ 2 พันล้านเหรียณสหรัฐฯ ในปี 2015
นอกจากนี้ทั้งสองฝ่ายยังได้ลงนามความร่วมมือในด้านต่างๆ อาทิเช่น การจัดทำแผนึวามร่วมมือปี 2012 ระหว่างรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการของทั้งสองประเทศ และ การทำสัญญาด้านการเงิน โดยเป็นเครดิตระยะกลางและระยะยาวระหว่าง Viet Nam Joint Stock Commercial Bank for Industry และ Trade and the Lao Central Bank มูลค่า 50 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
เวียดนามและลาวยังได้ลงนามความร่วมมือด้านการแพร่ภาพโทรทัศน์ โดยVietnam Television (VTV) ทำสัญญาแลกเปลี่ยนรายการโทรทัศน์กับลาว สัญญาจะมีผลในปี 2012-2014 โดยคู่สัญญาคือ Laos Information และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวของเวียดนาม โดยทั้งสองฝ่ายจะเเลกเปลี่ยนเนื้อข่าว,รายงานต่างๆ , สารคดี บันเทิง และอื่นๆ
ความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นไม่ได้ถูกสะท้อนเพียงแค่ความร่วมมือ ระดับรัฐ แต่ยังรวมถึงในระดับประชาชน โดยมีชาวลาวมากกว่า 45 คน สำเร็จหลักสูตรภาษาเวียดนาม และได้รับประกาศนียบัตรจากศูนย์ภาษาเวียดนามในสะหวันนะเขต โดยพิธีมอบดังกล่าวจัดขึ้นเมื่อวันที่ 30 มกราคมที่ผ่านมา ทั้งนี้ ศูนย์ภาษาเวียดนามได้รับการก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2004 ในเขตไกรสร ด้วยเงินลงทุนกว่า 300 ล้านกีบ ซึ่งมีเป้าหมายในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ในการกระชับความร่วมมือระหว่างลาวและเวียดนาม
บทวิเคราะห์
จากข่าวจะเห็นว่า เวียดนามยังคงพยายามเป็นพี่ใหญ่ของลาว ซึ่งประเด็นดังกล่าวเกิดขึ้นตั้งแต่ครั้งที่เวียดนามแผ่ขยายระบอบ คอมมิวนิสต์มายังลาวและกัมพูชาในอดีต ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสายสัมพันธ์ดังกล่าวระหว่างลาวและเวียดนามยังคงอยู่!!!

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ພວກລາວແດງຂີ້ຄ້ານກ່ວາໝາ

ວຽກບໍ່ຫາ ນາບໍ່ເຮັດ ຊອກຂໍທານເງິນຊ່ອຍເຫລືອລ້າ



ຄວນເອົາເງິນທີ່ຊ່ອຍເຫລືອລ້ານັ້ນ

ແບ່ງປັນໃຫ້ປະຊາຊົນຊາວນາກັມມະກອນ



ເຫັນແຕ່ລູກສາວຣັຖມົນຫີ

ເອົາເງິນໂດລ້າ ຍັດຫີມັນ


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 


http://tiny.cc/serixonlao



http://www.youtube.com/watch?v=2IEoITPq3Is&feature=related

http://www.youtube.com/watch?v=Qjznqyc7noE&feature=endscreen&NR=1



http://youtu.be/OhNZJN5_d6I

http://www.youtube.com/watch?v=JVQMPAhIW1Y&feature=related

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

buttappingbuttappingbuttappingbuttappingbuttapping


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

 

ປີ 2011 ກວດພົບມູນຄ່າເສຍຫາຍ 2 ແສນກ່ວາຕື້ກີບ
ວັນທີ 22 ກຸມພາ 2012 - ເວລາ 13:24:52 vientiane mai ສົ່ງຂ່າວນີ້ໃຫ້ເພື່ອນ ພິມຂ່າວນີ້
ປີ 2011 ກວດພົບມູນຄ່າເສຍຫາຍ 2 ແສນກ່ວາຕື້ກີບ

ການ­ຈັດ­ຕັ້ງປະ­ຕິ­ບັດວຽກງານກວດ­ກາລັດ ແລະ ຕ້ານການສໍ້ລາດບັງຫຼວງ ປີ 201...1 ຈຳ­ນວນ 101 ເປົ້າໝາຍພົບເຫັນມູນຄ່າເສຍຫາຍ 259.037 ຕື້ກີບ.

ຈາກບົດລາຍງານຂອງທ່ານ ດຣ.ບຸນທອງ ຈິດມະ­ນີ ປະ­ທານຄະ­ນະກວດ­ກາສູນກາງພັກ ປະ­ທານອົງ­ການກວດ­ກາລັດ­ຖະ­ບານ ໃຫ້ຮູ້ວ່າ: ລັດ­ຖະ­ບານອົງ­ການປົກ­ຄອງ ແລະ ຄະ­ນະກວດ­ກາແຕ່ລະຂັ້ນ ໄດ້ເອົາ­ໃຈ­ໃສ່ຕິດ­ຕາມກວດ­ກາຄຸ້ມຄອງບໍ­ລິ­ຫານລັດ ກວດ­ກາການ­ຈັດ­ຕັ້ງປະ­ຕິ­ບັດແຜນພັດ­ທະ­ນາເສດ­ຖະ­ກິດ-ສັງ­ຄົມ ການປະ­ຕິ­ບັດກົດ­ໝາຍນິ­ຕິກຳຕ່າງໆທີ່ລັດປະ­ກາດໃຊ້ ພ້ອມທັງກວດ­ກາສະ­ເພາະກິດບາງເປົ້າໝາຍໃນການຂຸດຄົ້ນໄມ້ ສຳປະ­ທານທີ່ດິນ ໂຄງ­ການລົງ­ທຶນພາຍໃນ ແລະ ຕ່າງ­ປະ­ເທດ ສຳ­ລັບວຽກງານສະ­ກັດກັ້ນ ແລະ ຕ້ານການສໍ້ລາດບັງຫຼວງ ໄດ້ປະ­ຕິ­ບັດດ້ວຍຫຼາຍຮູບຫຼາຍວິ­ທີ ເປັນ­ຕົ້ນແມ່ນການໃຫ້ທຸກການ­ຈັດ­ຕັ້ງຂອງພັກ-ລັດ ບັນ­ດາອົງການ­ຈັດ­ຕັ້ງມະ­ຫາ­ຊົນຢູ່ແຕ່ລະຂັ້ນ ມີຄວາມຮັບ­ຜິດ­ຊອບຕິດ­ຕາມ-ສຶກສາອົບ­ຮົມພະ­ນັກ­ງານ ສະ­ມາ­ຊິກພັກ ເປັນຂະບວນ ແລະ ປົກ­ກະ­ຕິ ບ່ອນໃດມີປະ­ກົດການດ້ານສໍ້ລາດບັງຫຼວງ ແມ່ນໄດ້ດຳ­ເນີນການກວດ­ກາແກ້ໄຂຕາມກໍ­ລະ­ນີດ້ວຍຄວາມຖືກ­ຕ້ອງ ວ່ອງ­ໄວ ຄົ້ນຄ້ວາປັບ­ປຸງດ້ານນິ­ຕິກຳທີ່ເຫັນວ່າມີຄວາມຈຳ­ເປັນ ເຊັ່ນ: ຍຸດທະສາດຕ້ານການສໍ້ລາດບັງຫຼວງ ການແຈ້ງຊັບ-ສິນລາຍຮັບ ພ້ອມນັ້ນຍັງໄດ້ເປັນເຈົ້າການເຂົ້າຮ່ວມຢ່າງຕັ້ງ­ໜ້າໃນ ການ­ເຄື່ອນ­ໄຫວແລກ­ປ່ຽນບົດ­ຮຽນ ກ່ຽວກັບການ­ຈັດ­ຕັ້ງປະ­ຕິ­ບັດວຽກງານດັ່ງ­ກ່າວກັບບັນ­ດາປະ­ເທດ ສະ­ມາ­ຊິກອາຊຽນ ກໍຄືສາ­ກົນ.
---------------------------------------------------

ແຕ່ຮຸ່ນແຮງນະ ເພາະ 259 000 000 000ຫານໃຫ້ 8000 ຈະຕົກ ກວະ 32 ລ້ານ ດລ ນີ້ເອງ
...


ເອົາມັນມາຍິງເປົ້າ +ตายซะ+ยิงซะเลยແບບ ສປຈ ສປວຽດນາມ ເຂົາທຳກັນມາແລ້ວຢ່າງໃດ້ຜົນ

ຄົນພັກ ຣມຕ ອະທີບໍດິ ໂກງເງີນຂອງ ປຊຊ ພຽງ 10ພັນ ດລ ເຂົາເຕະເຂົ້າຄຸກ ຍີງຖິ້ມ ໄລ່ອອກຈາກພັກ

ສ່ວນບ້ານເຮົາ ລອຍນວນແຕ່ ປທປທ ຮອດ ນຍ ບັກ ອະດິດ ປທປທ ຄື ຄຳຕາຍ860ລ້ານດອນ ທີ່ນອນດົມຫອຍເມັຍທີ່ ເມືອງໂຂງເວລານີ້ ແຫ່ງເຕັກເດິຫລານເອີຍ

ບັກນີ້ຄົນນອກພັກ ແຕ່ປາຣະມີສູງ

ລາກລູກຊາຍມັນ ຮຽນບໍ່ຈົບປະຖົມຄືພໍ່ມັນ ແຕ່ເປັນຈິກໂກ

ບັກ ສອນໄຊເປັນພຣະເຈົ້າແຜ່ນດິນແຫ່ງນະຄອນຈຳປາສັ(ວັດພູຖືກຍູແນສໂກສ້າງເປັນສະຖານ

ທີ່ມໍຣະດົກໂລກທີ່ສອງຂອງລາວເດິ) ແທນສເດັດເຈົ້າບູນອູ້ມ

ອີ່ວຽງທອງ ອິ່ຫິຄຽວ ຮຽນ ບໍ່ໄດ້ ອິ່ ຫຍັງ ທີ່ ມະຫາລັຍ ລູມູມບາ(ໂຊວຽດ) ເປັນຣມຕ ຊ່ວຍການເງີນ

ຜູ້ອຳນວຍການທະນະຄານ ພັທນາ ລາວ

ແລະ

ຜັວອີ່ຫ່ານີ້(ບໍ່ຈົບປໍສາມອິກຄົນເດິ) ບັກ ຈັນເພັງ ໄຊສົມແພງ ເຈົ້າແຂວງ ເມືອງມໍຣະດົກໂລກ ປີ 95

ນີ້ຄືໂສມຫ້ນາລະບົບເຄືອຍາດ Nepotismທີ່ ສ້າງໃຫ້ ສັງຄົມລາວແດງອ່ອນເພັຍຂໍທານໄປຕລອດຊາດຕລອດປິ

Fui Fui



__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

http://www.youtube.com/watch?v=oVhIeBa_E-I&list=PL10DB47D47A247EE5&index=17&feature=plpp_video

ສະບາຍດີ ພີ້ນ້ອງລາວ ແລະເພື່ອນຣ່ວມຊາຕທັງຫຼາຍ

ເມື່ອພວກເຮົາໄດ້ຟັງເອເຊັຽເສຣີ ອອກຂ່າວແລະ clips video ເຫັນພາບນີ້ ກໍ່ໜ້າສົງສານ ພີ້ນ້ອງລາວເຮົາ ມັນກໍ່ແສບເຂົ້າເຖີງກະຫລ່ວງຫົວໃຈ. ຖາມໂຕເອງວ່າ ສົງສານເຮັດຫຍັງ? ເຮົາຢູ່ພີ້ມັນສນຸກສບາຽຢູ່ແລ້ວ ເຫຼືອກີນເຫຼືອໃຊ້ແລ້ວເປັນຫ່ວງເຮັດຫຍັງ? ກໍ່ເພາະວ່າເຊື້ອສາຽເລືອດລາວ ຍັງຮັກຊາຕ ເຊື້ອເຜົ່າພັງພັນ ເມື່ອເຫັນຄວາມທຸຂຍາກລຳບາກ ຂອງພໍ່ແມ່ພີ້ນ້ອງ ມີແນວບໍ່ດີເກີດຂື້ນກໍ່ເສັຽໃຈນຳ, ຖ້າພີ້ນ້ອງຢູ່ສຸກສບາຽຢູທາງສ້າງສາພັທະນາກໍ່ຍີ່ງດີໃນ ເພາະຜູ້ນຳສລາດສ່ອງໃສ ມີນ້ຳໃຈຮັກຊາຕ

ຄຳເວົ້າວ່າຮັກຊາຕ ກໍໍ່ຕ້ອງດູແລປະຊາຊົນຕົນເອງ ແລະພື້ນແຜ່ນດີນອັນຄົບຖ່ວນ ທີ່ບັນພະບຸຣຸດຫວງແຫນໄວ້ ຕ້ອງສລາດສ່ອງໃສ ຢ່າໄຫ້ຊາຕອື່ນມາເປັນນາຽເໝືອຫົວ ສີດສອນລຸກຫຼານ ຊາວນຸ່ມໃຫ້ເປັນຄົນດີ ມີນ້ຳໃຈຮັກຊາຕ ຈົ່ງສລາດພໍ ທ່ານຈະບໍ່ເປັນທາດຂອງເງີນຕາ ເງີນຂອງທ່ານນັ້ນ ເໝືອນ ມັນມີປີກ ຈະບີນໜີໃດ້ເໝືອນດັ່ງນົກອີນຊີ, ຖ້າເຫັນແກ່ເງີນ ຊອກເອົາຢາພິດຢາເບືອ ເປັນເຄມີມາໃຫ້ວັຍລຸ່ນ ລຸກຫຼານກີນດື້ມແລ້ວ ເປັນຄົນບ້າຄົນບໍ່ດີ ຜົລເສັຽຫາຽກໍ່ທຳຣ້າຽຊາຕ ແລະທ່ານຈະອາໃສໃຜໃນອານາຄົດ ແລະເອົາຊາຕອື່ນຫຼັງໄຫຼເຂົ້າມາ ນັ້ນບໍ່ຮັກຊາຕ....

ຢູ່ໃສມື້ເຂົ້າມາບອກວ່າລາວຮັກຊາຕ? ຍັງມີຢູ່ບໍ່ ຫຼືວ່າຕາຽໝົດແລ້ວ? ເມື່ອເຫັນເຫດການບໍ່ດີແລ້ວ ຈົ່ງມີນ້ຳໃຈຮັກຊາຕ ມີຄວາມສາມະຄີ ຖືກຕ້ອງ ປອງດອງພ້ອມພຽງກັນສແດງຄວາມກ້າຫານ ສ້າງປະວັດສາຕໄວ້ ຄຸນງາມຄວາມດີຂອງທ່ານ ຈະບໍ່ມີວັນຫລົງລືມ ຈາຣືກໄວ້ຊົວກາຣະນານ, ພວກທ່ານບໍ່ຕ້ອງຢ້ານກົວ ອັນຕຣາຽໃດໆຈະເກີດຂື້ນ ຈະມີຜູ້ມາຊ່ອຽດ້ານສິດທີມະນຸສ

ເພາະໂລກໃນປະຈຸບັນມັນທັນສມັຍ ເຮົາມີພະຍານຫຼັກຖານບັນຖືກໄວ້ ມີກ້ອງຖ່າຽຣູບ ມີໂຟ່ນມືຖື ມີອີນເຕີເນດສົ່ງຂ່າວທັນກັບເວລາ ມັນຈະມີຜູ້ມາຊ່ອຽພວກທ່ານຢ່າງກະທັນຫັນ ດ້ານສີດທິມະນຸດ ອົງການສະຫະປະຊາຕ ແລະນາໆຊາຕກໍ່ເອົາໃຈໃສ່ ຕ້ອງເດັດດຽ່ວກ້າຫານ ເພື່ອຊາຕແລະປະຊາຊົນ ບໍ່ຕ້ອງຢ້ານແກວຂີ້ຫິດ ແຕ່ກ່ອນມັນທຸກມັນຢາກ ຂໍເຂົ້າກີນເມືອງລາວ ດຽວມັນຮັ່ງມັນເປັນນາຽລາວ ບໍ່ຕ້ອງຢ້ານເພາະລາວຕ້ອງເປັນລາວ ຕ້ອງຮັກລາວອາໃສລາວ ບໍ່ອາໃສແກວອີກແລ້ວ ໃລ່ແກວໜີເມືອເມືອງແກວພີ້ນ້ອງເອີຽ.ຂໍຄຸນພຣະສີອະຣີເຈົ້າມາຣັກສາທຸກໆທ່ານມີອາຍຸໝັ້ນຍືນ

ຄົນລາວຜູ້ມີ ນ້ຳໃຈຮັກຊາຕ

+5เต้น 

+5เต้น 

 



__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

*(ຂປລ23.02.12)ກອງປະຊຸມສະໄໝສາມັນຂອງ ລັດຖະບານ ໄດ້ດຳເນີນແຕ່ວັນທີ 21-22 ກຸມພາ 2012 ໄດ້ສິ້ນສຸດລົງ ພາຍໃຕ້ການເປັນປະທານຂອງ ທ່ານ ທອງສິງ ທຳມະວົງ ນາຍົກ ລັດຖະມົນຕີ ແຫ່ງ ສປປ ລາວ. ກອງປະຊຸມໄດ້ພິຈາລະນາ ແລະ ຮັບຮອງເອົາ ເອກະສານສຳຄັນ ດັ່ງນີ້:



ຮ່າງກົດໝາຍວ່າດ້ວຍກະສິກຳສະບັບປັບປຸງເພື່ອໃຫ້ສອດຄ່ອງກັບສະພາບການ ພັດທະນາເສດ ຖະກິດ-ສັງຄົມ ໃນປະຈຸບັນ ແລະ ຕໍ່ໜ້າ.

ຮ່າງກົດໝາຍວ່າດ້ວຍການກວດສອບ ແນໃສ່ເຮັດໃຫ້ຫົວໜ່ວຍງົບປະມານ, ຫົວໜ່ວຍທຸລະກິດ ແລະ ຫົວໜ່ວຍທີ່ບໍ່ສະແຫວງຫາຜົນກຳໄລ ເຄື່ອນໄຫວ ຖືກຕ້ອງຕາມລະບຽບກົດໝາຍ, ມີປະສິດທິພາບ -ປະສິດທິຜົນ, ປະຢັດ, ສະກັດກັ້ນປະກົດການຫຍໍ້ທໍ້ທາງ ດ້ານການເງິນ ແລະ ງົບປະມານແຫ່ງລັດ, ປະກອບ ສ່ວນເຮັດໃຫ້ການຄຸ້ມຄອງລັດ, ຄຸ້ມຄອງເສດຖະກິດ ມີຄວາມເຂັ້ມແຂງ, ໂປ່ງໃສ.



​ໃນ​ກອງ​ປະຊຸມ​ຄັ້ງນີ້ ທ່ານນາຍົກລັດຖະມົນຕີ ຍັງໄດ້ເນັ້ນໜັກບາງວຽກງານຈຸດສຸມສຳລັບ ເດືອນ ມີນາ 2012 ດັ່ງນີ້:

ຕັ້ງໜ້າແກ້ໄຂປະກົດການຫຍໍ້ທໍ້ໃນສັງຄົມ ເຊັ່ນ​: ຄວາມສັບສົນ ແລະ ​ຄວາມບໍ່​ເປັນລະບຽບ​ຮຽບຮ້ອຍ ​ໃນ​ຕົວ​ເມືອງ​ໃຫຍ່​ຕ່າງໆ ​ໂດຍ​ເພີ່​ມທະວີ​ການ​ຊີ້​ນຳ​ບັນ ຊາ ​ແລະ ​ນຳ​ເອົາ​ກຳລັງ​ລົງ​​ແກ້​ໄຂ​ຕົວ​ຈິງ ​ເປັນຕົ້ນ​ແມ່ນ: ບັນຫາຢາເສບຕິດ,
ການປຸ້ນຈີ້-ຊິງຊັບ,
ສະຖານທີ່ມົ້ວສຸມຕ່າງໆ ແລະ
ແກ້ໄຂບັນຫາການເກີດອຸປະ ຕິເຫດຕາມທ້ອງຖະໜົນ ເຮັດ​ໃຫ້​ປະກົດ​ການ​ຫຍໍ້​ທໍ້​ນັບ ມື້ນັບຫຼຸດລົງ ​ເພື່ອສ້າງ​ສະພາບ​​ແວດ​ລ້ອມ​ອັນ​ເອື້ອອຳນວຍ​ໃຫ້ແກ່​​ການ​ເປັນ​ເຈົ້າພາບ ​ກອງ​ປະຊຸມ​ສຸດ​ ຍອດ​ອາ​ເຊັມ ທີ່ຈະ​ມາ​ເຖິງນີ້.

+ตายซะ


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ປີ 2011 ກວດພົບມູນຄ່າເສຍຫາຍ 2 ແສນກ່ວາຕື້ກີບ
ວັນທີ 22 ກຸມພາ 2012 - ເວລາ 13:24:52 vientiane mai ສົ່ງຂ່າວນີ້ໃຫ້ເພື່ອນ ພິມຂ່າວນີ້
ປີ 2011 ກວດພົບມູນຄ່າເສຍຫາຍ 2 ແສນກ່ວາຕື້ກີບ

ການ­ຈັດ­ຕັ້ງປະ­ຕິ­ບັດວຽກງານກວດ­ກາລັດ ແລະ ຕ້ານການສໍ້ລາດບັງຫຼວງ ປີ 201...1 ຈຳ­ນວນ 101 ເປົ້າໝາຍພົບເຫັນມູນຄ່າເສຍຫາຍ 259.037 ຕື້ກີບ.

ຈາກບົດລາຍງານຂອງທ່ານ ດຣ.ບຸນທອງ ຈິດມະ­ນີ ປະ­ທານຄະ­ນະກວດ­ກາສູນກາງພັກ ປະ­ທານອົງ­ການກວດ­ກາລັດ­ຖະ­ບານ ໃຫ້ຮູ້ວ່າ: ລັດ­ຖະ­ບານອົງ­ການປົກ­ຄອງ ແລະ ຄະ­ນະກວດ­ກາແຕ່ລະຂັ້ນ ໄດ້ເອົາ­ໃຈ­ໃສ່ຕິດ­ຕາມກວດ­ກາຄຸ້ມຄອງບໍ­ລິ­ຫານລັດ ກວດ­ກາການ­ຈັດ­ຕັ້ງປະ­ຕິ­ບັດແຜນພັດ­ທະ­ນາເສດ­ຖະ­ກິດ-ສັງ­ຄົມ ການປະ­ຕິ­ບັດກົດ­ໝາຍນິ­ຕິກຳຕ່າງໆທີ່ລັດປະ­ກາດໃຊ້ ພ້ອມທັງກວດ­ກາສະ­ເພາະກິດບາງເປົ້າໝາຍໃນການຂຸດຄົ້ນໄມ້ ສຳປະ­ທານທີ່ດິນ ໂຄງ­ການລົງ­ທຶນພາຍໃນ ແລະ ຕ່າງ­ປະ­ເທດ ສຳ­ລັບວຽກງານສະ­ກັດກັ້ນ ແລະ ຕ້ານການສໍ້ລາດບັງຫຼວງ ໄດ້ປະ­ຕິ­ບັດດ້ວຍຫຼາຍຮູບຫຼາຍວິ­ທີ ເປັນ­ຕົ້ນແມ່ນການໃຫ້ທຸກການ­ຈັດ­ຕັ້ງຂອງພັກ-ລັດ ບັນ­ດາອົງການ­ຈັດ­ຕັ້ງມະ­ຫາ­ຊົນຢູ່ແຕ່ລະຂັ້ນ ມີຄວາມຮັບ­ຜິດ­ຊອບຕິດ­ຕາມ-ສຶກສາອົບ­ຮົມພະ­ນັກ­ງານ ສະ­ມາ­ຊິກພັກ ເປັນຂະບວນ ແລະ ປົກ­ກະ­ຕິ ບ່ອນໃດມີປະ­ກົດການດ້ານສໍ້ລາດບັງຫຼວງ ແມ່ນໄດ້ດຳ­ເນີນການກວດ­ກາແກ້ໄຂຕາມກໍ­ລະ­ນີດ້ວຍຄວາມຖືກ­ຕ້ອງ ວ່ອງ­ໄວ ຄົ້ນຄ້ວາປັບ­ປຸງດ້ານນິ­ຕິກຳທີ່ເຫັນວ່າມີຄວາມຈຳ­ເປັນ ເຊັ່ນ: ຍຸດທະສາດຕ້ານການສໍ້ລາດບັງຫຼວງ ການແຈ້ງຊັບ-ສິນລາຍຮັບ ພ້ອມນັ້ນຍັງໄດ້ເປັນເຈົ້າການເຂົ້າຮ່ວມຢ່າງຕັ້ງ­ໜ້າໃນ ການ­ເຄື່ອນ­ໄຫວແລກ­ປ່ຽນບົດ­ຮຽນ ກ່ຽວກັບການ­ຈັດ­ຕັ້ງປະ­ຕິ­ບັດວຽກງານດັ່ງ­ກ່າວກັບບັນ­ດາປະ­ເທດ ສະ­ມາ­ຊິກອາຊຽນ ກໍຄືສາ­ກົນ.

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 


Elephant foot Crush on the ant's mouth.ແມ່ນແລ້ວຍານາງຕິນຊ້າງຢຽບປາກນົກ ແລະ ພວກ ຄມນ ຜດກ ຊາດຫມາໄຮ້ການສືກສາທຸກຄົນເລີຍອັນມີບັກຂ້າປໍສາມ ຈູມມາລີ ເປັນ ປທ ປທ(ບັກນັກບວດບູນຍັງ ວໍຣະຈິດລໍຖ້າ ຂື້ນກຳອຳນາດ6ປິແລ້ວ)ແລະ ມີບັກ ນາຍົກ ປໍສີ່ ທອງສີງ(ບັກສຸກັນປໍ1 ນັ່ງລໍຖ້າທີ່ກຳແພງນະຄອນ ວຈ) ເອົາຕີນມາອັດປາກພໍ່ແມ່ກູມາແລ້ວເຄີ່ງສັຕວັດ
ຝູຍຝູຍ
ອິ່ຫ່າທອງຫວີນ ເມັຍບັກແກວຫັວຂອດໄກສອນ ມືງໄປພາລູກມືງ4ຄົນ(ບັກໄຊສົມພອນ ຣອງປທ ສະພາເຕັ້ຍ ບັກ ສັນຕິພານ ອະດິດ ອະທີບໍ່ດີກົມພາສີ ດຽວນີ້ ເປັນ ຣມຕ ຊ່ວຍການເງີນ ບັກນາຍພົນໂທສັນຍາລັກ ອາຍຸບໍ່ທັນຮອດ40ປິຊ້ຳ ຫມາສິ້ແມ່ມືງມືງໄປລົບເສີກໄສ ຄືເກັ່ງແທ້ ຫລືວ່າມືງເປັນລູກບັກຫມາສັດເດັຍຣິສານ ໄກສອນ ບໍ ເຖີງລາກຂື້ນຮອດນາຍພົນ ແລະບັກວົງສຫວັດ ອະດິດທູດລາວທີ່ໂມສກູ)ໄປຄົ້ນສົບຜັວມືງມາຂື້ນໄຫ່ມເດີ ແລ້ວ ຖາມມັນວ່າ ມັນເອົາລັດທີລູກກຳພ້າຫລ້າຫລັງ ຂໍ ທ າ ນ ມາໃຊ້ໃນສັງຄົມລາວຫາແມ່ມັນຫຍັງ


ບັກນາຍພົນໂທ ສັນຍາລັກ(ຂີ້ລັກຂີ້ປົ້ນຄືແມ່ມັນອີ່ທອງຫວີນຫິຄຽວ)ເປັນ ຣັຖມົນຕຣີ ກະຊວງປ້ອງກັນ ປທ ຮອງບັກຂ້າປໍ2 ດວງໄຈພິຈິດເດິ

ພວກໂຈນຫ້ນາຫມາຊາດຊັ່ວພວກເຕົ່າລ້ານປິ ມັນຕັດຮອນສີດທິປວງຊົນມາແຕ່ປິ 1975 ບໍ່ແມ່ນບໍ?? ແມ່ນແຕ່ກູ່ມຕໍ່ຕ້ານໃນສູນປົ້ນປິ້ງລາວ(ສປປລ) ມັນຍັງບໍ່ຍອມປ່ອຍໃຫ້ໂປໂລຫັວມາທ້າທາຍມັນໄດ້ ເລີມເຜົາມັນໄດ້ແລ້ວ

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

http://www.atimes.com/atimes/Southeast_Asia/NB22Ae01.html

Southeast Asia
Feb 22, 2012
Off the air in Laos
By Beaumont Smith

VIENTIANE - Amid an unprecedented flurry of public debate and critique of government policies and actions, Lao authorities abruptly canceled a popular call-in radio program in late January without any public explanation.

The program, Talk of the News, ran for four consecutive years and encouraged the public to comment on issues of the day through often anonymous phone calls. The host, Ounkeo Souksavanh, an urbane ex-print journalist found himself uniquely enmeshed in the Lao population's complaints and grievances.

Social justice, overt corruption and land grabs were daily fare on Talk of the News, a rarity in Laos' authoritarian context. While many wondered when the boot would drop on the program, Lao listeners had grown accustomed to this point of light in the



otherwise drab government-controlled media landscape.

Summoned by the director of Lao National Radio, Ounkeo was told that Minister of Information, Culture and Tourism Bosengkham Vongdara had issued the cancellation order. "I was shocked. I had no warning," said Ounkeo. "Suddenly I was told by the head of national radio that he had been told to cancel my show. I think the order came from high up in the Ministry of Information and Culture," Ounkeo said.

"I take my program from the daily news. I open the show by reading out segments from the Lao press and then open the lines for people to comment. Recently people have been saying strange things. When many nightclubs were re-opened, someone called to say, 'well what do you expect - you know who owns them' and then he hung up." The rub was that they are likely owned by senior government officials.

"Later, someone called me and warned me not to give space to the public. But it's an open line program, so people complain about many things; the Vietnamese taking land from veterans for a golf course, the loss of farming land on Don Chang [an island outside of Vientiane]. What can I do?"

Hopes that Laos may emulate Myanmar's recent tentative moves to greater press freedom, or that the ruling Communist Party might begin to move towards more enlightened policies, have been snuffed out with the program's closure. The cancelation and continued human-rights abuses indicate that democracy is still elusive.

"Who [demanded the closure] is not the issue here, but there is no legal reasons at all. There is no warning about the mistakes. This case reflects that the Lao government limits on people's freedom expression [and is] violating the national constitution. It expresses that the power belongs to only the government. In fact that the constitution says power belong to people, by people and for people [sic]" one anonymous fan posted to the program's website.

Many Lao used the anonymity of radio to bring into question what one long time Vientiane observer has called "patrimonial politics", referring to the dominance of several influential families in Laos' politics and economy.

Some suggest the last straw may have been a live-to-air interview with a delegation of farmers from the Boloven plateau, a well-known coffee growing region in the south. They insisted that a Vietnamese coffee company had been given permission to plant 150 hectares of coffee.

Over time, however, the area had expanded into 1,000 hectares. The farmers alleged the district governor had taken bribes from the company to look the other way, and that he had recently been seen driving a new luxury car, which they insinuated was part of his pay-off.

That particular program attracted a huge audience and might have contributed to the subsequent deluge of the National Assembly's hot-line with similar land-grabbing complaints.

Before the program's airing, Ounkeo had already achieved a degree of Robin Hood-like fame for giving voice to poor versus rich social justice issues. For instance, he took his microphone into the city's jail to interview a woman wrongly accused of arson following a neighborhood feud with a wealthy Lao family. The woman was subsequently released.

The show's cancelation caused unprecedented commentary among Laos' online community. Members of Lao Links, a Lao language online bulletin board, expressed dismay and regret that "society won't be able to listen to this program anymore because it is as same as a big microphone to speak out about social problems", one online contributor wrote.

"It's the hot issue on Lao Links right now," engineer Khantone Soumiphone said. "We are all wondering why it happened and we are very concerned. It was the only source of interesting news and discussion about important development issues ... The government says it is pro-development but closes the only program that discusses the results. It doesn't make sense."

After the program's closure, Ounkeo held discussions with European Union charge d'affaires Michel Goffin, who apparently told him that the issue of press freedom would be raised at the forthcoming 9th Asia-Europe Summit (ASEM) to be held in Vientiane in November. Goffin did not answer this correspondent's request for confirmation that he made the comment.

Ironically, some of the complaints raised on Ounkeo's radio show were about the agricultural land on Don Chang. A luxury hotel is scheduled to be constructed in time for the ASEM meeting on land that previously provided much of Vientiane's fresh produce.

Meanwhile, less than a week after the program's cancelation, the front page headline in Laos English language daily newspaper, Vientiane Times, announced that the party was poised to "bolster propaganda at grassroots level".

The Ministry of Information and Culture's Propaganda and Training Board is "to accelerate the establishment of mobile propaganda teams ... to penetrate grassroots communities". The new propaganda drive, some suggest, is a government reaction to the open public hostility to its policies and actions often aired on Ounkeo's program.

Those grievances are apparently mounting. It is an open secret that many Lao provinces still function as modern-day fiefdoms for Lao political leaders to extract money and privilege. "Gate keeping, influence peddling and rent seeking are national sports disguised as development," said agro-economist Jeff Casey from Bangkok.

While Laos' gross domestic product has grown in recent years, so too has the national Gini coefficient, a statistical measure of economic inequality. Laos remains one of the world's poorest countries and mushrooming mansions owned by government officials and the sheer number of new luxury cars on Vientiane's roads have raised uncomfortable questions about who are the real beneficiaries of the communist leadership's development agenda.

Some Lao residents believe that the party is rattled by the spate of demonstrations against official abuse in neighboring Vietnam and the rise in local complaints lodged via the National Assembly's hot-line. Most of those complaints have focused on a lack of government transparency, particularly on land issues, and systemic corruption that Ounkeo's program not so subtly suggested taints all levels of government.

Beaumont Smith is a freelance journalist.

(Copyright 2012 Asia Times Online (Holdings) Ltd. All rights reserved. Please contact us about sales, syndication and republishing.)

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ພວກເສຍເສັ້ນ ບໍ່ມີວຽກຫຍັງໃຫ້ເຮັດແລ້ວບໍ່, ຄືມາເວົ້າແຕ່ແນວບໍ່ເປັນຕາສາເທດ, ດີແຕ່ເວົ້າໃຫ້ປະເທດລາວ ທັ້ງໆທີ່ວ່າໂຕເອງກໍ່ແມ່ນເຊື້ອຊາດລາວ, ແທນທີ່ຈະຊ່ວຍພັດທະນາສ້າງຊື່ສຽງໃຫ້ແກ່ປະເທດພັດມາເວົ້າແຕ່ແນວບໍ່ເປັນຕາສາເທດ ຈະແມ່ນຊົ່ວນໍ
_____________________

ພວກເຣົາເສັຍເສັ້ນ ຮຽກຣ້ອງຂໍຄວາມເປັນທັມ ໃຫ້ ປຊຊ ແລະ ຊາດລາວ ມາແຕ່ ປິ 75 ຕ້ອງການສ້າງສັງຄົມໄຫ່ມປອດໂຈນປົ້ນຊາດລາວແດງ
ກະຍັງດິກ່ວະພວກຊື້ນຄວາມເປັນຄົນ
ຕົບມຶຍົກຍ້ອງພວກຫມາປໍສາມປໍສີ່ ຄອງເມືອງແບບ ຄົນພານ ຂື້ນແລ້ວບໍ່ຍອມລົງ ສໍ້ໂກງຫລີ້ນພັກຊູພວກຢ່າງເບຶ່ອທີ່ສຸດ
ຍີ່ງພວກຄວາຍສັດເດັຍຣະສານ ບໍຫລຽວເຫັນຄວາມຊັ່ວອ່ອນເພັຍຂອງພວກເຕົ່າລ້ານປິ
ຍີ່ງພວກສຸຊີເຫັນ ລູກຊາຍ ບັກ ນຍ ປໍ4 ເອົາຄວາມລ້ຳລວຍມັນອອກມາທ້າທາຍຊາວໂລກ ແບບບ້!ໆບໍໆອິກແນ່ນອນ
ແລະ
ຢ່າລືມເດິ ແມ່ນ ນຍ ຄົນ ທຳອິດ ທີ່ ເອົາສີ່ງນິ້ອອກມາແຜ່ມາແບໃຫ້ຊາວໂລກເຫັນແບບຫ້ນາສັງກະສີເລີຍນໍ

ກູເຫັນແລ້ວອາຍຕາງ
ສາວຍີງລັກເອົາເຮື່ອແຮງເຂົາສ້າງບ້ານໃນລາຄາເປັນ 100ລ້ານບາດ ເຂົາ ຍັງບໍ່ຍອມເປິດເຜິຍໃຫ້ໃຜຮູ້ເລື້ອງຄວາມລ້ຳລວຍເຂົາໄດ້ເດິ

ແຕ່ໂຈນທອງສີງ........... ມັນເສັຍຈີດຢ່າງບໍ່ຕ້ອງສົງໄສ ແມ່ນບໍ

ບັກ ບຸນທອງຈິດມະນີ(ຫັວຫ້ນາຊູການປາບປາມການສໍ້ການໂກງພັກ)ແລະ ບັກ ບົວລີ ລ. ວັນໄຊ(ຫັວຫັ່ນາບໍ່ຊັກຝອກພັກ)
ພວກມືງພາກັນໄປຊົ້ນຢູ່ໄຕ້ສີ້ນອີ່ທອງຫວິນເມັຍບັກໄກສອນບໍ????????


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

Paxaxon Journal :20.02.2012

ປະຊາຊົນ​ບ້ານ​ນາ​ຂ້ອຍ​ສາວ ຫລຸດ​ພົ້ນ​ອອກ​ຈາກ​ ຄວາມທຸກ​ຍາກ​ໄດ້​ເກືອບ 100%

*ໂດຍ ​ຜັນ​ຂະ​ຫຍາຍ​ມະ​ຕິ 9 (ສະ​ໄຫມ​ທີ 5) ຂອງ​ສູນ​ກາງ​ພັກ​ກ່ຽວ​ກັບ​ການ​ກໍ່ ສ້າງ​ຄອບ​ຄົວ ແລະບ້ານ ​ວັດ​ ທະ​ນະ​ ທຳ ປະ​ຕິ​ບັດ​ຕາມ​ມະ​ຕິ 7 ຂອງ​ສູນ​ກາງ​ພັກ ແລະ ມະ​ຕິ 6 ຂອງ​ແຂວງ ຂອງ​ເມືອງ ອີງ​ຕາມ ​ຄຳ ​ສັ່ງ​ແນະ​ນຳ ເລກ​ທີ 129/ຖວ, ລົງ​ວັນ​ທີ 14/02/09 ຂອງ​ກະ​ຊວງ​ຖະ​ແຫລງ​ຂ່າວ ວັດ​ທະ​ນະ​ທຳ ວ່າ​ດ້ວຍ​ ການ ​ຮີບຮ້ອນ ​ການ​ປັບ​ປຸງ ແລະກໍ່​ ສ້າງ​ຄອບ​ຄົວ ແລະ ບ້ານ​ວັດ​ທະ​ນະ​ທຳ​ຢູ່​ແຕ່​ ລະ​ແຂວງ​ໃນ ທົ່ວ​ປະ​ເທດ ​ໃຫ້​ບັນ​ລຸ​ຄາດ​ຫມາຍ​ວາງ​ອອກ. ອີງ​ຕາມ​ຄຳ​ ສັ່ງ​ ແນະ​ ນຳ ​ເລກ​ທີ 09/ ກມ​ສ​ພ ລົງ​ວັນ​ທີ 08/06/04 ວ່າ​ດ້ວຍ ການ​ສ້າງ​ບ້ານ ແລະ ກຸ່ມ​ບ້ານ​ພັດ​ທະ​ນາ ແລະຜ່ານ​ຈາກ​ ການ​ຮັບ​ຮອງ​ເອົາ​ແຜນ​ການສ້າງ ​ບ້ານ​ວັດ​ທະ​ນະ​ທຳ​ໃນ​ປີ 2005, ໃນ​ທີ່​ສຸດ​ບ້ານ​ນາ ຂ້ອຍ ສາວ​ຈຶ່ງ​ໄດ້​ຮັບ​ຮອງ ແລະ ປະ​ກາດ​ເປັນ​ບ້ານ​ວັດ​ທະ​ນະ​ທຳ​ໃນ ທ້າຍ​ເດືອນ ​ມິ​ຖຸ​ນາ 2009.
ທ່ານ ​ທອງ​ພັນ ນາຍ​ບ້ານໆ​ນາ ຂ້ອຍສາວ ໄດ້​ກ່າວ​ວ່າ: ນາ​ຂ້ອຍສາວ ​ເປັນ ບ້ານ​ຫນຶ່ງ​ທີ່​ຕັ້ງ​ ຕາມ​ສາຍ​ທາງ ​ເລກ​ທີ 20 ຫ່າງ​ຈາກ​ຕົວ​ເມືອງ 8 ກ​ິ​ໂລ​ແມັດ, ມີ​ເນື້ອ​ ທີ່​ທັງ​ຫມົດ 734,4 ເຮັກ​ຕາ, ປະ​ກອບ​ມີ 3 ຄູຸ້ມ​ຄື: ຄຸ້ມ​ນາ​ຂ້ອຍ​ສາວ, ຄຸ້ມ​ຫມາກ​ນາວ ນອກ ແລະ ຄຸ້ມ​ຫມາກ​ ນາວ​ໃນ ມີ 253 ຫລັງ​ຄາ​ເຮືອນ 298 ຄອບ​ຄົວ, ມີ​ພົນ ​ລະ​ເມືອງ​ທັງ​ຫມົດ 1.658 ຄົນ. ຍິງ 843 ຄົນ. ອາ​ຊີບ​ຕົ້ນ​ຕໍ​ແມ່ນ​ເຮັດ​ນາ ອາ​ຊີບ​ສຳ​ຮອງ ແມ່ນ​ລ້ຽງ​ສັດ ແລະ ປູກ​ຫມາກ​ໂມ ​ຂາຍ​ຈົນ​ໄດ້​ຂຶ້ນ​ຊື່​ວ່າ (ຫມາກ​ ໂມ​ນາ​ ຂ້ອຍ​ສາວ ເຫລົ້າ​ຂາວ​ເມືອງ​ຄົງ ປີ້ງ​ໄກ່​ນາ​​ປົ່ງ ລຳ​ວົງ ​ສາ​ລະ​ວັນ ຫມາກ​ພ້າວ​ຫວາ​ນາ​ໄຊ ດ້ວຍ​ຄວາມ​ຂະ​ຫຍັນ ​ຫ້າວ​ຫັນ​ ຈຶ່ງ ​ເກີດມີ​ຄອບ​ຄົວ​ຮັ່ງ​ມີ 47 ຄອບ​ຄົວ, ຄອບ ​ຄົວ​ ປານກາງ 243 ຄອບ​ຄົວ. ທັງ​ນີ້ ບ້ານ​ນາ​ຂ້ອຍ​ສາວ​ເປັນ​ບ້ານ​ທີ່​ມີ​ຊົນ​ລະ​ປະ​ທານ​ ໄຫ​ລ​ຜ່ານສ່ວນ​ຫນຶ່ງ​ ເຫມາະ​ສົມ​ ກັບ​ການ​ປູກ​ຝັງ ເປັນ​ຕົ້ນ​ເນື້ອ​ທີ່​ນາ 474,620 ເຮັກ​ຕາ ບັນ​ລຸ ສະ​ມັດ​ຕະ​ພາບ​ການ​ຜະ​ລິດ 3 ໂຕນ/ເຮັກ​ຕາ, ຜົນ​ຜະ​ລິດ​ໄດ້​ທັງ​ຫມົດ 1.424 ໂຕນ. ເນື້ອ​ທີ່​ນາ​ແຊງ 900 ເຮັກ​ຕາ ບັນ​ລຸ​ສະ​ມັດ​ຕະ ​ພາບ​ ການ ​ຜະ​ລິດ 3,5 ໂຕນ/ ເຮັກ​ຕາ. ຈາກ​ນີ້, ຈຶ່ງ​ເຮັດ​ໃຫ້​ປະ​ຊາ​ຊົນ​ພາຍ​ໃນ​ບ້ານ ໂດຍສະ​ເລ່ຍ​ຄົນ​ຫນຶ່ງ​ໄດ້​ ຮັບ​ເຂົ້າ​ ເປືອກ​ປະ ​ມານ 878 ກິ​ໂລ​ກ​ຼາມ/ ຄົນ/ ປີ, ມີ​ ເຂົ້າ​ກິນເຫລືອຂາຍເປັນ​ສິນ​ຄ້າ 875 ໂຕນ/ປີ. ນອກ​ຈາກ​ນີ້, ຍັງ​ມີ​ເນື້ອ​ທີ່​ປູກ​ຫມາກ​ໂມ 40 ເຮັກ​ຕາ, ຜົນ​ຜະ​ລິດ 200 ໂຕນ. ຂາຍ​ເປັນ​ເງິນ​ສົດ​ໄດ້ 400 ລ້ານ​ກີບ, ເນື້ອ​ ທີ່​ ປູກ​ຫມາກ​ແຕງ, ຖົ່ວ ແລະ ຜັກ​ຊະ​ນິດ​ຕ່າງໆ 5 ເຮັກ​ຕາ. ຜົນ​ຜະ​ລິດ 10 ໂຕນ, ຂາຍ​ເປັນ​ເງິນ​ໄດ້ 40 ລ້ານ ກີບ/ ປີ, ມີ​ເນື້ອ​ທີ່​ປູກ​ໄມ​້​ອຸດ​ສາ​ຫະ​ກຳ 31.500 ເຮັກ​ຕາ, ມີ​ຕົ້ນ​ໄມ້ 15.275 ຕົ້ນ, ໃນ​ນັ້ນ​ເດັ່ນ​ກວ່າ​ ຫມູ່​ແມ່ນ ​ຄອບ​ຄົວ ນາງ ເພດ ປູກ​ໄມ້​ວິກ ມີ​ເນື້ອ​ທີ່​ປູກ 4 ເຮັກ​ຕາ, ປູກ​ໄມ້​ຈຳ​ນວນ 4.800 ຕົ້ນ, ສຳ​ລັບ ​ການ ​ຜະ​ລິດ​ ປູກ​ ເຂົ້າ​ນາ​ປີ​ເດັ່ນ​ກວ່າ​ຫມູ່​ແມ່ນ​ຄອບ​ຄົວ ທ້າວ ຄຳ​ໃສ ມີ​ເນື້ອ​ທີ່ 1,8 ເຮັກ​ຕາ, ຜົນ​ຜະ​ລິດ​ໄດ້ 8,5 ໂຕນ. ສະ ​ເລ່ຍ ​ສະ​ມັດ​ຕະ​ພາບ​ການ​ຜະ​ລິດ 4,7 ໂຕນ/ເຮັກ​ຕາ, ແລະ ຂາຍ​ຜົນ​ຜະ​ລິດ​ອື່ນໆ ມີ​ລາຍ​ໄດ້​ທັງ​ຫມົດ 47 ລ້ານ ກີບ/ປີ, ສະ​ເລ່ຍ​ຄົນ​ໃນ​ຄອບ​ຄົວ​ໄດ້​ຮັບ 6,7 ລ້ານ ກີບ/ ຄົນ/ ປີ, ຄອບ​ຄົວ ທ້າວ ສົມ​ໃຈ ມີ​ ເນື້ອ​ທີ່ 1,5 ເຮັກ​ຕາ, ຜົນ​ຜະ​ລິດ 8 ໂຕນ. ສະ​ເລ່ຍ​ສະ​ມັດ​ຕະ​ພາບ ການ​ຜະ​ລິດ 5,3 ໂຕນ/ເຮັກ​ຕາ, ແລະ ຂາຍ​ຜົນ ​ຜະ​ ລິດ ​ອື່ນໆ ມີ​ ລາຍ ​ໄດ້ 40 ລ້ານກີບ/ທ​ປີ, ສຳ ລັບ​ການ​ປູກ​ຫມາກ​ໂມ​ຂາຍ​ເປັນ​ສິນ​ຄ້າ​ເດັ່ນ​ກວ່າ​ຫມູ່​ແມ່ນ​ຄອບ​ຄົວ ທ້າວ ພົງ​ ສະ​ຫວັນ ມີ​ເນື້ອ​ທີ່ 1 ເຮັກ​ຕາ, ຜົນ​ຜະ​ລິດ 4 ໂຕນ / ເຮັກ​ຕາ, ມີ​ລາຍ​ຮັບ​ຈາກ ​ການ ​ຂາຍ​ ຫມາກ​ໂມ 10 ລ້ານ ກີບ, ຄອບ​ຄົວ ທ້າວ ບຸນ​ຈັນ ມີ​ເນື້ອ​ທີ່ 1,5 ເຮັກ​ຕາ. ຜົນ​ຜະ​ລິດ​ໄດ້ 8 ໂຕນ, ມີ​ລາຍ​ຮັບ​ ຈາກ​ການ​ຂາຍ ​ຫມາກ ​ໂມ 20 ລ້ານກີບ, ການ​ ເຮັດ​ນາ​ແຊງ​ເດັ່ນ​ກວ່າ​ຫມູ່​ແມ່ນ​ຄອບ​ຄົວ​ນາງ ອ້ອຍ ຜະ​ລິດ​ເຂົ້າ​ໄດ້ 4 ໂຕນ/ເຮັກ​ຕາ, ແລະ ລ້ຽງ​ປາ ຜົນ​ຜະ​ລິດ​ໄດ້ 3 ໂຕນ, ເຊິ່ງ​ມີ​ປີ​ນີ້​ຄອບ​ຄົວ​ດັ່ງ​ກ່າວ ​ໄດ້​ຈາກ​ ການ​ຂາຍ​ຜົນ​ຜະ​ ລິດ​ເປັນ​ກຳ​ໄລ​ ຫລາຍກວ່າ 60 ລ້ານກີບ, ພາຍ​ໃນ​ບ້ານ​ມີ​ສັດ​ປະເພດ ຄວາຍ 205 ໂຕ, ງົວ 190 ໂຕ, ຫມູ 215 ໂຕ, ແບ້ 46 ໂຕ, ສັດ​ປີກ 4.033 ໃນ​ດ້ານ​ອຸດ​ສາ​ຫະ​ກຳ-​ການ​ຄ້າ ແລະ ບໍ​ລິ​ການ​ພາຍ​ໃນ​ບ້ານ​ມີ​ຂາຍ​ເຄື່ອງ​ຍ່ອຍ 14 ຮ້ານ, ຮ້ານ​ກິນ​ດື່ມ 2 ຮ້ານ, ຮ້ານ​ສ້ອມ​ແປງ 1 ຮ້ານ. ຮ້ານ​ຂາຍ ​ຫມາກ​ໂມ-​ຫມາກ​ແຕງ 30 ຮ້ານ. (ຂາຍ​ ສະ​ເພາະ​ລະ​ດູ​ແລ້ງ) ປະ​ຈຸ​ບັນ​ມີ​ໄຟ​ຟ້າ​ໃຊ້​ແລ້ວ 2 ຄຸ້ມ, ຍັງ 1 ຄຸ້ມ, ມີ​ໂຮງ​ສີ​ເຂົ້າ 1 ແຫ່ງ. ຈັກ​ຟາດ​ເຂົ້າ 6 ເຄື່ອງ, ມີ​ລະ​ບົບ​ ນ້ຳ​ບາ​ດານ​ອ່າງ​ສູງ 1 ແຫ່ງ,ຄະ​ນະ​ທີ່​ວຽກ​ງານ​ຄົມ​ມະ​ນາ​ຄົມ, ກໍ່​ສ້າງ​ພື້ນ​ຖານ​ໂຄ່ງ​ລ່າງ ຜ່ານ​ມາ​ອຳ​ນາດ ການ​ປົກ​ຄອງ​ບ້ານ​ ໄດ້​ເອົາ​ໃຈ​ ໃສ່​ສ້ອມ​ແປງ​ທໍ່​ລອດ​ ທາງ​ ເຂົ້າ​ບ້ານ ຈຳ​ນວນ 5 ແຫ່ງ. ຄິດ​ເປັນ​ມູນ​ຄ່າ 60 ລ້ານກວ່າ​ກີບ. ອັນ​ພົ້ນ​ເດັ່ນ​ແມ່ນ​ສຳ​ເລັດ​ການ​ກໍ່​ສ້າງ ​ລະ​ບົບ​ນ້ຳ​ປະ​ປາ​ ຊົນ​ນະ​ບົດ ມູນ​ຄ່າ 100 ລ້ານກວ່າ​ກີບ, ດ້ວຍ​ທຶນ​ຂອງ​ປະ​ຊາ​ຊົນ​ເອງ 100%, ບ້ານ​ນາ​ຂ້ອຍ​ສາວ​ມີ​ລົດ​ຮຸນ​ໄດ 8 ຄັນ. ລົດ​ໄຟ​ນາ 65 ຄັນ. ລົດ​ຈັກ 161 ຄັນ. ສຳ ​ເລັດ ການ​ກໍ່​ສ້າງ​ໂຮງ​ຮຽນ​ມັດ​ທະ​ຍົມ 1 ຫລັງ, ມູນ​ຄ່າ 350 ລ້ານກີບ. ໃນ​ ນັ້ນ​ທຶນ​ຊ່ວຍ​ລ້າ​ຈາກ​ສາ​ກົນ 320 ລ້ານກີບ, ວຽກ​ຖະ​ແຫລງ​ຂ່າວ-​ວັດ​ທະ​ນະ​ທຳ ໄດ້​ຕິດ​ ຕັ້ງ​ໂທ​ລະ​ໂຄ່ງ 1 ຊຸດ, ມີ 3 ປາກ ເພື່ອ​ ແຈ້ງ​ຂ່າວ​ຖ່າຍ​ທອດ​ຂ່າວ​ປະ​ຈຳ​ວັນ ແລະ ການ​ປະ​ຊາ​ສຳ​ພັນ​ຕ່າງໆ ພາຍ​ໃນ​ບ້ານ​ມາ ​ຮອດ​ປະ​ຈຸ​ບັນ​ໄດ້​ສຳ​ເລັດ​ການ ມອບ​ ໃບ​ຢັ້ງ​ຢືນ​ຄອບ​ຄົວ​ວັດ​ທະ​ນະ​ທຳ ໄປ​ ແລ້ວ 2 ຄັ້ງ, ລວມ​ທັງ​ຫມົດ 259 ຄອບ​ຄົວ, ເທົ່າ​ກັບ 86,91% ຂອງ​ຈຳ​ນວນ​ຄອບ​ຄົວ​ທັງ​ຫມົດ. ວຽກ​ງານ​ສາ​ທາ. ທົ່ວ​ບ້ານ ​ມີນ​ບາ​ດານ 24 ບໍ່, ໃນ​ນັ້ນ ​ຂອງ​ ບຸກ​ ຄົນ 17 ບໍ່, ນ້ຳ​ປະ​ປາ​ຊົນ​ນະ​ບົດ 1 ແຫ່ງ, ວິດຖ່າຍ 109 ຫນ່ວຍ, ເທົ່າ​ກັບ 43% ການ​ສັກ​ ຢາ ແລະ ຢອດ​ຢາ​ກັນ​ພະ​ຍາດ ​ເດັກ​ອາ​ຍຸ​ລຸ່ມ 1 ປີ ສຳ​ເລັດ 100% ພົ້ນ ​ເດັ່ນ​ສ້າງ​ຄອບ​ຄົວ 3 ສະ​ອາດ​ໄດ້ 261 ຄອບ​ຄົວ, ເທົ່າ​ກັບ 87,5% ວຽກ​ງານ​ການ​ສຶກ​ສາ. ເດັກ​ໃນ​ເກນ​ອາ​ຍຸ​ ໄດ້​ເຂົ້າ ​ໂຮງ​ ຮຽນ 100% ສາ​ມາດ​ລົບ ​ລ້າງ​ການ​ກືກ​ ຫນັງ​ ສື​ໄດ້ 100%.
ບ້ານ​ດັ່ງ​ກ່າວ ນອກ​ຈາກ​ຈະ​ໄດ້​ຮັບ​ນາມ​ມະ​ຍົດ​ເປັນ​ບ້ານ​ທີ່​ໄດ້​ກ່າວ​ມາ​ຂ້າງ​ນີ້​ແລ້ວ ຍັງ​ໄດ້​ຮັບ​ນາມ​ມະ​ຍົດ​ເປັນ ​ບ້ານ ຫນ່ວຍ​ພັກ​ແຂວງ ຮູ້​ນຳ​ພາ​ຮອບ​ດ້ານ. ບ້ານ​ ປອດ ​ຄະ​ດີ ແລະ ເປັນ​ບ້ານ​ລົບ​ລ້າງ​ຄວາມ​ບໍ່​ຮູ້​ຫນັງ​ສື./.

------------------------------------------
ຢູ່ 11 ປທ ທີ່ອົພຍົບລາວມາອາສັຍຢູ່
ທຸກໆຄັວເຮຶອນມີ ທິວິ ວີທຍຸ ຕູ້ເຢັນ ເຕົາຮິດໄຟຟ້າ ຂອງຄັວກິນໄຟຟ້າ ວິດຊີມ ນ້ຳປະປາ ໄຟຟ້າໃຊ້ 100ຄັວເຮືອນມີແນດ80( ລາວມີ3ແນດໃນຈຳນວນ100ຄົນ ແລະລົດຂີ່ທຸກສອງຄົນມີລົດຄັນນືງ( ສີ່ງນີ້ໃຫ້ ພວກ ຄມນ ລາວ ສ້າງສັງຄົມ ພັກໂທນອິກ ພັນປິ ກະຄືຊິໄດ້ແຕ່ລົດຖິບ ທຸກໆ ຄັວເຮຶອນເທົ້ານັ້ນລະ)
19.11.07 ບັວສອນ ນຍຄົນທີ່5 ປະກາດ ທີ່ສິງກະໂປວ່າ ສປປລ ລ້າຫລັງກວະ ອມຣກ 300 ປິ
ແມ່ນບໍ???



__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ລົດບໍ່ມີປ້າຍ ມັກສວຍໃຊ້ສ້າງແນວບໍ່ດີ
ລົດບໍ່ມີປ້າຍ ມັກສວຍໃຊ້ສ້າງແນວບໍ່ດີ
ລົດບໍ່ມີປ້າຍ ມັກສວຍໃຊ້ສ້າງແນວບໍ່ດີ

Vientiane Mai ວັນທີ 17 ກຸມພາ 2012 - ເວລາ 10:35:57 ສົ່ງຂ່າວນີ້ໃຫ້ເພື່ອນ ພິມຂ່າວນີ້ Share 0



ສະ­ພາບ​ປະ­ກົດ​ການ​ຫຍໍ້­ທໍ້​ຢູ່​ບ້ານ​ເຮົາ ຍັງ​ມີ​ໃຫ້​ເຫັນ​ຢູ່​ເລື້ອຍໆ ດັ່ງ​ຈະ​ເຫັນ​ໄດ້​ໃນ​ຂ່າວ​ທາງ​ໜ້າ​ໜັງ­ສື­ພິມ​ລາຍ​ວັນ ລາຍ​ສັບ­ປະ­ດາ ເຊິ່ງ​ການ​ກໍ່​ປະ­ກົດ​ການ​ຫຍໍ້­ທໍ້​ນັ້ນ ມາ​ຈາກ​ຫຼາຍ​ສາ­ເຫດ ອັນ​ມາ​ຈາກ​ຄວາມ​ຕັ້ງ­ໃຈ ແລະ ຈົງ­ໃຈ​ເຮັດ ເຊັ່ນ: ການ​ລ່ວງ​ລະ­ເມີດ​ກົດ​ຈະ­ລາ­ຈອນ ແລ້ວ​ພາ­ໃຫ້​ເກີດ​ອຸ­ປະ­ຕິ­ເຫດ ການ​ດື່ມ​ເຫຼົ້າ​ເມົາ​ແລ້ວ​ຂັບ​ລົດ ພາ­ໃຫ້​ເກີດ​ອຸ­ປະ­ຕິ­ເຫດ ການ​ແຂ່ງ​ລົດ ຊິ້ງ​ລົດ​ໃນ​ທາງ​ຖະ­ໜົນ­ຫຼວງ ການ​ເສບ ແລະ ຄ້າ­ຂາຍ​ຢາ​ເສບ​ຕິດ ການ­ຈັດ­ຕັ້ງ​ກຸ່ມ​ແກ້ງ​ລັດ​ຕີ​ກັນ ການ​ຊີງ​ຊັບ​ດຶງ​ກະ­ເປົາ ດຶງ​ສາຍ​ຄໍ ການ​ຂີ້­ລັກ​ງັດ​ແງະ ການ​ຕົວະ​ຕົ້ມ​ຫຼອກ​ລວງ ແລະ ການ​ຂ້າ​ເຈົ້າ​ເອົາ​ຂອງ​ອື່ນໆ ອັນ​ເປັນ​ການ​ລົບ​ກວນ​ບັນ­ຍາ­ກາດ​ແຫ່ງ​ການ​ດຳ­ລົງ​ຊີ­ວິດ​ຢ່າງ​ສັນ­ຕິ​ຂອງ​ ປະ­ຊາ­ຊົນ​ບັນ­ດາ­ເຜົ່າ.

ຜູ້​ສ້າງ​ແນວ​ບໍ່​ດີ​ຂຶ້ນ​ສ່ວນ​ຫຼາຍ​ແມ່ນ​ໄວ​ໜຸ່ມ ແລະ ພວມ​ກຳ­ລັງ​ຢູ່​ໃນ​ໄວ​ພວມ​ເຮັດ​ວຽກ​ງານ ແລະ ຕ້ອງ­ການ​ວັດ­ຖຸ​ເງິນ​ຄຳ​ມາ​ໃຊ້​ຈ່າຍ ຫຼື ຄວາມ​ຕ້ອງ­ການ​ທີ່​ຟຸມ​ເຟືອຍ​ດ້ານ​ອື່ນໆ​ຕາມ​ກະ­ແສ​ບໍ­ລິ­ໂພກ​ນິ­ຍົມ ເມື່ອ​ໝົດ​ຫົນ­ທາງ​ການ​ໄດ້​ມາ​ໂດຍ​ຄວາມ​ບໍ­ລິ­ສຸດ​ໃຈ ຈາກ​ການ​ຂໍ​ການ​ຢືມ​ນຳ​ພໍ່​ແມ່ ນຳ​ຜູ້​ປົກ­ຄອງ ພວກ​ເຂົາ​ກໍ​ຫັນ​ມາ​ອອກ​ລິດ­ເດດ​ດ້ວຍ​ການ​ລັກ ປຸ້ນ​ຈີ້ ດຶງ​ກະ­ເປົາ ດຶງ​ສາຍ​ຄໍ ຈົນ​ໄປ​ເຖິງ​ການ​ຂ້າ​ເຈົ້າ​ເອົາ​ຂອງ ເຊິ່ງ​ແມ່ນ​ການ​ກະ­ທຳ​ຜິດ​ທາງ​ອາ­ຍາ​ຢ່າງ​ຮຸນ​ແຮງ ບາງ​ຄົນ​ເຄີຍ​ຕ້ອງ​ໂທດ​ອອກ​ຄຸກ​ມາ​ແລ້ວ​ກໍ​ມີ ການ​ກະ­ທຳ​ຜິດ​ຊ້ຳ​ອີກ​ກໍ​ມີ​ຫຼາຍ.

ສຳ­ຄັນ​ພາ­ຫະ­ນະ​ໃນ​ການ​ກະ­ທຳ​ຜິດ​ສ່ວນ​ໃຫຍ່​ແມ່ນ​ລົດ​ເກງ ລົດ­ຈັກ​ທີ່​ບໍ່​ມີ​ປ້າຍ ມີ​ທັງ​ລົດ​ເກົ່າ ແລະ ລົດ​ໃໝ່​ປອກ​ເຈ້ຍ ດັ່ງ​ເຫດ­ການ​ໄລ່​ຍິງ​ກັນ​ຢູ່​ແຖວ​ດອນ​ໜູນ​ເມື່ອ​ສອງ​ປີ­ຜ່ານ­ມາ ເຊິ່ງ​ກໍ​ແມ່ນ​ລົດ​ໃໝ່​ທັງ​ນັ້ນ ນີ້​ຄື​ຊ່ອງ​ຫວ່າງ​ສຳ­ຄັນ​ຂອງ​ຄົນ​ບໍ່​ດີ ແລະ ຕ້ອງ​ມີ​ການ​ຮ່ວມ​ມື​ກັນ​ແກ້​ໄຂ​ໃຫ້​ເປັນ​ຜົນ­ສຳ­ເລັດ ດັ່ງ­ນັ້ນ ອົງ­ການ​ກ່ຽວ­ຂ້ອງ​ທີ່​ມີ​ສິດ​ອຳ­ນາດ ຕ້ອງ​ຫັນ​ໜ້າ​ປຶກ­ສາ​ຫາ­ລື​ກັນ ດ້ວຍ​ການ​ສ້າງ​ມາດ​ຕະ­ການ ຫຼື ເຮັດ​ແນວ­ໃດ ປະ­ກາດ​ຫ້າມ​ລົດ​ບໍ່​ມີ​ປ້າຍ​ແລ່ນ ຖ້າ​ຊື້​ໃໝ່​ຕ້ອງ​ໃຫ້​ໄດ້​ປ້າຍ​ລົດ​ຈົບ​ດີ​ແລ້ວ​ຈຶ່ງ​ແລ່ນ ຖ້າ​ແລ່ນ​ສາ­ມາດ​ເອົາ​ຜິດ​ໄດ້ ເຖິງ​ບໍ່​ມີ​ການ​ກະ­ທຳ​ຜິດ​ກໍ​ຕາມ ດັ່ງ­ນັ້ນ ເວ­ລາ​ຊື້​ລົດ​ຕ້ອງ​ເຮັດ​ປ້າຍ​ໃຫ້​ແລ້ວ​ໄວ ບໍ່​ຄວນ​ແກ່­ຍາວ​ເປັນ​ເດືອນ ເປັນ​ປີ ຕ້ອງ​ແກ້​ໃຫ້​ຖືກ­ຕ້ອງ​ແຕ່​ຕົ້ນ​ທາງ ຄື​ຜູ້​ຊື້​ລົດ​ຕ້ອງ​ມີ​ໃບ​ຂັບ​ຂີ່ ຊື້​ແລ້ວ​ຕ້ອງ​ອອກ​ໃບ​ກວດ­ກາ​ເຕັກ­ນິກ​ໃຫ້ ເຮັດ​ປະ­ກັນ​ໄພ ແລະ ເສຍ​ຄ່າ​ທາງ​ຢູ່​ທີ່​ນັ້ນ​ເລີຍ ຖ້າ​ປະ​ອັນ​ໃດ​ໜຶ່ງ​ໄວ້ ບາງ­ທີ​ເຂົາ­ເຈົ້າ​ບໍ່​ເຮັດ​ເລີຍ​ຊ້ຳ.

ຄິດ​ວ່າ​ຖ້າ​ເຮັດ​ແບບ​ນີ້​ໄດ້ ກໍ​ຄົງ​ຈະ​ບັ່ນ​ທອນ​ການ​ກໍ່​ຄວາມ​ບໍ່​ດີ​ຂຶ້ນ​ໄດ້ ໂດຍ​ສະ­ເພາະ​ຄົນ​ທຽວ​ທາງ​ທີ່​ເຫັນ​ລົດ​ບໍ່​ມີ​ປ້າຍ ຈະ​ພ້ອມ​ກັນ​ລະ­ມັດ­ລະ­ວັງ​ຫຼາຍ​ຂຶ້ນ ຄົນ​ຈະ​ຮຽນ​ຂັບ​ຂີ່​ຫຼາຍ​ຂຶ້ນ ຄົນ​ບໍ່​ມີ​ໃບ​ຂັບ​ຂີ່​ແຕ່​ມີ​ລົດ​ຈະ​ໜ້ອຍ​ລົງ... ສຳ­ຄັນ​ທີ່​ສຸດ ແລະ ເປັນ​ຂອດ​ຕັດ­ສິນ ກໍ​ຍັງ​ຕ້ອງ​ແມ່ນ​ສະ​ຖາ​ບັນ​ຄອບ­ຄົວ ກຳ­ກັບ​ຮັບ­ຜິດ­ຊອບ​ຄົນ​ໃນ​ເຮືອນ​ຕົນ​ໃຫ້​ໄດ້ ຖ້າ​ຄອບ­ຄົວ​ຍັງ​ບໍ່​ເຮັດ​ໜ້າ­ທີ່​ເປັນ​ຈຸ​ລັງ​ຂອງ​ສັງ­ຄົມ ມັນ​ກໍ​ບໍ່​ສາ­ມາດ​ແກ້​ໄຂ​ບັນ­ຫາ​ດັ່ງ­ກ່າວ​ໄດ້ ດັ່ງ­ນັ້ນ ຕ້ອງ​ຮ່ວມ​ກັນ​ຢ່າງ​ຈິງ​ຈັງ​ຄົນ​ລະ​ໄມ້​ລະ​ມື ຮັບ­ຮອງ​ວ່າ​ບັນ­ຫາ​ນີ້​ຕ້ອງ​ເອົາ​ຢູ່ ວ່າ​ຊັ້ນ​ເຢີ !.

ໂດຍ: ຊຽງ​ເອງ




__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ພວກເສຍເສັ້ນ ບໍ່ມີວຽກຫຍັງໃຫ້ເຮັດແລ້ວບໍ່, ຄືມາເວົ້າແຕ່ແນວບໍ່ເປັນຕາສາເທດ, ດີແຕ່ເວົ້າໃຫ້ປະເທດລາວ ທັ້ງໆທີ່ວ່າໂຕເອງກໍ່ແມ່ນເຊື້ອຊາດລາວ, ແທນທີ່ຈະຊ່ວຍພັດທະນາສ້າງຊື່ສຽງໃຫ້ແກ່ປະເທດພັດມາເວົ້າແຕ່ແນວບໍ່ເປັນຕາສາເທດ ຈະແມ່ນຊົ່ວນໍ



__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ປະກາດຮັບສະມັກໄປຫລາຍຄັ້ງແຕ່ບໍ່ມີໃຜມີຄຸນສົມບັດພໍທີ່ຈະເຮັດໄດ້ເລຍໄປຈ້າງຄົນຕ່າງປະເທດມາເຮັດແທນ ນີ້ແຫລະ ວຽກງານທີ່ດີໆຄົນລາວເຮັດບໍ່ໄດ້ເນື່ອງມະຫາວິທະຍາໄລ ຜະລິດນັກສຶກສາບໍ່ມີຄຸນນະພາບ ມີແຕ່ປະລິມານຖຶກຢິດເງີນ ແລ້ວໃຫ້ໃບປະກາດໄປ ແລະມີເພື່ອນຄົນທີ່ເຮັດວຽກກັບລັດມັນບອກວ່າ ໄປເຮັດວຽກແມ່ນໄປລົມກັນ ລໍໃຫ້ຫມົດຊົ່ວໂມງແລ້ວກັບບ້ານ ຫມົດເດືອນກໍຮັບເງິນເດືອນບາງວັນບໍ່ມີງານຫຍັງເຮັດເລີຍ ນີ້ແຫລະຄວາມໂຄ່ມ່າອາການຫນັກຂອງປະເທດລາວ
- ບາງທີຄົນທີ່ວິຈານອາດໄດ້ປະເຊີນກັບເຫດການຕົວຈິງ ເຊີ່ງຕົງກັບແນວຄວາມຄິດຂອງຂ້າພະເຈົ້າ, ຂ້າພະເຈົ້າສັງເກດເບີ່່ງ
ປະເທດຊາດ ຂອງຕົນສູດທີ່ເສົ້າໃຈ ເມື່່ອມີການພັດທະນາບໍ່ທົ່ວເຖີງ, ເມື່ອສັງເກດໂດຍລວມຕັ້ງແຕ່ເໜື່ອເຖີງໃຕ້ ໂດຍສະຊົນນະບົດ ທີ່ຫ່າງໄກຊອກລີກ ຊີວິດຂອງພວກເຂົ້າຫາກີນພໍປະທັງຊີວິດກີນກໍ່ຍັງຍາກ, ເລື່ອງລາຍຮັບ, ແມ່ນບໍ່ມີເລີຍ, ຢ່າວ່າແຕ່ການສືກສາຫຼືເລື່ອງສູຂະພາບຍີ່ງໄກ, ເທົ່າທີ່ເຫັນຈະພັດທະນາແຕ່ໃນຕົວເມື່ອງ, ຍົກຕົວຢ່າງ ຖະໜົນ ຫົນທາງ ເຣັດ ແລ້ວເຣັດອີກບ່ອນເກົ່າຕັ່ງຫຼາຍຄັ້ງກໍ່ຍັງມີ, ຢາກ ຖາມວ່າງົບປະມານເອົາມາສ້າງນັ້ນ, ມັນບໍ່ພໍທີ່ຈະເຮັດໃຫ້ມີຄູນະພາບເທື່ອດຽວບໍ?, ບາງໝູ່ບ້ານ ມີ 400-500ຫຼັງຄ່າ ທາງເຂົ້າບ້ານຍັງເປັນທາງກວຽນ, ເກັບເງີນປະຊາຊົນທູກປີ, ທັງໆ ທີ່ໝູ່ນັ້ນບໍ່ມີລາຍຮັບນອກຈາກຄອງຄ່ອຍຖ້າທໍາມະຊາດອໍານວຍ,ເຮັດນາປີພໍໄດ້ກີນເຂົ້າ, ສວ່ນອາຊີບອື່ນໆບໍ່ມີເລີຍ,ເດັກ-ໄວໜູ່ມບໍ່ມີໂອກາດໄດ້ສຶກສາຮໍ່າຮຽນ ທັງໝົດໃນໝູ່ບ້ານ ຈົບມັດທະຍົມສືກສາ ແມ່ນຫາຍາກ,ເຊີ່ງກົງກັນຂ້າມກັບໃນເມື່ອງ ມີໂອກາດສຶກສາຮໍ່າຮຽນ ແຕ່ກັບຊື້ດ້ວຍເງີນ, ເພາະອຸດົມສົມບູນ, ບາງຫຼັງຄ່າເຮື່ອນ ມີລົດຂີ່ຕັ່ງສອງສາມຄັນ ຢາກຖາມວ່າເປັນຫັຍງເສດຖະກິດຫຼືວ່າລາຍຮັບຂອງຄົນລາວຈຶ່ງແຕກຕ່າງກັນຫຼາຍແທ້.



__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

kou keoviengkham ຊື່ປອມ ໃນແຝສບຸກ
ແມ່ນລູກຊາຍຂອງ ນຍ ທອງສີງ ທີ່ ອອກຂ່າວຂື້ນບ້ານໄຫ່ມຂອງເຂົາໃນວັນທີ່26 ຜ່ານມາແມ່ນບໍ?
ແມ່ນລູກຊາຍຂອງ ນຍ ທອງສີງ ທີ່ ອອກຂ່າວຂື້ນບ້ານໄຫ່ມຂອງເຂົາໃນວັນທີ່26 ຜ່ານມາແມ່ນບໍ?
ແມ່ນລູກຊາຍຂອງ ນຍ ທອງສີງ ທີ່ ອອກຂ່າວຂື້ນບ້ານໄຫ່ມຂອງເຂົາໃນວັນທີ່26ຜ່ານມາແມ່ນບໍ?
ແມ່ນລູກຊາຍຂອງ ນຍ ທອງສີງ ທີ່ ອອກຂ່າວຂື້ນບ້ານໄຫ່ມຂອງເຂົາໃນວັນທີ່26 ຜ່ານມາແມ່ນບໍ?
ແມ່ນລູກຊາຍຂອງ ນຍ ທອງສີງ ທີ່ ອອກຂ່າວຂື້ນບ້ານໄຫ່ມຂອງເຂົາໃນວັນທີ່26 ຜ່ານມາແມ່ນບໍ?
ແມ່ນລູກຊາຍຂອງ ນຍ ທອງສີງ ທີ່ ອອກຂ່າວຂື້ນບ້ານໄຫ່ມຂອງເຂົາໃນວັນທີ່26 ຜ່ານມາແມ່ນບໍ?
ແມ່ນລູກຊາຍຂອງ ນຍ ທອງສີງ ທີ່ ອອກຂ່າວຂື້ນບ້ານໄຫ່ມຂອງເຂົາໃນວັນທີ່26ຜ່ານມາແມ່ນບໍ?
ແມ່ນລູກຊາຍຂອງ ນຍ ທອງສີງ ທີ່ ອອກຂ່າວຂື້ນບ້ານໄຫ່ມຂອງເຂົາໃນວັນທີ່26 ຜ່ານມາແມ່ນບໍ?

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 


http://www.atimes.com/atimes/Southeast_Asia/NB18Ae03.html

http://www.youtube.com/watch?v=tm11QBz0bVI

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1329560454&grpid=01&catid=&subcatid=

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1329560952&grpid=no&catid=53&subcatid=5300

ຄົນອັງກິດແຕ່ຣັກສາຄວາມເປັນລາວ ເອົາຄວາມເປັນລາວມາທ້າທາຍຣັຖສຍາມໄດ້ສະບາຍ ທີ່ ທິວິເຂົາອິກດ້ວຍ

http://www.dailymotion.com/video/xo556u_farang-lao-isan-youtube-freecorder-com_webcam

http://www.dailymotion.com/video/xo54ya_falang-speak-thai-lao-youtube-freecorder-com_webcam



__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

http://www.facebook.com/#!/profile.php?id=100001263301389

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ປິ 11 ພັຍທັມມະຊາດໄດ້ ມາທຳລາຍ ປທ ເຣົາ ບໍ່ມີ ຈັກເມື່ອ ໃນຮອບ100ປິ
ມີ ປຊຊ ລາວກ່ວາ5ແສນ ບໍ່ມີຢູ່ມີກິນ 383 ຖນົນ 43 ຂັວ ແລະ 182 ໂຮງຮຽນ ໂຮງຫມໍ ຖືກ ທຳລາຍ
ພັກໂຈນຕ້ອງການ 1600 ລ້ານ ດລ ແຕ່ ປານນັ້ນບອກວ່າ ພັກ ຜິຫ່າບໍ່ມີເງິນ
ກຳແພງ ໂຮງຮຽນ ມສ ວຽງຈັນ 200 ແມດ ໃນ ວຈ ເງິນສ້າງ ພຽງ160 ລ້ານກິນ ຍັງປະໃຫ້ ເປັນໄປຕາມທັມມະຊາດ ໃຫ້ ເອກກະຊົນສ້າງໃຫ້

ບາດມາເຫັນ ບັກ ນຍ ປໍ6 ຂື້ນເຮຶອນຈີ່ງຮູ້ວ່າ ເງິນ ປທ ເຮົາ ມັນຂາດ ງົປມານ ນາຍຄູ ນາຍຫມໍ ບໍ່ໄດ້ກິນເງີນເດືອນ ເຄີ່ງປິ ໃຫ້ລາວນອກ+ຕ່າງຊາດ ຊ່ວຍປິນື່ງ630 ລ້ານ
ກະມາຢູ່ທີ່ນິ້ເອງ



ເຫັນແລ້ວແລ້ວບອກຕໍ່ ສົ່ງຕໍ່ ການຂື້ນເຮືອນໄຫ່ມຂອງ ນຍ ໂຈນ ລາວແດງທີ່ ວຈ ໃນວັນທີ່ 26.01.12 ຜ່ານມາ

ກ່າຍມາຈາກ ແຝສບຸກ Kou laostar keoviengkham

http://www.facebook.com/profile.php?id=100000065161008

ແລະມື້ອທ່ນໃນອອກຝນລາຍການທີ່ວີທຍ
www.siengserixonlao.com


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

รัฐบาล สปปล จะสืบต่อการฃ่า-ล้างเผ่าพันธุ์ม้งลาวและอดิตร์ปฏิการลาวที่ลอดตายทั้งในประเทศและอยู่ต่างประเทศต่อไป
จนกว่าจะสร้าง"สหพันธุ์เวียตนาม"ได้สำเร็จตามพินัยกรรมของประธาร HO CHI MINH ที่ได้วางนะโยบายไว้ตอนต่อสู้
เอาเอกราช"INDOCHINE"จากฝรั่งเศสมี VIETNAM,CAMBOGE,LAOS รวมกันเป็นอันหนึ่งอันดียวกันเรียกว่า"สามชาติ
อ้ายน้องคือชาติเดียวกัน"นะโยบายสำคัญของ พัก-ลัด สปปล ในขณะนี้ก็คือนำไช้ทิสดี"มติข้อที่5"ที่วางออกไช้ใน1973นำออกมาไช้สร้างความแตกแยกความสามัคคีไม่ไห้คนลาวอพพที่เหลือตายในต่างประเทศรวมตัวกันได้อีกต่อไป
โดยวิธีหลอกไช้คนลาวอพยพเหลือตายที่ไม่เข้าใจการเมืองทำงานเป็นสายลับไห้ในต่างประเทศส่งข่าวการเคลื่อนไหว
ของขบวรการ"ขตล"อยู่นอกประเทศไปไห้ในนั้นก็มีพระสงข์ส่งนอกทั้งไทยและลาวรวมอยู่ดว้ย...ระวังศัตรูของประชา-
ธิปไตยในคราบของนักบวชและคนลาวนอกโง่-ขาดการศึกษา-ขาดการเมือง ทำงานไห้ศัตรูของตนเองเช่นตัวอย่างมีมา
แล้วในปี1973ตอนเช็ญสัญญารวมลาวสองฝ่ายและ1975ตอนคนลาวว่ายข้ามแม่น้ำโขงหนีตายจากลาวแดงคอมฯ......

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ວັນທີ່26 ເດືອນຜ່ານມີການຂື້ນເຮືອນໄຫ່ມອັນໂອ້ໂຖງ ລູລາໄຫ່ຍໂຕແທ່ໆ ຂອງ ນາຍຍົກປໍສາມ
ໃນຂະນະທີ່ ສປປລ ກາຍເປັນ ປທ ທຸກຍາກທີ່ສຸດໃນໂລກ ມີ ປຊຊ ກ່ວາ5ແສນບໍ່ມີຢູ່ມີກິນຍ້ອນພັຍທັມມະຊາດ ມາລຸກລານ
ເຂົ້າແຝສບຸກ ແລ້ວຕີ

Kou Laostar keoviengkham

www.siengserixonlao.com

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ปัจจุบันนี้ประเทศลาวเป็นเพียงแขวงหนึ่งของเวียตนามไปแล้วนับตั้งแต่ วันที่ ๒ ทันวาคม ๒๕๑๘ เช่นเดียวกับ อาณาจักรลาวล้านช้างตะวันตก 19 แขวงที่ถูก
ฝรั่งเศส และ สยามประเทศไทยตัดแบ่งกันกินใน วันที่ ๓ ตุลาคม ค.ศ. ๑๘๙๓ สำหรับลาวนอกอพยพที่หนีตาย,รอดตาย,เหลือตาย จากการไล่ฃ่าจากกลุ่มลาว
แดง-เวียตนามแดงในปี ค.ศ.๑๙๗๕ เป็นต้นมา เป็นพียงคนไร้ชาติ,ไร้แผ่นดิน เท่านั้นเอง....การต่อสู้ของลาวนอกอยู่ทั่วโลกในปัจจุบันนี้เีพียงแต่พูดด้วยปาก
เปล่าเท่านั้นเอง ไม่มีทิสดีใดๆในด้านการเมือง,การต่อสู้ทางวิชาการเลย แล้วจะชนะได้อย่างไร!!!ทุกๆการต่อสู้มันมีหลักการ!แผนการ!ดูตัวอย่าง พวกลาวแดง
เข้ามาในปี 1973 เขาไช้เวลาในการต่อสู้ไม่ถึงสองปี พวกเขาก็ชนะแล้ว เพราะอะไร!!! เพราะว่า.....? พวกท่านขาด...?

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ຫນັງສືພີມ ປາກກະບອກສຽງພັນ ຄມນ ໂຈນລາວແດງ "ປະຊາຊົນ" ວັນທີ່ 07.02.2012

ເພີ່ມທະວີວຽກງານສະກັດກັ້ນ ແລະ ແກ້ໄຂ
ປະກົດການຫຍໍ້ທໍ້ໃນສັງຄົມໃຫ້ມີປະສິດທິຜົນ

ໃຕ້ລະບອບໃໝ່ຄຽງຄູ່ກັບຜົນສຳເລັດທາງດ້ານເສດຖະກິດ, ພວກເຮົາກໍ່ສາມາດຍາດໄດ້ຜົນສຳເລັດທາງດ້ານວັດທະນະທຳ-ສັງຄົມ
ແຕ່ໃນພາລະກິດແຫ່ງການປົກປັກຮັກສາ ແລະ ສ້າງສາປະເທດຊາດມາຮອດປະຈຸບັນນີ້, ພວກເຮົາກໍ່ຍັງມີຂໍ້ຄົງຄ້າງຕົ້ນຕໍຈຳນວນໜຶ່ງທີ່
ຈະຕ້ອງໄດ້ແກ້ໄຂ, ເປັນຕົ້ນແມ່ນບັນຫາປະກົດການຫຍໍ້ທໍ້ໃນສັງຄົມເປັນຕົ້ນໃນຕົວເມືອງໃຫຍ່ຈຳນວນໜຶ່ງຍັງບໍ່ທັນໄດ້ຮັບການແກ້ໄຂຢ່າງ
ໜັກແໜ້ນດ້ວຍກຳລັງແຮງສັງລວມ. ປະກົດ​ການ​ຫຍໍ້​ທໍ້​ເຫລົ່ານີ້ ​ໄດ້​ສ້າງ​ຜົນ​ເສຍ​ຫາຍ​ທາງ​ດ້ານ​ຊີວິດ, ຊັບ​ສິນ​ເປັນ​ຈໍານວນ​ຫລວງຫລາຍ ​ເຮັດ​ໃຫ້​ສັງ​
ຄົມ​ບໍ່​ມີ​ຄວາມ​ສະຫງົບ ​ແລະ ປອດ​ໄພ, ຖ້າ​ຫາກ​ພວກ​ເຮົາບໍ່​ເອົາ​ໃຈ​ໃສ່​ແກ້​ໄຂ​ດ້ວຍ​ມາດ​ຕະການ​ທີ່​ເດັດຂາດ ​ແລະ ​ເຂັ້ມງວດ​ແລ້​ວກໍ່ຈະ​ກາຍ​ເປັນ​ສິງ​ທ້າ​ທາຍ
​ແລະ ອຸປະສັກ​ອັນ​ໃຫຍ່​ຫລວງ​ທີ່​ກົດໜ່ວງການ​ສ້າງສາ​ພັດທະນາ ​ແລະ ສະຖຽນລະ​ພາບ​ຂອງ​ປະ​ເທດ, ມີ​ຜົນ​ກະທົບ​ອັນ​ບໍ່ດີ​ຕໍ່ລະບອບ​ປະຊາທິປະ​ໄຕ ປະ
ຊາຊົນ​ຂອງ​ພວກ​ເຮົາ​ໃນ​ສະ​ເພາະ ​ແລະ ຍາວ​ນານ. ດັ່ງນັ້ນຈຶ່ງ​ໃຫ້​ທຸກ​ພາກສ່ວນ​ເພີ່ມ​ທະວີ​ການ​ເຮັດວຽກງານ​ສະກັດ​ກັ້ນ ​ແລະ ​ແກ້​ໄຂ​ປະກົດ​ການ​ຫຍໍ້​ທໍ້​ໃນ​
ສັງຄົມ​ຢ່າງ​ຕັ້ງໜ້າ ​ແລະ ​ເຂົ້າ​ເຖິງ​ບັນຫາ​​ໃຫ້​ດີ​ຂຶ້ນກວ່າ​ເກົ່າ. ທັງນີ້ກໍ່ເພື່ອຮັບປະກັນໃຫ້ປະເທດຊາດໄດ້ຮັບການພັດທະນາໃນຈັງຫວະເຕີບໃຫຍ່
ທີ່ກອງປະຊຸມໃຫຍ່ ຄັ້ງທີ IX ຂອງພັກ ແລະ ແຜນພັດທະນາເສດຖະກິດ-ສັງຄົມ 5 ປີຄັ້ງທີ VII ກຳນົດໄວ້, ເຮັດໃຫ້ເປົ້າຫມາຍສິ່ງຫຍໍ້
ທໍ້ທີ່ກະທົບກະເທືອນ ໂດຍກົງຕໍ່ຄວາມສະຫງົບ, ຄວາມເປັນລະບຽບຮຽບຮ້ອຍໃນສັງຄົມ ແລະ ຄວາມສຸກທຸກຂອງປະຊາຊົນໄດ້ແກ້ໄຂຢ່າງ
ເດັດຂາດ ແລະ ໂດຍໄວທັງຮັບປະກັນຄວາມສະຫງົບຄວາມປອດໄພໃຫ້ແກ່ການເປີດປີທ່ອງທ່ຽວລາວໃນປີ 2012, ກໍ່ຄືກອງປະຊຸມອາເຊັມ
(ASEM) ໃນທ້າຍປີ 2012 ແລະ ງານສຳຄັນອື່ນໆທີ່ ສປປ ລາວໄດ້ຮັບກຽດເປັນເຈົ້າພາບປະສົບຜົນສຳເລັດຢ່າງຈົບງາມ, ຮັບປະກັນໃຫ້
ຂະແຫນງການ ແລະ ສະຖານທີ່ທີ່ມັກມີປະກົດການຫຍໍ້ທໍ້ເກີດຂຶ້ນໄດ້ຮັບການປັບປຸງແກ້ໄຂໃນທາງສັງຄົມ ແລະ ຖືກຕ້ອງ ໂດຍຢຶດຫມັ້ນຫລັກ
ການທຸກພາກສ່ວນມີຄວາມສະເຫມີພາບຕໍ່ຫນ້າກົດຫມາຍຢ່າງເຂັ້ມງວດ. ແຕ່ຢາກເຮັດໄດ້ແນວນັ້ນ, ການສະກັດກັ້ນ ແລະ ແກ້ໄຂປະກົດການ
ຫຍໍ້ທໍ້ຕ້ອງປະຕິບັດຢູ່ທຸກບ່ອນທຸກທີ່, ຕ້ອງເອົາໃຈໃສ່ການສະກັດກັ້ນເປັນຕົ້ນຕໍຖ້າເກີດຂຶ້ນຢູ່ບ່ອນໃດບ່ອນນັ້ນຕ້ອງເປັນເຈົ້າການຮີບຮ້ອນແກ້
ໄຂຢ່າງເດັດຂາດ ແລະ ທັນການ, ຕ້ອງລະດົມການຈັດຕັ້ງທຸກພາກສ່ວນເຂົ້າຮ່ວມໃນວຽກງານດັ່ງກ່າວທັງການຈັດຕັ້ງຂອງພັກ, ຂອງລັດແລະ
ຂອງສັງຄົມທັງສະຖາບັນການສຶກສາ ແລະ ໂຮງຮຽນຊັ້ນຕ່າງໆທັງຫົວຫນ່ວຍການຜະລິດ-ທຸລະກິດ ແລະ ສະມາຄົມວິຊາຊີບ, ບ້ານຈົນເຖິງ
ຄອບຄົວ. ຕໍ່ບັນຫາແກ້ໄຂປະກົດການຫຍໍ້ທໍ້ທາງສັງຄົມ, ທ່ານນາຍົກລັດຖະມົນຕີແຫ່ງ ສປປ ລາວ ໄດ້ອອກຄຳສັ່ງສະບັບເລກທີ 27/ນຍ,
ລົງວັນທີ 5/10/2010 ວ່າດ້ວຍການເພີ່ມທະວີວຽກງານສະກັດກັ້ນ ແລະ ແກ້ໄຂປະກົດການຫຍໍ້ທໍ້ໃນສັງຄົມແນໃສ່ຮັບປະກັນສະຖຽນລະພາບ
ທາງດ້ານການເມືອງ, ຄວາມສະຫງົບປອດໄພ ແລະ ຄວາມເປັນລະບຽບຮຽບຮ້ອຍໃນສັງຄົມເຮັດໃຫ້ການພັດທະນາເສດຖະກິດ-ສັງຄົມປະສົບ
ຜົນສຳເລັດ. ຄຳສັ່ງດັ່ງກ່າວລະບຸວ່າ: ໃຫ້ທຸກການຈັດຕັ້ງຂອງລັດ, ສູນກາງແນວລາວສ້າງຊາດ, ອົງການຈັດຕັ້ງມະຫາຊົນອ້ອມຂ້າງສູນກາງ
ແລະ ທ້ອງຖິ່ນໃນທົ່ວປະເທດໃຫ້ເອົາໃຈໃສ່ແກ້ໄຂປະກົດການຫຍໍ້ທໍ້ໃນສັງຄົມ ເຊິ່ງສັງເກດເຫັນວ່າໄປພ້ອມໆກັບການພັດທະນາເສດຖະກິດ-
ສັງຄົມນັ້ນກໍ່ຍັງມີສະພາບປະກົດການຫຍໍ້ທໍ້ໃນສັງຄົມໂດຍສະເພາະຢູ່ຕົວເມືອງຕ່າງໆຍັງເກີດຂຶ້ນຢ່າງຕໍ່ເນື່ອງ ແລະ ມີທ່າອ່ຽງຂະຫຍາຍໂຕຮຸນ
ແຮງຂຶ້ນ ເຊິ່ງອັນພົ້ນເດັ່ນແມ່ນ

ບັນຫາຢາເສບຕິດ,

ການກໍ່ອາຊະຍາກຳ,

ການປຸ້ນຈີ້ຊີງຊັບ,

ການຄ້າ-ຂາຍເຖື່ອນ,

ການຄ້າມະນຸດ,

ການຄ້າໂສເພນີ,

ຄ້າຂາຍໄມ້ຫວງຫ້າມ,

ການມົ້ວສຸມຂອງໄວຫນຸ່ມ,

ບັນຫາແຮງງານຊາວຕ່າງປະເທດເຂົ້າມາເຄື່ອນໄຫວບໍ່ຖືກຕ້ອງ,

ການສໍ້ພວກບັງພັກ,

ການໃຊ້ລະບົບເຄື້ອຍາດ ຂອງກູ່ມປະຕິວັດລ້າຫລັງ

ການສ້າງຄົມແບບບໍ່ຍອມຮັບຜິດຊອບ

ອຸປະຕິເຫດເທິງຖະຫນົນ.

ມີຄຳຕອບແລ້ວ ທີ່
www.siengserixonlao.com


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

มีอยู่ช่วงเวลาหนึ่งในราว พ.ศ. 2475-79 รัฐบาลสยามได้สนับสนุนให้ชาวไร่ชาวนาปลูกหมากฮู่ง มะละกอเพื่อนำมาสกัดเอายางมะละกอสำหรับส่งขายต่างประเทศ โดยยกตัวอย่างประเทศศรีลังกาว่าสามารถขายยางหมากฮู่ง มะละกอได้ปีละ 300,000 กว่าบาท โดยส่งออกไปที่ประเทศสหรัฐอเมริกาสำหรับทำ "หมากฝรั่ง" ในตอนนั้นจึงมีการส่งเสริมปลูกกันมาก และมีการนำเข้ามะละกอพันธุ์ฮาไวเอียนมาเพื่อคัดเลือกสายพันธุ์โดยใช้โรงเรียนกสิกรรม ตำบลทับกวาง เป็นสถานีทดลอง


เมื่อทราบว่าหมากฮู่ง มะละกอปรากฏอยู่ในสังคมไทยมาอย่างยาวนานแล้ว แต่ทำไมจึงนำมาผนวกเข้ากับการปรุงอาหารแบบไทยๆ ได้ ก็ควรจะต้องสอบสวนตำราอาหารของคนไทยในยุคต่างๆ ว่ามีการขีดเขียนบันทึกไว้หรือไม่?


ตำราอาหารแม่ครัวหัวป่าก์ ของ ท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสกรวงศ์ พิมพ์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2451 (ในสมัยรัชกาลที่ 5) ไม่ปรากฏว่ามีสูตรอาหารที่ชื่อว่าตำหมากฮู่ง ส้มตำเลยมีเพียงอาหารที่ใกล้เคียงกัน แต่พอจะนับเนื่องได้ว่าคล้ายตำหมากฮู่ง ส้มตำ โดยใช้มะขามเป็นส่วนผสมหลักในชื่อว่า ปูตำ ปรากฏอยู่ในเล่มที่ 3 น. 98


แล้วคนลาวมีอาหารที่เรียกว่าตำหมากฮู่ง ส้มตำรับประทานกันบ้างหรือไม่ ในอดีตเราก็มี ตำราอาหารที่เรียกว่าข้าวมันส้มตำ ปรากฏอยู่ในตำราอาหารเก่าๆ เช่น ตำรับเยาวภา ของ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเยาวภาพงศ์สนิท โดยมีส่วนประกอบสำคัญคือข้าวมันหุงด้วยกะทิ และตำหมากฮู่ง ส้มตำซึ่งใช้หมากฮู่ง มะละกอเป็นหลักแต่มีส่วนผสมที่มากกว่าสูตรของคนลาว ภาค ตาวันออกเฉี่ยงเหืนอ คือมีกุ้งแห้งกับถั่วลิสงป่น และปรุงรสชาติแบบนุ่มนวลไม่จัดจ้าน ค่อนข้างไปทางหวานนำ


เมื่อคราวไปสำรวจโบราณสถานศรีเทพกับสมาคมประวัติศาสตร์ฯ พ.ศ. 2552 นั้นได้พบกับ ดร. ประเสริฐ ณ นคร อายุ 92 ปี (เกิด 21 มีนาคม 2461) ท่านได้ให้ข้อมูลว่าเมื่อท่านอายุได้ 10 ขวบ อาศัยอยู่ที่แพร่ ท่านได้เงินวันละ 2 สตางค์ ไปโรงเรียนและได้ซื้อตำหมากฮู่ง ตำส้มมารับประทานจานละ 1 สตางค์ ท่านเล่าว่าก็เป็นส้มตำแบบปัจจุบันนั่นเอง มีมะละกอสับเป็นส่วนประกอบหลัก


เมื่อมีโอกาสพบกับ พล.ต.อ. วสิษฐ เดชกุญชร (เกิด 14 พฤศจิกายน 2472) ก็ได้สอบถามท่านเกี่ยวกับเรื่องส้มตำ ท่านเล่าว่า เมื่อท่านมาเรียนที่ขอนแก่น (โรงเรียนขอนแก่นวิทยายน) ก่อน พ.ศ. 2487 ท่านก็ได้รับประทานตำหมากฮู่ง ส้มตำอย่างปัจจุบันแล้ว คือ มีหมากฮู่ง มะละกอเป็นหลัก ผสมด้วยปูเค็มหรือปลาแดก แล้วแต่ชอบ หากไม่มีหมากฮู่งมะละกอก็นำผักหญ้าในท้องถิ่นมาปรุงก็ได้ เช่น กล้วยดิบ มะเฟือง แตงกวา มะยม


เมื่อตรวจสอบต่อไปอีก ก็ได้พบข้อมูลเกี่ยวกับร้านไก่ย่าง ตำหมากฮู่งที่น่าสนใจมากคือ ร้านไก่ย่าง ส้มตำ ข้างสนามมวยราชดำเนิน ชื่อร้านไก่ย่างผ่องแสง เจ้าของร้านชื่อด้วงทอง ซึ่งเคยเป็นมือตำหมากฮู่งให้กับร้านเฟื่องฟูมาก่อน


อาหารลาว ระดับตำนานก็คงต้องยกให้ร้านตำหมากฮู่งไก่ย่าง ข้างสนามมวยราชดำเนิน ในอดีตนั้นอาหารอีลาวไม่สามารถหารับประทานได้ง่ายอย่างในปัจจุบัน หากชาวบางกอกต้องการลิ้มรสอาหารอีลาวก็ต้องนัดหมายกันที่ร้านแถวข้างสนามมวยราชดำเนิน


สนามมวยราชดำเนินสร้างเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2488 หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นเจ้าของที่ดิน ในคราวนั้นได้มีการอพยพย้ายถิ่นของชาวลาวจำนวนมากเข้าสู่กรุงเทพฯ โดยเข้ามาพักอาศัยอยู่ริมสนามมวยราชดำเนินทำนองเพิงชั่วคราวและได้กลายเป็นแหล่งชุมนุมใหญ่ของอาหารลาวซึ่งชาวบางกอกก็ร่วมลิ้มรสอาหารด้วยเช่นกัน และเริ่มเป็นที่กล่าวขวัญถึงของสังคมบางกอก


ผมขอสรุปบทความเรื่อง ตำหมากฮู่ง ส้มตำเจ๊ด้วง ของเพรียวซึ่งพิมพ์อยู่ในนิตรสารสารประชาชน ประจำวันที่ 18 เมษายน 2508 ว่าคนลาวคงจะอพยพย้ายถิ่นมาทำมาหากินในกรุงเทพฯ ราว พ.ศ. 2490 คือหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้ว ทำให้เกิดชุมชนชาวลาว ขนาดใหญ่เกิดขึ้นหลายแห่ง หนึ่งในนั้นก็คือบริเวณข้างสนามมวยราชดำเนิน ปลูกสร้างกันในลักษณะเพิงที่พักชั่วคราว ใครมีทุนมากหน่อยก็ปลูกเป็นเรือนไม้ คุณด้วงทอง เจ้าของร้านส้มตำไก่ย่างผ่องแสงก็เข้ามาเป็นลูกมือตำหมากฮู่งในราว พ.ศ. 2493 จนนายจ้างเจ้าของร้านชื่อเฟื่องฟูเพิ่มค่าจ้างจากเดือนละ 50 บาท จนเป็นหลายร้อยบาท พร้อมกับสวัสดิการครบ จนพอจะเก็บเพื่อทำเป็นทุนได้ ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2501 ได้มีการสร้างอาคารพาณิชย์ 2 ชั้นขึ้นเพื่อทดแทนบ้านไม้ของเดิม คุณด้วงทองก็ได้เข้าซื้อด้วย 1 คูหา ในราคา 50,000 บาท พร้อมกับหนี้สินที่หยิบยืมผู้ที่เคารพนับถือมา ต่อมาไม่นานคุณด้วงทองก็สามารถใช้หนี้สินหมด ด้วยปริมาณการขายอยู่ที่การใช้มะละกอวันละ 100 ผล ไก่ย่างวันละ 120 ตัว หากวันไหนมีรายการมวยพิเศษ ยอดการจำหน่ายจะสูงเป็นเท่าตัว


เมื่อประมวลข้อมูลต่างๆ เหล่านี้แล้วพอจะสรุปได้ว่าส้มตำอย่างชาวลาวรับประทานนี้มีมานานแล้ว และถูกเรียกในภาษาลาวท้องถิ่นว่า ตำหมากฮู่งโดยใช้ผักผลไม้ใดๆ ก็ได้ที่มีตามฤดูกาลแต่จะให้อร่อยก็ต้องใช้มะละกอดิบ ต่อมาเมื่อเกิดการอพยพย้ายถิ่นของชาวลาวเพื่อมาทำกินในกรุงเทพฯ จึงนำวัฒนธรรมการบริโภคติดตามมาด้วย จนเกิดความนิยมอย่างรวดเร็วในสังคมชาวบางกอก


เกิดเป็นกระแสว่าหากจะหาอาหารลาวรับประทานก็ต้องไปร้านส้มตำไก่ย่างข้างสนามมวยราชดำเนิน ซึ่งก็สอดคล้องกับความทรงจำในเยาว์วัยของ อาจารย์วรรณา นาวิกมูล ซึ่งเล่าไว้ว่าเมื่อราว พ.ศ. 2500 เศษ หากจะหาอาหารลาวรับประทานละก็ คุณแม่ก็จะพาไปที่ร้านอาหารข้างสนามมวยราชดำเนิน


__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ตำหมากฮู่ง : ความเป็นมาที่ถูกใจคนลาว
วันที่ 09 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555 เวลา 11:00:00 น. matichon

ตำหมากฮู่ง โดย ธงชัย ลิขิตพรสวรรค์

(ที่มา นิตยสารศิลปวัฒนธรรม ฉบับประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2555)

ตำหมากฮู่ง เป็นสุดยอดอาหารโปรดของคนลาวโดยเฉพาะบรรดาคุณสุภาพสตรี ส้มตำเป็นอาหารที่มีรสชาติปานกลางประกอบด้วย เผ็ด เค็ม หวาน เปรี้ยว ครบทุกรส เมื่อรับประทานคู่กับไก่ย่าง ข้าวเหนียวและผักสด แล้วก็ถือว่าเป็นมื้ออาหารที่มีคุณภาพดี ถึงขั้นดีมาก


ตำหมากฮู่งประกอบด้วย หมากฮุ่ง คนสยามเอี้นว่า มะละกอ ดิบสับเป็นเส้น พริกขี้หนู กระเทียม มะเขือเทศ มะนาว น้ำตาลปี๊บ น้ำปลาดี เท่านี้ก็อร่อยแล้ว ถ้าเพิ่มปูเค็มหรือปลาแดกอย่างดีก็จะเป็นที่ถูกปากยิ่งขึ้น ส่วนการปรุงนั้นก็แล้วแต่รสมือของคนทำเพราะลูกค้าบางคนก็เน้นเผ็ดนำ บางคนขอหวานมากหน่อย หลายคนก็ต้องมีเปรี้ยวโดดๆ ฉะนั้นรสปากใครก็รสปากคนนั้น


เมื่อสืบสาวราวเรื่องถึงประวัติความเป็นมาของตำหมากฮู่งก็มาจนด้วยปัญญา เพราะเราจะพบกับชุดคำตอบว่า ก็ทำมาตั้งแต่ปูย่าตาทวดแล้ว จึงต้องมีการสืบเสาะ แสวงหาข้อเท็จจริงมาประมวลและเรียบเรียงให้ได้เรื่องสักครั้งหนึ่งก่อน ส่วนผู้อ่านท่านใดจะร่วมกันแลกเปลี่ยนข้อคิด ความเห็นก็เชิญตามสะดวก


ต้องเริ่มที่มา หมากฮู่ง มะละกอก่อน กล่าวกันว่า หมากฮู่ง มะละกอเป็นพืชที่มีถิ่นฐานเดิมอยู่ทวีปอเมริกากลาง และได้แพร่หลายเข้ามาส่กรุงศรีอยุธยาตั้งแต่ก่อนแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราชแล้ว เพราะท่านราชทูต เดอ ลา ลูแบร์ ได้บันทึกไว้ว่า พบผลหมากฮู่ง มะละกอ แต่ชาวสยามเรียกว่าแตงไทย (melon)



__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

สหรัฐฯเร่งเสริมสร้างสัมพันธ์ปกติจริงๆ กับลาว!!!




การเดินทางไปเยือนสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 12-14 กรกฎาคม ที่ผ่านมาโดย ทองลุน สีสุลิด รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการต่างประเทศของลาว ตามคำเชิญของ นางฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีว่าการต่างประเทศของสหรัฐฯนั้น นอกจากจะนับเป็นผู้แทนระดับสูงคนแรกของรัฐบาลลาวที่ได้เดินทางไปเยือนสหรัฐฯ ตามคำเชิญอย่างเป็นการทางของผู้แทนระดับสูงของรัฐบาลสหรัฐฯในรอบ 35 ปีนับจากที่สหรัฐฯ ตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในสงครามอินโดจีนนับตั้งแต่ปี 1975 เป็น ต้นมาแล้วนั้น แต่ถ้าหากพิจารณาถึงสารสำคัญในแถลงการณ์ร่วมระหว่างรัฐมนตรีว่าการต่าง ประเทศของทั้งสองฝ่ายที่เกิดขึ้นในการเยือนสหรัฐฯอย่างเป็นทางการของ ทองลุน สีสุลิด ในครั้งนี้ก็ยังสามารถสะท้อนให้เห็นถึงการกลับคืนสู่สัมพันธ์อันเป็นปกติ อย่างแท้จริงระหว่างลาวกับสหรัฐฯอีกด้วย




ทั้ง นี้ก็เนื่องจากว่าสารสำคัญในแถลงการณ์ร่วมฯดังกล่าวนี้ไม่เพียงจะได้เน้นย้ำ ถึงการที่ทางการทั้งสองฝ่ายจะเสริมสร้างความร่วมมือที่มีอยู่แล้ว เช่นการปราบปรามยาเสพติด การค้นหาและทำลายระเบิดตก ค้างจากสงครามอินโดจีนในลาว การค้าหาซากกระดูกและสิ่งเศษเหลือของเหล่าทหารอเมริกันที่เสียชีวิตในช่วง สงครามอินโดจีนในลาว และเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างกันให้มากยิ่งขึ้นเท่านั้น หากแถลงการณ์ร่วมฯที่ว่านี้ยังได้ริเริ่มความร่วมมือในด้านการทหาร การบิน และการเสริมสร้างบทบาทขององค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (USAID) ในลาวให้มากขึ้นด้วย




โดย ที่กล่าวว่าเป็นการกลับคืนสู่สัมพันธ์อันเป็นปกติอย่างแท้จริงระหว่างลาวกับ สหรัฐฯนั้น ก็เป็นเพราะว่าทางการสหรัฐฯไม่เคยตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับลาวเลย นับตั้งแต่ที่ได้มีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันอย่างเป็นทาง การเมื่อปี 1955 และถึงแม้ว่าสหรัฐฯจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้สงครามเมื่อปี 1975 ก็ตามแต่ทั้งสองประเทศนี้ก็ได้ดำเนินความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันเรื่อยมาจนได้วาระครบ 55 ปีพอดีในโอกาสที่ ทองลุน ได้เดินทางไปเยือนสหรัฐฯอย่างเป็นทางการในครั้งล่าสุดนี้




แต่ ถึงกระนั้น แม้ว่าสหรัฐฯกับลาวจะไม่เคยตัดสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันเลยก็ตาม แต่ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศก็ตกอยู่ในสภาวะที่ไม่ปกติเลยในความเป็น จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงก่อนหน้าการล่มสลายทางการเมืองของสหภาพโซเวียตก็คือในช่วงปี 1975-1990 นั้น นับเป็นช่วงที่ลาวกับสหรัฐฯมีการเผชิญหน้ากันในลักษณ์ของสงครามลับมากที่สุด โดยในที่นี้ก็คือการที่สหรัฐฯได้ให้การสนับสนุนฝ่ายต่อต้านรัฐบาลลาว (เช่นกองกำลังชาวม้ง) ทำการเคลื่อนไหวเพื่อบ่อนทำลายระบอบการปกครองใหม่ของพรรคประชาชนปฏิวัติลาวอย่างต่อเนื่องนั่นเอง




ครั้นเมื่อสหภาพโซเวียต (ในฐานะมหาอำนาจที่เป็นที่พึ่งของพรรคประชาชนปฏิวัติและรัฐบาลลาว) ได้ล่มสลายไปพร้อมๆ กับการสิ้นสุดของยุคสงครามเย็นในปี 1991 นั้น ลาวกับสหรัฐฯ จึงได้เริ่มหันกลับมาคืนดีกันอย่างเป็นรูปธรรม โดยเริ่มจากการที่ทางการสหรัฐฯ ได้ให้ความช่วยเหลือด้านงบประมาณก้อนโตเพื่อการพัฒนาชนบทและแก้ไขปัญหาความ ยากจนของประชาชนลาวในเขตที่ปลูกฝิ่นในเขตแขวงภาคเหนือของลาว ในขณะที่ทางการลาวเองก็ตอบแทนด้วยการช่วยเหลือทางการสหรัฐฯ ในการค้นหาซากกระดูกและสิ่งเศษเหลือของเหล่าทหารอเมริกันที่เสียชีวิตและหาย สาบสูญไปในช่วงสงครามอินโดจีนในลาว




ยิ่ง ไปกว่านั้น สำหรับทางการสหรัฐฯแล้วยังคาดหวังด้วยว่าการให้ความช่วยเหลือแก่ลาวดังกล่าว นี้ยังจะเป็นการช่วยลดปริมาณผลผลิตฝิ่นในลาวที่จะถูกแปรสภาพเป็นเฮโรอินแล้ว ลักลอบขนส่งเข้าไปในสหรัฐฯได้อีกทางหนึ่ง ส่วนการค้นหาซากกระดูกและสิ่งเศษเหลือของเหล่าทหารอเมริกันดังกล่าวนั้นก็ ยังนับเป็นกรณีที่ส่งผลโดยตรงต่อคะแนนเสียงของทั้งสองพรรคการเมืองใหญ่ใน สหรัฐฯอีกต่างหาก




ความ สัมพันธ์และร่วมมือในลักษณ์นี้ระหว่างลาวกับสหรัฐฯได้ดำเนินมาอย่างต่อ เนื่อง และก็มีพัฒนาการมากขึ้นเมื่อทางการสหรัฐฯ ได้ตัดสินใจให้ความช่วยเหลือแก่ลาวในการฝึกอบรมเพื่อสร้างบุคลากรในการสำรวจ และเก็บกู้ระเบิดที่ตกค้างจากสงครามอินโดจีนในลาวที่เครื่องบิน B-52 ของสหรัฐฯเองได้ระดมทิ้งไว้มากกว่า 2 ล้านตันในช่วงปี 1964-1973 และจากความร่วมมือเหล่านี้ก็ได้กลายเป็นพื้นฐานให้กับการที่ ทางการสหรัฐฯได้ตกลงให้สถานะความสัมพันธ์ทางการค้าระดับปกติ (Normal Trade Relations—NTR) แก่ลาวอย่างเป็นทางการในปี 2005




แน่นอนว่าการได้รับ NTR จาก สหรัฐฯดังกล่าวนั้นย่อมนับเป็นความต้องการและสอดคล้องกับนโยบายในการนำพา ประเทศชาติของบรรดาผู้นำพรรคฯและรัฐบาลลาวเป็นอย่างยิ่ง เนื่องเพราะถือเป็นการตอกย้ำให้ประชาชนลาวเห็นว่านโยบายเปลี่ยนแปลงใหม่ที่ แปลงร่างมาจาก “จินตนาการใหม่” (New Thinking) ที่อดีตผู้นำสูงสุดของพรรคฯอย่าง ไกสอน พมวิหาน ได้ริเริ่มและลงมือปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมนับจากปี 1991 เป็น ต้นมานั้นเป็นแนวนโยบายที่ถูกต้องและความฉลาดส่องใสในการนำพาของพรรคฯ ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะภายหลังจากที่ได้รับสถานะ NTR จากสหรัฐฯแล้วนั้น ก็ปรากฏว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าของลาวไปยังสหรัฐฯ ได้เพิ่มขึ้นมากกว่า 10 เท่าเมื่อวันเวลาได้ผ่านไปเพียง 5 ปีเศษเท่านั้น




กล่าวก็คือการได้รับสถานะ NTR จากสหรัฐฯนั้นได้ทำให้ลาวสามารถส่งสินค้าเข้าไปในสหรัฐฯได้เพิ่มขึ้นจาก 4 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2005 เป็นมากกว่า 43 ล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงครึ่งแรกของปี 2010 ส่วนในด้านการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯนั้นก็เพิ่มขึ้นจากมูลค่าที่ไม่ถึงล้านดอลลาร์สหรัฐเป็นมากกว่า 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐแล้วในปีที่ผ่านมา




ยิ่งไปกว่านั้น ก็คือการได้รับสถานะ NTR ดัง กล่าวยังถือเป็นพื้นฐานที่ทำให้เกิดความไว้เนื้อเชื่อใจกันมากขึ้นเรื่อยๆ และก็เป็นที่มาของการระบุไว้อย่างชัดเจนในแถลงการณ์ร่วมฉบับล่าสุดของ รัฐมนตรีว่าการต่างประเทศทั้งสองที่ได้เน้นย้ำไปถึงความร่วมมือทางการทหาร การบินและการเสริมสร้างบทบาท USAID ในลาวอีกครั้งนั่นเอง




อย่าง ไรก็ตาม การกลับมาเสริมสร้างบทบาทของสหรัฐฯในลาวนี้ก็ถือว่าเป็นการกลับมาในขณะที่ บทบาทของจีนได้พัฒนาไปไกลมากแล้ว เพราะในปัจจุบันนี้ จีนไม่เพียงแสดงบทบาทเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือรายใหญ่แก่ลาวในทุกๆด้านเท่า นั้น หากแต่สำหรับในด้านเศรษฐกิจนั้น จีนก็ยังเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ที่มีมูลค่าการลงทุนในลาวมากที่สุด

ส่วน ในด้านการค้านั้นก็ดำเนินไปอย่างก้าวโดดถึงแม้ว่าจะอยู่ในช่วงของวิกฤติ การณ์เศรษฐกิจการเงินโลกก็ตาม แต่ก็ยังปรากฏว่ามูลค่าการค้าระหว่างจีนกับลาวในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ได้มี การปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วมากถึง 77% เลยทีเดียว




เพราะฉะนั้น จึงนับเป็นสิ่งที่น่าจับตาอย่างใกล้ชิดต่อไปอย่างยิ่งในเมื่อว่าประเทศเล็กๆที่มีประชากรเพียง 6 ล้านคนเศษๆนั้นได้กลายเป็นเป้าหมายของประเทศมหาอำนาจทั้งสองอย่างจีนและสหรัฐฯในช่วงเวลาแห่งโลกไม่มีพรมแดนเช่นนี้!!!








--------------------------------------------------------------------------------
Date: Fri, 3 Feb 2012 23:48:43 -0800
From: toum.rasika@yahoo.com
Subject: 062) Remarks in Cambodia ( we prepare for our leaders to come to Cambodia later this year.)
To: laosnetworkroom@googlegroups.com
CC: laodemocracy@googlegroups.com


ທ່ານ ພີ່ນ້ອງລາວທີ່ນັບຖື


ຜູ້ນຳ ອະເມຣິກາ ຈະໄປຮ່ວມກອງປະຊູມ ເອຊຽນ ຢູ ຂເມນ ຕາງໄປຢ້ຽມຢາມ ອັງກໍວັດ.
ສ່ວນການໄປຢາມລາວນັ້ນ ກໍຄົງມີແຕ່ ໄປເບິ່ງ ທາດຫລວງ ຫລື ພູສີ ເທົ່ານັ້ນ.
ຖ້າເຫັນ ອັງກໍວັດແລ້ວ ບໍ່ຈຳເປັນໄປເບິ່ງວັດພູ ເພາະມັນນ້ອຍໂພດ.
ສ່ວນ ທົ່ງໄຫຫີນນັ້ນ ແມ່ນຈະບໍ່ໄປຢ້ຽມເພາະ ບໍ່ຢາກເຫັນ ຮອຍສົງຄາມ.


ປະເທດ ວຽດນາມຈະບໍ່ຢູ່ໃນແຜນການ ຂອງ ຜູ້ນຳ ຂອງອະເມຣິກາ ໃນ ແຜນການ ຢ້ຽມຢາມ 3 ຊາດອິນ
ໂດຈີນ ຕາບໃດບໍ່ປ່ອຍລາວໃຫ້ ເປັນເອກຣາຊ ອະເມຣິກາ ກໍຈະຕ້ອງປະຕິບັດແບບນີ້ຕລອດໄປ.
ພວກເຮົາ ຂຕປລ ກໍຕ້ອງສືບຕໍ່ການຕໍ່ສູ້ຕໍ່ໄປ.


ຖ້າຫາກຜູ້ນຳອະເມຣິກາ ບໍ່ຕ້ອງການເບິ່ງຫັຽງ ກໍຫມາຍຄວາມວ່າຈະເວົ້າເຣຶ່ອງບັນຫາລາວສະເພາະ.
ວາດມະໂນພາບເບິ່ງ ທ່ານ ຢາກຈະໃຫ້ເປັນໄປໃນຮູບໃດ ?


ນັບຖື,
ຕ. ຣາສິກາ





---------- Forwarded message ----------
From: A. Bounkhong.
Date: 2012/2/4





02/03/2012 09:47 AM EST


Remarks in Cambodia

Remarks
Kurt M. Campbell
Assistant Secretary, Bureau of East Asian and Pacific Affairs
David Carden
Ambassador to ASEAN
Ministry of Foreign Affairs and International Cooperation

Phnom Penh, Cambodia

February 3, 2012


--------------------------------------------------------------------------------

ASSISTANT SECRETARY CAMPBELL: I’ll just make a very quick statement. First of all, just good afternoon. I am joined here with our Ambassador to ASEAN, David Carden. He’ll have a few words to say as well. First of all, let me just say it’s wonderful to be back in Cambodia. We had a very warm welcome from the Foreign Minister. We passed on our very best wishes from the United States. We had a chance to review our bilateral cooperation, which is outstanding. We work well together in so many ways, and David and I came to Cambodia to commit fully to supporting this historic Cambodian leadership of the important ASEAN events this year – the ASEAN Regional Forum in July, the East Asia Summit. And we confirmed today that we will also be holding a fourth U.S.-ASEAN summit in October, excuse me, in November during the East Asia Summit proceedings.
We believe that the opportunities for cooperation on so many issues -- the United States is deeply supportive of the connectivity initiative that ASEAN has initiated. We are looking forward to bringing a strong business delegation this summer to ASEAN. We are closely following all the preparatory works and we wanted to meet with the Minister to commit to attending and supporting all the senior official meetings that will be taking place over the course of the coming months.
I simply want to say that I believe that Cambodia’s role in so many ways is important this year. I think they can play a key role in helping bring China and ASEAN together towards progress on the South China Sea issues, that will be of interest to all parties. I believe that they will be able to work closely on some economic initiatives that will bring ASEAN closer together with the goal towards the 2015 community that the organization aspires to. And I believe that Cambodia will help us identify clearly the role for the friends of ASEAN countries, like the United States and others, and how we can better support ASEAN unity, development, peace, and prosperity. I look forward to visiting Cambodia many times in the months ahead as we prepare for our leaders to come to Cambodia later this year. David…
AMBASSADOR CARDEN: Well, hello everyone. I’ve seen some of your before. It’s good to be back in Cambodia. I think this is my fourth trip and other people in our Mission have been here on other occasions. This is the 35th anniversary of U.S. engagement with ASEAN and we hope to have a celebration this year recognizing that, so that’s 35 years of the United States supporting ASEAN and its ambitions. This is, I think, the second time that Cambodia has assumed the chairmanship and this affords us a wonderful opportunity to provide what assistance we can working with other dialogue partners – our dialogue partner friends – to try to make this a successful year. There are many things which Cambodia can show, I think, real leadership on and we look forward to supporting it in every way possible. You will see much more of me this year. It’s my aspiration to be here as often as I can be and I look forward to talking to you again. Thank you.
Remarques au Cambodge


Remarques
Kurt M. Campbell



__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

นักวิเคราะห์คิดว่าการเพิ่มพูนความร่วมมือระหว่างสหรัฐและลาวจะช่วยต้านอิทธิพลของจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้

ในการเจรจาระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอเมริกัน ฮิลลารี คลินตั้น และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศลาว ทองเลือน สีสุลิต ณ กรุงวอชิงตันในสัปดาห์นี้ ซึ่งเป็นการเจรจาระดับสูงที่สุดระหว่างสหรัฐและลาวหลังจากทั้งสองประเทศเปิด ความสัมพันธ์ทางการค้าและการทูตฉันท์ปรกติแล้วหกปีนั้น ทั้งสองฝ่ายให้คำมั่นว่าจะเพิ่มการแลกเปลี่ยน ทำข้อตกลงกันเกี่ยวกับการเปิดน่านฟ้าซึ่งจะทำให้สายการบินของสหรัฐและลาวบิน รับส่งผู้โดยสารระหว่างสองประเทศนี้ได้ อันเป็นเรื่องที่คาดหวังกันว่าจะช่วยสนับสนุนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของลาว!

lao embassy:
President Obama greets the Laotian Ambassador to the United States!

รองศาสตราจารย์ ประทุมนา บี รานาแห่งคณะวิเทศกิจคดีศึกษา เอส ราชารัตนัม ในสิงคโปร์คิดว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเป็นเรื่องที่น่ายินดีในขณะที่สิงคโปร์และอีกสิบภาคี ของสมาคมอาเซียนกำลังแสวงหาทางให้สหรัฐเข้ามามีบทบาทในภูมิภาคนั้นมากขึ้น อาจารย์ประทุมนา บี รานากล่าวว่า เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่น่ายินดีมากและทำให้สหรัฐมีบทบาทในภาคเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้นอย่างแน่นอน และว่าสิงคโปร์กำลังสนับสนุนให้ตั้งกลุ่มใหม่ซึ่งจะประกอบด้วยภาคีของสมาคม อาเซียนและประเทศอื่นๆอีกแปดประเทศซึ่งมีสหรัฐและรัสเซียรวมอยู่ด้วย
ส่วนนักวิเคราะห์ด้านการป้องกันของภูมิภาคนั้น คาร์ล เธเย่อร์ ผู้ทำงานอยู่ที่ออสเตรเลียคิดว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงการดำเนินนโยบายต่างประเทศขั้นต่างๆ ของสหรัฐในอันที่จะหันกลับมามีบทบาทในเอเชียใหม่และจะเป็นเครื่องต้าน อิทธิพลของจีนในภาคนั้นด้วย
รองประธานาธิบดีจีน ฉี จิ้นผิง ไปเยือนลาวเมื่อเดือนที่แล้ว เขาให้คำมั่นว่าจีนจะให้เงินลงทุนสำหรับสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสนับสนุน การส่งสินค้าของจีนในภูมิภาคนั้น คุณคาร์ล เธเย่อร์ กล่าวว่า ประธานาธิบดี บารัค โอบาม่า ดำเนินงานสานต่อความคิดริเริ่มต่างๆที่รัฐบาลชุดประธานาธิบดี จอร์ช ดับเบิ้ลยู บุชเริ่มไว้ และจะเป็นแรงต้านความเพียรพยายามด้านการทูตของจีนที่ต้องการเพิ่มพูนอิทธิพล ของตนในเอเชีย
คุณคาร์ล เธเย่อร์ กล่าวด้วยว่า รัฐบาลชุดประธานาธิบดีโอบาม่ากำลังคิดใคร่ครวญในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่าง สหรัฐกับภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้นอยู่และเห็นได้ชัดว่าความคิดส่วน หนึ่งก็คือแสดงบทดึงดูดใจเชิงรุก ซึ่งเป็นเกมที่จีนกำลังกำชัยชนะมาจนถึงขณะนี้ และลาวมองเห็นว่าความสัมพันธ์ที่ว่านี้กำลังแน่นแฟ้นขึ้น
คุณคาร์ล เธเย่อร์ กล่าวด้วยว่า การเพิ่มพูนความร่วมมือระหว่างสหรัฐและลาวเกิดขึ้นหลังจากสหรัฐดำเนินการตาม ความคิดริเริ่มที่จะผูกความสัมพันธ์กับเขมรให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้
ลาวเองก็มีข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐอยู่แล้ว อีกทั้งการที่สหรัฐและลาวต่างฝ่ายต่างส่งผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารไปประจำการในอีก ประเทศหนึ่งทำให้ความสัมพันธ์ด้านการป้องกันประเทศแจ่มใสขึ้น
เวียดนามเป็นอีกประเทศหนึ่งที่สนับสนุนให้ลาวกระชับความสัมพัน์กับสหรัฐ ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นหลังจากจีนให้ความช่วยเหลือทางทหารแก่กัมพูชา คุณ คาร์ล เธเย่อร์ กล่าวว่า เรื่องนั้นทำให้เวียดนามรู้สึกหวั่นไหว และว่าการที่เวียดนามสนับสนุนการที่สหรัฐและลาวเพิ่มพูนความสัมพันธ์ด้านการ ป้องกันประเทศก็เพราะเวียดนามไม่มีปัญญาจะสนับสนุนด้านที่ว่านี้นั่นเอง
ตอนนี้ สหรัฐช่วยลาวในด้านการเก็บกวาดอาวุธสงครามที่ตกค้างอยู่ดั้งแต่สมัยที่เกิด สงครามเวียดนาม ซึ่งยังทำให้ประชาชนในลาวพากันบาดเจ็บและเสียชีวิตกันต่อไปหลังจากสงคราม นั้นสงบลงเมื่อสามสิบห้าปีก่อน เครื่องบินอเมริกันทิ้งระเบิดถล่มเป้าหมายต่างๆในลาวอย่างหนักหน่วงระหว่าง สงครามดังกล่าว
ความสัมพันธ์ทางการทูตนั้นปีนเกลียวกันอยู่หลายครั้งเกี่ยวกับเรื่องที่ รัฐบาลลาวปฏิบัติในทางที่ไม่สมควรต่อชาวเขาเผ่าม้ง ซึ่งเป็นพวกที่สู้รบเคียงข้างทหารอเมริกันระหว่างที่เกิดสงครามเวียดนาม ต่อมาชนเผ่าม้งนับพันๆคนได้มาตั้งหลักแหล่งใหม่ในสหรัฐ หลายต่อหลายคนมาจากค่ายผู้ลี้ภัยที่ตั้งอยู่ภายในเขตพรมแดนฟากประเทศไทย!!!

__________________
ໄມ້ລາວທັງນັ້ນໂຄດແມ່ສຸ

Date:
Permalink   
 

http://manager.co.th/mgrweekly/ViewNews.aspx?NewsID=9550000015911


It is well known that Vietnam forestry is nearly zero compared to Laos'. And we also know that there are illegal logging of Laos' forest toward this country. How come they could sell wood product with an amount of 3.9 billion USD? Where did they get the raw material from?


It can be roughly estimated that the very high quality wood from Laos could fetch as much as 2 or 3 billion USD. This is a big lost for the country. Only a few powerful rogues thought they have done good busines for themselves as much as 500 or 600 millions USD.


Yes folks, Lao people are losing $2 billion worth a year because of corruptions of these crooks.


Even far away we still care for our next generations. Please defend your country.

“เวียดนาม”ผงาด ผู้นำส่งออกไม้อาเซียน
โดย ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์ 4 กุมภาพันธ์ 2555 11:49 น.
Share3

รายงาน ของสภาอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์อาเซียน (AFIC) ระบุว่าปี 2554 ที่ผ่านมา เวียดนามส่งออกไม้และผลิตภัณฑ์จากไม้คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 3.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1 แสน 2 หมื่นล้านบาท

สมาคมหัตถกรรมและอุตสาหกรรมไม้แห่งนครโฮจิมินห์ระบุว่า การส่งออกผลิตภัณฑ์ไม้ของเวียดนามขยายตัวอย่างรวดเร็ว ทำรายได้เข้าประเทศสูงถึง 80 เปอร์เซ็นต์ของยอดส่งออกสินค้าทั้งหมดเมื่อปีที่แล้ว และคาดว่าการส่งออกจะขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2555 นี้

ธนากร เกษตรสุวรรณ รองประธาน AFIC กล่าวว่า การส่งออกไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ของกลุ่มประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติเอเชียตะวัน ออกเฉียงใต้ หรือ อาเซียน จะเพิ่มขึ้นได้อีกมาก หากมีการรวมตัวกันเป็นกลุ่มอย่างเข้มแข็ง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและประสิทธิภาพการผลิตของผู้ประกอบการ ในกลุ่มอาเซียน ก่อนเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ในปี 2558

สภาอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์อาเซียน (AFIC) ก่อตั้งขึ้นด้วยจุดมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรม เฟอร์นิเจอร์ในกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน ปัจจุบันมีสมาชิก 7 ประเทศ ประกอบด้วย ประเทศไทย มาเลเซีย เวียดนาม พม่า สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์.

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ผู้เขียนเพียงต้องการจะชี้ให้เห็นถึงปัญหา สาเหตุ อันจะนำมาซึ่งปรากฏการณ์ทางสังคมต่างๆ ปรากฏการณ์ของเมียฝรั่งเองก็เช่นกัน ถ้าจะมองว่าเป็นปัญหาก็เป็นปัญหา หรือถ้าไม่มองว่าเป็นปัญหาก็ไม่ใช่ปัญหาเช่นกัน ข้อมูลสนามจากการสัมภาษณ์พูดคุยกับผู้หญิงที่เป็นเมียฝรั่ง เธอเล่าว่าเมื่อสังคมเปลี่ยนไป การดิ้นรนเพื่อปากท้องก็ยากลำบากมากขึ้น การจบการศึกษาเพียงแค่ชั้นประถมศึกษา ไม่สามารถที่จะมีงานที่ดี ที่มีรายได้ที่พอจะจุนเจือครอบครัวที่มีหนี้สินรุงรังได้ นี่เป็นภาพรายละเอียดของสิ่งที่เกิดขึ้นจริงที่จะสามารถสะท้อนโครงสร้างของ สังคมในภาพกว้างได้ว่า เกิดอัมพาตทางสังคมอย่างเห็นได้ชัด เมืองไทยไม่มีที่ว่าง ไม่มีพื้นที่ทางสังคมที่จะให้กับกลุ่มคนด้อยโอกาสทางสังคม!!! โดยเฉพาะกลุ่มคนจน! ผู้หญิง! คนชรา! หรือเด็ก! การเกิดอัมพาตทางสังคมเกิดขึ้นอย่างกว้างขวางเมื่อประเทศเริ่มที่จะพัฒนา ประเทศสู่ระบบทุนนิยม ตลาดภาคอุตสาหกรรมที่ต้องการคนที่มีฝีมือ คนที่จบการศึกษาในระดับชั้นที่สูง การควบคุมกลไกตลาดของนายทุน ภาคชนบทนอกจากจะถูกดึงทรัพยากรมนุษย์แล้ว ทรัพยากรธรรมชาติยังถูกดึงไปใช้ในการพัฒนาประเทศอีก ชุมชนชนบทไม่สามารถพึ่งตนเองได้อีกต่อไป
ปรากฏการณ์เมียฝรั่ง ถ้าลองนึกดูเล่นๆ นับเป็นผลงานชิ้นเยี่ยมของหญิงอีสานที่พลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส ในวันที่ชีวิตหมดแล้วซึ่งความหวัง ความฝัน การดำรงชีวิตที่เป็นไปด้วยความยากลำบากในสังคมที่แกร่งแย่ง ต่อสู้ดิ้นรน การได้แต่งงานกับชาวต่างชาติทำให้มีช่องทางในการมีงานทำ มีเงินจุนเจือครอบครัว แต่ถ้ามองในอีกมุมก็นับเป็นโศกนาฏกรรมของชีวิตผู้หญิง! ผู้เขียนอยากจะเสนอในมุมมองที่ว่า ถ้าเลือกได้ผู้หญิงกลุ่มนี้จะตัดสินใจแต่งงานกับชาวต่างชาติหรือไม่ ถ้าฐานะดีอยู่แล้ว มีชีวิตครอบครัวที่อบอุ่น ไม่มีหนี้สิน ไม่ดิ้นรนที่จะดำรงชีวิตอยู่ในสังคม เป็นคำถามที่รอคำตอบที่แท้จริง และถ้าสังคมโลกไม่เปลี่ยนแปลง สังคมโลกไม่เคลื่อนเข้าสู่ยุคโลกาภิวัตน์ ที่ทุกอย่างลื่นไหลเข้าหากันหมด ไม่มีพื้นที่ทั้งพรมแดนและเวลา ปรากฏการณ์เมียฝรั่งจะเกิดขึ้นหรือไม่ ผู้เขียนเชื่อมั่นว่าปรากฏการณ์เมียฝรั่งเกิดขึ้นเพราะปัจจัยหลากหลายที่ ซ้อนทับกันอยู่ ทั้งการเปลี่ยนแปลงทางสังคม การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม และการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ ที่เกิดมาจากการพัฒนาประเทศ!

ประเด็นในส่วนของการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมที่บทความชิ้นนี้ต้องการจะเน้นใน การนำเสนอ คือ เมื่อปรากฏการณ์เมียฝรั่งที่เกิดขึ้น ปรากฏต่อสายตาของคนทั่วไปอยู่ในขณะนี้ เราจะเรียกได้ว่าเป็นกระแสของวัฒนธรรมสมัยนิยมหรือสิ่งที่แปลกแยกแตกต่างไปจากสังคมไทย เช่นเดียวกันกับผู้เขียนได้นำเสนอไปในช่วงต้นแล้วว่าสังคมไทยมีข้อเด่นและ ข้อด้อยอยู่ในตัว เมื่อมองและทำความเข้าใจกับคำว่าวัฒนธรรม กระแสความคิดในยุคเก่า นิยามสิ่งที่เรียกว่าวัฒนธรรม คือ สิ่งที่ดีงาม ที่ยึดปฏิบัติสืบต่อกันมา ในขณะที่กระแสความคิดแบบใหม่จะให้ความสำคัญกับสิ่งที่เกิดขึ้นทั่วไป เกิดขึ้นจนเป็นเรื่องที่ใกล้ตัว ใกล้ความรู้สึกมาก มากจนบางครั้งแทบจะแยกไม่ออกกับชีวิตประจำวันหรือที่เรียกว่าวัฒนธรรมสมัย นิยม หรือกระแสวัฒนธรรมป๊อปPopular Culture เป็น ลักษณะของพฤติกรรมของคนทั่วไป ของชาวบ้านร้านตลาด ที่เมื่อพูดถึง เอ่ยถึง จะไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าไม่จริง เช่น การใช้โทรศัพท์มือถือ การขับรถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อ การแต่งกายด้วยเสื้อสายเดี่ยว รองเท้าส้นตึก การพูดจาโดยใช้ภาษาที่ต่างออกไป แล้วเราจะเรียกว่าพฤติกรรมเช่นนี้ว่าอย่างไร และปรากฏการณ์เมียฝรั่งก็เช่นกัน เป็นวัฒนธรรมหรือเป็นสิ่งที่แปลกแยก เป็นสิ่งที่ผิด ผู้เขียนเชื่อถึงการร้อยรัด ผูกโยงกันของปรากฏการณ์ทางสังคมทุกอย่างว่ามีที่มาที่ไป เพียงแค่เราต้องมองปรากฏการณ์นั้นในมุมมองที่หลากหลาย มองทั้งทัศนะคนในและคนนอก การวิเคราะห์ สังเคราะห์เพื่อหารูปแบบในการพัฒนา รูปแบบในการแก้ปัญหาทางสังคม อันดับแรกน่าจะเป็นในส่วนของการทำความเข้าใจต่อปรากฏการณ์นั้นๆ ก่อน เพื่อลดอคติลดภาพตายตัวของสิ่งนั้นๆ!

การเสาะแสวงหางานที่เกี่ยวข้อง หลากหลายมุมมองที่แสดงความคิดเห็นต่อเรื่องราวเหล่านี้ การค้นพบข้อความสนทนาของกลุ่มคนบนเวบไซต์ทางอินเตอร์เนท ผู้เขียนยังพบว่าสังคมบนเวบไซต์ทั่วไปซึ่งเป็นกลุ่มวัยรุ่นส่วนใหญ่ ยังมองปรากฏการณ์นี้เป็นภาพที่ติดลบมาก การมองว่าเป็นอาชีพใหม่ในยุคโลกาภิวัตน์ การตีค่าของผู้หญิงว่าเป็นเพียงหญิงที่ต้องการเงิน ต้องการความสุขสบาย และประเด็นที่สำคัญที่อยากจะเสนอในบทความชิ้นนี้ คือ การที่ผู้นำในประเทศพยายามที่จะเชื่อมโยงปรากฏการณ์ของการแต่งงานระหว่างชาย ชาวต่างชาติกับผู้หญิงไทกับนโยบายหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ คงเป็นเรื่องที่น่ายกย่องยินดีมาก ถ้ารัฐบาลไทยสามารถชูนโยบายหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ผ่านปรากฏการณ์นี้ได้ สำเร็จ แต่ถ้าวิเคราะห์ให้ดีผู้หญิงเหล่านี้จะคิดอย่างไรบ้างในเมื่อเรื่องราวของตน เองถูกดำเนินเรื่องโดยคนที่มีอำนาจ การสร้างความจริงและการเสนอภาพตัวแทนให้เสร็จสรรพ ยังมีอีกหลายมุมมอง หลากหลายความรู้สึกของเจ้าของเรื่องอย่างคนที่ขึ้นชื่อว่า เมียฝรั่ง ที่พวกเธอน่าจะเป็นคนดำเนินเรื่องเอง นี่เป็นเพียงติ่งหนึ่งของภาพของหญิงเมียฝรั่งที่ผูกติดอยู่กับสังคม คงจะต้องรอดูกันต่อไปกับรัฐบาลที่ทำหน้าที่คล้ายผู้กำกับละคร และหญิงเมียฝรั่งเปรียบเสมือนตัวละคร !!!

ปรากฏการณ์ เมียฝรั่งนี้ถ้าวิเคราะห์กันถึงที่มาที่ไป การเปลี่ยนแปลงค่านิยม ภาพที่มองเห็นแบบผิวเผินน่าจะเป็นสาเหตุของความจำเป็นทางด้านเศรษฐกิจเพียง ด้านเดียวที่เป็นสาเหตุสำคัญ! หรืออาจจะอีกหนึ่งด้านที่สังคมให้ความหมาย คือการที่ผู้หญิงเป็นหญิงกล้า ช่ำชองเรื่องเพศ ซึ่งในด้านนี้จากการสัมภาษณ์ผู้หญิงกลุ่มนี้ พวกเธอเผยถึงความรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่กระทบมากกับความรู้สึก เพราะว่าสาเหตุที่ผลักดันให้เธอต้องตัดสินใจแต่งงานกับชาวต่างชาตินั้น มาจากหลากหลายสาเหตุ อาทิ ปัญหาครอบครัวที่รุมเร้า การหย่าร้างจากสามีคนไทยที่ขาดความรับผิดชอบ! ปัญหาเรื่องของงานที่หายาก! การตกงาน ปัญหาหนี้สินที่ติดตัว ประกอบกับในปัจจุบันการแต่งงานกับชาวต่างชาติกลายเป็นเรื่องปกติสำหรับสังคม ไทไปแล้ว การเห็นตัวอย่างของผู้หญิงในสังคมทั่วไป!!!

จากการให้นิยามและความหมายกับเมียฝรั่งของสังคมทั่วไปนั้น ยกเว้นสังคมในหมู่บ้านชนบทด้วยกันเอง ค่อนข้างที่จะมีอคติทางความคิด การมองการกระทำของผู้หญิงกลุ่มนี้ว่าเป็นการทำเพื่อเงิน! ความต้องการรวยทางลัด! ซึ่งขาดการมองในมิติที่เชื่อมโยงในหลายส่วนเพื่อให้เห็นถึงที่มา ความจำเป็น เหตุผล ปัจจัยที่ผลักดันให้ผู้หญิงต้องเข้าสู่การเป็นเมียฝรั่ง! ถ้าสังคมยังไม่ลดอคติที่มีต่อปรากฏการณ์เมียฝรั่ง การเบียดบัง การดูถูกเหยียดหยามมนุษย์ด้วยกันเองก็ยังคงจะมีให้เห็นอยู่ร่ำไปในสังคม รัฐบาลเองในฐานะผู้นำที่สามารถกำหนดนโยบายการพัฒนาประเทศ ต้องเข้าใจต่อปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น การวิเคราะห์ให้เห็นถึงโครงสร้างของสังคม จะช่วยให้เห็นภาพของคนเล็กคนน้อยคนด้อยโอกาสในสังคม! และน่าจะนำไปสู่การกำหนดนโยบายในการพัฒนาประเทศที่จะเอื้อต่อคนด้อยโอกาสในสังคม! ดังนั้นเมียฝรั่งจะเป็นปรากฏการณ์ที่เป็นปัญหาหรือไม่เป็นปัญหายังต้องรอการ ศึกษาค้นคว้าเพื่อทำความเข้าใจ หาแนวทางที่เหมาะสมในการอธิบายปรากฏการณ์ เปิดภาพหลากหลายมุมมองออกสู่สังคมทั่วไป!!!

สังคมไทยยังต้องการการทำความเข้าใจต่อหลากหลายเรื่องราว หลากหลายปรากฏการณ์ทางสังคม เพื่อสร้างสังคมให้น่าอยู่ เมื่อเราหยุดการประเทศที่เบียดบังทำลายคนด้อยโอกาส เบียดบังทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไม่ได้ แต่เราสามารถหยุดอคติทางความคิดของเราเองได้ ในการมองเห็น และเข้าใจในความแตกต่างหลากหลายของผู้คนในสังคมพหุนิยม มาเถอะมาช่วยกันสร้างสังคมพหุนิยมที่ยอมรับในความแตกต่างหลากหลาย แต่มีความเป็นเอกภาพกำกับอยู่ด้วย!!!

__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ในส่วนของอุปสรรคในการใช้ชีวิตในต่างประเทศ จากรายงานของสำนักพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พบว่าผู้หญิงทุกคนประสบกับปัญหาด้านภาษาในระยะแรก สำหรับปัญหาการยอมรับจากครอบครัวฝ่ายสามีและการปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรม นั้นไม่เป็นปัญหา เนื่องจากหญิงไทมีความอ่อนน้อมและสุภาพจึงเป็นที่รักใคร่ของครอบครัวฝ่าย สามี!

จากรายงานการวิจัยและเอกสารที่เกี่ยวกับเรื่องราวของการแต่งงานระหว่างชาย ชาวต่างชาติกับผู้หญิงไทนั้น การนำเสนอยังเป็นเพียงภาพที่หยุดนิ่ง ตายตัว โดยการนำเสนอในมุมที่เป็นปลายเหตุ คือ การนำเสนอหลังจากที่ปรากฏการณ์ได้เกิดขึ้นมาแล้วจึงนำเสนอ ภาพยังขาดการวิเคราะห์ถึงสาเหตุที่แท้จริง ภาพของพลวัตของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมร่วมด้วย ผู้เขียนยังไม่พบงานศึกษาเกี่ยวกับปรากฏการณ์เมียฝรั่ง ที่จะสามารถให้ภาพที่ซ้อนทับหลากหลาย การวิพากษ์ถึงสาเหตุและปัจจัย อาจจะเป็นเพราะปรากฏการณ์เริ่มเด่นชัดเมื่อไม่นานมานี้ และเริ่มมีเพิ่มมากขึ้นในปัจจุบัน งานศึกษาที่ผ่านมาทำให้ผู้อ่านได้เห็นภาพตัวแทนของปรากฏการณ์ดังกล่าว แต่ในขณะที่ปรากฏการณ์ทางสังคมมีภาพที่หลากหลายซ้อนทับกันอยู่ ซึ่งถ้าปรากฏการณ์ทางสังคมเรื่องต่างๆ ได้รับการเสนอภาพตัวแทนอยู่ร่ำไป ความจริงชุดหนึ่งที่เกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ จะถูกเสนอว่าเป็นความจริงแบบนั้น เป็นเช่นนั้น ถ้าเป็นแบบอื่นจะไม่ใช่ ไม่เป็นความจริง นั่นคือ การสร้างวาทกรรมครอบงำของสังคม บทความชิ้นนี้ต้องการกระตุ้นให้เกิดภาพการสะท้อนปรากฏการณ์ต่างๆ ที่มีชีวิตชีวา การเข้าให้ใกล้กับความเป็นจริงของปรากฏการณ์เมียฝรั่ง การมองปรากฏการณ์จากทัศนะของคนใน การเปิดมุม เปิดพื้นที่ให้เจ้าของเรื่องเป็นตัวเล่าเรื่อง เป็นตัวดำเนินเรื่อง แทนการเล่า หรือการเสนอภาพตัวแทนโดยคนอื่น

ผู้เขียนคิดว่าสังคมไทยต่างมีจุดเด่นและจุดด้อยในเวลาเดียวกัน ประเทศเราเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แล้ว ไทยนับเป็นประเทศที่โดดเด่นทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม แต่เมื่อเปรียบเทียบกับสังคมโลกทั่วไป ไทยก็ยังคงเป็นประเทศโลกที่สาม ซึ่งยังไม่ถึงกับเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว คำว่าพัฒนาก็เป็นวาทกรรมที่สังคมโลกนิยามว่าการพัฒนา กำลังพัฒนา และด้อยพัฒนา มีลักษณะหน้าตาเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งในปัจจุบันเราปฏิเสธไม่ได้แล้วว่าสถานการณ์ทุกอย่างขึ้นอยู่กับกระแสการ เปลี่ยนแปลงของโลก ในปัจจุบันเมืองไทยเราเองนับว่าได้กระโดดลงสู่เวทีการแข่งขันของโลกอย่าง เต็มตัว การพัฒนาประเทศผูกติดอยู่กับการแข่งขันทางเศรษฐกิจ การพัฒนาที่เน้นส่วนหัว คือภาคธุรกิจเป็นหลัก ในส่วนของหางอย่างภาคเกษตรกรรมที่กำลังล่มสลายแต่ยังดูสวยงามในความเป็นจริง ประชาชนส่วนใหญ่ก็ยังคงมีหนี้สินรุงรัง รุมเร้า มาโดยตลอด การพัฒนาประเทศของไทยที่มุ่งเน้นพัฒนาสู่ความเจริญและทันสมัยตามรอยตะวันตก นั้น ส่งผลให้ไทยต้องเปลี่ยนแปลงสังคมในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นผู้คนในภาคเกษตรกรรมถูกดึงดูดออกจากหมู่บานสู่การเป็นกรรมกรใน โรงงาน กลายเป็นแรงงานชั้นต่ำในเมืองหลวง ปัญหาการว่างงาน ปัญหาการเอารัดเอาเปรียบ ปัญหายาเสพติด ปัญหาแรงงานเด็ก ปัญหาโสเภณี ซึ่งเป็นที่รับรู้กันแล้วว่าปัญหาสังคมได้เกิดขึ้นตามมาอย่างมากมาย สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นต่างมีสาเหตุที่เชื่อมโยง ผูกพัน เกี่ยวเนื่องกันในหลากหลายมิติ ปัญหาสังคมที่เกิดขึ้นทั้งหมดได้เกิดการแลกเปลี่ยนในวงวิชาการมีนักวิชาการ นักศึกษา หรือบรรดาปัญญาชน นักคิดต่างๆ ได้เสนอไว้ว่าเป็นปัญหาที่โครงสร้างสังคม โดยการที่โครงสร้างทางสังคมไม่สามารถสนองตอบ ไม่เอื้อต่อคนส่วนใหญ่ แต่กลับเอื้อที่คนส่วนน้อยในประเทศ ซึ่งเป็นพวกกลุ่มผู้นำ หรือนายทุน ที่มักจะเอารัดเอาเปรียบบรรดาคนเล็กคนน้อย และคนที่ด้อยโอกาสในสังคม!!!



__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

เมื่อสงครามเวียดนามสิ้นสุดลงเมื่อปลายเดือนเมษายน พ.ศ. 2518 ทหารอเมริกันหมดภารกิจที่จะต้องประจำอยู่ในประเทศไทย หลายคนได้แต่งงานกับเมียเช่าเหล่านี้ หรือจดทะเบียนสมรสกันที่สถานกงศุลอเมริกาและพากลับประเทศของตน การกระทำดังกล่าวนี้มีผลกระตุ้นให้ผู้หญิงส่วนหนึ่งมองเห็นว่า อาชีพเมียเช่า เป็นอาชีพที่มีอนาคต! บางครั้งโชคดีก็อาจจะได้ไปอยู่ประเทศสหรัฐอเมริกา! เมียเช่าอีกส่วนหนึ่งที่ทหารอเมริกันได้เลิกสัญญาจ้าง เนื่องจากต้องกลับประเทศก็จะแสวงหาทหารอเมริกันรายใหม่ที่จะมาจ้างให้เป็น เมียเช่า คนต่อไป ทำให้หญิงเหล่านี้ได้เข้าสู่วงจรของการขายบริการทางเพศอย่างถาวร ทั้งเมียเช่าและหญิงบริการที่ต่อมาได้แต่งงานไปกับชาวต่างชาตินั้น มีลักษณะเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง คือ ส่วนใหญ่เป็นชาวอีสาน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีวัฒนธรรมผูกพันกับถิ่นฐานเดิม ผู้หญิงเหล่านั้นเมื่อไปอยู่ต่างประเทศก็จะส่งเงินมาช่วยเหลือครอบครัว!ทำให้ครอบครัวกลับพลิกฐานะขึ้นมาเป็นครอบครัวที่มีฐานะดี! นอกจากนี้หญิงเหล่านี้ก็จะหาโอกาสกลับมาเยี่ยมบ้านเกิด เมื่อมาเยี่ยมก็จะมาในสถานภาพทางสังคมที่สูงกว่าเดิม และมักจะเล่าแต่ในสิ่งที่ดีๆ ที่ตนประสบความสำเร็จเท่านั้น การเล่าประสบการณ์ต่างๆ ของหญิงเหล่านี้จะเล่าให้เพื่อนสนิทฟัง แต่เพื่อนสนิทเหล่านี้ส่วนใหญ่ก็จะแต่งงานมีครอบครัวแล้ว เมื่อฟังจบก็ได้แต่มีความชื่นชมในความสำเร็จของเพื่อน จากปากของเพื่อนฝูงก็มีการบอกเล่าต่อๆ กันไปจนทั่วหมู่บ้าน!!!

จากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตต่อเนื่องมาในปัจจุบัน จำนวนนักท่องเที่ยวในประเทศไทยก็มิได้ลดจำนวนลง ในขณะที่จำนวนหญิงบริการทางเพศก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งปี พ.ศ. 2536 มีการคาดประมาณกันว่า มีนักท่องเที่ยวเข้ามาถึงกว่า 5 ล้านคน ส่วนใหญ่เป็นชายอายุระหว่าง 25 - 44 ปี นักท่องเที่ยวเหล่านี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเข้ามาพักผ่อน เมื่อมาถึงเมืองไทยก็มาพบกับบริการนำเที่ยวแบบ เซ็กซ์ทัวร์!!! ที่มีไกด์พาเที่ยวหาความสุขกับสถานบันเทิงทางเพศต่างๆ ตลอดจนการจัดทัวร์สำเร็จรูป Package Tour ที่มีหญิงบริการทางเพศรวมอยู่ด้วย!!!

การจัดทัวร์สำเร็จรูปนี้ได้รับความนิยมอย่างมาก เมื่อนักท่องเที่ยวเหล่านี้กลับไปยังประเทศของตน ก็ได้มีการบอกเล่า ประชาสัมพันธ์ไปยังหมู่คนสนิทมิตรสหายต่างๆ จนถึงจุดหนึ่งที่ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนในต่างประเทศ สื่อมวลชนเหล่านี้ได้เข้ามาทำสารคดีเกี่ยวกับการท่องเที่ยวแบบเซ็กซ์ทัวร์ และนำเอาไปเผยแพร่เป็นสิ่งตีพิมพ์ ในรูปรายการโทรทัศน์ต่างๆ จนทำให้ประเทศต่างๆ โดยเฉพาะในยุโรปและอเมริกา มองว่าไทยเป็นแหล่งบริการทางเพศที่น่าสนใจ ในปี พ.ศ. 2536 หนังสือพิมพ์ไทม์ของสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ที่ตีพิมพ์และจำหน่าย ทั่วโลก ได้เสนอบทความในลักษณะรายงานพิเศษเกี่ยวกับบริการทางเพศของประเทศไทย โดยเน้นว่าไทยได้ใช้ธุรกิจเป็นจุดส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ต่อมาหลังจากนั้นอีกไม่กี่ปี พจนานุกรมของบริษัทลองแมน ได้ให้คำจำกัดความของคำว่า BANGKOK THAILAND ว่าหมายถึงสถานที่ที่มีโสเภณีเป็นจำนวนมาก !!!

ภาพพจน์ของเมืองไทยในสายตาของชาวโลก ผ่านปรากฏการณ์เหล่านี้ล้วนเป็นผลพวงมาจากธุรกิจการขายบริการทางเพศ ที่มีประวัติศาสตร์ มีพัฒนาการมาจากสงครามเวียดนาม ค่านิยมของผู้หญิงไทยที่เปลี่ยนไป แม้กระทั่งวัยรุ่นในชนบทที่ยังไม่ผ่านการแต่งงาน ไม่ผ่านการมีครอบครัว ไม่มีประสบการณ์ทางเพศ ล้วนมีความต้องการที่จะแต่งงานกับชายชาวต่างชาติ ต่างนิยมที่จะเสาะแสวงหาชายชาวต่างชาติมาเป็นคู่ครอง บางหมู่บ้านถึงขั้นใช้วิธีจ่ายเงินให้กับนายหน้าคราวละประมาณ 4,000 บาท เพื่อติดต่อชาวต่างชาติให้กับตนเอง ดังนั้น ในปัจจุบันเราจึงพบเห็นผู้หญิงไทยนิยมแต่งงานกับชาวต่างชาติกันเป็นจำนวนมาก!!!

รายงานของสำนักพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พ.ศ. 2546 จากการสำรวจข้อมูลหญิงไทยในหมู่บ้านชนบทที่สมรสอยู่กินลักษณะสามีภรรยากับ ชาวต่างชาติทั้งที่จดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฎหมายและไม่จดทะเบียนสมรส พบว่าในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีหญิงไทยที่สมรสอยู่กินกับชาวต่างชาติในลักษณะสามีภรรยา ประมาณ 14,063 คน โดย 3 จังหวัดแรกที่มีจำนวนมากที่สุด ได้แก่ อุดรธานี ขอนแก่น และหนองคาย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 15 ร้อยละ 14 และร้อยละ 9 ของหญิงไทยที่อยู่กินกับชาวต่างชาติทั้งหมดตามลำดับ ลักษณะการพบกันแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ ได้แก่ จากการทำงานตามร้านอาหารและสถานบริการที่หญิงไทยทำงานอยู่ จากการแนะนำของญาติ และจากการติดต่อเองทางอินเตอร์เนท ผู้หญิงส่วนใหญ่อายุเฉลี่ยประมาณ 32 ปี อายุสูงสุด 52 ปี อายุต่ำสุด 20 ปี การศึกษาส่วนใหญ่จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 คือร้อยละ 57 ลักษณะอาชีพของผู้หญิงก่อนสมรสกับชาวต่างชาติ กลุ่มอาชีพลูกจ้างและพนักงาน ส่วนใหญ่จะเป็นในกรุงเทพมหานคร ตามแหล่งที่สามารถพบนักท่องเที่ยวต่างชาติได้โดยตรง เช่นตามร้านอาหาร และสถานบริการต่างๆ รองลงมาจะเป็นตามเมืองพัทยา!!! นอกนั้นจะกระจายอยู่ตามเมืองท่องเที่ยวอื่นๆ เช่นภูเก็ต เกาะสมุย หัวหิน อุดรธานี กลุ่มอาชีพเกษตรกรรม ได้แก่ ชาวนา ชาวไร่ กลุ่มนี้จะได้รับการติดต่อแนะนำจากญาติ และเพื่อนที่สมรสกับชาวต่างชาติ นอกนั้นจะเป็นกลุ่มอาชีพที่ทำงานในต่างประเทศ เช่นกลุ่มผู้ที่ติดตามญาติไปต่างประเทศเพื่อเลี้ยงดูบุตรหลานให้ญาติ ซึ่งมีสัดส่วนน้อยกว่าสองกลุ่มแรก!

สถานภาพ สมรสของผู้หญิงส่วนใหญ่จะเป็นโสดร้อยละ 67 และมีสถานภาพม่าย และหย่ากับสามีเก่าร้อยละ 33 ในจำนวนนี้ทุกคนต่างมีบุตรที่เกิดกับสามีเก่า ซึ่งอยู่ในการเลี้ยงดูของฝ่ายหญิง โดยส่วนใหญ่ฝ่ายหญิงจะนำบุตรติดตามไปต่างประเทศเพื่อเลี้ยงดูและให้การศึกษา ลักษณะอาชีพใหม่ในต่างประเทศ ส่วนใหญ่ร้อยละ 72 จะทำหน้าที่แม่บ้านอย่างเดียว นอกนั้นจะประกอบธุรกิจส่วนตัว โดยทำงานในกิจการของสามี ได้แก่ กิจการขายอะไหล่รถยนต์ ธุรกิจส่งออก ร้านอาหาร ร้านค้าทั่วไป ซักรีดเสื้อผ้า ร้านเสริมสวย กลุ่มนี้จะมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนประมาณ 100,000 บาท และยังมีกลุ่มอาชีพลูกจ้างและพนักงานบริษัท เช่น บริษัทสายการบิน โรงงานนาฬิกา และสถานประกอบการทั่วไป กลุ่มนี้จะมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนประมาณ 70,000 บาท



__________________
« First  <  Page 6  >   Last »  sorted by
 
Quick Reply

Please log in to post quick replies.



Create your own FREE Forum
Report Abuse
Powered by ActiveBoard