ลาวกำลังจะมีหอสมุดแห่งชาติหลังใหม่ใหญ่กว่าเดิม
ประชาชนลาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวนครเวียงจันทน์ จะมีหอสมุดแห่งชาติหลังใหม่ ที่ทันสมัย และใหญ่โตกว้างขวางยิ่งกว่าหลังเก่าที่คับแคบ โดยใช้วิธีแลกเปลี่ยนที่ดิน และอาคารของหลังเดิมกับบริษัทก่อสร้างของลาวแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ลงทุนก่อสร้างหลังใหม่ให้ โดยจะใช้เวลา 24 เดือน สื่อของทางการรายงาน หอสมุดแห่งชาติหลังเก่า ซึ่งตั้งอยู่ที่หัวมุมถนนเสดถาทิลาด กับถนนปางคำ ไม่ไกลจากสวนน้ำพุบ้านเซียงยืน เมืองจันทะบูลี มีเนื้อที่เพียง 3,362 ตารางเมตร ส่วนหลังใหม่ จะตั้งอยู่ในเขตบ้านสีวิไล เมืองไซเสดถา มีเนื้อที่ 11,786 ตารางเมตร บริษัทจิตจะเลินก่อสร้าง จะเป็นผู้ออกเงินทุนในการก่อสร้างทั้งหมด แลกกับที่ดินของหอสมุดแห่งชาติหลังเก่า ซึ่งเป็นพื้นที่ทำเลทองในเมืองหลวง พิธีเซ็นสัญญาเรื่องนี้จัดขึ้นวันที่ 16 ก.ย.ที่ผ่านมา ในนครเวียงจันทน์ ระหว่างนายบัวเงิน ซาพูวง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแถลงข่าววัฒนธรรม กับผู้บริหารของบริษัทเอกชนดังกล่าว โดยมี ศ.ดร.บ่อแสงคำ วงดาลา รมว.กระทรวงดังกล่าว กับเจ้าหน้าที่ระดับสูงเข้าร่วมด้วยเป็นจำนวนมาก หนังสือพิมพ์เวียงจันทน์ใหม่รายงาน หอสมุดฯ หลังใหม่จะก่อสร้างตามแบบแปลนที่ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกัน ให้ได้มาตรฐาน “รับประกันความปลอดภัยในด้านการรักษาเอกสารของชาติ และการบริการที่กว้างขวางให้ประชาชนสามารถเข้าถึง” หนังสือพิมพ์ของทางการนครเวียงจันทน์กล่าว นายบุนเลิด ทำมะจัก ผู้อำนวยการหอสมุดแห่งชาติลาว ให้สัมภาษณ์เมื่อปีที่แล้วว่าหอสมุดฯ มีทั้งหมด 48 แห่งทั่วประเทศ และกำลังจะขยายออกไปอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแขวง และเมืองต่างที่อยู่ห่างไกล สถิติผู้ใช้หอสมุดสาขาในปี 2553 ในแขวงต่างๆ ตกเฉลี่ยวันละ 50-60 คน หอสมุดแห่งชาติหลวงพระบาง มีผู้ใช้บริการเฉลี่ยสูงที่สุด คือ 80-100 คนต่อวัน มีรายงานเรื่องนี้ในเว็บไซต์ของสำนักงานกองทุนส่งเสริมสุขภาพ สถิติดังกล่าวถือว่ายังมีผู้ใช้บริการหอสมุดน้อย หอสมุดแห่งชาติลาวจึงออกนโยบายกระตุ้นให้ชาวลาวสนใจอ่านหนังสือ โดยส่งรถหอสมุดเคลื่อนที่ (Mobile Library) ไปตามโรงเรียนต่างๆ ที่อยู่ห่างไกล และมีโครงการกิจกรรมอ่านหนังสือเล่านิทานสำหรับเด็ก เพื่อเป็นการส่งเสริมให้เด็กนักเรียนรักการอ่าน รายงานชิ้นเดียวกันระบุ ทางการลาวในยุคเก่าได้ดำเนินการก่อตั้งหอสมุดแห่งชาติในปี พ.ศ.2499 เปิดให้บริการในปี 2502 โดยได้รับทุนจากมูลนิธิร็อกกีเฟลเลอร์ และย้ายไปตั้งในที่ปัจจุบันในปี 2531 โดยใช้สถานที่ร่วมกับหน่วยราชการในสังกัดอีกกระทรวงหนึ่ง.
.
