กระแสต้านญี่ปุ่นระเบิดรอบใหม่ หวั่นกระทบการเติบโตเอเชีย-โลก
เอเจนซีส์-กระแสต้านญี่ปุ่นระอุขึ้นอีกทั่วแดนมังกรเมื่อวัน อังคาร (18) ซึ่งเป็นวันรำลึกกองทัพแดนอาทิตย์อุทัย บุกยึดแมนจูเรียเมื่อกว่า 80 ปีก่อน ส่งผลให้บริษัทชั้นนำของญี่ปุ่นต้องระงับการผลิต นักเศรษฐศาสตร์เตือนถึงผลกระทบวงกว้างทั้งต่อเศรษฐกิจของสองประเทศคู่กรณี ตลอดทั้งเอเชียและเศรษฐกิจโลก สัมพันธภาพสองมหาอำนาจเอเชียร้าวลึกมีการประท้วงรุนแรงเกิดขึ้นบน ท้องถนนทั่วไปในจีน ขณะที่นักเคลื่อนไหวญี่ปุ่นสองคนได้ตอบโต้ด้วยการบุกขึ้นเกาะที่เป็นประเด็น พิพาท ทำให้เกิดความกังวลกันว่า อาจนำไปสู่การปะทะโดยตรงในบริเวณดังกล่าวที่มีเรือของทั้งสองชาติลาดตระเวน อยู่ นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า เรือประมงจีนราว 1,000 ลำกำลังมุ่งหน้าสู่บริเวณเดียวกันเนื่องจากถึงฤดูประมง ข้อพิพาทกรณีหมู่เกาะดังกล่าวที่คนญี่ปุ่นเรียกว่าเซงกากุ คุกรุ่นรุนแรงอีกครั้ง หลังรัฐบาลญี่ปุ่นซื้อหมู่เกาะจากครอบครัวชาวญี่ปุ่นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ก่อให้เกิดการประท้วงรุนแรงในจีนต่อเนื่อง และคาดหมายว่า อุณหภูมิความรุนแรงจะพุ่งสูงสุดในช่วงเย็นวันอังคาร ซึ่งเป็นวันรำลึกเหตุการณ์ที่กองทัพญี่ปุ่นบุกยึดแมนจูเรียในปี 1931 ด้านธุรกิจญี่ปุ่นพากันปิดห้างร้านและโรงงานหลายร้อยแห่งทั่วแดน มังกร ขณะที่สถานทูตญี่ปุ่นในปักกิ่งถูกล้อมและผู้ประท้วงขว้างปาขวดน้ำเข้าใส่ พร้อมตะโกนข้อความต่อต้านญี่ปุ่น โดยกระทรวงต่างประเทศญี่ปุ่นเผยหน้าต่างบางส่วนของสถานทูตได้รับความเสียหาย แม้ตำรวจจลาจลจีนตรึงกำลังอารักขาโดยรอบ การประท้วงรุนแรงยังปะทุขึ้นในเมืองใหญ่อื่นๆ เช่น เซี่ยงไฮ้ ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่สถานการณ์อาจลุกลามเกินความควบคุม และส่งผลลบต่อปักกิ่งที่ไฟเขียวให้ผู้ชุมนุมเป็นนัยผ่านทางสื่อของรัฐ เลียน พาเนตตา รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ที่อยู่ระหว่างเยือนจีนเรียกร้องให้จีนและญี่ปุ่นอดกลั้น และมีสติ พร้อมย้ำวอชิงตันไม่เข้าข้างฝ่ายใด ด้านรัฐมนตรีกลาโหมจีน เหลียง กวางเลี่ย ตอบรับว่า ปักกิ่งยังหวังจะมีวิธีแก้ไขปัญหาโดยสันติร่วมกับรัฐบาลญี่ปุ่น ข่าวคราวการประท้วงในจีนฉุดราคาหุ้นในตลาดโตเกียว โดยเฉพาะหุ้นของบริษัทญี่ปุ่นที่ส่งออกไปยังจีน และกระตุ้นความกังวลว่า อาจเกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการค้าของสองประเทศในวงกว้างขึ้นเนื่องจากจีน และญี่ปุ่นเป็นประเทศเศรษฐกิจอันดับ 2 และ 3 ของโลกมีมูลค่าการค้าระหว่างกันราว 345,000 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญบางคนเชื่อว่า กระแสต้านญี่ปุ่นอาจทำให้บริษัทแดนซากุระบางแห่งต้องทบทวนกลยุทธ์การลงทุนใน จีน
