รายงานยูเอ็นชี้แหล่งปลูกฝิ่นพม่า-ลาวเพิ่มสูงต่อเนื่อง
สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นโอดีซี) เผยรายงานสำรวจสถานการณ์ด้านฝิ่นทั่วโลก เมื่อ 31 ต.ค. พบว่า ปริมาณการปลูกฝิ่นในแถบเอเชียเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 นับจากการสำรวจครั้งล่าสุดเมื่อปี 2549 โดยพม่าเป็นประเทศที่ปลูกฝิ่นเพิ่มขึ้นมากที่สุด คิดเป็น 17 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับเมื่อ 6 ปีก่อน และแหล่งเพาะปลูกฝิ่นที่สำคัญของพม่าอยู่บริเวณภูเขาในรัฐกะฉิ่นและรัฐฉาน ประมาณ 51,000 เฮกตาร์ ทำให้พม่าเป็นประเทศที่ปลูกฝิ่นมากเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากอัฟกานิสถาน หรือคิดเป็น 25 เปอร์เซ็นต์ของฝิ่นที่ถูกแพร่กระจายไปทั่วโลกรายงานของยูเอ็นโอดีซี ระบุด้วยว่า ผลผลิตฝิ่นในพม่าที่สำรวจในปี 2554-2555 มีจำนวนกว่า 690 เมตริกตัน คิดเป็นมูลค่าประมาณ 359 ล้าน ดอลลาร์ (ราว 10,770 ล้านบาท) โดยมีประเทศจีนเป็นแหล่งรับซื้อฝิ่นรายใหญ่ เพราะมีผู้เสพฝิ่นทั่วประเทศมากกว่า 1 ล้านคน ขณะที่แหล่งเพาะปลูกฝิ่นใน สปป.ลาว ซึ่งเพิ่มขึ้นราว 66 เปอร์เซ็นต์ จากปี 2549 คิดเป็นพื้นที่ประมาณ 25,000 เฮกตาร์ กระจายอยู่ตามพื้นที่ภูเขาทั่วประเทศ รวมถึงบริเวณสามเหลี่ยมทองคำซึ่งมีอาณาเขตเชื่อมต่อระหว่างไทย ลาว และพม่า โดยยูเอ็นโอดีซีประเมินว่าราคาผลผลิตฝิ่นสูงเป็น 19 เท่าของราคาข้าวและผลผลิตทางการเกษตรอื่นๆ ทำให้มีผู้ปลูกฝิ่นเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากทั้งนี้ รายงานของยูเอ็นโอดีซีประเมินจากผลการสืบสวนสอบสวนของหน่วยปราบปรามยาเสพติด ระหว่างประเทศ รวมถึงการสำรวจทางอากาศและภาพถ่ายทางดาวเทียมตลอดปี 2554 จึงได้เรียกร้องให้รัฐบาลแต่ละประเทศในแถบเอเชียเพิ่มความเข้มงวดในการกวาด ล้างแหล่งเพาะปลูกยาเสพติดต่างๆ โดยเฉพาะรัฐบาลพม่า ซึ่งยูเอ็นโอดีซีระบุว่าไม่มีความคืบหน้าด้านการควบคุมปริมาณยาเสพติดเท่า ที่ควรขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอชซีอาร์) แถลงความคืบหน้ากรณีผู้ลี้ภัยชาวมุสลิมโรฮิงญาราว 28,000 คน ต้องอพยพออกจากพื้นที่ปะทะนองเลือดในรัฐยะไข่ ทางตะวันตกของพม่า มาอาศัยอยู่ในค่ายลี้ภัยชั่วคราวบริเวณชายแดนพม่า และบังกลาเทศ กำลังประสบปัญหาสุขภาพอย่างหนัก เนื่องจากมีฝนตกกระหน่ำและสภาพค่ายที่แออัด แต่ภายในค่ายขาดแคลนทั้งแพทย์และยารักษาโรค.