ชำแหละวัดเถื่อนขันติธรรมฉาว “ไอ้คำ” จอมแสบผูกขาดโกยเบ็ดเสร็จ
“ไอ้คำ” โคตรงก และจอมแสบเบี้ยวหนี้
ฉะนั้น เงินและทองคำทุกบาทสตางค์ที่เข้ามา ไม่ว่าจะเป็นเงินบริจาค เงินทำบุญในงานต่างๆ ที่ทางวัดได้ระดมจัดขึ้นตลอดทั้งปี และเงินทองก้อนโตที่บรรดาลูกศิษย์ “วีไอพี” นักธุรกิจใหญ่ทั้งชาวไทย และต่างประเทศนำมาถวายกับมือครั้งละจำนวนมาก ระดับหลายล้าน และหลายสิบล้านบาท จะต้องถูกนำเข้าบัญชีของหลวงปู่เณรคำที่มีอยู่กว่า 20 บัญชี ทั้งหมด เช่น บัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ สาขา อุบล ชื่อ พระวิรพล ฉัตติโก เลขที่บัญชี 530-274952-0, บัญชีธนาคารกรุงเทพ สาขาพระราม 9 ชื่อ พระวิรพล ฉัตติโก เลขที่บัญชี 215-0-61617-1 เป็นต้น อย่างไรก็ตาม หากเป็นเงินทั่วไปภายในวัดจำนวนไม่มากนัก จะมอบหมายให้เลขาฯ ฝ่ายฆราวาส นำไปเข้าบัญชีธนาคาร แต่หากเป็นเงินจำนวนมากหลักหลายล้าน “ไอ้คำ” จะจัดการเอง โดยเฉพาะทองคำ แล้วไม่ยอมให้ใครแตะเด็ดขาด จนได้รับฉายาจากบรรดาลูกศิษย์ผู้ใกล้ชิดว่า “เณรคำ เงินข้าใครอย่าแตะ” ทั้งนี้ หลังจากผุดโครงการก่อสร้างพระแก้วมรกตจำลององค์ใหญ่ที่สุดในโลก 150 ล้านบาท และทำพิธีวางศิลาฤกษ์ก่อสร้างราวปี 2547 แล้ว ได้เกิดปรากฏการณ์เงินทองหลั่งไหลเข้ามาเป็นจำนวนมหาศาล โดยเฉพาะตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา ถือเป็นยุคทองของ “ไอ้คำ” จากนั้นโครงการต่างๆ เกี่ยวกับพระแก้วมรกตฯ ก็ผุดตามมา เช่น การสร้างเศียรองค์พระแก้วมรกตด้วยทองคำ 150 กิโลกรัม (กก.), การระดมรับบริจาคทองคำ 9,000 กก. หรือ 9 ตัน เพื่อหลอมเป็นชฎาครอบบนพระเศียรพระแก้วมรกต, การระดมเงินบริจาคสร้างมหาวิหารครอบองค์พระแก้วมรกต 1,500 ล้านบาท โครงการสร้างพระแก้วมรกต จึงเป็นสัญลักษณ์แห่งการดูดทรัพย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ “ไอ้คำ” ในช่วงแรกที่เงินหลั่งไหลเข้ามานั้น หลังเสร็จการจัดงานแต่ละครั้ง จะมีเจ้าหน้าที่ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขากิโลศูนย์ จ.อุบลราชธานี นำรถธนาคารมาขนเงินไปเข้าบัญชีที่ จ.อุบลราชธานีอยู่เป็นประจำ อีกทั้งยังเป็นธนาคารหนึ่งเดียวที่ติดตั้ง ตู้ ATM ไว้บริการญาติโยมทั้งหลายให้ได้กดจ่ายๆ กันอย่างสะดวกถึงภายในวัดเถื่อนแห่งนี้ และต่อมีข่าวว่า ผู้จัดการธนาคารสาขาดังกล่าวถูกสอบ และโยกย้ายออกจากพื้นที่ ระยะหลังไม่มีรถธนาคารรับเอาเงินถึงในวัด แต่ “ไอ้คำ” และ “ผู้หมวด ก.” จะขนเงินขึ้นรถออกจากวัดไปเอง เช่นเดียวกับทองคำ ที่ได้รับบริจาคครั้งละกิโลกรัม “ไอ้คำ” ก็ขนกลับไปที่บ้านเกิด จ.อุบลราชธานีหมด ซึ่งในเรื่องนี้ “ไอ้คำ” กล้าถึงขั้นสร้างวีรกรรมปลอมตัวเป็นฆราวาสหอบทองคำ ไป
ขายที่ร้านทรงเจริญ สาขา 1 ถ.พรหมราช จ.อุบลราชธานี มาแล้ว
http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9560000081443
สาวศรีสะเกษนำลูก 11 ขวบ ท้าพิสูจน์ DNA เป็นลูกชาย“ไอ้คำ” – ตร.คุ้มกันเข้มผวาถูกอุ้ม
ศรีสะเกษ - สาวศรีสะเกษ นำลูกชาย 11 ขวบ ออกมาท้าพิสูจน์ดีเอ็นเอยันเป็นลูกชาย “ไอ้คำ" พระฉาวจริง เผยเคยส่งเสียค่าเลี้ยงดูลูกเดือนละ 10,000 บาท แล้วหายไป ขณะนี้ไม่กล้าให้ลูกไปเรียนหนังสือผวาลูกชายถูกอุ้มหาย วอนมูลนิธิปวีณาให้ความช่วยเหลือ ตร.ส่งกำลังคุ้มกันเข้ม ด้าน "ก" ตร.ทางหลวงลูกศิษย์ "ไอ้คำ" โทรฯตามจิกหนัก เมื่อเวลา 14.00 น.วันนี้ (4 ก.ค.) หลังจากที่มีหญิงสาวคนหนึ่งพร้อมสามีได้เข้าร้องเรียนสื่อมวลชนว่า เคยมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับพระฉาวชื่อดังรูปหนึ่งของ จ.ศรีสะเกษ และมีลูกชายด้วยกัน 1 คนเพื่อเป็นการตรวจสอบข้อเท็จจริง ผู้สื่อข่าวจึงได้เดินทางไปที่บ้านหนองนาเวียง ต.น้ำเกลี้ยง อ.น้ำเกลี้ยง จ.ศรีสะเกษ เมื่อไปถึงพบ น.ส."ญ" อายุ 27 ปี และ ด.ช."น." อายุ 11 ขวบ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนประถมศึกษาแห่งหนึ่งในเขต อ.เมืองศรีสะเกษ กำลังนั่งเล่นอยู่ในบริเวณข้างบ้าน โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจจาก สภ.น้ำเกลี้ยง มาคอยดูแลความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยตลอดเวลา น.ส."ญ" กล่าวว่า ตนเป็นลูกกำพร้าอาศัยอยู่กับยายที่บ้านโนนจาน ต.โพธิ์ อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ ช่วงเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ได้ไปทำบุญกับยายที่บริเวณที่พักสงฆ์แห่งหนึ่งริมห้วยสำราญ ต.โพธิ์ ได้พบกับพระชื่อดังและได้เข้ามาจีบตน จากนั้นพระชื่อดังได้ขับรถเก๋งมารับตนไปเที่ยวด้วยกัน และได้มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันบนรถ จากนั้นได้มีเพศสัมพันธ์กันเรื่อยมา จนกระทั่งตนได้ตั้งท้องและเรียนจบชั้น ม.3 พระชื่อดังจึงได้พาตนไปเช่าบ้านพักอยู่ที่ อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี โดยพระดังได้แวะเวียนไปนอนกับตนที่บ้านเช่าเป็นประจำ และได้ให้คนขับรถคนสนิทพากันไปคลอดบุตรที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งใน จ.อุบลราชธานี โดยได้ใช้ชื่อญาติของตนคนหนึ่งมาเป็นพ่อของเด็กที่เกิดขึ้นมา หลังจากที่คลอดลูกแล้ว ตนได้กลับมาพักอาศัยอยู่กับยายที่บ้านโนนจานและญาติพี่น้อง ซึ่งพระชื่อดังก็ส่งเงินมาให้เป็นค่าเลี้ยงดูลูกชายทุกเดือน แต่ว่าไม่สม่ำเสมอต้องทวงถามค่านมลูกเป็นประจำ และก่อนหน้านี้มีเรื่องดังขึ้นมาพระดังก็ได้พาตนไปเช่าบ้านอยู่ที่กรุงเทพฯ พอเรื่องเงียบก็ให้ตนกลับมาอยู่บ้าน และต่อมาพระชื่อดังก็หายเงียบไปนานประมาณ 6 เดือน ตนจึงได้นำเรื่องไปร้องที่กองปราบปราม กรุงเทพฯ รวมทั้งตนกับลูกเคยพากันไปตรวจดีเอ็นเอ ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯไว้แล้ว ทั้งนี้เพื่อต้องการให้พระชื่อดังมารับผิดชอบดูแลตนกับลูก และต่อมาพระชื่อดังได้ให้ลูกศิษย์คนสนิทที่เป็นตำรวจมาเคลียร์ปัญหาและจ่าย เงินให้ก้อนหนึ่งและจ่ายเงินค่าเลี้ยงลูกรายเดือนๆ ละ 10,000 บาท ตนจึงได้ถอนแจ้งความที่กองปราบปราม จนกระทั่งขณะนี้ลูกชายของตนอายุได้ 11 ขวบ กำลังเรียนอยู่ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่โรงเรียนแห่งหนึ่งใน อ.เมืองศรีสะเกษ แต่วันนี้ตนไม่ได้ให้ลูกไปเรียนหนังสือ เนื่องจากเกรงว่าลูกจะถูกอุ้มหายไป เพราะว่าพระชื่อดังมีลูกศิษย์ที่มีอิทธิพลมากหลายคนการที่ตนออกมาร้องกับ สื่อมวลชนในครั้งนี้ เนื่องจากว่า พระชื่อดังไม่ส่งเงินค่าเลี้ยงดูลูกมาให้ตนนาน 2 เดือนแล้ว ล่าสุดลูกศิษย์พระชื่อดังที่เป็นตำรวจทางหลวงโอนเงินมาให้ตน 2,000 บาทเท่านั้น ทำให้ตนกับลูกได้รับความเดือดร้อนมาก