มีผู้นำภาพเก่าๆ ภาพหนึ่งขึ้นเผยแพร่ในโลกโซเชียลมีเดีย นครเวียงจันทน์ และกลายเป็นที่ถกเถียงกันในสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อผู้รู้ท่านหนึ่งระบุว่า นี่คือพระฉายาลักษณ์เจ้าฟ้าหญิงสะหวีวันสว่าง (Javivani Savangsa Manivong) พระราชธิดาพระองค์แรกในสมเด็จเจ้ามหาชีวิตสะหว่างวัดทะนา กษัตริย์พระองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์ล้านช้างหลวงพระบาง ที่ทรงถูกบังคับให้สละราชสมบัติเมื่อฝ่ายคอมมิวนิสต์ปะเทดลาวเข้ายึดอำนาจ และเปลี่ยนพระราชอาณาจักรลาวเป็นสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว 40 ปีที่แล้ว ก่อนเสด็จสวรรคตในค่ายกักกันเมืองซำเหนือ แขวงหัวพัน นับเป็นภาพที่หาดูได้ยากยิ่งจากหน้าประวัติศาสตร์ที่ดำมืด ซึ่งเยาวชนคนรุ่นใหม่แทบจะไม่ได้เห็น และไม่รู้จัก เนื่องจากเนื้อหาเกี่ยวกับพระราชวงศ์ถูกตัดออกจากตำราไปทั้งหมด ในขณะที่พระบรมวงศานุวงศ์กว่า 100 พระองค์ ได้แตกกระสานซ่านเซ็นออกลี้ภัยในต่างแดน และเมื่อ 4 ทศวรรษผ่านไป ก็เหลือเพียงไม่กี่พระองค์ที่ยังทรงเคลื่อนไหวทวงคืนราชบัลลังก์แห่งหลวงพระ บางอย่างสิ้นหวัง อย่างไรก็ตาม เจ้าฟ้าหญิงสะหวีวัน (ฉวีวรรณ) สิ้นพระชนม์ในเดือน ม.ค.2550 ที่เมืองนีซ ประเทศฝรั่งเศส รวมพระชนมายุ 74 พรรษา หลังจากที่ทรงประชวรเรื้อรัง และหลังจากพระเจ้าน้องเธอเจ้าฟ้าหญิงดาลาสว่าง (Thala Savangsa) “เจ้าหญิงเล็ก” ทรงจากไปราว 1 ปีก่อนหน้านั้น ตามบันทึกอันกระท่อนกระแท่น เจ้าฟ้าหญิงทรงมีพระประสูติกาลในปี ค.ศ.1933 (พ.ศ.2476) ในพระที่นั่งฮอยลาด (รอยราช) พระบรมมหาราชวังหลวงพระบาง ในสมเด็จเจ้ามหาชีวิต (พระเจ้าอยู่หัว) ภัทรมหาศรีสว่างวัฒนา กับพระภัทรมหาราชินีคำผุย เป็นเจ้าหญิงพระองค์แรกแห่งรัชกาลและต่อมา ได้กลายเป็นเจ้าฟ้าหญิงองค์รัชทายาทสายตรงพระองค์สุดท้ายของลาว ก่อนจะสิ้นพระชนม์ในต่างแดน เช่นเดียวกับพระบรมวงศานุวงศ์ส่วนใหญ่ “เจ้าฟ้าหญิงใหญ่” ทรงมีพระเจ้าพี่ยาเธอพระองค์หนึ่ง คือ เจ้าฟ้าชายวงสะหว่างมหามกุฎราชกุมาร กับพระเจ้าน้องยาเธออีก 3 พระองค์ ที่ทรงเป็นพระบรมราชาวงศ์ซึ่งได้แก่เจ้าฟ้าชายสีสะหว่าง เจ้าฟ้าชายสุลิยะวงสะหว่าง กับเจ้าฟ้าชายเคือสะหว่าง มีเพียงพระองค์ที่สองที่ทรงว่ายน้ำข้ามโขงหลบหนีเข้าฝั่งไทยได้สำเร็จใน เดือน พ.ย.2518 อีก 3 พระองค์ทรงหายสาบสูญไปตั้งแต่ช่วงปีนั้น โดยเชื่อกันว่า ทุกพระองค์สิ้นพระชนม์ในค่ายกักกันแขวงหัวพัน เช่นเดียวกันกับสมเด็จเจ้ามหาชีวิตสะหว่างวัดทะนา เจ้าฟ้าหญิงสะหวีวัน ทรงศึกษาในพระราชวังหลวงพระบาง ก่อนเสด็จไปศึกษาต่อทั้งในฝรั่งเศสและอังกฤษ และเสด็จกลับคืนพระราชอาณาจักรรับใช้เบื้องพระยุคลบาท ในเดือน พ.ย.2500 เจ้าหญิงทรงเข้าพระราชพิธีอภิเษกสมรสกับเจ้าชายสีมังคะลามะนี (สีสุมัง มะนีวง) นายพันเอกแห่งกองทัพพระราชอาณาจักร ซึ่งเป็นพระประยูรญาติสายหนึ่ง ทรงมีพระราชบุตร 7 พระองค์ พระราชธิดาอีก 3 พระองค์ และยังไม่เคยมีข่าวคราวเกี่ยวกับบรรดา “เจ้าฟ้าน้อย” เหล่านั้นอีก เจ้าฟ้าหญิงทรงหลบหนีเข้าไทยได้สำเร็จในคืนหนึ่งของเดือน พ.ย.2518 ก่อนจะเสด็จต่อไปยังประเทศฝรั่งเศส และเข้าร่วมกระบวนการทางการเมืองกดดันระบอบใหม่ในเวียงจันทน์ จนกระทั่งวันสิ้นพระชนม์ชีพ “ในขณะนี้พวกเราเหล่าสตรีลาวได้ตั้งถิ่นฐานอย่างมั่นคงปลอดภัยใน ประเทศที่สาม อย่างไรก็ตามข้าพเจ้ายังคงคิดถึงพวกเราอีกจำนวนมากที่อยู่ข้างหลังในดินแดน บ้านเกิดที่ยังดำรงชีพอยู่ยากลำบากอย่างแสนสาหัส จะต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเอง และครอบครัวอยู่ได้ นอกจากนั้น สตรีลาวก็ยังต้องเผชิญกับภัยข่มขู่คุกคามใหม่ๆ เช่นเอชไอวีเอดส์ และยาเสพติดที่แผ่ขยายอย่างกว้างขางในลาวปัจจุบัน” เท่าที่มีการบันทึกเอาไว้ เชื่อว่าข้อความข้างบนนั้นเป็นพระราชสาสน์ชิ้นสุดท้ายของเจ้าฟ้าหญิงสะหวี วัน ที่รายงานจากเมืองนีซ โดยวิทยุเอเชียเสรีเมื่อปี พ.ศ.2546
ຂອບໃຈທີ່ເອົາຮູບນີ້ມາໃຫ້ເບິ່ງເປັນບຸນຕາ. ເພິ່ນເປັນຄົນງາມ ມີສະງ່າຣາສີຫຼາຍ
ເຄີຍເຫັນເພິ່ນຢູ່ເທື່ອໜຶ່ງໃນປີ 1968 ຕອນເຂົ້າໄປຊ້ອມຟ້ອນພະລັກພະລາມຢູ່ໃນພະຣາຊະວັງເພື່ອກຽມຟ້ອນໃນວັນສົງການ
ປີໃໝ່ລາວເພື່ອຕ້ອນຮັບແຂກທົ່ວໂລກທີ່ຖືກເຊີນ. ເຫັນເພິ່ນຍ່າງມາກັບອ້າຍເພິ່ນກໍຄືອົງມົງກຸດຣາຊກຸມມານມານັ່ງເບິງພວກຊ້ອມ
ຟ້ອນ. ຖາມອາຈານ ສົມລິດ (ອາຈານສອນຟ້ອນພະລັກພະລາວ ແລະອະດີດພະເອກໜັງລາວກ່ອນ 75) ເພິ່ນບອກວ່າເຈົ້າຍິງສວີວັນ
ສວ່າງ. ເພິ່ນງາມທີ່ສຸດແລະມີແວວອັນສູງສົ່ງ ກໍຄິດຢູ່ສເມີວ່າຕົນເອງມີບູນວາສນາພໍສົມຄວນທີ່ເຫັນໂຕຈິງຂອງເພິ່ນ ແລະເພິ່ນກໍຍັງ
ໜຸ່ມ ອາຍຸເພິ່ນກໍປະທານສາມສິບກ່ວາໆນີ້.
ສ່ວນອົວມົງກຸດຣາຊກຸມມານນັ້ນໄດ້ຈັບຮອດມືເພິ່ນຕອນເພິ່ນມອບຂອງຂວັນໃຫ້ແກ່ນັກທີ່ຮຽນເກ່ງແລະດີເດັ່ນຂອງກຳແພງນະຄອນ
ຫຼວງພະບາງ, ເຈົ້າແອນ້ອງຊາຍເພິ່ນເຫັນເພິ່ນຕລອດເພິ່ນບໍ່ຖືໂຕ ເພິ່ນມັກໄປເິ່ງຊີເນມາຢູ່ໂຮງໜັງ ຣາຊີນີ ຢູ່ສ້ມີ ແລະທຸກໆປີຈະເຫັນເພິ່ນ
ໄປຫລີ້ນໝາກກະຫລັອກຢູ່ທີ່ຫົວນາກາງຕອນມີພິທີເຈົ້າແມ່ພູພຶງເຂົ້າສູນເຈົ້າຈ້ຳທຸກໆປີ.