ລາວໂຮມລາວ ເພື່ອປະຊາທິປະໄຕ

Members Login
Username 
 
Password 
    Remember Me  
Post Info TOPIC: ประหาร นักธุรกิจลาว
Anonymous

Date:
ประหาร นักธุรกิจลาว
Permalink   
 


ประหาร นักธุรกิจลาว

วันที่ 23 ม.ค. 2558 ตำรวจ บก.ปส.3 บช.ปส.กับ ป.ป.ส. ร่วมกันจับกุมนายอาทิตย์ หรือเก้า ระติอนันต์ สิบตรีราชัน ลีตาและนายอนุวัฒน์ สาวิสิทธิ์ พร้อมด้วยของกลางยาบ้า 1.7 ล้านเม็ด ไอซ์ 34 กิโลกรัมยึดทรัพย์รถหรู 2 คัน ในความผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดฯ และ พ.ร.บ.มาตรการฯ นำส่งพนักงานสอบสวน บก.ปส.3 ดำเนินคดี 

558000009897505.JPEG

คดีนี้ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา และ คณะอัยการ กองยาเสพติด 10 สำนักงานอัยการสูงสุด เป็นเจ้าของสำนวนผู้รับผิดชอบคดีในคดีหลักนี้ ผู้ต้องหาทั้งสามให้การรับสารภาพศาลพิพากษาลงโทษประหารชีวิต รับสารภาพเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดี ลดโทษเหลือจำคุกตลอดชีวิต

ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ บช.ปส. ป.ป.ส. และ ปปง.สืบสวนขยายผลเครือข่ายยาเสพติดของนายอาทิตย์ ระติอนันต์กับพวก ทั้งเครือข่ายยาเสพติด และเครือข่ายทางด้านการเงิน จนเกิดยุทธการ “ขุดรากถอนโคนขบวนการค้ายาเสพติดของกลุ่มเครือข่ายนี้” เมื่อ 23 ส.ค.2558

ติดตามยึดทรัพย์หัวหน้าฝ่ายการเงินรายใหญ่ที่รับโอนเงินค่ายาเสพติด ที่เป็นนักธุรกิจชาวลาวคือ นางหมอน เพ็ชรอรุณ พัวพันเงิน 47 ล้าน และ 11 ล้าน ที่มีคนลาวญาตินางหมอน ถอนจากบัญชีธนาคารในไทยที่อ.เชียงของ จ.เชียงราย ข้ามไปฝั่งลาว แต่ถูกศุลกากรจับได้ที่สะพานข้ามพรมแดน อ.เชียงของ

จับกุมคนที่รับจ้างเปิดบัญชีฝาก-ถอน-โอน-ทำธุรกรรมตามคำสั่ง คนสั่งการระดับกลางคือ นายพิภัช ธรรมอินทร์และนางสาวสโรชา เรืองอุไร ที่พัวพันยาเสพติดเพราะสามี และพี่ชายสามีถูกจับเรื่องยาเสพติด

ตำรวจนครบาลขยายผลไปจับกุมยาบ้าได้ในห้อง น.ส.สโรชา และมีผู้ร่วมขบวนการที่ยังหลบหนีคือ นางเบญจ แป้นทอง และ นายทรงวุฒิ ศรีหะไกร ถูกหมายจับไว้แล้ว ต่อมาผู้ต้องหาทั้งสามปฏิเสธสู้คดี

ในท้ายที่สุดศาลอาญาพิพากษาวันที่ 27 ต.ค.2559 ลงโทษประหารชีวิตจำเลยทั้งสาม สำหรับจำเลยที่ 2 คือ นายพิภัชที่ให้การปฏิเสธชั้นศาลแต่เคยให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวน เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้เหลือ “จำคุกตลอดชีวิต”

นี่คือผลงานที่สำคัญ ที่เจ้าหน้าที่รัฐทุกฝ่ายได้ทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์ กัดไม่ปล่อย รวบรวมพยานหลักฐานทางคดีได้แน่นหนา ศาลเชื่อและลงโทษจำเลยตามกฎหมายบ้านเมือง และด้วยความละเอียด รอบคอบของทีมงานอัยการ กองคดียาเสพติด 10 ในทีมของ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้า พัชรกิติยาภา ที่ได้ทุ่มเทในการตรวจสำนวนตรวจพยานหลักฐาน นำสืบในชั้นศาลได้อย่างสมบูรณ์ จนศาลเชื่อมั่นในพยานหลักฐาน

ฝากเตือนผู้ที่กำลังให้คนอื่นเปิดบัญชีและคนรับจ้างเปิดบัญชีให้พ่อค้ายาเสพติดใช้ทำธุรกรรม กลุ่มที่นำเงินออกตามแนวชายแดน อาจได้รับโทษถึง “ประหารชีวิต” และทรัพย์สินที่ได้จะถูกยึดตกไปเป็นของแผ่นดิน

เพราะศาลได้พิพากษาให้เห็นเป็นตัวอย่างแล้ว.

วันที่ 23 ม.ค. 2558 ตำรวจ บก.ปส.3 บช.ปส.กับ ป.ป.ส. ร่วมกันจับกุมนายอาทิตย์ หรือเก้า ระติอนันต์ สิบตรีราชัน ลีตาและนายอนุวัฒน์ สาวิสิทธิ์ พร้อมด้วยของกลางยาบ้า 1.7 ล้านเม็ด ไอซ์ 34 กิโลกรัมยึดทรัพย์รถหรู 2 คัน ในความผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดฯ และ พ.ร.บ.มาตรการฯ นำส่งพนักงานสอบสวน บก.ปส.3 ดำเนินคดี 

คดีนี้ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา และ คณะอัยการ กองยาเสพติด 10 สำนักงานอัยการสูงสุด เป็นเจ้าของสำนวนผู้รับผิดชอบคดีในคดีหลักนี้ ผู้ต้องหาทั้งสามให้การรับสารภาพศาลพิพากษาลงโทษประหารชีวิต รับสารภาพเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดี ลดโทษเหลือจำคุกตลอดชีวิต

ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ บช.ปส. ป.ป.ส. และ ปปง.สืบสวนขยายผลเครือข่ายยาเสพติดของนายอาทิตย์ ระติอนันต์กับพวก ทั้งเครือข่ายยาเสพติด และเครือข่ายทางด้านการเงิน จนเกิดยุทธการ “ขุดรากถอนโคนขบวนการค้ายาเสพติดของกลุ่มเครือข่ายนี้” เมื่อ 23 ส.ค.2558

ติดตามยึดทรัพย์หัวหน้าฝ่ายการเงินรายใหญ่ที่รับโอนเงินค่ายาเสพติด ที่เป็นนักธุรกิจชาวลาวคือ นางหมอน เพ็ชรอรุณ พัวพันเงิน 47 ล้าน และ 11 ล้าน ที่มีคนลาวญาตินางหมอน ถอนจากบัญชีธนาคารในไทยที่อ.เชียงของ จ.เชียงราย ข้ามไปฝั่งลาว แต่ถูกศุลกากรจับได้ที่สะพานข้ามพรมแดน อ.เชียงของ

images?q=tbn:ANd9GcSQ_3zXUBf8bcsq4-RTzbX

 

โดยนางสโรชาและนายพิภัชพบเป็นเครือข่ายสำคัญของแก๊งนายอาทิตย์ สืบเนื่องจากก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่จับกุมนางหมอน เพชรอรุณ ชาวลาว ซึ่งเป็นเจ้าของบัญชีที่นางสโรชาและนายพิภัชโอนเงินจากหลายๆ บัญชีที่เกี่ยวข้องกับการค้าขายยาเสพติดเข้าไปให้
ซึ่งนางหมอนยังเป็นเจ้าของเงินที่เจ้าหน้าที่ศุลกากร ยึดไว้จำนวน 47 ล้านบาท และมีการดำเนินการคดีตาม พ.ร.บ.ศุลกากร และคดีฟอกเงิน ซึ่งดีเอสไอรับไว้เป็นคดีพิเศษ

จับกุมคนที่รับจ้างเปิดบัญชีฝาก-ถอน-โอน-ทำธุรกรรมตามคำสั่ง คนสั่งการระดับกลางคือ นายพิภัช ธรรมอินทร์และนางสาวสโรชา เรืองอุไร ที่พัวพันยาเสพติดเพราะสามี และพี่ชายสามีถูกจับเรื่องยาเสพติด

ตำรวจนครบาลขยายผลไปจับกุมยาบ้าได้ในห้อง น.ส.สโรชา และมีผู้ร่วมขบวนการที่ยังหลบหนีคือ นางเบญจ แป้นทอง และ นายทรงวุฒิ ศรีหะไกร ถูกหมายจับไว้แล้ว ต่อมาผู้ต้องหาทั้งสามปฏิเสธสู้คดี

ในท้ายที่สุดศาลอาญาพิพากษาวันที่ 27 ต.ค.2559 ลงโทษประหารชีวิตจำเลยทั้งสาม สำหรับจำเลยที่ 2 คือ นายพิภัชที่ให้การปฏิเสธชั้นศาลแต่เคยให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวน เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้เหลือ “จำคุกตลอดชีวิต”

นี่คือผลงานที่สำคัญ ที่เจ้าหน้าที่รัฐทุกฝ่ายได้ทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์ กัดไม่ปล่อย รวบรวมพยานหลักฐานทางคดีได้แน่นหนา ศาลเชื่อและลงโทษจำเลยตามกฎหมายบ้านเมือง และด้วยความละเอียด รอบคอบของทีมงานอัยการ กองคดียาเสพติด 10 ในทีมของ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้า พัชรกิติยาภา ที่ได้ทุ่มเทในการตรวจสำนวนตรวจพยานหลักฐาน นำสืบในชั้นศาลได้อย่างสมบูรณ์ จนศาลเชื่อมั่นในพยานหลักฐาน

ฝากเตือนผู้ที่กำลังให้คนอื่นเปิดบัญชีและคนรับจ้างเปิดบัญชีให้พ่อค้ายาเสพติดใช้ทำธุรกรรม กลุ่มที่นำเงินออกตามแนวชายแดน อาจได้รับโทษถึง “ประหารชีวิต” และทรัพย์สินที่ได้จะถูกยึดตกไปเป็นของแผ่นดิน

เพราะศาลได้พิพากษาให้เห็นเป็นตัวอย่างแล้ว.



__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ພວກຫນັກໂລກ ສ້າງແຕ່ຄວາມວອດວາຍໃຫ້ສັງຄົມມະນຸດ

ປະຫານຊີວິດ ແມ່ນຖືກຕ້ອງທີ່ສຸດ...



__________________
Page 1 of 1  sorted by
 
Quick Reply

Please log in to post quick replies.



Create your own FREE Forum
Report Abuse
Powered by ActiveBoard