ที่ห้องพิจารณา 902 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก วันที่ 20 มี.ค.61 ศาลนัดพิพากษาคดีหมายเลขดำ อย.1642/2560 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดียาเสพติด 10 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายไซซะนะ แก้วพิมพา ( XAY SANA KEOPIMPHA) อายุ 43 ปี สัญชาติสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) เป็นจำเลย ในความผิดฐานสมคบกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และได้มีการกระทำเกี่ยวกับยาเสพติด , ร่วมกันนำเข้า ยาบ้าซึ่งเป็น ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 เพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต และร่วมกันมียาเสพย์ติดไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4 ,7, 8 ,15, 65, 66 และ 100/1 และ พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 4-5 ,8,14 ซึ่งอัยการยื่นฟ้องคดีเมื่อวันที่ 12 เม.ย.60 ที่ผ่านมา บรรยายพฤติการณ์สรุปว่า
เมื่อวันที่ 30 ก.ย.59 จำเลยกับพวกที่ถูกยื่นฟ้องแล้ว และอีกหลายคนที่หลบหนียังไม่ได้ตัวมาฟ้อง ได้ร่วมกันนำยาบ้า 1.2 ล้านเม็ดจาก สปป.ลาว ซุกซ่อนในช่องลับใต้หลังคารถยนต์ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดหนองคายเข้ามาในไทย โดยเมื่อวันที่ 1 ต.ค.59 ตำรวจสามารถจับเครือข่ายจำเลยพร้อมยึดยาของกลางได้ กระทั่งขยายผลการจับกุมพวกจำเลยที่อัยการได้ยื่นฟ้องเป็นคดีไว้แล้ว ก่อนจะจับกุมจำเลยได้เมื่อวันที่ 19 ม.ค.60 โดย นายไซซะนะ จำเลย แถลงยืนยันให้การปฏิเสธคำฟ้องทุกข้อหา
ทั้งนี้สำหรับ "นายไซซะนะ" หลังถูกรวบตัวกลางสนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อเดือน ม.ค.60 กระทั่งมีการฟ้องคดี ไม่เคยได้รับการประกันตัว ซึ่งวันนี้ ศาลเบิกตัว นายไซะนะ มาจากทัณฑสถานบำบัดพิเศษกลาง เพื่อฟังคำพิพากษา โดยศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์และจำเลย แล้วเห็นว่า โจทก์มีพยานเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ เบิกความตามลำดับจากการปฏิบัติหน้าที่ ไม่รู้จักและไม่มีเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน เชื่อได้ว่าพยานโจทก์เบิกความตามจริง แต่คดีต้องพิสูจน์จนปราศจากข้อสงสัย ซึ่งนายทรรศพล พลธี, นายไพฑูรย์ ทองเสม, น.ส.เกศญาณัฐฐ์ ธงวาด และนายนิอุสมัน ปะจู จำเลยที่ 1-4 ในคดีหมายเลขดำ อย.5837/2559 ของศาลนี้ ได้เบิกความสอดคล้องเชื่อมโยงกัน ในการขนยาเสพติดโดยใช้รถตู้ที่นายทรรศพลเป็นผู้ขับ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สะกดรอยตามและตรวจค้นพบเมทแอมเฟตามีนซุกซ่อนอยู่
จากการสอบสวนนายทรรศพล ให้การว่าจำเลยเป็นพี่ใหญ่ในการสั่งการขนยาเสพติด พร้อมชี้ภาพยืนยัน มีนายไพฑูรย์ขับรถตรวจเส้นทาง การให้การของนายทรรศพล ไม่ใช่เป็นการซัดทอดให้พ้นผิด และให้การโดยละเอียดยากแก่การปั้นแต่ง
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ ได้ตรวจสอบเบอร์โทรศัพท์และไลน์ของจำเลยพบว่ามีการติดต่อกับพวกเรื่องการขนยาเสพติดและการโอนเงินเชื่อมโยงกันเป็นเครือข่าย ติดต่อกับขบวนการค้ายาเสพติดหลายกลุ่ม ซึ่งในชั้นสอบสวนจำเลยรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา พยานหลักฐานมีน้ำหนักมั่นคงว่าจำเลยกระทำผิดจริง ส่วนที่จำเลยปฏิเสธว่ามีเบอร์โทรศัพท์ของลาวเบอร์เดียว ไม่ได้มีโทรศัพท์ 5 เครื่องที่เป็นของกลางนั้น จำเลยกลับยอมรับว่าเบอร์อื่นที่ใช้ในไลน์เป็นของจริง ไม่ใช่ข้อพิรุธของโจทก์ และที่อ้างว่าเจ้าหน้าที่ให้ลงนามในเอกสารแล้วจะได้รับการปล่อยตัวนั้นเป็นการอ้างลอยๆ ซึ่งขณะนั้นมีเจ้าหน้าที่สถานทูตอยู่ด้วยก็ไม่ได้ทักท้วงใดๆ การให้การในชั้นสอบสวนจึงเป็นการให้การโดยสมัครใจ เป็นการให้การหลังถูกจับกุมไม่มีเวลาปรุงแต่งเรื่อง จึงเชื่อว่าเป็นการให้การตามจริง อีกทั้งมีผู้ร่วมกระทำความผิดเป็นคนไทย จำเลยจึงต้องรับโทษในไทย จึงพิพากษาว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 และ พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 ฐานสมคบกันกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด จำหน่ายยาเสพติด และนำเข้ายาเสพติดเข้ามาในราชอาณาจักร เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษบทสูงสุดฐานนำเข้ายาเสพติดเข้ามาในราชอาณาจักร ให้ประหารชีวิต แต่จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวน เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีอยู่บ้าง จึงลดโทษ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยตลอดชีวิต
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับ "นายไซซะนะ" นั้น ปัจจุบัน ยังมีคดียาเสพติดอีก 1 สำนวนที่รอสืบพยาน คือ คดีหมายเลขดำ อย.2833/2560 ที่พนักงานอัยการคดียาเสพติด 10 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายไซซะนะ , นายชุมพร พนมไพร อายุ 43 ปี และนายรัชพลหรือกิมเล้ง รัฐสพลพกรณ์ อายุ 29 ปี ทั้งสองซึ่งเป็นชาว จ.อุดรธานี เป็นจำเลยที่ 1 -3 ในความผิดฐาน สมคบกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด , ร่วมกันมียาบ้า ซึ่งเป็นยาเสพติดประเภท 1 ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต กรณีเมื่อวันที่ 23 ก.ค.58 - 30 ธ.ค. 59 จำเลยกับพวกที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง ร่วมกันมียาบ้า 3,381,400 เม็ด ไว้ในครอบครองโดยมิชอบด้วยกฎหมาย พร้อมเงินอีก 144 ล้านบาท ซึ่งอัยการได้ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 27 ก.ค.60 พร้อมระบุท้ายฟ้องด้วยว่าขอคัดค้านการให้ประกันตัว เนื่องจากยาเสพติดของกลางมีจำนวนมาก คดีมีอัตราโทษสูง เกรงว่า หากปล่อยชั่วคราวจำเลยจะหลบหนี