"บิ๊กป้อม"กำชับปราบยาเสพติดชายแดนไทย-ลาวระบาดหนัก
12 ธันวาคม 2561 พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และ รมว.กลาโหม พร้อมคณะ ได้เดินทางไปตรวจราชการในพื้นที่ภาคอีสานตอนบน
โดยร่วมรับฟังการบรรยายสรุปสถานการณ์ในพื้นที่ จากส่วนราชการต่างๆ ณ ศาลากลาง จว.หนองคาย โดยสรุปภาพรวมพื้นที่ชายแดน ไทย - ลาว พบสถานการณ์ยาเสพติดในพื้นที่มีความรุนแรงสูงขึ้นต่อเนื่อง ทั้งแหล่งผลิตนอกประเทศ เส้นทางลำเลียงและพื้นที่พักคอย รวมทั้งมีการสร้างและขยายเครือข่ายในต่างประเทศมากขึ้น ขณะเดียวกันยังคงมีการลักลอบตัดไม้ การจารกรรมรถยนต์และนำสินค้าผ่านแดน ซึ่งกระทบต่อความมั่นคงและผลประโยชน์ชาติ
พล.อ.ประวิตร' ได้มอบเป็นนโยบายกับทุกส่วนราชการในพื้นที่ ขอให้ความสำคัญกับการทำหน้าที่ด้วยจิตวิญญาณในการปกป้องและธำรงรักษาไว้ ซึ่งสถาบันหลักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ควบคู่กับ การเร่งแก้ปัญหาที่เป็นเงื่อนไขความเหลื่อมล้ำและความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อย ให้เร่งคลี่คลายปัญหาหนี้นอกระบบที่สั่งสมมานานและเร่งขับเคลื่อนกลไกระดับจังหวัด อำเภอ สนับสนุนเสริมสร้างพัฒนาทักษะอาชีพของประชาชนในพื้นที่ ให้สามารถยืนเข้มแข็งด้วยตนเองอย่างเป็นรูปธรรม โดยจำเป็นต้องอาศัยความเข้าใจและความร่วมมือกัน
นอกจากนี้ พล.อ.ประวิตร ย้ำถึง การทำงานร่วมกันของทุกส่วนราชการในพื้นที่จังหวัดติดชายแดน จำเป็นต้องหารือกันอย่างรอบคอบ ในทุกกิจกรรมที่อาจจะมีผลกระทบต่อข้อตกลงระหว่างประเทศ หรือ กระทบต่อความมั่นคงตามแนวชายแดน โดยให้ดำเนินการอย่างตรงไป ตรงมา ยึดผลประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้ง โดยเน้นให้ความสำคัญกับ การแก้ปัญหาการลักลอบนำเข้าสินค้าเกษตรผ่านแดน ที่กระทบต่อราคาพืชผลการเกษตรในพื้นที่ , การแก้ปัญหาแรงงานต่างด้าว ที่นำมาซึ่งปัญหาการค้ามนุษย์ รวมทั้งนโยบายสำคัญของรัฐบาล ที่ต้องการขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง ทั้งการจัดระเบียบสังคม, แก้ปัญหาผู้มีอิทธิพล โดยเฉพาะกลุ่มค้าอาวุธสงคราม มือปืนรับจ้าง ที่เป็นสาเหตุของความรุนแรง และการแก้ปัญหายาเสพติด ที่ต้องทำอย่างจริงจังและครบวงจร ทั้งการสกัดกั้น การป้องกันและการปราบปรามผู้ผลิต ผู้ค้า รวมทั้งการบำบัดฟื้นฟูผู้เสพ
ทั้งนี้ ได้กำชับ ผู้นำและเจ้าหน้าที่รัฐทุกระดับในพื้นที่ ให้ทำหน้าที่เป็นที่พึ่งให้กับประชาชนในทุกโอกาส ต้องไม่เรียกรับผลประโยชน์ หรือ ทำตัวเป็นผู้มีอิทธิพลแสวงประโยชน์ จากการปฏิบัติหน้าที่ โดยเด็ดขาด และต้องระมัดระวัง ไม่ให้บุคคลแอบอ้างหาประโยชน์ในทางที่ผิด พร้อมทั้งขอให้ ร่วมกันสร้างความเข้าใจกับประชาชนใน "สัญญาประชาคม" ที่ร่วมกันจัดทำขึ้น เพื่อร่วมกันดำรงรักษาบรรยากาศความรัก ความเข้าใจเป็นหนึ่งเดียวกัน ก่อนการเลือกตั้งทั่วไปที่จะมีขึ้น
ทางการลาวได้ประกาศเลื่อนยศให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงป้องกันประเทศ พล.ท.จันสะหมอน จันยาลาด ให้เป็น "นายพลเอก" คนล่าสุด ซึ่งเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ พล.อ.คำไต สีพันดอน ได้พ้นจากตำแหน่งเดียวกันนี้ และ ไม่มีการแต่งตั้งผู้ใดครองยศสูงสุดของฝ่ายทหารอีก เหตุการณ์ในสัปดาห์นี้ จึงเป็นการเลื่อนชั้นยศนายพลเต็มขั้นแก่นายทหารระดับสูงคนหนึ่งครั้งแรกในรอบ 27 ปี และ เป็นเพียงนายพลเอกคนที่ 3 ในประวัติศาสตร์ยุคใหม่ของประเทศ ในสายตาของสาธารณชนทั่วไป เรื่องนี้ควรจะมีมาตั้งแต่นานมาแล้ว เพื่อความเท่าเทียมกันกับเพื่อนบ้านรอบข้าง เนื่องจากกองทัพประชาชนลาว เป็นเพียงแห่งเดียวในย่านนี้ที่มีผู้นำสูงสุดครองยศนายพลโท ในขณะที่เพื่อนบ้านใกล้ชิดรอบข้าง กับมิตรประเทศทั่วไปทั้งใกล้และไกล ล้วนเป็นนายพลเอกนอกจากนั้น ในปัจจุบันรัฐมนตรีว่าการกระทรวง กับรัฐมนตรีช่วยว่าการอีก 2 นาย ล้วนมียศชั้นเป็นนายพลโทเท่ากัน ถึงแม้ว่าจะมีลำดับสูงต่ำในคณะกรรมการกลางพรรค เป็นตัวบ่งชี้ความอาวุโสในหน้าที่การงานอยู่ก็ตามนายพลเอกอีกคนหนึ่งได้แก่ พล.อ.สีสะหวาด แก้วบุนพัน อดีตเสนาธิการใหญ่กองทัพประชาชนลาวในยุคแรก ก่อนจะมีการยุบเลิกไปโดยมีการโยก พล.อ.สีสะหวาด พ้นกระทรวงและกองทัพ ให้ไปรับตำแหน่งอื่นๆ รวมทั้งเป็นรองประธานประเทศระหว่างปี 2539-2541 ในยุคนายหนูฮัก พูมสะหวัน และ เป็นนายกรัฐมนตรีระหว่างปี 2541-2543 ก่อนเกษียณอายุปัจจุบันทั้ง พล.อ.คำไต และ พล.อ.สีสะหวาด ยังคงมีชีวิตอยู่ -- ในวัย 94 ปี และ 90 ปีตามลำดับตลอดเวลากว่า 4 ทศวรรษที่ผ่านมา สปป.ลาวมีผู้เข้าดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงป้องกันประเทศเพียง 5 คนเท่านั้น และ ทั้งหมดเป็นทหาร แต่นอกจากคนแรกเพียงคนเดียว ทุกคนหลังจากนั้นล้วนครองยศสูงสุดเพียงนายพลโท ซึ่งได้แก่ พล.ท.จูมมะลี ไซยะสอน พล.ท.ดวงใจ พิจิต พล.ท.แสงนวน ไซยะลาด กับ พล.ท.จันสะหมอน ตามลำดับ
พล.อ.คำไต คุมกระทรวงป้องกันประเทศติดต่อกันยาวนานถึง 16 ปี และ เป็นช่วงที่มีการปฏิรูปโครงสร้างกองทัพกับกระทรวงในหลายด้าน มีการจัดตั้งองค์กรภายในกองทัพใหม่ ที่ประกอบด้วย "กรมใหญ่" กับหน่วยรบพร้อมหน่วยสนับสนุนต่างๆ -- รวมทั้ง "กรมใหญ่เสนาธิการ" ด้วย -- ทั้งหมดอยู่ภายใต้บัญชาการของรัฐมนตรีว่าการ ซึ่งเป็นผู้บัญชาการสูงสุดในขณะเดียวกัน โดยมีประธานประเทศดำรงตำแหน่ง "จอมทัพ" มีอำนาจหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญพล.อ.คำไต เป็นอดีตผู้บัญชาการกองกำลังฝ่ายคอมมิวนิสต์ปะเทดลาว ที่มีนายไกสอน พมวิหาน เป็นผู้นำสูงสุดทางการเมือง -- จากยุคสงครามขับไล่เจ้าอาณานิคมฝรั่งเศส สู่สงครามต่อต้านสหรัฐจนกระทั่งยึดอำนาจจากรัฐบาลในเวียงจันทน์ได้ ในเดือน ธ.ค.2518ผู้นำกองโจรเข้าดำรงตำแหน่ง รมว.ป้องกันประเทศ ตั้งแต่มีการจัดตั้งรัฐบาลเข้าบริหารประเทศชุดแรก หลังการประกาศก่อตั้ง "สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว" ในวันที่ 2 เดือนนั้น -- จนกระทั่งเดือน ส.ค.2534 จึงมีการถ่ายโอนอำนาจตกทอดสู่ พล.ท.จูมมะลี รัฐมนตรีช่วยว่าการคนที่ 1 คนสนิทซึ่งได้ขึ้นเป็นเจ้ากระทรวงสืบแทน โดยพล.อ.คำไต เป็นนายกรัฐมนตรีต่อมาอีก 6 ปีนายพลเอกคนแรกของประเทศ ไม่ได้กลับกระทรวงป้องกันประเทศกับกองทัพอีกเลย เพราะเข้ารับตำแหน่งประธานประเทศ ควบตำแหน่งเลขาธิการใหญ่พรรคประชาชนปฏิวัติลาวสืบต่อมา หลังจากนายไกสอนถึงแก่อสัญกรรม -- จนกระทั่งลงจากอำนาจไปพร้อมกับผู้นำรุ่นเก่าอีกหลายคน ระหว่างการประชุมใหญ่พรรคประชาชนปฏิวัติลาว ในเดือน มี.ค.2549 และ กองทัพเตรียมเข้าสู่ยุคสมัยของ "พล.ต.ดวงใจ"แต่หลังปี 2549 ที่ พล.ท.จูมมะลี ได้ขึ้นนำพรรคและรัฐยาวนานติดต่อกันมา 2 สมัยหรือ 10 ปีนั้น พล.อ.คำไต ทำหน้าที่เป็น "ที่ปรึกษาศูนย์กลางพรรค" ต่อมาอีก 5 ปี จึงล้างมือจากการเมืองโดยสิ้นเชิง และ กลับไปพำนักอาศัยในนครปากเซ แขวงจำปาสักบ้านเกิด ตั้งแต่นั้น
ພວກຂີ້ຂ້າແກວ
หลังเกิดโศกนาฏกรรมเครื่องบินตก ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตรวมกันเกือบ 20 คน รวมทั้งกรรมการกรมการเมือง 3 คน กับกรรมการศูนย์กลางพรรคอาวุโสอีก 1 คน ทางการลาวได้แต่งตั้ง พล.ต.แสงนวน รัฐมนตรีช่วยว่าการคนที่ 1 ขึ้นรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแทน พล.ท.ดวงใจ ก่อนการแต่งตั้งจะผ่านการรับรองจากสภาแห่งชาติ และ ได้รับเลื่อนยศชั้นเป็นนายพลโท พร้อมกันกับ "พล.ต.จันสะหมอน" -- ซึ่งทำให้ลาวมีนายพลโทพร้อมกัน 2 คน เป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 30 ปีเมื่อนายทองลุน สีสุลิด ผู้นำเบอร์ 2 กรมการเมือง เข้าจัดตั้งรัฐบาลชุดปัจจุบัน ในเดือน เม.ย.2559 พล.ท.จันสะหมอน ซึ่งเป็น รมช.คนที่ 1 ได้ขึ้นว่าการกระทรวงป้องกันประเทศ เวลาต่อมามีการเลื่อนยศให้แก่นายทหารเป็นนายพลโทอีก 2 คน ซึ่งได้แก่ พล.ท.สุวอน เลืองบุนมี รมช.คนที่ 1 ที่ควบตำแหน่งหัวหน้ากรมใหญ่เสนาธิการ กับ พล.ท.วิไล หล้าคำฟอง รมช.คนที่ 2 ที่ควบตำแหน่งหัวหน้ากรมใหญ่การเมือง ทำให้กองทัพเกิดมีนายพลโทพร้อมกันถึง 3 คน เป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 30 ปีเช่นเดียวกันส่วนการเลื่อนยศนายพลเอก ให้แก่ รมว.ป้องกันประเทศในสัปดาห์นี้ เป็นไปตามดำรัสฉบับหนึ่งของนายบุนยัง วอละจิต ประธานประเทศ โดยเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 10 เป็นต้นไป -- การเลื่อนชั้นแก่นายและพลทหาร เป็นอำนาจของผู้นำแห่งรัฐโดยการนำเสนอของรัฐบาล ที่ไม่ต้องขอการเห็นชอบจากสภาแห่งชาติตามประวัติโดยย่อ -- พล.อ.จันสะหมอน จันยาลาด เกิดเดือน มี.ค.ปี 2491 เป็นชาวผ่งสาลี แขวงทางตอนเหนือของประเทศ ติดชายแดนจีน เป็นชนชาติกิมมุ เข้าร่วมการต่อสู้กับฝ่ายคอมมิวนิสต์ปะเทดลาวตั้งแต่ปี 2507 ศึกษาสำเร็จปริญญาโทการเมืองการทหาร เป็นอดีตหัวหน้ากรมใหญ่เสนาธิการกองทัพ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคนหนึ่งในยุคของ พล.ท.ดวงใจ
ຈົບຂະແໜງການເມືອງ-ການທະຫານ ຊັ້ນສູງ ຈາກຣັສເຊຍ ຫລືຈາກ ສສ ຫວຽດນາມ?