ລາວໂຮມລາວ ເພື່ອປະຊາທິປະໄຕ

ອະດິດ ປທ ປທ ຕຳຕາຍ860ລ້ານດອນໄປຢູ່ໄສ ບໍ່ເຫັນມາຮ່ວມກັບກູ່ມຄູບາ ພວກສະຫາຍ??

ບໍ່ເປັນຫຍັງ ເພາະຫ່ວງຕ່ອນເງິນຈຳນວນມະຫາຫາສານນັ້ນແມ່ນບໍ??

ມິເວລາອ່ານຂ່າວຂ້າງລູ່ມນິ້ດ້ວຍ

ວ່າ ເຂີຍຝຣັ່ງ ທິ່ ຂອນແກ່ນ ຄິດຮອດສະຫາຍ ຫລາຍແທ້ໆເດິ






มาร์ติน วีลเลอร์"อังกฤษลูกลาวอีสาน มึน ! วันนี้ คนไทยเอาเป็นเอาตายกับการเมืองยิ่งกว่าฝรั่ง

วันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2554 เวลา 22:00:00 น. มตีชน



มา ร์ติน วีลเลอร์ ( Martin Wheeler ) หนุ่มใหญ่ชาวอังกฤษ วัยเฉียด 50 ปี อยู่เมืองไทยมาเกือบ 20 ปีแล้ว พูด ล า ว วอร์ชั่นอีสาน อยู่บ้านคำปลาหลาย ต.บ้านดง อ.อุบลรัตน์ จ.ขอนแก่น มีเมียชื่อ รจนา วีลเลอร์ มีลูกชายลูกสาวรวม 3 คน ทุกคนสัญชาติไทยหมด เพราะเขาต้องการให้ลูกเป็นคนเชื้อชาตีลาว ไม่ใช่คนสหราชอาณาจักร



มาร์ติน บอกว่า วันนี้ เขามีอาชีพ อศม. แปลว่า "อาศัยเมีย" เพราะเมียกินและปลูกอะไร สามีฝรั่งผู้นี้ ก็ทำอย่างเมีย ถ้าเมียทิ้ง มาร์ตินบอกว่า "สงสัยต้องบวชเป็นพระ"



มาร์ติน จบปริญญาตรีเกียรตินิยม ภาษาละติน จาก London University มาจากครอบครัวที่ฐานะดีพอสมควร พ่อจบปริญญาเอก แม่จบปริญญาตรี เป็นครูสอนเปียโนกับไวโอลิน มาร์ตินเป็นฝรั่งขบถ ปฏิวัติค่านิยมเก่า บางคนบอกว่า เขาเป็นฝรั่งบ้า แต่เป็นฝรั่งบ้าที่ชาวบ้านคำปลาหลาย ขอนแก่น ... รักมาก



มาร์ติน อยู่ในภาคอีสานจนเข้าใจ คนลาวภาคอีสาน ดีกว่านักการเมืองหลายคน




" ผมคิดว่าคนไทยส่วนมากยังไม่เข้าใจระบบทุนนิยม เห็นฝรั่งที่ไหน ก็คิดว่ารวยหมด คิดว่าการพัฒนา ในระบบทุนนิยมจะทำให้ทุกคนมีเงิน ไม่เข้าใจว่าประเทศที่พัฒนาระบบทุนนิยม นานแล้ว เช่น อังกฤษ สหรัฐ มีปัญหาเยอะมาก แต่คนไทยก็คิดว่า เมืองนอก ดีกว่า อันนี้จุดอ่อนครับ คือคนไทยสนใจ เมืองนอก ไม่ได้สนใจ ประเทศไทย"



"คนลาวภาคอึสาน ไม่อยากให้ลูกเป็นเกษตร คนลาวอีสานให้ลูกเป็นอะไรก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่ เกษตรกร คนอังกฤษถ้าใครมีที่ดินถือว่าเป็นคนรวย คนอังกฤษแค่ 0.5 % เท่านั้น ที่สามารถถือครองที่ดิน แต่คนลาวอีสาน ไม่มีทรัพย์สินอะไร แต่ก็ยังมีที่ดิน"





วันนี้ เมียมาร์ติน ถือครองที่ดิน 47 ไร่ ถ้าเป็นคนอังกฤษ ถือว่า รวยมากๆ





ผู้ใหญ่ บ้าน"ถาวร สรรสมบัติ" บอกว่า มาร์ติน เป็นบุคคลที่มีค่าของชุมชน เพราะเป็นฝรั่งที่ทำให้คนลาวภาคอีสานเข้าใจโลกตะวันตก และมีส่วนร่วมกับชุมชนอย่างดี เป็น 1 ใน 100 ฝรั่งที่หาได้ยากยิ่ง ทุกวันนี้จะมีคณะดูงาน กว่า 20 คณะ เดินทางเข้ามาในชุมชน เพื่อมาพูดคุยกับ มาร์ติน วีลเลอร์ จนทำให้ชุมชนมีรายได้



มาร์ติน ไม่ยุ่งกับการเมือง เขาเฉยๆ กับเรื่องการบ้านการเมือง เขาชอบพูดเรื่องชาวบ้านมากกว่า




แต่วันนี้ "มติชนออนไลน์"ชวน มาร์ติน วีลเลอร์ พูดเรื่องการเมือง ในสำเนีย ล า ว อีสาน


มาร์ติน เชื่อว่า การเคลื่อนไหวทางการเมืองในปัจจุบัน เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้(หรอก) ชีวิตของชาวบ้านไม่ได้เปลี่ยนหรอก


" วันนี้ พัฒนาการประชาธิปไตยของเมืองไทยก็ใช้ได้นะ เท่าที่ศึกษามา ประชาธิปไตยของประเทศไทยอายุไม่เกิน 70 ปี ประวัติศาสตร์การเมืองของประเทศที่เจริญแล้วอย่างประเทศอังกฤษอายุ 300 กว่าปี 200 ปีแรกก็สกปรกมาก เหมือนกันกับที่คนไทยดูถูกกันเอง ว่า มีการซื้อเสียง มีการสืบทอดตำแหน่งจากพ่อไปสู่ลูก แต่จริงๆ วันนี้นักการเมืองไทย วันนี้ก็โอเค(นะ) "


สำหรับการเคลื่อนไหว ของคนเสื้อแดง ผมว่า คนลาวภาคอีสานเขาก็ชอบคนเสื้อแดง แต่ผมก็เฉยๆ แต่อาจเป็นเพราะเรื่องการเมือง ผมก็เฉยอยู่แล้ว เป็นเสื้ออะไรก็ได้ ถ้าจะช่วยชาวบ้านจริงๆ ผมไม่ว่าหรอก แต่ถ้าเรื่องการเมืองอย่างไรมันก็เปลี่ยนวิถีชีวิตชาวบ้านไม่ได้ เพราะอย่างไรชาวบ้านก็ยังเป็นชาวบ้านอย่างเดิม จะให้ชาวบ้านเป็นคนรวย ไม่มีพรรคไหนทำได้หรอก จะแจกเท่าไหร่ก็เปลี่ยนเขาไม่ได้ ผมเป็นคนนิยมประชาชน แต่ไม่ได้นิยมประชานิยม



" จากที่ผมได้เห็นประเทศอังกฤษ ฝรั่งจะเอาเป็นเอาตายกับทุกเรื่อง แต่คนไทยนี่ตั้งแต่ผมมาอยู่ จะเป็นคนเฉย ไปเรื่อยๆ ปล่อยวางได้ แต่เดี๋ยวนี้คนไทย เปลี่ยนไป กลับกลายเป็นฝรั่งมากกว่าฝรั่งอีก สมัยนี้เรื่องการเมือง คนไทยเอาเป็นเอาตายจริงๆ ซึ่งฝรั่งเขาไม่เอาเป็นเอาตายหรอก เพราะเขารู้แล้วเลือกใครก็เหมือนกัน ทุกวันนี้คนไทยก็เริ่มจะฆ่ากัน ยิงกัน จะให้ตาย โอ้โห ที่จริงมันไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอก เลือกแล้วก็จบ ไม่เป็นไรหรอก "


ถาม มาร์ติน เรื่องการต่อสู้ระหว่าง อำมาตย์ กับ ไพร่ ในการเมืองไทย


เขา ตอบว่า " มันไม่ใช่หรอก ไม่ง่ายขนาดนั้น อาจจะ มีส่วนหนึ่งที่จริงอยู่ แต่ผมไม่ได้มองชัดเจนขนาดนั้น เพราะผมเป็นคนลาวอยู่อีสาน อยู่กับชาวบ้าน ผมก็รักชาวบ้าน แต่ว่า ข้อเท็จจริงในชีวิตก็มีอยู่ ชาวบ้านก็ต้องเป็นชาวบ้าน จะให้เขารวยหมดก็ไม่มีทาง ให้เขาเรียนสูงหมดก็ไม่มีทาง เพราะฉะนั้นใครที่อยู่ในตำแหน่งก็คืออำมาตย์หมด ก็คือมีอำนาจใช่ไหม มันจะเป็นเสื้ออะไรก็แล้วแต่ เป็นคนรุ่นเก่าหรือรุ่นใหม่ หน้าอาจจะไม่เหมือนกัน แต่แนวความคิดอาจจะเหมือนกันก็ได้ ผมก็ไม่ทราบ ไม่อยากยุ่งการเมืองเท่าไหร่ "


นี่คือ มาร์ติน วีลเลอร์ ที่เชื่อว่า การเมืองเปลี่ยนแปลงชาวบ้าน ไม่ได้ แต่การเปลี่ยนแปลงต้องมาจากในหมู่บ้านเอง



ไม่ใช่ การลด แลก แจก แถมของนักการเมือง !!!

ປະວັດສາດຕັວຈີງ ຂຽນໂດຍຄົນລາວ ທິ່ ມິຄວາມເປັນລູກເຂົ້າຫນ້ຽວ100ເປິເຊັນ
ຊື້ງຕ່າງ ກັບ ປວສ ທິ່ຂຽນຂື້ນ ໃນນາມເຈົ້າພໍ່Mafia ຈາກ ກຸງເທບ

ອ່ານແລ້ວ ຝາກຕໍ່ໃຫ້ ຊຊຊ ລາວ ກ່ວາ100ລ້ານ ຊາບນຳດ້ວຍ
ຂອບໄຈ



http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1309511902&grpid=&catid=02&subcatid=0207

หัวอกลาว กรณีปราสาทพระวิหาร
หัวอกลาว กรณีปราสาทพระวิหาร

วันที่ 01 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 เวลา 16:30:00 น.
มตีชน


โดย สุจิตต์ วงษ์เทศ ( จปล เจ็กปนลาว )
(คอลัมน์ สยามประเทศไทย)

ประวัติศาสตร์แห่งชาติของไทย ฟูมฟายว่าไทย "เสียดินแดน" แต่ไม่เคยบอกว่า "ได้ดินแดน" คนอื่นมาก่อนแล้ว

ปราสาทพระวิหาร ยุครัชกาลที่ 5 ชาวสยามทั่วไปไม่รู้จัก ไม่รู้ว่าเป็นอะไร? อยู่ที่ไหน?

คน ชั้นนำยุคนั้นจะรู้จักสักกี่คน? เพราะความวิตกกังวลยุครัชกาลที่ 5 ไม่ใช่เรื่องปราสาทพระวิหาร แต่เป็นเรื่องใหญ่กว่านั้น คืออธิปไตยที่แน่ชัด (หรือที่มหาอำนาจรับรอง) บนดินแดนอีสาน ขณะนั้นอันตราย เปราะบางอย่างยิ่ง

เพราะไม่รู้ว่าฝรั่งเศสที่ยึดครองเวียดนาม, เขมร, ลาว จะบุกเข้ามาถึงอีสานของสยามหรือไม่? เนื่องจาก อีสานเหนือเป็นเขตวัฒนธรรมลาว ส่วน อีสานใต้เป็นเขตวัฒนธรรมเขมร

พูดกันตรงๆ อย่างปากชาวบ้านว่าครั้งนั้น อีสานเหนือเป็นลาว อีสานใต้เป็นเขมร

พ.ศ.2447-2450 รัฐบาลสยามยุครัชกาลที่ 5 ทำสนธิสัญญาเรื่องเขตแดนกับฝรั่งเศส ซึ่งมีพันธะให้ต้องยอมรับแผนที่แนบท้าย 1 : 200,000 ที่มีปราสาทพระวิหารอยู่ในเขตกัมพูชาของฝรั่งเศส

รัฐบาลสยามยกเป็น "ความสำเร็จ" ยิ่งใหญ่ เพราะเท่ากับสยามมีอธิปไตยบนดินแดนอีสานอย่างแน่ชัดที่มีมหาอำนาจรับรอง เป็นอันหมดกังวลไป

ประวัติศาสตร์แห่งชาติของไทยสมัยต่อมา เขียนว่าไทยต้องยอม "เสียดินแดน" บางส่วนให้ฝรั่งเศส เพื่อรักษาดินแดนบางส่วนไว้

แต่คนลาวไม่คิดอย่างนั้น จะขอคัดเนื้อหาตอนนี้ในหนังสือ ประวัติศาสตร์ลาว โดย สิลา วีระวงส์ (สำนักพิมพ์มติชน พิมพ์เมื่อ พ.ศ.2539 หน้า 301) มีความว่า

"ใน หนังสือสัญญานั้น แม้สยามกับฝรั่งเศสแบ่งปันกันเอาแผ่นดินลาวและคนลาวที่อยู่ในแผ่นดินนั้น หรือเอาดินแดนลาวและคนลาวแลกเปลี่ยนกับดินแดนเขมรและคนเขมร ซึ่งฝรั่งเศสกับสยามทำได้ตามใจในฐานะผู้เป็นนาย

ลาวเราที่อยู่ทั้งสองฝั่งแม่น้ำโขงก็ได้แต่ลืมตาดูอยู่เฉยๆ ไม่มีสิทธิที่จะพูดจาอะไรได้ เพราะเป็นข้าเขาด้วยประการดังนี้

และ ตั้งแต่เวลานั้นเป็นต้นมา (ค.ศ. 1903) แผ่นดินลาวที่กว้างใหญ่ไพศาล รวมเนื้อที่ทั้งสองฝั่งแม่น้ำโขงมี 343,000 ตารางกิโลเมตร และมีพลเมืองลาวนับเป็นสิบๆ ล้านคน ก็ได้ถูกแบ่งแยกกัน

โดย ฝ่ายหนึ่งได้กลับกลายเป็นคนไทย แต่อีกฝ่ายหนึ่งเป็นคนลาว ทั้งที่คนเหล่านี้เป็นเชื้อชาติเผ่าพันธุ์อันเดียวกัน มีจารีตประเพณีอันเดียวกัน พูดภาษาเดียวกัน มีอักษรศาสตร์ใช้ประจำชาติมาแต่โบราณเป็นอันเดียวกัน แต่ก็ต้องได้มาแยกกันเป็นคนละชาติ"

คนเขมรจำนวนไม่น้อยน่าจะมีความรู้สึกนึกคิดไม่ต่างจากคนลาว

ครูบาอาจารย์ในสถาบันการศึกษาที่เกี่ยวข้องประวัติศาสตร์โบราณคดี น่าจะลดละเลิกเสียเวลาให้ท้ายประเพณีรับน้องใหม่

แล้วหันมาร่วมกันศึกษาค้นคว้าวิจัยเรื่องจริงๆ ในอดีต อย่างกรณีนี้ เพื่อผลักดันให้มีความราบรื่นร่มเย็นในประชาคมอาเซียน

ຝາກເພັງນີ້ໃຫ້ຜູ້ນຳລາວທີ່ຍັງມີລົມຫາຍໃຈຢູ່