ລາວໂຮມລາວ ເພື່ອປະຊາທິປະໄຕ

Members Login
Username 
 
Password 
    Remember Me  
Post Info TOPIC: ตชด.227 จับสิบโททหารลาวรับจ้างขนยาบ้าข้ามโขง


Guru

Status: Offline
Posts: 622
Date:
ตชด.227 จับสิบโททหารลาวรับจ้างขนยาบ้าข้ามโขง
Permalink   
 


ตชด.227 จับสิบโททหารลาวรับจ้างขนยาบ้าข้ามโขง

snapshot_001.jpg

      -ตชด.227 จับสิบโททหารลาวรับจ้างขนยาบ้าข้ามโขง

      เจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดนที่ 227 สนธิกำลังจับสิบโททหารลาวรับจ้างขนยาบ้าได้พร้อมของกลาง ขณะกำลังเดินขึ้นฝั่งแม่น้ำโขงมาส่งให้กับลูกค้า สารภาพ เป็นทหารประจำการที่หลวงพระบาง ที่ทำไปเพราะขัดสนเรื่องเงินทองและไม่มีเงินซื้อปุ๋ยใส่นาข้าว

       เจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดนที่ 227 อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี นำโดย พ.ต.ท.ขวัญชัย สิงห์อ่อน ผบ.ร้อยฯ ร.ต.ท.สุกิจ เผือกจันทึก หน.ชุด ปปส.สนธิกำลังกับ ร.อ.ไกรพล เจริยชัย ผบ.ร้อย ทพ.2304 นรข. ตำรวจน้ำ ตำรวจท้องที่และฝ่ายปกครอง สนธิกำลังเข้าจับกุมตัว ท้าวแล สูลิโย อายุ 30 ปี ราษฎรลาวเมืองสองคอน แขวงสะหวันนะเขต สปป.ลาว เปนสิบโทประจำการ ที่ค่ายทหารหลวงพระบาง ได้พร้อมของกลางยาบ้า บรรจุในถุงพลาสติกสีฟ้าซุกซ่อนอยู่ในกระเป๋ากางเกงขาสั้นด้านซ้ายมือ จำนวน 198 เม็ด โดยจับกุมตัวได้ที่ริมฝั่งแม่น้ำโขงเขตบ้านนาแวง ต.นาแวง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี ขณะกำลังเดินขึ้นมาจากท่าจอดเรือเพื่อมาส่งให้กับลูกค้าชาวไทย

       ผู้ต้องหาสารภาพว่า หลังถูกไล่ออกจากทหารประจำการ ก็หันมาประกอบอาชีพทำไร่ทำนาอยู่ที่บ้านเกิด แต่ช่วงนี้ขัดสนเรื่องเงินทอง ไม่พอใช้จ่ายในครอบครัวอีกทั้งไม่มีเงินมาซื้อปุ๋ยใส่นาข้าว จึงอาสารับจ้างขนยาบ้ามาส่งให้กับลูกค้าชาวไทยเป็นครั้งที่ 2 โดยจะได้ค่าจ้าง 5 พันบาทเมื่อส่งของถึงที่หมาย แต่มาถูกจับกุมตัวเสียก่อน



__________________
Anonymous

Date:
RE: ตชด.227 จับสิบโททหารลาวรับจ้างขนยาบ้าข้ามโขง
Permalink   
 


ເອົາອິກແລ້ວ
ມິແຕ່ຂ່າວດິທທັງນັ້ນ

ພວກຄອງເມືອງພາກັນໄປຊົ້ນໃນສີ້ນເມັຍພວກສຸ ຢູ່ໄສ ບໍ່ຍອມມືນຕາເບີ່ງວ່າ ສິ່ງນິ້ເກິດຂື້ນທຸກໆມື້

ໃນດິນແດນສຍາມ



__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ປິ 1991 ນາຍຫ້ນາຊາວຝັຣ່ງເສດ ຕົ້ມເງິນໄກສອນ760ລ້ານ ປິ້ 92 ເສັຍໄຈຫລາຍກັ້ນໄຈຕາຍເລີຍ
ຄຳໄຕຂື້ນມາສຶບທອດອຳນາດມືດ

ຖືກບັກເຈ້ກ ຫລິ້ມ ຄົນນິ້ ຕົ້ມ

ອົມເງີນ ປຊຊ ລາວ ໄປ ອິກ 300 ສາມຮ້ອຍລ້ານ ດລ ເພື່ອ ສ້າງ ລາວທິວິສຕາຣ ແຄ່ງກັບລາວ ເຕເລຄອມຂອງ ແມ້ວ ທັກສິນ





สนธิ ลิ้ม โกตั๊บ มนุษย์หลายหน้า มุสาเพื่อชาติ และผลประโยชน์
Posted on at by siamfed1
สนธิ ลิ้ม โกตั๊บ

มนุษย์หลายหน้า มุสาเพื่อชาติ และผลประโยชน์

ศิวะ รณยุทธ์



หนึ่งชั่วชีวิตของคนเรานั้น มีทั้งด้านมืดและด้านสว่าง แต่ลิ้ม โกตั๊บ ผู้ซึ่งวาดแผนไต่บันใดทางสังคมและสร้างอำนาจให้กับตนเอง เพื่อครอบงำสังคมไทยด้วยวิธีของเจ้าพ่อสื่อมวลชนที่รู้จักอำนาจอย่างแท้จริงฉลาดลึกล้ำเป็นสิ่งที่คนในสังคมไทยจะต้องทำความเข้าใจและรู้เท่าทันอย่างแท้จริง เพื่อจะได้ตระหนักว่าคนๆนี้มีด้านมืดที่มากมายกว่าด้านสว่างมากมายและชวนสยดสยองเพียงใด

นอกเหนือจากวิธีการตีสองหน้าที่โกตั๊บใช้มาตลอดคือ สร้างภาพด้านลบของตนเองให้กลายเป็นบวกอย่างง่ายๆ ด้วยการพูดที่คุ้นเคยกันคือ “ผมนั้นเป็นคนเลวแต่ขอบอกด้วยสัตย์จริงว่าผมเป็นคนเลวน้อยที่สุด” แล้ว ตลอดชั่วชีวิตกว่า 60 ปีของลิ้ม โกตั๊บ ได้พัวพันกับบทบาทมนุษย์หลายหน้ามาโดยตลอด ได้แก่

การใช้อิทธิพลสื่อมวลชนเพื่อสร้างอำนาจต่อรองและขู่กรรโชกเพื่อหาผลประโยชน์อย่างแนบเนียน
การแอบอิงรับใช้กลุ่มทุนหรือผู้มีอิทธิพลในอำนาจรัฐ เพื่อกอบโกยผลประโยชน์จากสายสัมพันธ์
การปั่นหุ้นและวิศวกรรมการเงินอย่างมูมมามกับพลพรรคสร้างความร่ำรวยแบบฟองสบู่
การอำพรางตัวเองเป็นคนหัวก้าวหน้า ทั้งที่จุดยืนเป็นพวกล้าหลังอย่างถึงที่สุด
การสร้างประเด็นให้สังคมแบ่งเป็นขั้ว แล้วเข้าหาช่องว่างแสวงหาโอกาสสร้างอำนาจและผลประโยชน์ให้กับตนเอง
ความสามารถในการเล่นบทหลายหน้าอย่างแนบเนียนนี้ ถือเป็นมรดกตกทอดที่โกตั๊บรับมาโดยตรงจากพ่อ ซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติการก๊กมินตั๋งที่ถูกส่งเข้ามาต่อต้านคอมมิวนิสต์ในไทย

พ่อของโกตั๊บ เป็นจีนไหหลำ ชื่อจีนไม่เปิดเผยกับคนภายนอก แต่ใช้ชื่อไทยว่าวิเชียร อพยพจากเมืองจีนมาตั้งรกรากอยู่ที่กรุงเทพในฐานะผู้ปฏิบัติงานต่อต้านคอมมิวนิสต์จีนในไทย เช่นเดียวกับพ่อของบัญญัติ บรรทัดฐานอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ที่ถูกส่งไปทำงานในภาคใต้

โกตั๊บเคยให้สัมภาษณ์ว่า พ่อของเขานั้น เคยเป็นถึงผู้บังคับการโรงเรียนนายร้อยหวงผู่ที่เซี่ยงไฮ้ แต่ความเป็นจริงนี้ ไม่มีใครยืนยัน (และเชื่อได้ว่าเป็นเรื่องโกหกที่แต่งขึ้นมา) รู้แต่ว่า เขามีธุรกิจโรงพิมพ์และจำหน่ายหนังสือพิมพ์จีนเล็กๆ แต่กลับมีบทบาทเป็นผู้กว้างขวางอย่างยิ่งในหมู่จีนไหหลำเมืองไทยในฐานะกรรมการต่อเนื่องยาวนานของสมาคมจีนไหหลำในเมืองไทย

บทบาทในสมาคมไหหลำของพ่อเขา ทำให้ไม่ยากที่จะต่อสายไปกับคนจีนเชื้อสายไหหลำที่โด่งดังในไทยอย่าง บุญชู โรจนเสถียร นายธนาคารใหญ่แห่งธนาคารกรุงเทพ

สิ่งที่โกตั๊บไม่เคยบอกก็คือ ทำไมเขาถึงมีทะเบียนเกิดที่จังหวัดสุโขทัย? ความจริงก็คือ ตอนที่เขาเกิดนั้นพ่อของเขากำลังดำเนินการใต้ดินต่อต้านคอมมิวนิสต์อยู่ในภาคเหนือตอนล่างซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่ามีฐานจัดตั้งในกลุ่มคนจีนไหหลำที่จังหวัดนครสวรรค์ และพิจิตรที่พวกคอมมิวนิสต์จีนเพื่อต่อต้านญี่ปุ่น

เพื่อให้สะดวกกับการทำงาน พ่อของเขา จัดการส่งโกตั๊บเข้าโรงเรียนประจำที่ศรีราชาโดยมีเพื่อนร่วมโรงเรียนที่ต่อมามีชื่อเสียงหลายคน ได้แก่ ทนง พิทยะ วศิน เตยะธิติ วิโรจน์ นวลแข และกนก อภิรดี รวมทั้งประจักษ์ศิลป์ สุวรรณเภสัช

ที่นี่เอง โกตั๊บได้สร้างวีรกรรมเกเรเอาไว้นับไม่ถ้วน จนกระทั่งเรียนจบ ก็ถูกพ่อซึ่งหลังสงครามมีบทบาทว้างใหญ่มากขึ้นจัดการส่งตัวไปดัดสันดานที่ไต้หวันเพื่อเรียนภาษาจีนตามหลักสูตรของพลพรรคก๊กมินตั๋ง ก่อนส่งไปชุบตัวที่อเมริกา

ที่อเมริกานี้เองเขาได้มีโอกาสคบค้ากับคนไทยที่ปราดเปรื่องหลายคนโดยเฉพาะ พร สิทธิอำนวย และสุธี นพคุณ (อดีตผู้นำนักศึกษาที่หนีภัยเผด็จการไปอยู่ในสหรัฐฯ)

เมื่อบุญชู โรจนเถสียร (ในอดีตเคยเป็นเยาวชนฝ่ายซ้ายที่กลับกลายเป็นนายธนาคารใหญ่สุดของประเทศไทย) ตกลงชักชวน พร สิทธิอำนวย และสุธี นพคุณกลับมาทำธุรกิจในเมืองไทย เพื่อวางแผนเข้าสู่วงการเมืองในพรรคกิจสังคม โกตั๊บก็ติดสอยห้อยตามกลับมาด้วย และได้เข้าทำงานในบริษัทโฆษณาแห่งหนึ่ง ก่อนที่จะถูกณรงค์ เกตทัต ที่เคยรู้จักกันชวนมาทำงานเป็นทีมงานวางแผนประชาสัมพันธ์เลือกตั้งให้น้อยเขยที่ชื่อ ดำรง ลัทธิพิพัฒน์ ซึ่งลงเล่นการเมืองในนามพรรคประชาธิปัตย์

ความสำเร็จของการผลักดันดำรง ลัทธิพิพัมน์เข้าสู่การเมืองแบบประชาธิปไตย ทำให้ ณรงค์ ตัดสินใจมอบงานเป็นบรรณาธิการให้โกตั๊บ เพื่อฟื้นฟูหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตย ที่ซื้อเข้ามา ด้วยเหตุผลที่ปะปนกันทั้งส่วนตัวและการเมือง

ดังที่รู้กันว่า ในยุคปลายของเผด็จการถนอม-ประภาส นั้น สนั่น เกตุทัต พ่อของณรงค์ กับพ่อตาของดำรง ถูกอำนาจเผด็จการโดยณรงค์ กิตติขจรเล่นงานให้ออกราชการกรณีทำไม้ซุงหายที่แม่สอด ดังนั้นจุดยืนของหนังสือพิมพ์ที่โกตั๊บเป็นบรรณาธิการ ต่อต้านถนอม-ประภาสโดยปริยาย



__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ช่วงเวลานั้น โกตั๊บ สวมรอยอำพรางตัวเองแบบพ่ออย่างแนบเนียน ด้วยการระดมทีมงานหนุ่มสาวหัวก้าวหน้าเข้ามาในร่มเงาจำนวนมาก เพื่อให้ตนเองมีภาพลักษณ์หัวก้าวหน้าและรักประชาธิปไตยไปด้วย แต่ความจริงแล้ว เขาได้ใช้เส้นทางดังกล่าว กรุยทางไปสู่การสร้างเส้นสายกับวงการสีกากีอย่างลึกซึ้ง

ประสบการณ์ที่เขาได้รับจากการเป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์คร้งนั้น คือ การเรียนรู้และใช้วิชามารวิชามารในการสร้างความเป็นจริงเทียมซึ่งติดตัวเขามาจนถึงปัจจุบัน

สำหรับโกตั๊บแล้ว สิ่งที่เขาพร่ำสอนกับนักข่าวที่เป็นลูกน้องวงในในเวลาต่อมา ก็คือ สิ่งที่เรียกว่า “ข่าว”นั้นมิใช่การรายงานความเป็นจริงที่เกิดขึ้นเป็นเหตุการณ์ หากแต่เป็นการ “สร้าง”ความเป็นจริงใหม่ขึ้นจากเหตุการณ์ โดยเลือกมุมมองหรือมิติใดมิติหนึ่งมารายงานหรือวิเคราะห์เนื้อหา ซึ่งเท่ากับเปิดชิ่งให้อคติทำงานได้เต็มที่อย่างแนบเนียน

ระหว่างนั้น เขาแต่งงานกับอาจารย์สาวที่มีพื้นเพเป็นจังหวัดตรัง และเป็นญาติห่างๆของนายตำรวจนักฆ่าชื่อดัง สล้าง บุนนาค และใช้วิชาชีพสื่อที่เขาทำ สร้างความสัมพันธ์ส่วนตัวกับคนในแวดวงสีกากีที่แน่นแฟ้นยาวนานมาจนถึงปัจจุบัน และยังเลื่อนเปื้อนกลายเป็นเพลย์บอยนักท่องราตรีชื่อดังของกรุงเทพ

เป็นที่รู้กันดีว่า โกตั๊บนั้น หน้าหม้อ และเป็นโรคแพ้หญิงสวยโดยเฉพาะดารา นักร้อง นางแบบ และ แอร์โฮสเตสมากเพียงใด ชื่อเสียงความเป็นเจ้าบุญทุ่มของเขานั้น อยู่ในระดับหัวแถวมายาวนานจนถึงปัจจุบัน โดยที่ภรรยาตามกฎหมายซึ่งใจกว้างเป็นทะเลอันดามันเอาหูไปนาเอาตาไปไร่

หลัง 14 ตุลาคม โกตั๊บเล่นเกมสองหน้าด้านหนึ่งเป็นคนหัวก้าวหน้า อีกด้านหนึ่งคบหากับตำรวจอย่างลึกซึ้งได้ระยะหนึ่ง จนกระทั่งเมื่อกลุ่มขวาจัดตีโต้กระแสประชาธิปไตยกลับ โกตั๊บก็ถูกบีบจากณรงค์ เกตทัตให้ออกจากงาน ซึ่งก็ทำให้เขาหันไปแอบอิงกับบุญชุ โรจนเสถียร พร สิทธิอำนวย และสุธี ณพคุณ แห่งกลุ่มพีเอสเอ. โดยรับหน้าที่ดูแลแผนกสื่อสิ่งพิมพ์ที่เรียกว่า แอดว้านซ มีเดีย ทำสำนักพิมพ์ที่หวือหวาใหญ่โต และออกหนังสือพิมพ์ภาษีอังกฤษรายวันฉบับใหม่

กิจการของแอดว้านซ มีเดียที่หวือหวาและใช้เงินสิ้นเปลืองเสมือนพิมพ์ธนบัตรใช้เองในการบริหารของโกตั๊บ มีอันต้องซวนเซอย่างรวดเร็ว และขายธุรกิจนี้ออกไปให้กลุ่มอื่น ทำให้โกตั๊บตกสวรรค์มาเหยียบดินครั้งใหม่ ต้องหลบออกมาสร้างนิตยสารของตนเองที่ชื่อ ชีวิตต้องสู้ และ กรุงเทพ 30 ซึ่งสร้างความหวือหวาได้ชั่วครู่ยาม แล้วก็ตกต่ำอีกครั้ง เพราะโกตั๊บมีหนี้สินรุงรัง และไม่ทิ้งนิสัยหน้าหม้อ คั่วดารานักร้องชื่อดังอย่าง จันทนี อุนากูล และภัทราวดี ศรีไตรรัตน์ รวมทั้งคนอื่นๆอย่างเมามัน ไม่เป็นอันทำการทำงาน ปล่อยหนี้ให้คาราคาซังเพราะมั่นใจว่ามีเส้นนายตำรวจใหญ่อย่างสล้าง บุนนาค และแสวง ธีระสวัสดิ์ คุ้มกะลาหัวให้

แล้ววันหนึ่ง ความซวยก็มาเยือน เมื่อเจ๊เจ้าของร้านทำเพลทแห่งหนึ่ง ซึ่งคับแค้นใจที่โกตั๊บไม่ยอมเจรจาจ่ายเงินค่าทำเพลทที่ติดค้างอยู่ประมาณ 3 แสนบาท จัดการพาตำรวจอีกพวกหนึ่งบุกเข้ามาจับกุมตัวโกตั๊บอย่างไม่ทันตั้งตัว ผลลัพธ์คือ โกตั๊บต้องไปนอนในมุ้งสายบัวหลายคืน

ครั้งนั้นเพื่อนเก่าอย่าง วศิน ผู้บริหารคนสำคัญของบริษัทโฆษณาใหญ่ ฟาร์อีส แอดเวอร์ไทซิ่ง ในเครือสหพัฒน์ ต้องมาประกันตัวออกจากมุ้งสายบัว และพาไปซบแทบเท้านายทุนทำหนังสือใหม่ ซึ่งวงการธนาคารและเหล้ารู้จักดีว่ายิ่งใหญ่แค่ไหน เขาคือ โป้ยเสี่ย ไชยทัศน์ เตชะไพบูลย์ น้องชายเสี่ยใหญ่อุเทนแห่งธนาคารศรีนคร ที่คุมสายส่งเหล้าทั่วประเทศของกลุ่มเตชะไพบูลย์

โกตั๊บ กลายเป็น 1 ใน 4 อรหันต์วงการสื่อที่กลายเป็นสุนัขรับใช้โป้ยเสี่ยอย่างซื่อสัตย์มานับแต่นั้นมาอีกหลายปี (อีก 3 คนได้แก่ โกวิท สีตลายัน ระวิ โหลทอง และ’พญาไม้’ เผด็จ ภูรีปฏิภาณ) พร้อมกับมีทุนมาออกสื่อสิ่งพิมพ์ใหม่

คราวนี้ เขาไม่รีรอใช้วิชามารที่สะสมมา งัดข้อมูลเบื้องลึกของพร สิทธิอำนวย และสุธี ณพคุณ เล่นงานกลับสองคนอย่างเมามัน ทำเงินเข้ากระเป๋าส่วนตัวไปอู้ฟุ่และหยุดเขียนดื้อๆเมื่อผลประโยชน์ลงตัว

เช่นกัน เขาใช้สื่อเล่นงานเสี่ยเจริญ ศิริวัฒนภักดีอย่างเมามัน เพื่อช่วยเหลือธุรกิจเหล้าของตระกูลเตชะไพบูลย์ จนได้เงินเข้ากระเป๋าอีกไม่รู้เท่าใด

แม้พฤติกรรมใช้วิชามารเพื่อตบทรัพย์จะเกิดขึ้นตามปกติ แต่โกตั๊บก็ฉลาดกว่าเดิม ปรับปรุงตัวใหม่ต่อภาพของคนภายนอกวงการ วางมาดเป็นนักวิชาการวงการสื่อที่รอบรู้ อาศัยเส้นสายพาตัวเองไปสอนหนังสือตามมหาวิทยาลัยต่างๆโดยมีพี่เลี้ยงเป็นนักวิชาการเซ็งลี้เช่น ทนง พิทยะ ชัยอนันต์ สมุทวณิช สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ และ สมชาย ภคภาควิวัฒน์ คอยช่วยเหลือ จนกระทั่งไปชิดเชื้อกับเกษม จาติกวณิช ล้อบบี้อีสต์ชื่อดังอดีตผู้บริการกฟผ. แล้วพาตัวเองสู่แวดวงของนักล้อบบี้อีสต์ทางธุรกิจการเมือง ที่ตั้งวง ปักหลักที่โรงแรมรีเจนท์ ราชดำริ

อีกด้านหนึ่ง เขาอาศัยจังหวะที่สล้าง บุนนาคชะตาตก ถูกย้ายจากงานปราบปรามและวิสามัญฆาตกรรมที่เคยถนัดมาเป็นผู้บังคับการโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ดึงเอาพรรคพวกนักวิชาการ เข้าไปครอบงำหลักสูตรบางส่วนของโรงเรียนดังกล่าว และสร้างสายสัมพันธ์กับนายตำรวจจำนวนมาก จนกระทั่งเล่นเกมเก้าอี้ดนตรี สามารถชี้นิ้วสั่งโยกย้ายนายตำรวจบางคนที่ใกล้ชิดได้ตามใจชอบ มาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นหนึ่งในความน่าสังเวชของวงการตำรวจไทย

เขาบอกกับใครว่า นิสัยและดวงชะตาของเขา(เขาเป็นโรคคลั่งหมอดูถึงขนาดขาดไม่ได้)เป็นแบบเดียวกับเจงกิสข่าน คือ เป็นนักตีเมือง แต่ไม่ชอบรักษาเมือง ดังนั้น จึงต้องตีเมืองไปเรื่อยๆ

ระหว่างนั้นเอง โกตั๊บ ได้คบหาคุ้นเคยกับนักธุรกิจที่กำลังหมุนเงินเพื่อสร้างธุรกิจโทรคมนาคมชื่อทักษิณ ชินวัตร และกลายเป็นผู้ที่แลกเปลี่ยนเช็คกันเป็นฟ่อนๆ และแลกเปลี่ยนผู้หญิงขึ้นเตียงกันไปมา อย่างถูกคอแบบแบ่งกันกินแบ่งกันเสพ

โกตั๊บได้รู้จักนักปั่นหุ้นชื่อดังในตลาดหุ้นไทย สุเทพ วงศ์วรเศรษฐ์ แห่งกลุ่มศรีมิตร ผู้สร้างชื่อจากบริษัทโนเนม กลาย เป็นบริษัทหัวแถวจากหุ้นราคาไม่ถึง 100 บาทมาเป็นหุ้นราคามากกว่า 1,400 บาท ทำให้โกตั๊บพบช่องรวยทางลัด แต่งตัวปั้นบริษัทเข้าหาเงินจากตลาดหุ้นจากหนี้สินล้นพ้นตัวกลายเป็นมหาเศรษฐีชั่วข้ามคืน

ความสำเร็จครั้งแรกตามมาด้วยครั้งอื่นๆ โกตั๊บปั้นแต่งโรงพิมพ์แห่งใหม่ของเขาเข้าตลาดหุ้นอีก และยังตามมาด้วยเข้าซื้อกิจการที่ปูนซีเมนต์ไทยโละทิ้ง ปั้นเรื่องร่วมกับทักษิณ ชินวัตร หาเงินจากตลาดหุ้น จนร่ำรวยมหาศาลคนละหลายร้อยล้านบาท

ครั้งหลังนี้แหละบันดาลใจให้ทักษิณ แยกตัวไปนำกลุ่มชินเข้าระดมทุน หาเงินใน ตลาดหุ้น และกลายเป็นมหาเศรษฐีแซงหน้าโกตั๊บไม่เห็นฝุ่น พร้อมกับสร้างบริษัทขาย โทรศัพท์มือถือ มาแข่งกับบริษัทของโกตั๊บ เป็นผลให้ทั้งคู่กลายเป็นศัตรูกันอย่างเปิดเผย

ถึงตรงนี้ โกตั๊บทะเยอทะยานไกล เขาฝันจะเป็นรูเพิร์ต เมอร์ด็อกเมืองไทย โดยเกาะและโหมประโคมของโลกาภิวัตน์ พร้อมกับสร้างกลุ่มธุรกิจในนามเอ็มกรุ๊ป ขยายธุรกิจไป ต่างประเทศอย่างมือเติบ

เป้าหมายการสร้างตัวเองเป็นนักธุรกิจระดับอินเตอร์ของโกตั๊บนั้น มีต้นแบบจากการมองเห็นนักธุรกิจในเอเชียโดยเฉพาะในฮ่องกงหลายราย ที่ถนัดการการปั้นบริษัท เพื่อหลอกขายกลุ่มทุนตะวันตกที่สนใจเข้ามาลงในในเอเชีย

การสร้างภาพเป็นรูเพิร์ต เมอร์ด้อกเมืองไทยนั้น แท้ที่จริงแล้ว เป็นแค่มายาภาพที่สร้างขึ้นมาหวังปั้นบริษัทขึ้นหลอกขายกลุ่มทุนหน้าโง่จากตะวันตกเท่านั้น ไม่มีอะไรมากกว่านี้ในกอไผ่

แผนการของเขาจึงเริ่มต้นด้วยการแต่งตัวเป็นกลุ่มลงทุนข้ามชาติที่ช่ำชองในอาเซียน มีการระดมอดีตนักเคลื่อนไหวฝ่ายซ้ายเข้ามาอยู่ในเครือข่าย เพื่อเดินสายใต้โต๊ะเดินงานธุรกิจ อาทิ ธัญญา ชุณชฎาธาร เดินสายเชื่อมกับผู้นำลาว พีระพล ตริยะเกษม เดินสายติดต่อกับผู้นำเวียดนาม และ ไกรวุฒิ สิรินุพงศ์ เดินสายในจีนตอนใต้ เพื่อแสวงหาสัมปทานและช่องทางธุรกิจ

ช่วงนั้น ชื่อของโกตั๊บติดปากสื่อทั่วเอเชีย และที่สำคัญติดปากสาวๆดารา นางแบบ นักร้องทั้งในประเทศ และในฮ่องกงในความเป็นเจ้าบุญทุ่มลากหญิงขึ้นเตียง ซึ่งในจำนวน นั้น รวมทั้ง กง ลี่ ดาราสาวจีนชื่อดัง

โกตั๊บติดพันกงลี่ ถึงขนาดที่ทุ่มเงินเช่าเครื่องบินเหมาลำชาเลนเจอร์ของการบินไทย พากง ลี่บินว่อนไปทั่ว แต่นั่นก็ไม่เพียงพอ เพราะมีเศรษฐีสิงคโปร์ยอมทุ่มเงินหนักว่าคว้าตัว หล่อนไปนอนกกในที่สุด

เพื่อให้ความทะเยอทะยานเป็นนักธุรกิจอินเตอร์ของโกตั๊บรวดเร็วยิ่งขึ้น เขาจองตัว พันศักดิ์ วิญญรัตน์ อดีตประธานที่ปรึกษาบ้านพิษณุโลก เข้ามาเป็นที่ปรึกษาใหญ่ และพันศักดิ์ ก็สนองคุณ ด้วยการแนะให้เอา เฉลิม อยู่บำรุง กลับมาจากการลี้ภัยรสช.ที่ เดนมาร์ก มาปั้นสู่วงการเมืองใหม่ และเมื่อถึงเวลาจะต่อสู้กับ รสช. ซึ่งกำลังนับถอยหลังอย่างรวดเร็วจากอำนาจใน เหตุการณ์พฤษภาคม 2535 พันศักดิ์ ก็อยู่เบื้องหลังการต่อสู้ ในหลายเรื่อง จนกระทั่งรสช.พ่ายแพ้ไป

ความจริงข้อนี้ โกตั๊บ ไม่เคยบอกให้โลกรู้ ฉวยเอาเป็นคุณูปการแต่ลำพังของตนเอง ทั้งที่ความจริงแล้ว โกตั๊บนี่แหละ เผ่นหนีก่อนใครไปตั้งหลักที่อังกฤษ ก่อนวันที่ 17 พฤษภาคม อันเป็น วันสำคัญในการต่อสู้ ทิ้งให้พนักงานจัดการปัญหาตามลำพัง โดยโกตั๊บได้ แต่โทรศัพท์ทางไกลมาถามอย่างขี้ขลาด และมักจะจบด้วยคำพูดว่า “ขอให้สู้ต่อไป ไม่ต้องห่วง พี่อยู่ทางนี้เอาใจช่วยเสมอ”

เมื่อรสช.พ่ายแพ้ และประชาธิปไตยกลับคืนมา โกตั๊บกลับเมืองไทยวางแผนใหญ่กว่าเดิม โดดเข้าสนับสนันทางการเงินแก่ทั้งเฉลิม อยู่บำรุง และจำลอง ศรีเมือง ในการ เลือกตั้งทั่วไป เพื่อหวังกลายเป็นนักเชิดหุ่นทางการเมือง

แม้จะมุ่งหวังสร้างอำนาจการเมือง แต่โกตั๊บก็ไม่ลืมวิชามารใหม่ ทำตัวเป็นวิศวกรรมการเงินทุนรอบใหม่ ปั้นแต่งบริษัทใหม่ร่วมกับสุพจน์พงศ์ วิไลพันธ์ นัก อุตสาหกรรมแปรรูป ไม้ยาง พาราจากหาดใหญ่ หาเงินหลายร้อยล้านจากตลาดหุ้นอีก แต่เมื่อสุพจน์พงศ์ร่ำรวย ขึ้นมา ก็ตีจากไปเป็นนายทุนพรรคประชาธิปัตย์โดยผ่านทาง สุเทพ เทือกสุบรรณ ทำให้ โกตั๊บ ตัดขาดจากสุพจน์พงศ์

เป้าหมายต่อไปของโกตั๊บ อยู่ที่การสกัดกั้นการเข้าสู่การเมืองของทักษิณ ชินวัตรซึ่งยาม นั้นกำลังเจรจาซื้อพรรคการเมือง แต่มาได้ของฟรีเมื่อจำลอง ศรีเมือง ยกพรรคพลังธรรมให้

โกตั๊บเลยต้องหาทางใหม่ จับมือกับบุญชัย เบญจรงคกุล แห่งกลุ่มยูคอม หวังล้อมกรอบทักษิณ โดยให้สื่อในเครือสร้างภาพให้บุญชัยเป็นดาวเด่นวงการโทรคมนาคมเหนือทักษิณทั้งที่ไม่เคยเป็นจริง แล้วก็เจรจาขอส่วนแบ่งสัมปทานบริหารเครือข่ายโทรศัพท์มือถือจากบุญชัย

การขยายอาณาจักรอย่างยิ่งใหญ่ในนามเอ็มกรุ๊ป ไปแบบปลาหมึกยักษ์ของโกตั๊บ ด้วยแผน “3 ขา” (ปั้นบริษัทเข้าตลาดหุ้นในประเทศ ปั้นบริษัทต่างประเทศขายนักลงทุนตะวันตก และเชิดหุ่นการเ”มืองในประเทศ) เกือบจะสำเร็จ แต่ “คนบัญชา มิสู้ฟ้าลิขิต” เมื่อฟองสบู่เศรษฐกิจไทยแตกครั้งใหญ่ จนเกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง ต้องลอยตัวค่าเงินบาท แผนโกตั๊บที่จะปั้นบริษัทหลอกขายทุนตะวันตกกลายเป็นอากาศธาตุในฉับพลัน และตัวเขาเองกลับกลายจากเศรษฐีมีเงินสดเหลือเฟือ กลายเป็นคนมีหนี้สินล้นพ้นตัวอีกครั้ง

วิกฤตครั้งนั้น ทำให้เขากลับมาสู่จุดเดิมอีกครั้ง ต้องหนีไปบวชกับหลวงตาบัว ระยะหนึ่ง ก่อนจะกลับซมซานไปขอความ ช่วยเหลือจากธารินทร์ นินมานเหมินทร์ พี่ชายของ เพื่อนเก่า ศิรินทร์ ให้ช่วยเจรจาเรื่องหนี้สินที่ติดค้างเป็นเอ็นพีแอล กับเจ้าหนี้นับสิบๆราย แต่ไม่สำเร็จ

เขาระบายความโกรธ ด้วยการใช้นามปากกาเขียนและพูดเล่นงานธารินทร์จนงอมพระรามด้วยข้อเท็จจริงที่เล่าไม่หมดผสมกับข้อเท็จจริงที่ประดิษฐ์ขึ้นมาด้วยตรรกะตามสูตรโฆษณาชวนเชื่อและโกหกคำโต ขณะเดียวกันก็หาทางเอาตัวรอด อาศัยช่องโหว่ของกฎหมายล้มละลาย ล้มตัวเอง ไม่ชำระเงินเพียงแค่ 300 ล้านบาท โดยอ้างว่า “ผมวิจารณ์ธารินทร์มากในเรื่อง ปรส. โกรธผมไม่มีดี เอาตรงนี้มาบีบผม มาฟ้องให้ผมคลานเข้าไปหาเขา ให้ธนาคารมาบีบ” ทั้งที่รู้กันดีว่า จริงแล้วโกตั๊บวางแผนต้องการล้มบนฟูก เพราะเขายังมีเงินสดซ่อนไว้ในธุรกิจหลายแห่งที่ จีนนับพันล้านบาท

การล้มละลายครั้งนั้น นอกจากทำให้เขาลอยตัวจากความรับผิดชอบใดๆแล้วยังทำ ให้เขา พบช่องทางใหม่ในการทำสื่อให้ทรงพลังมากขึ้น นั่นคือ หันมาเล่น เกมขู่กรรโชกนักการเมือง โดยใช้รูปแบบการเมืองวัฒนธรรม ซึ่งสุนัขรับใช้ที่เขา เคยเขี่ยทิ้งมาก่อนอย่างคำนูณ สิทธิสมานที่ ซมซานกลับมาสยบแบบสิ้นท่า มีความถนัดเป็นพิเศษ ช่วยยกระดับจาก”โกหกเพื่อตบทรัพย์ ”เป็น”โกหกเพื่อชาติ”

ถึงเวลานี้ โกตั๊บ ได้บทเรียนครั้งใหม่แล้วว่า การยุ่งกับเมืองวัฒนธรรมแบบไทยให้ปลอดภัยที่สุดนั้น ต้องแอบอิงคุณธรรม สถาบันสูงสุด และชายผ้าเหลืองเป็นเครื่องมือแห่งอำนาจอย่าได้ขาด และเขารู้ดีอีกว่า การยืนอย่างหมิ่นเหม่กับแง่มุมของกฎหมายนั้น ทำให้มวลชนที่หวาดกลัวอำนาจ ชื่นชมความบ้าบิ่นแบบขุนแผนและอิเหนาได้มากเพียงใด

เมื่อทักษิณขึ้นสู่อำนาจในระยะแรก โกตั๊บและเพื่อนพ้อง ยกโขยงเดินหน้าเข้ารับใช้ทักษิณอย่างสุดลิ่ม โกตั๊บเองประกาศตัวเป็นองครักษ์พิทักษ์แม้วตัวจริงเปิดเผย โดยบอกว่า ทักษิณ ชินวัตรนั้น เป็นนายกรัฐมนตรีที่ดีที่สุดที่ประเทศไทยเคยมีมา

สิ่งที่โกตั๊บได้รับกลับคืนจากการรับใช้ทักษิณคือ ผลประโยชน์ที่ต่อรองมาได้ เช่น

1) รายได้จากค่าโฆษณาที่รัฐวิสาหกิจเกือบทั้งหมดในกระทรวงการคลัง และกระทรวงคมนาคม ทยอยเข้าคิวทำสัญญาซื้อพื้นที่และเวลาโฆษณาในเครือข่ายสื่อของโกตั๊บ เป็นเงินรวมกันหลายร้อยล้านบาทต่อปี ซึ่งเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง เมื่อครั้งเป็น สว. และนักการเมืองพรรคประชาธิปัตย์เคยยกขึ้นมาจับผิดมาแล้ว

2) ขยายอิทธิพลเข้าไปแย่งเวลาจัดรายการทางโทรทัศน์และวิทยุหลายแห่ง โดยเฉพาะเครือ อสมท. และ 11 News 1

3) ใช้อิทธิพลทางการเมืองต่อรองลดหนี้ รัฐบาลทักษิณช่วยลดหนี้ของกลุ่มผู้จัดการจาก 7 พันล้านบาท เหลือแค่ไม่ถึง 1 พันล้านบาท โดยเฉพาะหนี้กับธนาคารกรุงไทยนั้น วิโรจน์ นวลแขลดให้จาก 1.4 พันล้านบาทเหลือแค่ 260 ล้านบาท

ช่วงเวลาทองนี้ โกตั๊บจ้องหาผลประโยชน์กันอย่างมูมมาม ที่ทำงานของเขา กลายเป็นสถานที่จัดแบ่งผลประโยชน์จากหัวคิวและค่าเช่าส่วนเกินทางเศรษฐกิจ และทำให้โกตั๊บกลับมาเป็นเจ้าบุญทุ่มฟาดดารานักร้องตามถนัดได้อีกรอบหนึ่ง โดยมีนายหน้าเจ้าเก่า แม่ช้อย นางรำ หรือ สันติ เศวตวิมล หรือ ซ้อเจ็ด เป็นคนกลาง

ความยิ่งใหญ่ของโกตั๊บต่อรัฐบาลทักษิณ ทำให้เสี่ยใหญ่ที่จนตรอกอย่างประชัย เลี่ยวไพรัตน์เพราะถูกยึดกิจการปิโตรเคมีไป ต้องเข้ามาสวามิภักดิ์เพื่อให้โกตั๊บช่วยเหลือ ซึ่งโกตั๊บก็งับเหยื่อที่อ้วนพีอย่างชาญฉลาด ทำให้ประชัยต้องจ่ายเงินสนับสนุนโทรทัศน์ดิจิตอลของโกตั๊บเดือนละกว่า 10 ล้านบาท

ไม่นับตำรวจอีกนับไม่ถ้วนที่เวียนเทียนกันมาสยบเพื่อให้เขาใช้เส้นสายฝากฝังตำแหน่งต่างๆให้ตามปกติ

อาจจะเป็นเพราะเสี่ยประชัยนี้เอง ทำให้ความยิ่งใหญ่ครั้งใหม่ของโกตั๊บสะดุดหยุดลง เพราะทักษิณชักเริ่มหวาดระแวงพฤติกรรมของโกตั๊บมากขึ้น

ผลลัพธ์คือ แผนงานเรื่องช่อง 11 News 1 ถูกขัดขวาง และ ปตท. ซึ่งมีข้อตกลงซื้อโฆษณา 60 ล้านบาท(หลังจากเคยซื้อมาแล้ว 55 ล้านบาท) ถอนการสนับสนุนทางการเงิน ทำให้โกตั๊บมองว่า ถูกทักษิณหักหลัง จึงกลับท่าทีใหม่จากรับใช้ มาเป็นการประกาศศึกอย่างเปิดเผย เล่นเกม”ตายเป็นตาย”กับทักษิณ พร้อมกับประกาศว่า ทักษิณคือผลพวงของความน่าขยะแขยงของสังคมไทย โดยประเมินสถานการณ์จังหวะที่สังคมชนชั้นกลางในกรุงเทพและอมาตยาธิปัตย์กำลังเริ่มหวาดกลัวความยิ่งใหญ่ของพลังมวลชนเบื้องหลังอำนาจของทักษิณรุนแรงขึ้น เดินหน้าสร้างตัวเป็นวีรชนแบบเดียวกับกรณีพฤษภาคม 2535 อีกครั้ง ด้วยการหันมาโจมตีนโยบายทักษิณ โจมตีโลกาภิวัตน์ โจมตีนโยบายเสรีนิยมทางเศรษฐกิจ โจมตีการแปรรูปรัฐวิสาหกิจอย่างปตท. และโจมตีนักการเมืองจากการเลือกตั้ง โดยอ้างเหตุผลแบบองคุลีมาลว่า “สมัยก่อนผมเชียร์เขา ผมโง่ไปแล้วผมหลงผิดไป แต่ผมไม่ผิด เพราะผม เคยเชียร์ใครแล้วต้องเชียร์ไปตลอดชีวิตหรือ ถ้าคนหนึ่ง เป็นเพื่อนที่ผมรักมาก แล้วมาทำลายชาติ ทำลายแผ่นดิน ผมก็ไม่รักได้”

จากนั้น อย่างที่รู้กัน โกตั๊บอาศัยการนำเสนอข้อมูลด้านเดียวของข่าวสารชนิดที่ฉีกตำราวารสารศาสตร์ทุกสำนัก แต่ไปเข้าข่ายตำราโฆษณาชวนเชื่อ สร้างภาพตนเองในฐานะ แจ๊คผู้อาสาปราบยักษ์ เชื่อมโยงสร้างพันธมิตร 3 ประสานขึ้นมาได้สำเร็จ นั่นคือ ใช้สื่อในมือสร้างประเด็น -พันธมิตร/มวลชนสร้างกระแส – ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญสนับสนุนเบื้องหลัง เพื่อเป้าหมายโค่นล้มทักษิณจนตกจากอำนาจ

เมื่อทักษิณตกจากอำนาจ โกตั๊บก็ไม่รีรอกระโจนร่วมมือกับเผด็จการทหาร เร่งเข้ากอบโกยผลพวงของอำนาจอย่างละโมบมูมมามในช่วงรัฐบาลขิงแก่ (โดยเฉพาะผลประโยชน์จากการย้ายบางส่วนของสนามบินสุวรรณภูมิมาที่ดอนเมือง เป็นเงินหลายร้อยล้านบาทในแต่ละปี และผลประโยชน์กับการจัดซื้อพิเศษของบริษัททีโอที จำกัด(มหาชน) หรือ องค์การโทรศัพท์เดิม แต่ในที่สุด ความไร้สมรรถนะของเผด็จการ ทำให้”ผีทักษิณ”สามารถฟื้นกลับมาหลอกหลอนโกตั๊บและพวกครั้งใหม่

วันนี้ เมื่อประชาธิปไตยกลับคืนมา โกตั๊บที่ฐานะการเงินร่อยหรอลง เพราะคนรู้ทันพฤติกรรมโกหกเพื่อชาติมากขึ้น จึงต้องดิ้นรนออกมาใช้วิชามารครั้งใหม่ ด้วยการสร้างประเด็นให้สังคมแบ่งออกเป็นสองขั้ว ตอกลิ่มสร้างอาณาจักรแห่งความกลัวขึ้นมาโดยข้ออ้างสู้กับ “ผีทักษิณ” รอบใหม่

การกระทำเช่นนี้ ลิ้ม โกตั๊บ หวังลมๆแล้งๆว่า คนไทยที่เคยรักประชาธิปไตยนั้นโง และขี้ขลาดมากพอที่จะยอมให้พวกเขาโกหกคำโต และประดิษฐ์ข้อมูลเทียมอันต่ำช้าสามานย์ชี้นำสังคมไทย ต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด เหมือนอย่างที่เคยทำสำเร็จมาแล้วหลายครั้งต่อไป

ความจริงจะเป็นอย่างที่โกตั๊บคาดหวังหรือไม่ เราคงจะได้รู้กันในไม่ช้า






__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

ที่สุดของพันเอกหญิง ครูร.ร.เตรียมทหาร:ภูมิใจที่สุดศิษย์เก่าทักษิณ ผิดหวังที่สุด"ติ๋มๆ"ประยุทธ์เหล่


อดีตอาจารย์โรงเรียนเตรียมทหาร พันเอกหญิง อัจฉรา (สงวนนามสกุล) ย้อนรำลึกกล่าวถึงลูกศิษย์ที่รักมากคนหนึ่งคือ ดร.ทักษิณ ชินวัตร และอวยพรให้ศิษย์คนนี้ด้วยความรักในโอกาสวันเกิด



Go6tv มีโอกาสร่วมงานฉลองวันเกิด ดร.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อค่ำวันที่ ๒๖ กรกฏาคมที่ผ่านมา ได้รับเกียรติสนทนากับอดีตอาจารย์โรงเรียนเตรียมทหาร ท่านเป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษให้ นรต.ทักษิณ ชินวัตรเมื่อเกือบห้าสิบปีที่แล้ว ท่านย้อนความคิดให้เราฟังว่า

“ดิฉันเป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษที่โรงเรียนเตรียมทหาร เกษียณมาได้ ๑๗ ปีแล้ว ดิฉันมีลูกศิษย์ที่ดีทีสุด”

ดิฉันมีโอกาสสอนโรงเรียนเตรียมทหารตั้งแต่รุ่นแรกๆ ทักษิณนี่รุ่น ๑๐ ดิฉันจำได้ว่าเขาไม่ใช่เด็กเกเรนะ แต่ก็ไม่ใช่เด็กก้มหน้าเรียนอย่างเดียว แต่เห็นชัดว่า เขาตั้งใจมากๆในการเรียน เขาจะเป็นผู้นำของรุ่น ดิฉันดีใจที่มีโอกาสสอนเขา และเห็นแววของเขาว่าคนนี้เป็นคนดี เอื้อเฟื้อเพื่อนฝูง แต่ก็รู้ว่าตอนนั้นเขาไม่ได้เลือกทหารนะ เขาเลือกตำรวจ"



ถามดิฉันว่ารู้สึกเรื่องทหารอย่างไรเหรอ (อืม...) ที่บอกว่าไม่โกงกินนะดิฉันไม่เชื่อ ดิฉันก็เป็นทหารรับราชการจนเกษียณ อย่างประยุทธ์ (ผบ.ทบ.) สมัยเรียนเขาติ๋มๆนะ (ฮาาา) แต่ไม่รู้นะว่าทำไมเขาคิดอยากเป็น ผบ.ทบ. แต่ผิดหวังกับศิษย์คนนี้มากที่สุด

ดิฉันรักทักษิณ รักลูกศิษย์คนนี้มาก อยากรู้นะเขาจะจำครูคนนี้ของเขาได้ไหม (น้ำตาคลอ) ดิฉันขออวยพรให้มีโอกาสกลับมาประเทศไทยในเร็ววันค่ะ"



ที่มา

http://www.fsurf.com/browse.php?u=Oi8vdGhhaWVuZXdzLmJsb2dzcG90LmNvbS8yMDExLzA3L2Jsb2ctcG9zdF8zODEwLmh0bWw%3D&b=13



__________________
Anonymous

Date:
Permalink   
 

Royal jet released
Published: 20/07/2011 at 07:27 PM
Online news: Local News






A German court ordered Wednesday the release of the impounded jet belonging to HRH Crown Prince Maha Vajiralongkorn.

The court demanded a hefty bank guarantee which allows the end of the episode.

The Boeing 737 was seized at Munich airport in southern Germany last week when a judge ordered it be sealed at the demand of a lawyer for an insolvent German construction firm which has long been demanding money from the Thai government over the construction of the Don Muang Tollway.

A court in nearby Landshut said Wednesday it had received an assurance under oath from the director-general of Thailand's Department of Civil Aviation that the plane belonged to the prince, not the Thai state, based on a 2007 registration certificate.

The vice president of the court, Christoph Fellner, said however that since these documents provided only a "presumption of ownership," 20 million euros ($28.2 million, 848 million baht) had to be deposited in the form of a bank guarantee.

"No guarantee means no take-off," he said. "If everything goes well ... and we establish that the aircraft really belongs to (His Royal Highness), than he will get the bank guarantee back."

The guarantee was set at that level because that was estimated to be the value of the plane, which the court recognised is often piloted by the Crown Prince himself, said Mr Fellner.


__________________
Page 1 of 1  sorted by
 
Quick Reply

Please log in to post quick replies.



Create your own FREE Forum
Report Abuse
Powered by ActiveBoard