UN แนะเก็บภาษี "เศรษฐีพันล้าน" ระดมเงินช่วยประเทศยากจน
องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เรียกร้องให้มีการเก็บภาษีจากบรรดามหาเศรษฐีพันล้านทั่วโลก เพื่อระดมทุนให้ได้กว่า 400,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อปี สำหรับช่วยเหลือประเทศที่ยากจน วานนี้(5) แผนเก็บภาษีจากกลุ่มคนร่ำรวยที่สุดของโลกเป็นเพียงหนึ่งในมาตรการ อื่นๆ เช่น การเก็บภาษีคาร์บอน, ภาษีแลกเปลี่ยนเงินตรา และภาษีธุรกรรมการเงิน ที่ถูกเสนอผ่านผลสำรวจเศรษฐกิจและสังคมโลกประจำปีของยูเอ็น (World Economic and Social Survey) ซึ่งกล่าวหาว่า ประเทศร่ำรวยกำลังผิดคำมั่นสัญญาที่ว่าจะมอบความช่วยเหลือแก่ประเทศที่ยากจน มากยิ่งขึ้น รายงานฉบับนี้ประเมินว่า มหาเศรษฐีที่มีทรัพย์สินเกินกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯขึ้นไป เพิ่มจำนวนเป็น 1,226 คนทั่วโลก ในปี 2012 ในจำนวนดังกล่าว เป็นมหาเศรษฐีในสหรัฐฯ 425 คน, เอเชีย-แปซิฟิก 315 คน, ยุโรป 310 คน, ประเทศอื่นๆในอเมริกาเหนือและใต้ 90 คน และอีก 86 คนในแอฟริกาและตะวันออกกลาง บุคคลกลุ่มนี้มีมูลค่าทรัพย์สินรวมกันถึง 4.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ดังนั้นหากเก็บภาษีพวกเขาคนละ 1 เปอร์เซ็นต์ ก็จะได้เงินมากกว่า 46,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ รายงานระบุ "มันจะทำให้พวกเขาเดือดร้อนหรือ" ยูเอ็น ตั้งคำถาม "โดยเฉลี่ยแล้ว มหาเศรษฐีเหล่านี้จะยังมีทรัพย์สินถึงคนละ 3,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯหลังจากจ่ายภาษี หากเขาใช้จ่ายวันละ 1,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ จะสามารถอยู่ได้นานกว่า 10,000 ปีกว่าจะใช้เงินหมด" ยูเอ็น รายงานว่า ทรัพย์สินของมหาเศรษฐีพันล้านเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 4 เปอร์เซ็นต์ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ก่อนจะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลกในปี 2008-2009
"หากทรัพย์สินของพวกเขายังคงเพิ่มขึ้นในอัตราเดิมโดยไม่มีการเก็บ ภาษี เศรษฐีเหล่านี้จะมีทรัพย์สินเป็น 2 เท่าในอีกไม่ถึง 18 ปีข้างหน้า" รายงานของยูเอ็น ระบุ แนวคิดเช่นนี้คงจะเป็นที่พอใจของเศรษฐีประเภทเดียวกับ วอร์เรน บัฟเฟ็ตต์ ซึ่งโอดครวญว่าตนจ่ายภาษีในอัตราต่ำกว่าเลขานุการเสียอีก รวมถึงรัฐบาลพรรคโซเชียลลิสต์ฝรั่งเศสที่ขู่จะเก็บภาษี 75% สำหรับคนที่มีรายได้เกินกว่า 1 ล้านยูโร อย่างไรก็ดี ยูเอ็น ยอมรับว่า มาตรการเช่นนี้ยากที่จะได้รับความเห็นชอบจากกลุ่มเป้าหมาย "คนส่วนใหญ่ยังไม่มองว่า นี่เป็นวิธีระดมทุนเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศ" รายงานเผย สำหรับมาตรการอื่นๆที่ถูกเสนอในรายงานของ ยูเอ็น ประกอบด้วย - การเก็บภาษี 25 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อการปลดปล่อยคาร์บอน 1 ตัน ซึ่งจะระดมทุนได้ราวๆ 250,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยจะเก็บผ่านรัฐบาลของประเทศต่างๆ และจัดสรรเข้ากองทุนความร่วมมือระหว่างประเทศ - การเก็บภาษี 0.005% สำหรับการทำธุรกรรมผ่านสกุลเงินดอลลาร์, เยน, ยูโร และปอนด์สเตอลิง ซึ่งจะช่วยระดมเงินได้ถึง 40,000 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อปี - ดึงเงินบางส่วนจากภาษีธุรกรรมการเงินในยุโรป ซึ่งคาดว่าจะสูงถึง 70,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อปี รายงานยังเสนอให้ปรับขึ้นภาษีตั๋วเครื่องบินซึ่งหลายๆประเทศเรียก เก็บอยู่แล้ว เพื่อนำเงินไปสนับสนุนยารักษาโรคในประเทศยากจนผ่านทางองค์การ UNITAID ซึ่งที่ผ่านมาองค์กรดังกล่าวได้รับเงินสนับสนุนแล้ว 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นับตั้งแต่เริ่มเก็บภาษีชนิดนี้ในปี 2006 รัฐบาลฝรั่งเศสเก็บภาษี 1 ยูโรสำหรับผู้เดินทางด้วยเที่ยวบินชั้นประหยัดในประเทศ และ 6 ยูโรสำหรับเที่ยวบินระหว่างประเทศ ส่วนเที่ยวบินชั้นธุรกิจในประเทศและระหว่างประเทศจะถูกเก็บภาษี 10 และ 40 ยูโรตามลำดับ ซึ่งอุตสาหกรรมการบินต่างก็คัดค้านไม่ให้มีการขึ้นภาษีประเภทนี้อีก โดยอ้างว่าพวกเขาต้องจ่ายมากพอแล้ว ผู้เชี่ยวชาญของยูเอ็นชี้ว่า การเก็บภาษีลักษณะนี้ถือว่า "มีเหตุผลในเชิงเศรษฐกิจ" เพราะจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจสีเขียว (green economy) และบรรเทาความผันผวนของตลาดการเงินได้
UN ເວົ້າແບບນີ້ ຄືສິຖືກໃຈ ພັກລັດ ສປປລາວ ຫລາຍເນາະ
ລໍຖ້າເອົາເງີນ ເສດຖີພວກນີ້ ມາສ້າງສາປະເທດຊາດ