พี่ใหญ่ใจดี! “โอบามา” เตรียมมอบเงินช่วยพัฒนา “พม่า” $170 ล้าน
ประธานาธิบดี บารัค โอบามา แห่งสหรัฐฯ จะประกาศมอบเงินช่วยเหลือจำนวน 170 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 5,220 ล้านบาท) แก่พม่า เนื่องในโอกาสเดินทางเยือนอย่างเป็นทางการในวันนี้(19) หลังจากที่พม่าปฏิรูปการเมืองในประเทศครั้งใหญ่จนสามารถหลุดพ้นจากระบอบ เผด็จการทหารที่ปิดกั้นประชาธิปไตยมาหลายสิบปี การมอบทุนช่วยเหลือของ โอบามา จะมีขึ้นพร้อมกับการเปิดตัวองค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ (USAID) ในพม่า ซึ่งถูกระงับไปในช่วงที่รัฐบาลทหารคณะปฏิวัติปิดกั้นขบวนการประชาธิปไตยทุก รูปแบบ เงินทุนช่วยเหลือสำหรับระยะเวลา 2 ปีจะใช้สนับสนุนโครงการประชาสังคมต่างๆเพื่อสร้างสถาบันประชาธิปไตยและปรับ ปรุงระบบการศึกษา ระหว่างที่พม่าวางรากฐานการเมืองให้สอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้ จริง เจ้าหน้าที่อาวุโสคนหนึ่ง เปิดเผยว่า “ภารกิจ USAID ถือเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า สหรัฐฯกลับมามีปฏิสัมพันธ์กับพม่าดังเดิมแล้ว” “เงินทุนช่วยเหลือนี้คือรางวัลที่เรามอบแก่รัฐบาลและประชาชนชาวพม่า สำหรับแนวทางที่ดีที่พวกเขาเลือก เพราะเราปรารถนาที่จะเห็นการปฏิรูปจากระดับบนสุดส่งผลถึงประชาชนระดับล่าง สุดในสังคมพม่าด้วย” เจ้าหน้าที่ย้ำว่า เงินช่วยเหลือ 170 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯซึ่งครอบคลุมปีงบประมาณ 2012-2013 เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของภารกิจระยะยาวในพม่าเท่านั้น และสหรัฐฯจะมอบเงินช่วยเหลืองวดต่อๆไปหรือไม่ขึ้นอยู่กับความคืบหน้าในการ ปฏิรูปการเมืองพม่า โอบามา ซึ่งจะไปเยือนนครย่างกุ้งในวันนี้(19) เพื่อให้กำลังใจและผลักดันการปฏิรูปประเทศของประธานาธิบดี เต็ง เส่ง นับเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯในตำแหน่งคนแรกที่เดินทางเหยียบแผ่นดินเมืองหม่อง โอบามา จะได้เข้าพบกับนาง อองซาน ซูจี ผู้นำฝ่ายค้านพม่า ที่บ้านพักริมทะเลสาบอินยาซึ่งเป็นสถานที่ที่เธอถูกกักขังมานานนับสิบปี และจะกล่าวสุนทรพจน์ที่มหาวิทยาลัยย่างกุ้งซึ่งเป็นจุดกำเนิดของขบวนการนัก ศึกษาในพม่า ต้นปีที่ผ่านมา วอชิงตันประกาศจะฟื้นภารกิจช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในพม่าอีกครั้ง หลังจากที่ระงับไปนานกว่า 2 ทศวรรษ อย่างไรก็ตาม ตลอด 12 ปีที่ผ่านมาสหรัฐฯก็ยังให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมกับพม่าในรูปแบบที่ไม่ เป็นทางการ เช่น เมื่อครั้งพายุไซโคลนนาร์กีสพัดถล่มพม่า จนมีประชาชนเสียชีวิตและสูญหายไปราว 138,000 คน ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกเปิดเผยว่า รัฐบาลพม่าใช้จ่ายงบประมาณเพื่อการสาธารณสุขในประเทศเพียงร้อยละ 0.9 ในปี 2007 ซึ่งถือว่าต่ำกว่าประเทศใดๆในโลกขณะนั้น