สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 3 มิ.ย. ว่า รัฐบาลลาวออกมายืนยันอย่างเป็นทางการ ผู้ลี้ภัยชาวเกาหลีเหนือ 9 คน ที่ถูกจับกุมได้เมื่อต้นเดือนพ.ค. เดินทางกลับถึงภูมิลำเนาแล้ว ขณะที่เกาหลีใต้เรียกร้องเปียงยางออกมายืนยันความปลอดภัยของผู้ลี้ภัยกลุ่ม นี้
แถลงการณ์ของกระทรวงต่างประเทศลาวระบุ ผู้อพยพทั้ง 9 คน ซึ่งได้รับการยืนยันแล้วว่า มีอายุระหว่าง 14-18 ปี และเป็นเด็กกำพร้าทั้งหมด ถูกจับกุมฐานหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ได้ที่แขวงอุดมไชย ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ เมื่อวันที่ 10 พ.ค. ซึ่งทางการเวียงจันทน์ได้ดำเนินเรื่องเพื่อส่งตัวผู้ลี้ภัยเหล่านี้ผ่านทาง จีน เพื่อกลับเกาหลีเหนือซึ่งเป็นภูมิลำเนาเดิม และทั้งหมดเดินทางกลับถึงกรุงเปียงยางแล้วเมื่อวันที่ 28 พ.ค.
นอกจากนี้ รัฐบาลลาวยังเผยผลการจับกุมชาวเกาหลีใต้อีก 2 คน ซึ่งต้องสงสัยพัวพันการค้ามนุษย์ และได้ส่งตัวบุคคลทั้ง 2 ให้แก่สถานเอกอัครราชทูตเกาหลีใต้ประจำกรุงเวียงจันทน์ เพื่อดำเนินการขั้นต่อไปแล้ว
เรื่องราวที่เกิดขึ้นนอกจากจะสร้างวิตกกังวลในระดับนานาชาติ เกี่ยวกับสถานภาพของกลุ่มผู้อพยพเหล่านี้ ที่มีแนวโน้มสูงจะต้องรับโทษด้วยการใช้แรงงานหนักภายในค่ายกักกันตลอดชีวิต ชาวเกาหลีใต้จำนวนไม่น้อยต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเช่น กัน โดยโยงไปถึงการทำงานของรัฐบาล ว่า “ผิดพลาด” ในการแสดงความมีมนุษยธรรม ที่จะให้ความช่วยเหลือผู้ที่มีเชื้อชาติเดียวกัน แม้จะอยู่กันคนละประเทศก็ตาม
ประธานาธิบดีปาร์ค กึน-เฮ ผู้นำหญิงเกาหลีใต้ แถลงระหว่างการกระชุมคณะรัฐมนตรีประจำสัปดาห์ เรียกร้องให้ฝั่งเหนือแสดงเจตนาบริสุทธิ์ต่อชาวโลก ด้วยการออกมายืนยันว่า ผู้อพยพทั้ง 9 คนยังปลอดภัยดี และไม่ได้รับการลงโทษอย่าง “ไม่เป็นธรรม”
ทั้งนี้ มาตรการตรวจคนเข้าเมือง และการเดินทางข้ามพรมแดนของเกาหลีเหนือ เข้มงวดมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่านับตั้งแต่นายคิม จอง-อึน ขึ้นครองอำนาจเป็นผู้นำสูงสุด สืบต่อจากนายคิม จอง-อิล ผู้เป็นบิดา ซึ่งถึงแก่อสัญกรรมเมื่อเดือนธ.ค. 2554 นัยว่าเพื่อเพิ่มความยากลำบากให้แก่ผู้ที่ต้องการหลบหนีออกนอกประเทศมากขึ้น ซึ่งดูเหมือนจะได้ผลเป็นอย่างดี เนื่องจากรายงานของรัฐบาลโซลระบุว่า จำนวนผู้อพยพจากฝั่งเหนือที่สามารถข้ามพรมแดนมายังฝั่งใต้ได้ ลดลงถึง 40% เหลือเพียง 1,508 คนเท่านั้นเมื่อปีที่แล้ว