เรือลาดตระเวนคาวเพ็นส์ (USS Cowpens) จำต้องแล่นถอยออกมาเพื่อเลี่ยงการเฉี่ยวชนกับเรือรบจีนที่แล่นพุ่งตรงเข้ามา ในระยะประจัญหน้าและหยุดลงในระยะที่น้อยกว่า 500 หลา รายงานจากแหล่งข่าวกองทัพเรือสหรัฐฯ และกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ “การประจันหน้าครั้งนี้เกิดขึ้นในน่านน้ำสากลที่อยู่ในแถบทะเลจีนใต้ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม” แหล่งข่าวจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯเผยต่อในอีเมล “และในท้ายที่สุด จากผลสำเร็จที่ต่อสายตรงคุยกันระหว่างเจ้าหน้าที่บนเรือรบสหรัฐฯและเรือรบ ของจีนทำให้เรือรบของทั้ง 2 ชาติมหาอำนาจสามารถตกลงกันได้ในการถอยหลังออกมาเพื่อเลี่ยงการปะทะ” แหล่งข่าวเผยต่อ โดยเจ้าหน้าที่สหรัฐฯกล่าวต่อไปว่า เรือลาดตระเวนคาวเพ็นส์ได้เข้าไปอยู่ในระยะของเรือบรรทุกเครื่องบินลำแรกของ จีนที่ชื่อ “เหลียวหนิง” (Liaoning) ซึ่งถึงแม้จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นในการเผชิญหน้าครั้งนี้แต่ก็ได้สร้างแรงกดดัน ให้กับทั้งสหรัฐฯและจีน ที่เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากหลังจากทางกรุงปักกิ่งได้ประกาศเขตป้องกันภัยทาง อากาศ ในเดือนที่ผ่านมาที่ครอบคลุมทะเลจีนตะวันออก ซึ่งการประจันหน้าจนเกือบจะกลายเป็นการปะทะเกิดขึ้นในในเขต ยุทธศาสตร์ทะเลจีนใต้ที่รัฐบาลจีนได้มีนโยบายที่แข็งกร้าวในความพยายามที่จะ ควบคุมพื้นที่พิพาทกับประเทศเอเชียอื่นๆ ในแถบนี้โดยส่งเรือรบเหลียวหนิงลาดตระเวน ในขณะที่สหรัฐฯได้ส่งเรือลาดตระเวนคาวเพ็นส์ไปช่วยเพื่อผู้ประสบภัยพายุไห่ เยี่ยนที่ฟิลิปปินส์ที่ผ่าน และในช่วงที่เกิดเหตุการณ์เกือบปะทะนั้น เรือรบลำนี้ทำการลาดตระเวนเป็นปกติในปฏิบัติการ “freedom-of-navigation” ที่มีเป้าหมายเพื่อรักษาสิทธิช่องทางการเดินเรือสากลในบริเวณน่านน้ำเขต พิพาท และอย่างไรก็ตาม อ้างจากสื่ออังกฤษ เดอะการ์เดียน แหล่งข่าวสหรัฐฯปฏิเสธที่จะตอบคำถามว่า “เรือรบจีนจงใจที่จะแล่นตรงเข้าหาเรือรบลาดตระเวนคาวเพ็นส์เพื่อต้องการปะทะ หรือไม่” ซึ่งทางแหล่งข่าวหลีกเลี่ยงที่จะคาดการณ์ถึงจุดมุ่งหมายของเรือรบบรรทุก เครื่องบินเหลียวหนิง โดยกล่าวเพียงว่า “บรรดาผู้นำกองทัพสหรัฐฯมีจุดมุ่งหมายชัดในการรักษาเสถียรภาพความสัมพันธ์ ระหว่างกองทัพต่อกองทัพกับจีน” ในขณะที่สื่อรัสเซีย อาร์ที รายงานว่า เหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นจากการที่จีนได้ส่งเรือรบบรรทุกเครื่องบินเหลียวห นิงเพื่อหยุดการลาดตระเวณของเรือรบลาดตระเวนคาวเพ็นส์ที่ทางจีนอ้างว่า สหรัฐฯได้ล้ำเข้ามาในเขตน่านน้ำจีน แต่ทว่าสหรัฐฯได้ปฏิเสธที่จะทำตาม โดยอ้างว่าเรือรบลาดตระเวณคาวเพ็นส์นั้นแล่นอยู่ในน่านน้ำสากลและปฏิบัติ หน้าที่ตามปกติ และเมื่อเรือรบจีนได้แล่นตรงเข้าไปประจันหน้าท้าทาย ทางสหรัฐฯจำต้องแล่นถอยหลังเพื่อเลี่ยงการปะทะ และยังมีรายงานว่าทางกรุงวอชิงตันและสถานทูตสหรัฐฯในกรุงปักกิ่งได้ใช้ช่องทางการทูตประท้วงในเรื่องที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ทางด้านผู้เชี่ยวชาญด้านการทหาร ริค ฟิชเชอร์ เผยว่า หลังจาก 2 ทศวรรษที่จีนได้สร้างกองเรือรบขึ้นทำให้จีนมีความมั่นใจในแสนยานุภาพทางทะเล มากขึ้น และไม่ต้องการเห็นกองเรือรบสหรัฐฯแล่นลาดตระเวนในภูมิภาคนี้ต่อไป และฟิชเชอร์ได้แนะนำว่า ทั้งสหรัฐฯและญี่ปุ่นควรร่วมมือกันป้องกันหมู่เกาะพิพาทเซนกากุ ที่จีนได้อ้างสิทธิ์เช่นกันในนามหมู่เกาะเตียวหยู และร่วมมือทางด้านความมั่นคงเพิ่มขึ้นกับฟิลิปปินส์
ຫົວໃຈຈະວາຍ
ໂລກໜໍໂລກ ເລື່ອງມັນຈະເກີດ ມັນກໍ່ອາດຈະເກີດ ຫວັງວ່າມັນຄົງບໍ່ເກີດ
ຂໍຢ່າໃຫ້ມັນເກີດ