เมื่อเวลา 08.30 น. วันที่ 8 ก.พ. 58 ที่สถานีเรือ นรข.บึงกาฬ อ.เมืองบึงกาฬ จ.บึงกาฬ นายพงษ์ศักดิ์ ปรีชาวิทย์ ผวจ.บึงกาฬ ร่วมกับ พล.ร.ต.อารักษ์ แก้วเอี่ยม ผบ.นรข. แถลงข่าว ตรวจยึดกัญชาจำนวน 308 กิโลกรัม มูลค่า 6 ล้านบาท
ทั้งนี้ จากการสืบทราบของ พล.ร.ต.อารักษ์ แก้วเอี่ยม ผบ.นรข. ว่าจะมีแก๊งค้ายาเสพติดข้ามชาติลักลอบขนกัญชาลงเรือข้ามน้ำโขงจากฝั่ง สปป.ลาว เข้ามาขายให้กับกลุ่มพ่อค้าคนไทย บริเวณริมน้ำโขง บ้านหอคำ หมู่ที่ 1 ต.หอคำ อ.เมืองบึงกาฬ จ.บึงกาฬ จึงสั่งการให้ น.อ.นพดล บุญเจริญ ผบ.นรข.เขตหนองคาย น.ท.พิชัยยุทธ ปาจะกัง หัวหน้าสถานีเรือบึงกาฬ สนธิกำลังกับ พ.ต.ท.คนองศักดิ์ ทองพันธุ์ ผกก.สภ.หอคำ พ.ต.ท.วัลลภ ขุนหมื่น สวญ.ตม.บึงกาฬ พ.ต.ท. อนุรักษ์ เสนามาตย์ ผบ.ร้อย ตชด.244 พ.ต.ต.บันเทิง คงชยะนันท์ ทหารพรานร้อย ทพ.2103 กกล.รส.บึงกาฬ ตร.กก.3 บก.ปทส.บึงกาฬ และนายวัลลภ วุฒาพาณิชย์ นายด่านศุลกากร วางแผนจับกุม
ในเวลาดังกล่าว ตรวจพบเรือเพลายาว 1 ลำติดเครื่องยนต์วิ่งข้ามโขงมาจากฝั่ง สปป.ลาว มีผู้โดยสารมากับเรือ 5 คน โดยมีวัสดุกองอยู่ในกลางเรือจำนวนหนึ่ง ขณะที่วิ่งใกล้เข้าฝั่งไทยได้ดับเรื่องยนต์ใช้ไม้พายเรือแล่นเข้ามาจอดอยู่ ริมตลิ่ง ชาย 5 คนได้ช่วยกันแบกกระสอบบางอย่างขึ้นจากเรือมาวางกองไว้ยังริมฝั่งแม่น้ำโขง เจ้าหน้าที่ซุ่มรออยู่จึงเข้าไปแสดงตนขอตรวจค้น ชายทั้ง 5 คนได้กระโดดลงไปในน้ำโขงพร้อมกลับผลักเรือให้ออกจากฝั่ง แล้วติดเครื่องยนต์ขับหนีไปฝั่ง สปป.ลาว อย่างรวดเร็ว
เมื่อเจ้าหน้าที่เข้าเคลียร์พื้นที่พบ เป็นกระสอบปุ๋ยจำนวน 7 กระสอบ มีถุงพลาสติกสีดำห่อคลุมด้านนอกป้องกันการเปียกน้ำ เมื่อเปิดดูพบเป็นกัญชาแห้งอัดแท่งจำนวน 308 แท่งน้ำหนัก 308 กิโลกรัม มูลค่า 6 ล้านบาท จึงยึดไว้เป็นของกลาง นำส่งพนักงานสอบสวน สภ.หอคำเนินการสืบสวนหาเจ้าของมาดำเนินคดี
ด้าน พล.ร.ต.อารักษ์ แก้วเอี่ยม ผบ.นรข.เปิดเผยว่า กัญชาจำนวนนี้ จากแหล่งข่าวทราบว่าจะนำไปส่งลงทางภาคใต้ของประเทศไทย ก่อนที่แก๊งค้ายาเสพติดข้ามชาติจะนำลงเรือออกนอกประเทศไปส่งปลายทางยัง ประเทศมาเลเซีย เพื่อลำเลียงไปต่อประเทศออสเตรเลีย
สำหรับกัญชาจากประเทศ สปป.ลาว กลุ่มผู้เสพติดต่างยกนิ้วให้เป็นกัญชาที่ดีที่สุด มีคุณภาพและรสชาติดี จึงมักนิยมสั่งซื้อจากแหล่งผลิต ถึงแม้เเจ้าหน้าที่จะพยายามสกัดกั้น แต่เนื่องจากแนวชายแดนตามลำน้ำโขงที่ยาวไกลเกือบ 1,000 กิโลเมตร จากทางภาคเหนือจังหวัดเชียงรายลงมาถึงภาคอีสานจังหวัดอุบลราชธานี จึงเป็นเรื่องยากที่จะจับกุมได้ทุกราย.