เซาท์ไชน่า มอร์นิงโพสต์ (10 พ.ย.) - ศาสตราจารย์ ก้านหลี่ ผู้ดำเนินการศึกษาที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ กล่าวว่าจากการวิจัยในเร็ว ๆ นี้ แสดงให้เห็นว่าร้อยละ 22 ของอาคารที่อยู่อาศัยในเมืองของจีนเป็นอาคารร้าง หรือเทียบเท่าบ้าน 50 ล้านครัวเรือนสถานการณ์นี้ นับเป็นฝันร้ายสำหรับผู้กำหนดนโยบายคือเจ้าของที่อยู่อาศัยร้าง ซึ่งต้องรีบเร่งที่จะขาย หากมีความล่มสลายในตลาดอสังหาริมทรัพย์ ที่ทำให้ราคามีการพลิกผัน และผันผวน โดยข้อมูลล่าสุดจากการสำรวจเมื่อปีพ.ศ. 2560 ยังชี้ให้เห็นถึงความพยายามของรัฐบาล ในการระงับการเก็งกำไรในทรัพย์สิน โดยพิจารณาจากเป็นภัยต่อเสถียรภาพทางการเงินและสังคมกำลังเกิดขึ้นในระยะสั้น"ไม่มีประเทศใดที่มีอัตราที่อยู่อาศัยว่างร้างมากเช่นนี้" ศาสตราจารย์ ก้านหลี่ กล่าวในมหาวิทยาลัยการเงินและเศรษฐศาสตร์ของเมืองเฉิงตู "ถ้าเกิดการพังครืนในตลาดอสังหาริมทรัพย์เมื่อใด อาคารร้างเหล่านี้จะส่งผลกับจีนเหมือนน้ำท่วม"ทางออกหนึ่งที่รัฐบาลสามารถใช้คือ ภาษีทรัพย์สิน หรือภาษีที่ว่างเพื่อจัดการปัญหา แต่ไม่วี่แววในการจัดการปัญหานี้ ซึ่งอาจเป็นเรื่องยุ่งยากในการกำหนดที่ร้างว่างเปล่า ในปีที่ผ่านมา นักวิจัยหลายพันคนได้ร่วมกันสำรวจการเงินในครัวเรือนของจีนใน 363 มณฑล ซึ่งรวมถึงคณะของศาสตราจารย์ก้าน พบว่าอัตราบ้านร้าง ที่ไม่รวมบ้านซึ่งรอการขายโดยนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ได้เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยจากปี 2013 อยู่ที่ร้อยละ 22.4ขณะที่ผลการศึกษาในปี 2013 แสดงให้เห็นว่ามีบ้านร้างจำนวน 49 ล้านหลัง และก้านยังกล่าวว่า ตัวเลขจริง คงจะมากกว่า 50 ล้านยูนิตการเก็งกำไรในที่อยู่อาศัย ได้ถูกควบคุมโดยทางการจีนมาหลายปีแล้ว เนื่องจากหลาย ๆ มณฑล ผุดนโยบายนี้เพื่อดึงเงินลงทุนเข้ามาในพื้นที่ ทำให้เกิดการปั่น การเพิ่มขึ้นของราคาบ้านรุนแรงขึ้น อันหมายถึงผู้คนนับล้านถูกปิดกั้น และกีดกันออกจากตลาด ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ข้อมูลสำรวจนี้ นับเป็นความท้าทายที่รออยู่ของรัฐบาลจีน ซึ่งสูญเปล่าทางเศรษฐกิจไปกับบ้านร้างเหล่านี้ ถึงขนาดที่ สี จิ้นผิงกล่าวว่า "บ้านถูกสร้างขึ้นเพื่อจะให้ประชาชนอยู่อาศัยอยู่ ไม่ได้สำหรับการเก็งกำไรของคนมีเงิน"
ໃຫ້ຄົນທຸກໄປຢູ່ລ້າໆກໍ່ຄົງຈະດີເນາະ !