การพบปะกันระหว่าง รัฐมนตรีต่างประเทศพม่า วันนะ หม่อง ลวิน กับรัฐมนตรีต่างประเทศอินโดนีเซีย เรทโน มาร์ซูดี และรัฐมนตรีต่างประเทศไทย ดอน ปรมัตถ์วินัย เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ อาจจะตีความไปได้สองทาง ด้านหนึ่งอาจจะมองได้ว่านี่เป็นความพยายามของสมาชิกกลุ่มอาเซียนที่พยายามช่วยกันหาทางแก้ไขปัญหาวิกฤตการณ์ทางการเมืองในพม่า แต่อีกด้านหนึ่งก็มองได้เช่นกันว่านี่เป็นการให้ความชอบธรรมกับการยึดอำนาจทางการเมืองของกองทัพพม่า ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละประเทศแต่ละกลุ่มนั้นวางจุดยืนของตัวเองในเรื่องนี้อย่างไร
ในทันทีที่มีการรัฐประหารในพม่า ประธานอาเซียนในปีนี้ คือ บรูไน ได้ออกถ้อยแถลงแบบนุ่มนวลชนิดที่บัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น เรียกร้องให้สมาชิกยึดมั่นหลักการประชาธิปไตย นิติรัฐ ธรรมาภิบาล สิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน เน้นย้ำว่าเสถียรภาพทางการเมืองเป็นสาระสำคัญของสันติภาพ และความมั่งคั่ง มั่นคง วัฒนาถาวรของภูมิภา
นอกจากแถลงการณ์แผ่นเดียวแล้ว อาเซียนในฐานะองค์กรระหว่างประเทศที่มีสมาชิกทั้ง 10 ชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ยังทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้ ในขณะที่ประชาชนชาวพม่าเรือนล้านทั้งในและนอกประเทศต่างออกมาประท้วง เรียกร้องให้ทหารคืนอำนาจให้กับ ออง ซาน ซูจี และพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยที่ชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลายในเดือนพฤศจิกายน 2563 พร้อมกันกับการประณาม คว่ำบาตร และกดดันอย่างหนักหน่วงจากประเทศตะวันตกที่นำโดยสหรัฐอเมริกา
ในบรรดาสมาชิกอาเซียนด้วยกัน ประเทศที่เคลื่อนไหวหนักสุดหลังการรัฐประหารในพม่าคือ อินโดนีเซีย โดยร่วมกับมาเลเซียเรียกร้องให้กลุ่มอาเซียนเปิดประชุมสมัยพิเศษเพื่อหารือเรื่องสถานการณ์ในพม่า แต่ไม่ได้รับการตอบสนองจากสมาชิกอื่นๆ เท่าใดนัก การประชุมนั้นจึงยังไม่เกิดขึ้น ใช่ว่าการพบปะกันของผู้นำอาเซียนเป็นเรื่องยากเย็นอะไร สมัยนี้เจอกันทางออนไลน์ได้อยู่แล้ว แต่ก็ประชุมกันไม่ได้ เพราะไม่อาจจะหาเอกภาพในการแสดงจุดยืนได้
อินโดนีเซียจึงเลือกที่จะเคลื่อนไหวเดี่ยว รัฐมนตรีต่างประเทศอินโดนีเซีย เรทโน จึงทำตัวเป็นกระสวยการทูต บินไปเจรจากับ บรูไน สิงคโปร์ และไทย ซึ่งความจริง วางแผนบินเข้าไปพม่าต่อจากไทย แต่พอดีว่า ไทยเชิญ วันนะ หม่อง ลวิน มาเจอที่กรุงเทพฯ เสียก่อน อีกทั้งก่อนหน้านี้ ยังได้พูดคุยผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์กับรัฐมนตรี ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม ลาว กัมพูชา ซึ่งทำให้ประชาคมโลกมองเห็นถึงความเอาจริงเอาจังของอินโดนีเซียในเรื่องนี้โดดเด่นกว่าใคร อาจจะเรียกได้ว่าบดบังอาเซียนในฐานะกลุ่มและองค์กรระหว่างประเทศเลยก็ว่าได้
แต่ดูเหมือนว่าอินโดนีเซียจะยังไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากข้อเสนอที่ให้อาเซียนเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ยเพื่อให้มีการเลือกตั้งภายใน 1 ปีได้รับการปฏิเสธอย่างทันควันจากประชาชนพม่าที่ยืนหยัดประท้วงมาแรมเดือนแล้ว เพราะข้อเสนอนั้นดูเหมือนจะยังไม่ได้รับการพิเคราะห์อย่างถี่ถ้วน กลับไปสอดคล้องกับสิ่งที่มิน อ่อง หล่าย ผู้นำกองทัพที่ก่อรัฐประหาร ประกาศว่าจะดำเนินการอยู่แล้ว
ในความเห็นของผู้ที่ต่อต้านการรัฐประหารชาวพม่านั้น การจัดเลือกตั้งใหม่เป็นเรื่องไร้สาระสิ้นดี เพราะการเลือกตั้งที่ผ่านมานั้นกองทัพพม่าก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า มีการโกงมโหฬารอย่างที่กล่าวหา และถ้าเลือกตั้งในเร็ววัน พรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยก็ชนะอีก กองทัพพม่าก็คงจะไม่ยอมมอบอำนาจให้ผู้ชนะอีกอยู่ดี แต่ถ้าจะทำให้พรรคที่กองทัพสนับสนุนคือ พรรคสหสามัคคีและการพัฒนาเป็นผู้ชนะ ก็ดูเหมือนจะต้องทำสารพัดวิธี และคงไม่ต่างอะไรกับการโกงเลือกตั้ง แล้วชุมชนนานาชาติจะยอมรับการเลือกตั้งแบบนี้หรือ?
ตอนหลังอินโดนีเซียจึงกลับลำออกมาปฏิเสธว่า ไม่เคยมีความคิดเช่นนั้น ถ้อยแถลงล่าสุดของ เรทโน หลังการพบปะ วันนะ หม่อง ลวิน ที่กรุงเทพฯ จึงพูดแต่เพียงว่า ต้องการบอกให้พม่าและโลกรู้ว่าอินโดนีเซียห่วงกังวลต่อสถานการณ์มาก และปรารถนาให้ทุกฝ่ายใช้ความอดทนอดกลั้น อย่าใช้ความรุนแรงเข้าห้ำหั่นกัน และว่าอินโดนีเซียยืนอยู่ข้างประชาชนชาวพม่า ขอให้ทุกฝ่ายหันหน้ามาคุยกัน เพื่อความสมานฉันท์และความไว้วางใจกัน
แม้ว่าสิ่งที่อินโดนีเซียดำเนินการทั้งหมดจะยังไม่เกิดผลอะไร แถมเจอทัวร์ลงมาแล้วเพราะผู้ประท้วงส่วนหนึ่งไม่พอใจข้อเสนอเรื่องเลือกตั้งจึงพากันไปชุมนุมหน้าสถานทูตอินโดนีเซียในย่างกุ้ง แต่นั่นก็ยังดีกว่าท่าทีของไทยหลายเท่า ที่แสดงออกอย่างโจ่งแจ้งว่า เห็นดีเห็นงามกับการยึดอำนาจ และปวารณาตัวว่าจะสนับสนุนรัฐบาลทหารพม่าที่ตั้งขึ้นใหม่ให้สามารถอยู่ในอำนาจได้อย่างราบรื่นต่อไป ไทยในฐานะมิตรประเทศต้องให้กำลังใจพม่าเสมอไม่ว่าจะถูกหรือผิด ทำราวกับว่า การยึดอำนาจโดยกองทัพเป็นสิ่งถูกต้องชอบธรรม และการประท้วงต่อต้านเป็นสิ่งผิด วุ่นวายไร้เสถียรภาพ
ท่าทีแบบนี้ของไทย บวกกับข้อเสนอที่แสนเชยที่ให้มีการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการในเดือนสิงหาคม 2564 ทำให้อาเซียนกลายเป็นสมาคมชวนหัว เพราะสถานการณ์นับจากนี้ไปจนถึงวันประชุมนั้น อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น อาจจะมีการนองเลือดไปแล้วหลายครั้งแล้วก็เป็นได้ ถึงวันนั้นการประชุมจะมีความหมายอะไร อย่างมากก็แถลงการณ์แสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
Pro-military supporters clash with anti-coup protesters in Myanmar
https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/924659
ธนาคารโลกระบุในหนังสือฉบับหนึ่ง ซึ่งส่งถึงกระทรวงการคลังของเมียนมา โดยระบุว่า ธนาคารโลกได้ระงับการจ่ายเงินสนับสนุนโครงการในเมียนมา เพื่อตอบโต้ต่อการทำรัฐประหาร
หนังสือดังกล่าวระบุว่า ธนาคารโลกจะไม่อนุมัติคำขอถอนเงินของบรรดาซัพพลายเออร์, ผู้รับเหมา และที่ปรึกษาของโครงการในเมียนมา ซึ่งมีการยื่นหลังจากวันที่ 1 ก.พ. ซึ่งเป็นวันที่กองทัพเมียนมาทำรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือน แต่จะอนุมัติคำขอถอนเงินซึ่งมีการยื่นก่อนวันดังกล่าว
นอกจากนี้ ธนาคารโลกยังระบุในเว็บไซต์ว่า “เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ. เราได้ระงับการเบิกจ่ายเงินสำหรับโครงการที่มีการดำเนินงานในเมียนมา ขณะที่เรากำลังจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิด”
ธนาคารโลกยังเปิดเผยว่า ทางธนาคารกำลังตรวจสอบโครงการในเมียนมาเพื่อให้มั่นใจว่ามีการดำเนินงานที่สอดคล้องกับนโยบายของธนาคารโลก
ทั้งนี้ ธนาคารโลกได้อนุมัติเงินกู้ใหม่และเงินให้เปล่าจำนวนกว่า 350 ล้านดอลลาร์ หรือราว 10,500 ล้านบาท แก่รัฐบาลเมียนมาในปีที่แล้ว เพื่อให้ความช่วยเหลือในการเยียวยาผลกระทบจากโควิด-19 ซึ่งรวมถึงเงินช่วยเหลือเกษตรกร และเงินสนับสนุนการจ้างงานในชนบท
ຜະເດັດການທະຫານກໍ່ເຂົ້າຂ້າງກັນລະເນ໊າະ.
ກຸ້ມຜະເດັດການທະຫານ ຢຸ່ຍາກ
ຜະເດັດການຕ້ອງຖອດຖອນບົດຮຽນໃຫ້ຜະເດັດການດ້ວຍກັນ.