ລາວໂຮມລາວ ເພື່ອປະຊາທິປະໄຕ

เอกสารทีมวิจัยจีน! คิดแปลงไวรัสโคโรนาเป็น “อาวุธชีวภาพ” 5 ปีก่อนโควิดโผล่

เผยเอกสารทีมวิจัยจีน! – วันที่ 10 พ.ค. เดลีเมล์ รายงานกระแสถกเถียงกว้างขวางหลังจากเว็บไซต์นิวส์.คอม สื่อออสเตรเลีย เผยแพร่เอกสารที่เขียนโดยคณะนักวิทยาศาสตร์และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเมื่อปี 2558 มีใจความสำคัญว่าไวรัสโคโรนาสายพันธุ์กลุ่มอาการทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง (ซาร์ส โคโรนาไวรัส) เป็น “อาวุธพันธุกรรมยุคใหม่” ที่สามารถดัดแปลงให้เป็นโรคอุบัติใหม่ของมนุษย์จากนั้นทำให้เป็นอาวุธและปลดปล่อยออกไป

เอกสารในชื่อต้นกำเนิดที่ผิดธรรมชาติของโรคซาร์สและไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่มนุษย์สร้างขึ้นในรูปแบบของอาวุธชีวภาพทางพันธุกรรม (The Unnatural Origin of SARS and New Species of Man-Made Viruses as Genetic Bioweapons) ระบุว่าสงครามโลกครั้งที่สามจะต่อสู้ด้วยอาวุธชีวภาพ ต่างจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและครั้งที่สอง ทั้งยังกล่าวว่าทีมนักวิทยาศาสตร์ทางการทหารของจีนหารือเกี่ยวกับการติดอาวุธด้วยเชื้อซาร์ส โคโรนาไวรัส ตั้งแต่ 5 ปีก่อนที่จะมีการระบาดของโรคโควิด-19

นายปีเตอร์ เจนนิงส์ ผู้อำนวยการสถาบันนโยบายยุทธศาสตร์แห่งออสเตรเลีย (เอเอสพีไอ) ให้สัมภาษณ์นิวส์.คอมว่า เอกสารนี่เป็นหลักฐานชี้ชัดที่สุดเท่าที่มี

“ผมคิดว่านี่เป็นเรื่องสำคัญเพราะแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่านักวิทยาศาสตร์จีนมีความคิดที่จะประยุกต์ใช้สายพันธุ์ต่างๆ ของไวรัสโคโรนาในทางการทหารและคิดว่าจะนำไปใช้งานอย่างไร มันเริ่มชัดเจนขึ้นถึงความเป็นไปได้ว่าสิ่งที่เราเผชิญอยู่อาจเป็นการปล่อยเชื้อโรคโดยไม่ได้ตั้งใจเพื่อใช้ในการทหาร” นายเจนนิงส์ชี้แจง

และว่ายังสามารถอธิบายได้ว่าทำไมจีนถึงไม่เต็มใจที่จะให้หน่วยงานภายนอกเข้าไปสืบสวนหาต้นกำเนิดของโควิด-19 เพราะหากเป็นกรณีระบาดจากตลาดสด จีนน่าจะให้ความร่วมมือด้วยดี

ด้านนายโรเบิร์ต พอตเตอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ ผู้วิเคราะห์เอกสารที่รั่วไหลของรัฐบาลจีน ได้ตรวจสอบเอกสารและว่าเป็นเอกสารจริง “เราได้ข้อสรุปที่มั่นใจอย่างยิ่งว่าเป็นเอกสารจริง ไม่ใช่ของปลอม เอกสารนี้ปรากฏในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา และพวกเขา (จีน) พยายามที่จะลบมันออกไปแต่ตอนนี้มันถูกพบแล้ว” นายพอตเตอร์กล่าว

Pictured: Wuhan Institute of Virology in Wuhan, in China’s central Hubei province, during a visit by members of the World Health

Organization (WHO) team investigating the origins of the COVID-19 coronavirus. AFP